อย่าสงสารผู้ลี้ภัย -- จงเชื่อในพวกเขา
-
0:01 - 0:03ฉันยังจำได้ถึงครั้งแรกที่ฉันรู้ว่า
-
0:03 - 0:05ฉันกำลังจะมาพูดที่ TED
-
0:05 - 0:07ฉันวิ่งข้ามโถงไปยังห้องเรียนของฉัน
-
0:07 - 0:08เพื่อบอกนักเรียนของฉันว่า
-
0:09 - 0:10พวกเธอเชื่อไหมล่ะ
-
0:10 - 0:12ว่าฉันได้รับเชิญให้ไปพูดที่ TED
-
0:12 - 0:14ปฏิกริยาของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิดไว้เลย
-
0:14 - 0:15ทั้งห้องเงียบกริบ
-
0:17 - 0:20"TED Talk? หมายถึงที่โค้ชให้พวกเราดู
เกี่ยวกับความเพียรพยายาม -
0:20 - 0:24หรือที่เกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ที่ทำสิ่ง
เจ๋งๆ กับหุ่นยนต์ใช่รึเปล่า?" -
0:24 - 0:25มูฮัมหมัดถาม
-
0:25 - 0:26"ใช่ แบบนั้นแหละ"
-
0:27 - 0:30"แต่โค้ช คนพวกนั้นสำคัญและฉลาดจริงๆ"
-
0:30 - 0:32(เสียงหัวเราะ)
-
0:32 - 0:34"ฉันรู้"
-
0:35 - 0:39"แต่โค้ช ทำไมโค้ชถึงจะไปพูดล่ะ
โค้ชเกลียดการพูดในที่สาธารณะไม่ใช่หรือ?" -
0:39 - 0:41"ใช่" ฉันยอมรับ
-
0:42 - 0:46"แต่มันสำคัญที่จะต้องพูดเกี่ยวกับพวกเรา
เรื่องการเดินทางของพวกนาย -
0:46 - 0:47และการเดินทางของฉัน
-
0:47 - 0:48ทุกคนจำเป็นต้องรู้
-
0:49 - 0:52นักเรียนในโรงเรียนกลุ่มผู้ลี้ภัย
ที่ฉันก่อตั้ง -
0:52 - 0:54ได้ส่งเสียงให้กำลังใจ
-
0:54 - 0:56"เยี่ยมเลย มันต้องออกมาดีแน่!"
-
0:56 - 0:59(เสียงหัวเราะ)
-
0:59 - 1:03มีคนกว่า 65.3 ล้านคนที่ถูกบังคับให้ออกจาก
-
1:03 - 1:05บ้านเกิดของพวกเขาเพราะสงครามหรือการข่มเหง
-
1:06 - 1:09จำนวนที่เยอะที่สุดคือ 11 ล้านคน
ซึางย้ายมาจากซีเรีย -
1:10 - 1:1433,952 คนต้องหนีออกจากบ้านเกิดของตนทุกวัน
-
1:17 - 1:20คนส่วนมากยังคงอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัย
-
1:20 - 1:24ซึ่งสภาพที่ค่ายนั้นไม่สามารถให้นิยามได้ว่า
มีมนุษยธรรมใดๆ เลย -
1:25 - 1:29พวกเรากำลังเข้าร่วมในการทำลายคนเหล่านี้
-
1:33 - 1:35พวกเราไม่เคยเจอตัวเลขผู้ลี้ภัย
สูงเท่านี้มาก่อน -
1:35 - 1:38นี่คือจำนวนผู้ลี้ภัยที่มากที่สุดนับตั้งแต่
สงครามโลกครั้งที่ 2 -
1:38 - 1:41ตอนนี้ ฉันจะบอกคุณว่าทำไมประเด็นนี้ถึง
สำคัญสำหรับฉัน -
1:42 - 1:45ฉันเป็นคนอาหรับ ฉันเป็นผู้อพยพ
-
1:46 - 1:47ฉันเป็นมุสลิม
-
