จานีน ดี จิโอวานนี่ (Janine di Giovanni): สิ่งที่ฉันเห็นในสงคราม
-
0:01 - 0:04นี่คือลักษณะการเกิดสงคราม
-
0:04 - 0:07วันหนึ่ง คุณใช้ชีวิตตามปรกติ
-
0:07 - 0:09วางแผนจะไปปาร์ตี้
-
0:09 - 0:12ส่งลูกไปโรงเรียน
-
0:12 - 0:14นัดหมอฟัน
-
0:14 - 0:18รู้ตัวอีกที โทรศัพท์ก็ถูกตัด
-
0:18 - 0:22ทีวีงดออกอากาศ มีคนถืออาวุธอยู่ตามถนน
-
0:22 - 0:24มีเครื่องกีดขวางบนถนน
-
0:24 - 0:29ชีวิตที่คุณรู้จัก เหมือนถูกกดปุ่มพอส
-
0:29 - 0:31มันหยุด
-
0:31 - 0:34ฉันจะยืมเรื่องจากเพื่อนคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังค่ะ
-
0:34 - 0:36เพื่อนชาวบอสเนียของฉัน และเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ
-
0:36 - 0:41เพราะมันจะทำให้คุณรู้ชัดว่า ความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร
-
0:41 - 0:45วันหนึ่งในเดือนเมษายน ปี 1992 เธอกำลังเดินไปทำงาน
-
0:45 - 0:48ใส่กระโปรงสั้น รองเท่้าส้นสูง เธอเป็นพนักงานธนาคาร
-
0:48 - 0:52เธอเป็นคุณแม่ยังสาว แล้วก็เป็นคนชอบเฮฮาปาร์ตี้
-
0:52 - 0:53เธอเป็นคนน่ารัก
-
0:53 - 0:57ทันใดนั้นเธอก็เห็นรถถัง
-
0:57 - 1:00กำลังเคลื่อนมาบนถนนเส้นหลักของกรุงซาราเยโว
-
1:00 - 1:04ชนทุกอย่างที่ขวางทางมัน
-
1:04 - 1:08เธอคิดว่าเธอฝันไป แต่ไม่ใช่เลย
-
1:08 - 1:10เธอวิ่ง แบบเดียวกับที่เราทุกคนคงจะทำ
-
1:10 - 1:14เธอหลบหลังถังขยะ
-
1:14 - 1:17ทั้งรองเท้าส้นสูงกับกระโปรงสั้น
-
1:17 - 1:21ในขณะที่เธอหลบอยู่นั้น เธอรู้สึกว่ามันช่างไร้สาระ
-
1:21 - 1:24แต่เธอก็มองเห็นรถถังวิ่งผ่านไปพร้อมทหาร
-
1:24 - 1:26มีคนเต็มไปหมด แล้วทุกอย่างก็วุ่นวาย
-
1:26 - 1:31เธอคิดว่า "เหมือนเป็นอลิซในแดนมหัศจรรย์เลยเรา"
-
1:31 - 1:33ไถลลงไปในโพรงกระต่าย
-
1:33 - 1:36ลงไป ลงไป พบกับความวุ่นวาย
-
1:36 - 1:42แล้วชีวิตของฉันก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
-
1:42 - 1:45อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพื่อนของฉันคนนี้อยู่ในฝูงชนกลุ่มใหญ่
-
1:45 - 1:50ที่กำลังผลักกัน
โดยมีลูกชายของเธอที่ยังเป็นทารกอยู่ในอ้อมแขน -
1:50 - 1:53เพื่อยี่นเขาให้กับคนแปลกหน้่าบนรถ
-
1:53 - 1:56รถคันท้ายๆ ที่ออกจากซาราเยโว
-
1:56 - 1:59เพื่อพาเด็กๆ ออกไป เพื่อที่พวกเขาจะได้ปลอดภัย
-
1:59 - 2:03ในขณะที่เธอกำลังพยายาม โดยมีแม่ของเธออยู่ข้างหน้า
-
2:03 - 2:07ท่ามกลางฝูงชน "เอาลูกฉันไป เอาลูกฉันไป"
-