1:48 - 1:52ฉันใช้เวลา 12 ปีที่ผ่านมาทำงานกับผู้ลี้ภัย
-
1:52 - 1:53โอ้ และฉันยังเป็นเกย์ด้วย
-
1:53 - 1:55นี่ทำให้ฉันเป็นที่ชื่นชอบมากในทุกวันนี้
-
1:55 - 1:57(เสียงหัวเราะ)
-
1:57 - 1:59แต่ฉันเป็นลูกสาวของผู้ลี้ภัย
-
2:00 - 2:05คุณยายของฉันออกจากซีเรียในปี 1964 ในช่วง
ที่ซีเรียตกอยู่ภายใต้ระบอบอัสซาดครั้งแรก -
2:05 - 2:08เธอตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนตอนที่เธอเก็บของ
-
2:08 - 2:11พร้อมกับลูกทั้ง 5 คนของเธอ
เพื่อไปยังจอร์แดน -
2:11 - 2:14โดยไม่รู้ว่าอะไรรออยู่ข้างหน้าสำหรับเธอ
และครอบครัวของเธอ -
2:14 - 2:18คุณตาของฉันตัดสินใจจะอยู่ต่อ ท่านไม่เชื่อ
ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายนัก -
2:19 - 2:22หนึ่งเดือนต่อมา ท่านย้ายตามยายมา
หลังจากน้องชายของท่านถูกลงโทษอย่างทรมาน -
2:22 - 2:24และโรงงานของท่านถูกยึดโดยรัฐบาล
-
2:25 - 2:27พวกท่านตัดสินใจสร้างชีวิตที่นี่โดยเริ่มจาก
ความยากลำบาก -
2:27 - 2:31จนกลายเป็นพลเมืองจอร์แดนที่ร่ำรวย
และเป็นอิสระ -
2:32 - 2:34ฉันเกิดที่จอร์แดนในอีก 11 ปีต่อมา
-
2:35 - 2:39มันสำคัญมากสำหรับคุณยายของฉันที่พวกเราจะ
รู้ความเป็นมา -
2:39 - 2:40และการเดินทางของพวกเรา
-
2:41 - 2:44ฉันอายุ 8 ขวบตอนท่านพาฉันไปเยี่ยมค่าย
ผู้ลี้ภัยครั้งแรก -
2:45 - 2:46ฉันไม่เข้าใจว่าทำไม
-
2:47 - 2:49ฉันไม่รู้ว่าทำไมมันถึงสำคัญกับท่านนักหนา
-
2:49 - 2:50ในการที่เราจะไปที่นั่น
-
2:50 - 2:53ฉันจำได้ว่าตัวเองเดินเข้าไปในค่าย
จับมือท่านไว้ -
2:53 - 2:55และท่านบอกว่า "ไปเล่นกับเด็กๆ สิ"
-
2:55 - 2:58ระหว่างที่เธอเยี่ยมผู้หญิงในค่าย
-
2:59 - 3:00ฉันไม่ต้องการทำแบบนั้น
-
3:00 - 3:01เด็กพวกนั้นไม่เหมือนกับฉัน
-
3:01 - 3:03พวกเขาจน อาศัยอยู่ในค่าย
-
3:03 - 3:04ฉันปฏิเสธ
-
3:04 - 3:07เธอคุกเข่าลงข้างฉัน
และพูดด้วยเสียงจริงจังว่า "ไป" -
3:07 - 3:10และอย่ากลับมาจนกว่าหลานจะเล่นกับเด็กๆ แล้ว
-
3:10 - 3:12อย่าแม้แต่จะคิดว่าเด็กพวกนั้นต่ำต้อยกว่าหลาน
-
3:12 - 3:14หรือหลานฉลาดจนไม่ต้องเรียนรู้อะไรจากพวกเขา"
-
3:15 - 3:16ฉันฝืนใจเดินเข้าไป
-
3:16 - 3:18ฉันไม่อยากจะทำให้คุณยายผิดหวัง
-
3:19 - 3:212-3 ชั่วโมงต่อมา ฉันเดินกลับมา
-
3:21 - 3:26ใช้เวลาเล่นซอกเกอร์กับเด็กๆ ในค่าย
-
3:26 - 3:27พวกเราเดินออกจากค่าย
-
3:27 - 3:30และฉันตื่นเต้นมากทีจะเล่าให้
เธอฟังว่าฉันมีช่วงเวลาที่ดีแค่ไหน -
3:30 - 3:32และเด็กพวกนั้นมหัศจรรย์มากแค่ไหน
-
3:33 - 3:36"ฮะรอม" ฉันพูดเป็นภาษาอารบิก
"พวกเขาช่างน่าสงสาร" -
3:37 - 3:40"พวกเราต่างฮะรอม(บาป)" เธอใช้คำเดิมแต่มี
ความหมายที่แตกต่างออกไป -
3:40 - 3:41แปลว่าพวกเราต่างมีความผิดบาปกันทั้งสิ้น
-
3:42 - 3:44"อย่าสงสารพวกเขา จงเชื่อในพวกเขา"
-
3:46 - 3:50ฉันไม่เคยคิดแบบนั้น
จนกระทั่งฉันออกจากบ้านเกิดมายังสหรัฐฯ -
3:50 - 3:52ฉันถึงเพิ่งตระหนักถึงผลกระทบในคำพูดนั้น
-
3:53 - 3:57หลังจากเรียนจบ ฉันสมัครและได้รับสถานะ
ลี้ภัยทางการเมือง -
3:57 - 3:59เพราะฉันเป็นสมาชิกของกลุ่มแบบนี้
-
4:00 - 4:01คนบางคนอาจจะไม่ตระหนักถึง
-
4:01 - 4:05แต่คุณสามารถโดนประหารชีวิตได้ในบางประเทศ
เพราะคุณเป็นเกย์ -
4:07 - 4:09ฉันต้องยอมละทิ้งสถานะพลเมืองจอร์แดน
-
4:09 - 4:11นั่นเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดเท่าที่ฉัน
เคยทำมา -
4:11 - 4:13แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่น
-
4:17 - 4:19ประเด็นคือ
-
4:20 - 4:23เมื่อคุณพบว่าตนเองต้องเลือก
ระหว่างบ้านกับการมีชีวิตรอด -
4:23 - 4:25คำถามที่ว่า "คุณมาจากไหน?"
เริ่มซับซ้อนขึ้น -
4:27 - 4:30ผู้หญิงซีเรียที่ฉันเพิ่งพบ
ในค่ายผู้ลี้ภัยที่กรีซ -
4:30 - 4:31อธิบายเรื่องนี้ได้ชัดเจน
-
4:31 - 4:35เมื่อเธอนึกถึงวินาทีที่เธอตระหนักว่าเธอ
ต้องหนีออกจากอเลปโป -
4:35 - 4:38"ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง
และมันไม่เหลืออะไรเลย -
4:38 - 4:39มีแต่เศษหิน ปูน เต็มไปหมด
-
4:40 - 4:43ไม่มีร้านค้า ถนน หรือโรงเรียน
ทุกอย่างหายไปจนหมดสิ้น -
4:44 - 4:46ฉันอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ของฉันหลายเดือน
-
4:46 - 4:49ฟังเสียงระเบิดที่ถูกทิ้งลงมา
และมองดูผู้คนล้มตาย -
4:50 - 4:52แต่ฉันมักจะคิดว่ามันจะต้องดีขึ้น
-
4:53 - 4:55ไม่มีใครบังคับให้ฉันออกจากที่นี่
-
4:55 - 4:57ไม่มีใครพรากบ้านไปจากฉันได้
-
4:58 - 5:00และฉันไม่รู้เลยว่าทำไมเมื่อฉันมองออกไป
ในตอนเช้าของวันนั้น -
5:00 - 5:04ฉันถึงตระหนักว่าหากฉันไม่ออกจากที่นี่