2:07 - 2:13แล้วเธอก็ส่งลูกชายของเธอให้กับใครคนนึงผ่านทางหน้าต่าง
-
2:13 - 2:16แล้วก็ไม่ได้พบลูกชายของเธออีกหลายปี
-
2:16 - 2:19การโจมตีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสามปีครึ่ง
-
2:19 - 2:22เป็นสามปีครึ่งที่ไม่มีน้ำ
-
2:22 - 2:27ไม่มีกระแสไฟฟ้า ไม่มีเครื่องทำความร้อน ไม่มีอาหาร
-
2:27 - 2:32กลางทวีปยุโรป ในศตวรรษที่ 20
-
2:32 - 2:36ฉันได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในกลุ่มนักข่าว
-
2:36 - 2:38ที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ถูกโจมตีนั้น
-
2:38 - 2:41ฉันรู้สึกว่าเป็นเกียรติ และเป็นความโชคดีที่ได้อยู่ที่นั่น
-
2:41 - 2:44เพราะมันสอนฉันทุกเรื่อง
-
2:44 - 2:48ไม่ใช่แค่การเป็นนักข่าว แต่มันสอนการเป็นมนุษย์
-
2:48 - 2:50ฉันได้รู้จัก การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
-
2:50 - 2:54ได้เรียนรู้ว่า คนธรรมดาก็สามารถเป็นวีรบุรุษได้
-
2:54 - 2:58ได้รู้จัก การแบ่งปัน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
-
2:58 - 3:01และที่สำคัญที่สุด ฉันได้เห็น ความรัก
-
3:01 - 3:07ภายในท่ามกลางการทำลายล้าง ความตาย และความวุ่นวาย
-
3:07 - 3:10ฉันได้เห็น คนธรรมดาก็สามารถช่วยเพื่อนบ้านของเขาได้
-
3:10 - 3:12แบ่งอาหารกัน ช่วยกันเลี้ยงดูเด็กๆ
-
3:12 - 3:16ช่วยลากคนที่ถูกยิงออกมาจากถนน
-
3:16 - 3:18ถึงแม้ว่าจะต้องเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงก็ตาม
-
3:18 - 3:22ช่วยพาคนเจ็บขึ้นแท๊กซี่
-
3:22 - 3:24ช่วยพาคนไปส่งโรงพยาบาล
-
3:24 - 3:27ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวฉันเองมากมาย
-
3:27 - 3:31มาร์ธา เกลฮอร์น ฮีโร่คนนึงของฉันเคยพูดว่า
-
3:31 - 3:36"คุณรักสงครามได้แค่หนเดียวเท่านั้น
ครั้งต่อๆไปเป็นเพียงความรับผิดชอบ" -
3:36 - 3:39แล้วฉันก็ได้ทำข่าวสงครามอีกมากมายหลายๆแห่งหลังจากนั้น
-
3:39 - 3:42มากจนกระทั่งฉันนับไม่ไหว
-
3:42 - 3:45แต่ก็ไม่มีที่ไหนเหมือนที่ ซาราเยโว
-
3:45 - 3:49เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ฉันกลับไปร่วม
-
3:49 - 3:53งานเลี้ยงรุ่นแบบประหลาดๆ ฉันเรียกมันว่างั้นนะ
-
3:53 - 3:57มันเป็นวันครบรอบ 20 ปีของการโจมตี
-
3:57 - 4:00วันที่เริ่มการโจมตี ซาราเยโว
-
4:00 - 4:04ฉันไม่ค่อยชอบคำว่า "ครบรอบ" เท่าไหร่
เพราะมันให้ความรู้สึกของการเฉลิมฉลอง -
4:04 - 4:05งานนี้ไม่ใช่งานฉลอง
-