ลูกทั้งสามคนของฉันต้องตาย -
5:04 - 5:06ดังนั้น พวกเราจึงหนีออกมา
-
5:06 - 5:09พวกเราหนีมาเพราะว่าฉันพวกเราต้องทำ
ไม่ใช่เพราะพวกเราอยากทำ -
5:09 - 5:10มันไม่มีทางเลือกอื่น" เธอพูด
-
5:12 - 5:14มันยากที่จะเชื่อว่าที่ไหนเป็นที่ของคุณ
-
5:14 - 5:16เมื่อคุณไม่มีบ้านอีกต่อไป
-
5:16 - 5:20เมื่อประเทศของคุณผลักไสคุณด้วยความกลัว
หรือการข่มเหงรังแก -
5:20 - 5:24หรือเมืองที่คุณเติบโตถูกทำลายจนหมดสิ้น
-
5:25 - 5:27ฉันไม่รู้สึกว่าฉันมีบ้านอีกต่อไป
-
5:27 - 5:29ฉันไม่ได้เป็นพลเมืองจอร์แดนอีกต่อไป
-
5:29 - 5:31แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นพลเมืองอเมริกันเช่นกัน
-
5:32 - 5:33ฉันรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเดียวดาย
-
5:33 - 5:36ซึ่งยังคงยากที่จะหาคำใดมาบรรยายในวันนี้
-
5:37 - 5:40หลังจากเรียนจบ ฉันต้องการที่จะหาที่ๆ
ฉันจะเรียกว่าบ้านได้ -
5:41 - 5:42ฉันเดินตะลอนยังรัฐต่างๆ
-
5:42 - 5:45และสุดท้ายก็จบลงที่นอร์ธแคโรไลนา
-
5:45 - 5:47คนใจดีที่สงสารฉัน
-
5:47 - 5:49เสนอจ่ายค่าเช่า
-
5:49 - 5:53ซื้ออาหารหรือสูทให้
สำหรับการสัมภาษณ์งานใหม่ -
5:53 - 5:56มันกลับทำให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว
และไร้ความสามารถมากกว่าเดิม -
5:56 - 5:58จนกระทั่งฉันเจอคุณซาร่า
-
5:58 - 6:02คริสตศาสนิกชนชาวใต้ที่ให้งานฉัน
-
6:02 - 6:04และนั่นทำให้ฉันเริ่มเชื่อในตัวเอง
-
6:05 - 6:08คุณซาร่าเป็นเจ้าของร้านอาหารในภูเขา
ของนอร์ธแคโรไลนา -
6:10 - 6:12ฉันคิดว่า เป็นเพราะการอบรมสั่งสอน
ที่เป็นพิเศษ -
6:12 - 6:14และการศึกษาจากเซเว่นซิสเตอร์
-
6:14 - 6:16จึงทำให้เธอจ้างฉันให้บริหารร้านอาหาร
-
6:16 - 6:17ฉันคิดผิด
-
6:18 - 6:20ฉันเริ่มต้นจากการล้างจาน
-
6:20 - 6:22ล้างห้องน้ำและย่างเนื้อ
-
6:22 - 6:25ฉันอ่อนน้อมถ่อมตน
ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของการขยันทำงาน -
6:25 - 6:28แต่ที่สำคัญที่สุด ฉันรู้สึกมีคุณค่า
และเป็นที่ยอมรับ -
6:29 - 6:31ฉันฉลองคริสมาสต์กับครอบครัวของเธอ
-
6:31 - 6:33และเธอพยายามที่จะถือศีลอดกับฉัน
-
6:34 - 6:37ฉันจำได้ว่าตนรู้สึกกังวลมากในการเปิดเผย
เพศสภาพให้เธอรู้ -
6:37 - 6:39อย่างที่รู้ เธอเป็นคริสตศาสนิกชนชาวใต้
-
6:39 - 6:40ฉันนั่งอยู่บนโซฟาข้างเธอ
-
6:40 - 6:43และพูดว่า "คุณซาร่า
คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นเกย์" -
6:43 - 6:45คำตอบของเธอคือสิ่งที่ฉันจะไม่มีวันลืม
-
6:46 - 6:48"ไม่เป็นไรเลย ที่รัก
แค่อย่ามั่วไปทั่วก็พอ" -
6:48 - 6:51(เสียงหัวเราะ)
-
6:51 - 6:54(เสียงปรบมือ)
-
6:54 - 7:00ในที่สุดฉันย้ายไปที่แอตแลนตา
ยังคงพยายามหาบ้านของฉัน -
7:00 - 7:03การเดินทางของฉันเริ่มเปลียนทิศทาง
ในช่วง 3 ปีต่อมา -
7:03 - 7:06หลังจากที่ฉันพบกลุ่มเด็กๆ ผู้ลี้ภัย
เล่นซอกเกอร์กันข้างนอก -
7:06 - 7:09ฉันเลี้ยวผิดทางไปยังอพาร์ตเม้นท์
-
7:09 - 7:11และเห็นเด็กเหล่านั้นเล่นซอกเกอร์กัน
อยู่ข้างนอก -
7:11 - 7:14ใช้เท้าเปลือยเปล่าเตะลูกซอกเกอร์
ที่ขาดรุ่งริ่ง -
7:14 - 7:16และใช้หินตั้งไว้เป็นโกล
-
7:16 - 7:17ฉันมองพวกเขาเป็นเวลาเกือบชั่วโมง
-
7:17 - 7:19และฉันก็ยิ้มออกมา
-
7:19 - 7:21เด็กพวกนี้ทำให้ฉันระลึกถึงบ้าน
-
7:21 - 7:24พวกเขาทำให้ฉันนึกถึงตอนที่ฉันเล่นซอกเกอร์
-
7:24 - 7:26บนถนนในจอร์แดนกับพี่ชายและลูกพี่ลูกน้อง
-
7:28 - 7:30ฉันตัดสินใจเข้าไปเล่นกับพวกเขาในที่สุด
-
7:30 - 7:33พวกเขาประหลาดใจเล็กน้อยกับ
การที่จะให้ฉันร่วมเล่นด้วย -
7:33 - 7:35เพราะพวกเขาคิดว่าผู้หญิงเล่นไม่เป็น
-
7:35 - 7:37แต่แน่นอนว่าฉันเล่นเป็น
-
7:37 - 7:38ฉันถามว่าพวกเขาเคยเล่นเป็นทีมไหม
-
7:38 - 7:41พวกเขาตอบว่าไม่เคย แต่อยากจะลองเล่นดู
-
7:42 - 7:45ฉันชนะพวกเขา และพวกเราก็เริ่มตั้งทีมแรกกัน
-
7:46 - 7:51กลุ่มเด็กเหล่านี้มอบช่วงเวลาเกี่ยวกับ
ผู้ลี้ภัย ความยากจน -
7:52 - 7:53และมนุษยธรรมให้ฉัน
-
7:54 - 7:583 พี่น้องจากอัฟกานิสถาน รูฮัลลาห์
นูรัลลาห์ และซาบิลลาห์ -
7:58 - 8:00เล่นเป็นตัวหลัก
-
8:00 - 8:04ฉันไปสายในวันหนึ่งและพบว่า
สนามนั้นว่างเปล่า -
8:04 - 8:05ฉันกังวลมาก
-
8:05 - 8:07ทีมของฉันรักการฝึกซ้อม
-
8:07 - 8:09มันผิดปกติสำหรับพวกเขา
ที่จะพลาดการฝึก -
8:09 - 8:13ฉันออกจากรถ และเด็ก 2 คนก็วิ่งออกมา
จากด้านหลังกองขยะ -
8:13 - 8:14โบกมือให้ฉันอย่างลนลาน
-
8:15 - 8:16"โค้ช รูห์ถูกตี
-
8:16 - 8:19มีแต่เลือดเต็มไปหมด"
-
8:19 - 8:21"เธอหมายความอย่างไรที่บอกว่าเขาถูกตี?"