4:05 - 4:09มันเป็นการรวมตัวกันของนักข่าวที่โศกเศร้า
-
4:09 - 4:13รวมทั้งคนที่ทำงานที่นั่นในช่วงสงคราม ทั้งนักมนุษยชน
-
4:13 - 4:17และแน่นอน รวมทั้งผู้คนที่กล้าหาญทั้งหลายที่ซาราเยโว
-
4:17 - 4:20สิ่งที่ติดตาฉันมากที่สุด
-
4:20 - 4:21และทำให้ฉันสะเทือนใจมาก
-
4:21 - 4:24คือตอนที่ฉันกำลังเดินไปบนถนนสายหลักของเมือง ซาราเยโว
-
4:24 - 4:28ที่เดียวกันกับที่ ไอด้า เพื่อนของฉัน
เห็นรถถังวิ่งมา เมื่อ 20 ปีที่แล้ว -
4:28 - 4:34บนถนนเส้นนั้น มีเก้าอี้สีแดง ตั้งอยู่มากกว่า 12,000 ตัว
-
4:34 - 4:36เก้าอี้เหล่านั้นว่างเปล่า
-
4:36 - 4:38เก้าอี้แต่ละตัว เป็นสัญลักษณ์
-
4:38 - 4:42แทนผู้คนที่เสียชีวิตในระหว่างการโจมตี
-
4:42 - 4:46เฉพาะคนในซาราเยโว ไม่นับรวมทั้งประเทศบอสเนีย
-
4:46 - 4:49แถวเก้าอี้นั้นยาวจากฝากหนึ่งของเมือง
-
4:49 - 4:51และยาวครอบครุมส่วนใหญ่ของเมือง
-
4:51 - 4:55สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับฉันก็คือ เก้าอี้ตัวเล็กๆ
-
4:55 - 4:57ที่แทนเด็กๆ ที่เสียชีวิต
-
4:57 - 5:01ตอนนี้ฉันกำลังทำข่าวซีเรีย
-
5:01 - 5:04และฉันเริ่มรายงานข่าว เพราะฉันเชื่อว่า
-
5:04 - 5:06มันจำเป็นต้องมีใครซักคนทำเรื่องนี้
-
5:06 - 5:09ฉันเชื่อว่าเรื่องราวเหล่านี้ต้องถูกบอกต่อ
-
5:09 - 5:13ฉันได้เห็น
ภาพลักษณะเดียวกันกับสงครามในบอสเนียอีกครั้ง -
5:13 - 5:15ในตอนแรกที่ฉันไปถึงดามัสกัส
-
5:15 - 5:18ฉันเห็น ช่วงเวลาแปลกประหลาด
-
5:18 - 5:21ที่ผู้คนไม่อยากเชื่อว่าสงครามจะเกิด
-
5:21 - 5:23เหมือนกันกับในบอสเนีย
-
5:23 - 5:26และในทุกๆประเทศที่ฉันได้เห็นสงคราม
-
5:26 - 5:28ผู้คนไม่อยากจะเชื่อว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น
-
5:28 - 5:32ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อพยพ ไม่อพยพออกมาในตอนที่ยังทำได้
-
5:32 - 5:34พวกเขาไม่ได้ถอนเงินออกมา
-
5:34 - 5:37พวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาอยากอยู่บ้าน
-
5:37 - 5:42แล้วสงคราม และความวุ่นวายก็เกิดขึ้น
-
5:42 - 5:45รวันดา เป็นที่ ที่หลอกหลอนความรู้สึกฉันมากที่สุด
-
5:45 - 5:51ในปี 1994 ฉันเดินทางออกจากซาราเยโวช่วงนึง
เพื่อรายงานข่าวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา -
5:51 - 5:56ในระหว่างเดือนเมษายน ถึงสิงหาคม 1994
-
5:56 - 6:01คนหนึ่งล้านคนถูกฆ่าสังหาร
-
6:01 - 6:06ถ้าเก้าอี้ 12,000 ตัวเมื่อสักครู่ที่ให้ฉันตกใจ
-