-
8:21 - 8:23"พวกเด็กนิสัยไม่ดีมาและตีเขา โค้ช
-
8:23 - 8:26"ทุกคนหนีไปหมด พวกเขากลัว"
-
8:26 - 8:28พวกเราโดดขึ้นรถและขับไปยัง
อพาร์ตเมนท์ของรูห์ -
8:28 - 8:31ฉันเคาะประตู และนูห์เป็นคนเปิด
-
8:32 - 8:34"รูห์อยู่ไหน ฉันต้องคุยกับเขา
ดูว่าเขาโอเคไหม" -
8:34 - 8:37"เขาอยู่ในห้อง โค้ช เขาไม่ยอมออกมา"
-
8:37 - 8:38ฉันเคาะประตู
-
8:39 - 8:41"รูห์ ออกมาเถอะ เราต้องคุยกันนะ
-
8:41 - 8:44ฉันต้องดูว่าเธอโอเคไหม หรือต้องไปโรงพยาบาล"
-
8:44 - 8:45เขาออกมา
-
8:45 - 8:47มีรอยแผลลึกบนศีรษะ ปากฉีก
-
8:48 - 8:50และร่างของเขาสั่นไปหมด
-
8:51 - 8:52ฉันมองเขา
-
8:52 - 8:54และฉันขอให้เด็กๆ เรียกแม่ของพวกเขา
-
8:54 - 8:57เพราะว่าฉันต้องการไปโรงพยาบาลกับพวกเขา
-
8:57 - 8:58เด็กๆ เรียกแม่
-
8:59 - 9:00เธอเดินออกมา
-
9:00 - 9:04ฉันหันไปหาเธอและเธอเริ่มกรีดร้องในภาษาฟาร์ซี
-
9:05 - 9:07เด็กชายทิ้งตัวลงกับพื้นและหัวเราะ
-
9:07 - 9:08ฉันสับสนมาก
-
9:08 - 9:10เพราะว่ามันไม่มีอะไรน่าขำเลย
-
9:10 - 9:12เด็กๆ อธิบายว่าแม่ของพวกเขาพูดว่า
-
9:12 - 9:15"ลูกบอกแม่ว่าโค้ชของลูกเป็นผู้หญิงมุสลิม"
-
9:15 - 9:18จากด้านหลัง ฉันไม่มีอะไรเหมือนเธอเลย
-
9:18 - 9:21(เสียงหัวเราะ)
-
9:21 - 9:24"ฉันเป็นมุสลิม" ฉันพูด หันไปหาเธอ
-
9:24 - 9:25(ภาษาอิสลาม)
-
9:26 - 9:28อ้างถึงการประกาศศรัทธาของชาวมุสลิม
-
9:29 - 9:30ความสับสน
-
9:31 - 9:33และบางทีก็อาจเป็นการเรียกความมั่นใจด้วย
-
9:33 - 9:34เธอตระหนักว่า ใช่
-
9:34 - 9:38ฉัน ผู้มีท่าทีแบบอเมริกัน ใส่ขาสั้น
ไม่คลุมหน้า -
9:38 - 9:39เป็นชาวมุสลิมจริงๆ
-
9:40 - 9:42ครอบครัวของพวกเขาหนีจากตาลีบัน
-
9:44 - 9:46คนนับร้อยในหมู่บ้านถูกสังหาร
-
9:47 - 9:49พ่อของพวกเขาถูกตาลีบันจับตัวไป
-
9:49 - 9:53และกลับมาในอีก 2-3 เดือนในสภาพที่ไม่
เหมือนเดิมเลย -
9:55 - 9:57ครอบครัวนี้หนีไปยังปากีสถาน
-
9:57 - 10:01เด็กชายที่โตสุด 2 คนซึ่งมีอายุ 8 และ 10 ปี
ในตอนนั้น -
10:01 - 10:04ต้องทอพรม 10 ชั่วโมงต่อวัน
เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว -
10:05 - 10:09พวกเขาตื่นเต้นเมื่อรู้ว่า
พวกเขาได้รับการอนุมัติ -
10:09 - 10:11ให้ตั้งรกรากใหม่ที่สหรัฐฯ ได้
-
10:11 - 10:14พวกเขาเป็นหนึ่งในคน 0.1%
ที่ได้โอกาสเช่นนี้ -
10:14 - 10:16พวกเขาได้รางวัลชิ้นใหญ่
-
10:17 - 10:18เรื่องราวนี้ไม่น่าแปลกเท่าไร
-
10:19 - 10:23ทุกครอบครัวผู้ลี้ภัยที่ฉันทำงานด้วยมัก
มีเรื่องเล่าแบบเดียวกันนี้ -
10:23 - 10:24ฉันทำงานกับเด็ก
-
10:25 - 10:29ที่เห็นแม่ของเขาถูกข่มขืน พ่อถูกตัดนิ้ว
-
10:29 - 10:32เด็กคนหนึ่งเห็นกระสุนเจาะเข้าที่ศรีษะยาย
-
10:32 - 10:36เพราะเธอไม่ยอมให้พวกกบฎเอาตัวเขาไปเป็นทหาร
-
10:38 - 10:39การเดินทางของพวกเขาตามหลอกหลอนพวกเขา
-
10:40 - 10:46แต่สิ่งที่ฉันเห็นทุกวันคือความหวัง
การปรับตัว ความมุ่งมั่น -
10:46 - 10:47ความรักในชีวิต
-
10:47 - 10:50และความซาบซึ้งในการเริ่มต้นชีวิตใหม่
-
10:52 - 10:54ฉันอยู่ที่อพาร์ตเมนท์ของเด็กๆ หนึ่งคืน
-
10:54 - 10:59เมื่อแม่ของพวกเขากลับมาจากการทำความสะอาด
ห้องในโรงแรม 18 ห้องภายในหนึ่งวัน -
10:59 - 11:01เธอนั่งลง และนูห์นวดเท้าให้เธอ
-
11:02 - 11:05บอกว่าเขาจะดูแลเธอเมื่อเขาเรียนจบ
-
11:05 - 11:06เธอยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน
-
11:06 - 11:10"พระเจ้านั้นประเสริฐ ชีวิตนั้นดี
พวกเราโชคดีที่อยู่ที่นี่" -
11:11 - 11:16สองปีให้หลังมานี้ พวกเราเห็นการเพิ่มขึ้น
ของความรู้สึกต่อต้านผู้ลี้ภัย -
11:16 - 11:17แพร่กระจายทั่วโลก
-
11:19 - 11:22ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเราไม่ทำ
อะไรเพื่อป้องกันมัน -
11:22 - 11:24และไม่มีอะไรหยุดมันได้
-
11:24 - 11:27ประเด็นไม่ควรอยู่ที่การกันไม่ให้ผู้ลี้ภัย
เข้ามายังประเทศของเรา -
11:27 - 11:30แต่อยู่ที่การไม่บังคับให้พวกเขาต้องออกนอก
ประเทศของตนเอง -
11:30 - 11:35(เสียงปรบมือ)
-
11:47 - 11:48ขอโทษค่ะ
-
11:48 - 11:52(เสียงปรบมือ)
-
11:58 - 12:00ต้องทรมานมากเท่าไหร่
-
12:00 - 12:03พวกเราต้องทนทุกข์ทรมารอีกแค่ไหน
-
12:03 - 12:05ต้องมีคนอีกกี่คนที่โดนบีบบังคับ
ให้ละทิ้งบ้านเกิดของตนเอง -
12:05 - 12:07พวกเราถึงจะพูดได้ว่า "พอแล้ว"?
-
12:07 - 12:09ร้อยล้านคนหรอ?
-
12:09 - 12:12พวกเราไม่ได้แค่สร้างความอับอาย ตำหนิ
และปฏิเสธพวกเขา -
12:13 - 12:16สำหรับเรื่องไร้สาระที่พวกเขาทำอะไรไม่ได้
-
12:17 - 12:18พวกเรายังทรมานเขา
-
12:18 - 12:21ทั้งที่พวกเราควรจะต้อนรับเขา
สู่ประเทศของเรา -
12:23 - 12:27เรากลับปลดเปลื้องศักดิ์ศรีของเขา
ปฏิบัติราวกับพวกเขาเป็นอาชญากร -
12:27 - 12:29มีนักเรียนมาขอพบฉันที่ออฟฟิส
เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา -
12:29 - 12:31เธอมาจากอิรัก
-
12:31 - 12:33เธอร้องไห้หนักมาก
-
12:34 - 12:35"ทำไมพวกเขาเกลียดเรา?"
-
12:35 - 12:36"ใครเกลียดคุณ?"