6:06 - 6:08แต่มันเทียบกันไม่ได้เลยกับตัวเลขมหาศาลอย่างนั้น
-
6:08 - 6:11ฉันอยากให้คุณลองนึกถึง คนหนึ่งล้านคน
-
6:11 - 6:14เพื่อเป็นตัวอย่างของภาพเหล่านั้น ฉันจำได้ว่า
-
6:14 - 6:19ฉันกำลังยืนอยู่บนถนนแล้วมองไปตามถนนจนสุดสายตา
-
6:19 - 6:25น่าจะเป็นระยะประมาณหนึ่งไมล์ ตลอดทางมีแต่กองศพ
สูงเป็นสองเท่าของตัวฉัน -
6:25 - 6:27ร่างของผู้เสียชีวิตที่ฉันเห็นนั้น
-
6:27 - 6:30เป็นแค่จำนวนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด
-
6:30 - 6:32ในจำนวนนั้นยังมีแม่ที่ยังกอดลูกอยู่
-
6:32 - 6:36แม่และลูกที่ถูกฆ่าตาย
-
6:36 - 6:39สรุปได้ว่า เราได้เรียนรู้อะไรมากมายจากสงคราม
-
6:39 - 6:41และที่ฉันพูดถึง รวันดา
-
6:41 - 6:45เพราะมันเป็นสถานที่หนึ่ง เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆในแอฟริกาใต้
-
6:45 - 6:49ที่ภายในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมานี้ กำลังได้รับการเยียวยา
-
6:49 - 6:5356% ของสมาชิกสภาผู้แทนในประเทศนี้ เป็นผู้หญิง
-
6:53 - 6:55ซึ่งมันยอดเยี่ยมมาก
-
6:55 - 6:59และยังมีสมาชิกผู้หญิง อยู่ในสภาร่างรัฐธรรมนูญอีกด้วย
-
6:59 - 7:02ที่นั่นคุณห้ามพูดคำว่า ฮูตู หรือ ทุตซี่
-
7:02 - 7:06คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกใครตามเผ่าพันธุ์ของเขา
-
7:06 - 7:11ซึ่ง การแบ่งเผ่านี่เอง ที่ทำให้เกิดการฆ่าล้างกันในครั้งนั้น
-
7:11 - 7:14เพื่อนของฉันที่เป็นนักสิทธิมนุษยชน
เล่าเรื่องที่สวยงามที่สุดเรื่องหนึ่งให้ฉันฟัง -
7:14 - 7:15ฉันคิดว่ามันสวยงาม
-
7:15 - 7:20มันเกี่ยวกับเด็กกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีทั้งเผ่าฮูตู และทุตซี่ผสมกัน
-
7:20 - 7:23และผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องการรับเลี้ยงดูเด็กๆเหล่านั้น
-
7:23 - 7:27พวกเขาเข้าแถวสองแถว
แล้วเด็กแต่ละคนก็ถูกส่งให้กับผู้หญิงแต่ละคน -
7:27 - 7:30โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติใดๆ ว่าเธอเป็นเผ่าทุตซี่
-
7:30 - 7:33หรือ ฮูตู เธออาจจะเคยฆ่าแม่ฉัน
-
7:33 - 7:35หรืออาจจะฆ่าพ่อของฉันด้วย
-
7:35 - 7:40พวกเขาเพียงแค่ถูกนำมาพบกัน ภายใต้ลักษณะการปรองดองดังกล่าว
-
7:40 - 7:44ฉันคิดว่ามันยอดเยี่ยมมาก
-
7:44 - 7:47เวลาที่คนถามฉันว่า ทำไมยังคงทำข่าวสงคราม
-
7:47 - 7:49ทำไมยังเป็นผู้สื่อข่าวอยู่
-
7:49 - 7:50นี่คือสาเหตุว่าทำไม
-
7:50 - 7:54เวลาที่ฉันกลับไปที่ซีเรีย อาทิตย์หน้าก็จะไปอีก
-