-
12:36 - 12:39"ทุกคน ทุกคนเกลียดเราเพราะเราเป็นผู้ลี้ภัย
-
12:39 - 12:41เพราะพวกเราเป็นมุสลิม"
-
12:42 - 12:44ในอดีต ฉันสามารถปลอบนักเรียนได้ว่า
-
12:44 - 12:47คนส่วนใหญ่ในโลกไม่ได้เกลียดผู้ลี้ภัย
-
12:47 - 12:48แต่ตอนนี้ ฉันทำไม่ได้
-
12:49 - 12:52ฉันอธิบายไม่ได้ว่าทำไมบางคนพยายามจะดึง
ผ้าคลุมหน้าแม่ของเธอ -
12:52 - 12:54ตอนที่พวกเขาซื้อของกันอยู่
-
12:54 - 12:57หรือทำไมผู้เล่นอีกทีมเรียกเธอว่า
ผู้ก่อการร้าย -
12:57 - 13:00และบอกให้เธอกลับไปยังที่ๆ เธอจากมา
-
13:00 - 13:02ฉันไม่สามารถรับประกันได้ว่า
-
13:02 - 13:04ว่าการที่พ่อของเธอยอมเสียสละสูงสุด
-
13:04 - 13:07ด้วยการเป็นล่ามให้กองทัพสหรัฐฯ นั้น
-
13:07 - 13:10จะทำให้ผู้คนนับถือเธอเหมือนกับ
พลเมืองอเมริกันทั่วไป -
13:11 - 13:14พวกเราเปิดรับผู้ลี้ภัยจากทั่วโลกน้อยมาก
-
13:15 - 13:18พวกเราให้จัดที่อยู่ให้พวกเขาน้อยกว่า 0.1%
-
13:19 - 13:220.1% ที่ว่าเราเห็นว่ามันสำคัญต่อเรา
มากกว่าพวกเขา -
13:23 - 13:27นี่ทำให้ฉันตะลึงจนพูดไม่ออก
ว่าทำไมผู้ลี้ภัยถูกมองว่าเป็นสิ่งสกปรก -
13:27 - 13:28หรือเป็นสิ่งที่อับอาย
-
13:28 - 13:30พวกเขาไม่มีอะไรที่ควรจะละอายเลย
-
13:34 - 13:37พวกเราเฝ้ามองการเจริญเติบโต
ในทุกด้านของชีวิตพวกเรา -
13:37 - 13:38ยกเว้นการเติบโตด้านมนุษยธรรม
-
13:39 - 13:43มี 65.3 ล้านคนโดนบีบบังคับ
ให้ออกจากบ้านเกิด -
13:43 - 13:44เพราะว่าสงคราม
-
13:45 - 13:47นี่เป็นจำนวนที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์
-
13:47 - 13:49พวกเราต่างหากที่ควรจะต้องละอายในตนเอง
-
13:49 - 13:50ขอบคุณค่ะ
-
13:50 - 13:54(เสียงปรบมือ)
- Title:
- อย่าสงสารผู้ลี้ภัย -- จงเชื่อในพวกเขา
- Speaker:
- ลูมา มูเฟลห์
- Description:
-
"พวกเราเห็นการพัฒนาในทุกด้านของชีวิต ยกเว้นด้านมนุษยธรรม" ลูมา มูเฟลห์กล่าว เธอเป็นผู้อพยพชาวจอร์แดนและบรรพบุรุษของเธอเป็นมุสลิมชาวซีเรีย เธอเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนเพื่อผู้ลี้ภัยแห่งแรกในสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน มูเฟลห์แบ่งปันเรื่องราวแห่งความหวัง การปรับตัว และอธิบายว่าเธอได้ช่วยเหลือเด็กๆที่ลี้ภัยมาจากประเทศที่เจอสงครามพรากบ้านเกิดเมืองนอนในการสร้างที่ที่เรียกว่าบ้านหลังใหม่อย่างไร ค้นหาแรงบันดาลใจเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติจากเรื่องราวชีวิตของผู้ลี้ภัยได้ในการพูดที่ทรงพลังนี้
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 14:13
Unnawut Leepaisalsuwanna approved Thai subtitles for Don't feel sorry for refugees -- believe in them | ||
Unnawut Leepaisalsuwanna edited Thai subtitles for Don't feel sorry for refugees -- believe in them | ||
Tanyaluk Trivittayakan accepted Thai subtitles for Don't feel sorry for refugees -- believe in them | ||
Tanyaluk Trivittayakan edited Thai subtitles for Don't feel sorry for refugees -- believe in them | ||
Tanyaluk Trivittayakan edited Thai subtitles for Don't feel sorry for refugees -- believe in them | ||
Kanteera Purivikrai edited Thai subtitles for Don't feel sorry for refugees -- believe in them | ||
Kanteera Purivikrai edited Thai subtitles for Don't feel sorry for refugees -- believe in them |