7:54 - 7:58ฉันได้เห็นผู้คนที่มีความเป็นวีรบุรุษ
-
7:58 - 8:00หลายคนกำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
-
8:00 - 8:04ต่อสู้เพื่อสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา
-
8:04 - 8:07นี่คือสาเหตุว่าทำไมฉันยังทำงานนี้อยู่
-
8:07 - 8:12ในปี 2004 ฉันมีลูกชาย
-
8:12 - 8:15ฉันเรียกเขาว่า เด็กชายปาฏิหารย์
-
8:15 - 8:18เพราะหลังจากที่ฉันได้เห็นคนตายมากมาย
-
8:18 - 8:22ได้เห็นการทำลายล้าง ได้เห็นความวุ่นวาย
และความมืดมนในชีวิต -
8:22 - 8:26แสงแห่งความหวังคนนี้ก็บังเกิด
-
8:26 - 8:30ฉันเรียกเขาว่า "ลูก้า"
ซึ่งแปลว่า "ผู้นำแสงสว่าง" -
8:30 - 8:35เพราะเขานำแสงสว่างมาสู่ชีวิตฉันจริงๆ
-
8:35 - 8:39ที่ฉันพูดถึงเขา ก็เพราะว่าตอนเขาอายุสี่เดือน
-
8:39 - 8:43บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ บอกให้ฉันกลับไปที่แบกแดด
-
8:43 - 8:47ที่ซึ่งฉันเคยทำข่าวมาตลอดช่วงการปกครองของซัดดัม
-
8:47 - 8:49และเคยทำข่าวในช่วงหลังจากแบกแดดแตก และช่วงหลังจากนั้น
-
8:49 - 8:53ฉันจำได้ว่า ฉันเดินขึ้นเครื่องบินทั้งน้ำตา
-
8:53 - 8:55ร้องไห้ เพราะว่าต้่องพรากจากลูกชาย
-
8:55 - 8:58ในขณะที่ฉันอยู่ที่แบกแดด
-
8:58 - 9:00นักการเมืองชาวอิรักที่มีชื่อเสียงท่านนึง ซึ่งเป็นเพื่อนของฉัน
-
9:00 - 9:03พูดกับฉันว่า "คุณมาทำอะไรที่นี่"
-
9:03 - 9:05"ทำไมคุณไม่อยู่บ้านกับ ลูก้า"
-
9:05 - 9:09แล้วฉันก็ตอบว่า "ก็ ฉันต้่องมาเห็นสิ่งเหล่านี้"
ตอนนั้นเป็นปี 2004 -
9:09 - 9:13ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น ของช่วงเวลานองเลือดในอิรัก
-
9:13 - 9:16"ฉันต้องมาเห็น ฉันต้องได้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่
-
9:16 - 9:17แล้วก็รายงานมัน"
-
9:17 - 9:21เขาตอบว่า "กลับบ้านเถอะ
-
9:21 - 9:24เพราะถ้าคุณพลาดฟันซี่แรกของเขา
-
9:24 - 9:27การเดินก้าวแรกของเขา คุณจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย
-
9:27 - 9:31แต่สงครามน่ะ จะยังคงเกิดขึ้นอีกเสมอ"
-
9:31 - 9:35และเป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่ สงครามจะยังคงเกิดขึ้นเสมอ
-
9:35 - 9:39ฉันคงจะหลอกตัวเองมากไป ถ้าคิดว่า ในฐานะนักข่าว
-
9:39 - 9:41ในการเป็นผู้ประกาศข่าว เป็นนักเขียน
-
9:41 - 9:46สิ่งที่ฉันทำนั้นสามารถหยุดสงครามได้ ฉันไม่สามารถทำได้
-
9:46 - 9:48ฉันไม่ใช่ โคฟี่ อันนัน และเขาเองก็ไม่สามารถหยุดสงครามได้
-
9:48 - 9:51เขาพยายามเจรจาก่อนการเกิดสงครามในซีเรีย
แต่เขาทำไม่สำเร็จ -
9:51 - 9:55ฉันไม่ใช่นักประนีประนอมความขัดแย้ง
ขององค์การสหประชาชาติ -
9:55 - 9:57ฉันไม่ได้เป็นแม้แต่หมออาสาสมัตร
-
9:57 - 10:00และฉันบอกไม่ถูกเลยว่า ฉันรู้สึกสิ้นหวังแค่ไหน
-
10:00 - 10:03เวลาที่มีคนตายต่อหน้าฉัน ฉันช่วยพวกเขาไม่ได้
-
10:03 - 10:07ฉันเป็นได้แค่ พยาน
-
10:07 - 10:12บทบาทของฉันคือการเป็นสื่อกลาง
ให้กับผู้คนที่ไม่มีสิทธิไม่มีเสียง -
10:12 - 10:16เพื่อนร่วมงานของฉันเคยอธิบายว่า
มันคือการส่องแสงสว่าง -
10:16 - 10:18ไปยังมุมที่มืดมิดที่สุดบนโลกใบนี้
-
10:18 - 10:21และนั่นคือสิ่งที่ฉันพยายามจะทำ
-
10:21 - 10:24ฉันไม่ได้ประสบความสำเร็จตลอดเวลา
-
10:24 - 10:27และบางครั้งมันก็น่าหงุดหงิดใจ
-
10:27 - 10:29เพราะคุณรู้สึกว่ากำลังเขียนอยู่ในความว่างเปล่า
-
10:29 - 10:31เหมือนไม่มีใครสนใจ
-
10:31 - 10:33ใครจะสนใจเรื่องซีเรีย ใครจะต้องสนใจเรื่องบอสเนีย
-
10:33 - 10:35ใครสนเรื่อง คองโก
-
10:35 - 10:38ไอวอรี่ โคส ไลบีเรีย เซียร่าลีโอน
-
10:38 - 10:40แต่ละส่วนของพื้นที่เล็กๆ เหล่านั้น
-
10:40 - 10:44ที่ฉันจะจดจำมันไปตลอดชีวิตทีเดียว
-
10:44 - 10:47แต่ การอุทิศตนของฉันก็คือ การเป็นพยาน
-
10:47 - 10:50มันเป็นหัวใจ เป็นสาระสำคัญ
-
10:50 - 10:53สำหรับนักข่าวอย่างเรา ที่ทำเรื่องราวเหล่านี้
-
10:53 - 10:56สิ่งที่ฉันทำได้ก็แค่หวัง
-
10:56 - 10:59ไม่ใช่หวังที่มีต่อ นักวางนโยบาย หรือ นักการเมือง
-
10:59 - 11:01เพราะทั้งๆที่ฉันอยากจะเชื่อ
-
11:01 - 11:04ว่าพวกเขาคงจะได้อ่านงานของฉันแล้วทำอะไรซักอย่าง
-
11:04 - 11:07ฉันก็ไม่หลอกตัวเองอย่างนั้น
-
11:07 - 11:11แต่สิ่งที่ฉันหวังก็คือ แค่พวกคุณจำเรื่องที่ฉันพูดได้
-
11:11 - 11:15จำส่วนไหนก็ตามของเรื่องที่ฉันเล่า
แล้วพรุ่งนี้ ตอนทานข้าวเช้า -
11:15 - 11:17ถ้าคุณจำเรื่องราวของ ซาราเยโว
-
11:17 - 11:21เรื่องราวที่รวันดาได้
-
11:21 - 11:23ถ้าเป็นเช่นนั้น งานของฉันก็สำเร็จแล้ว
-
11:23 - 11:25ขอบคุณมากค่ะ
-
11:25 - 11:33(เสียงปรบมือ)
- Title:
- จานีน ดี จิโอวานนี่ (Janine di Giovanni): สิ่งที่ฉันเห็นในสงคราม
- Speaker:
- Janine di Giovanni
- Description:
-
นักข่าว จานีน ดิ จิโอวานนี่ ได้ไปในสถานที่เลวร้ายที่สุดบนโลก เพื่อนำข่าวกลับมารายงาน ทั้งจากบอสเนีย เซียร่าลีโอน และเมื่อเร็วๆนี้ในซีเรีย เธอเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาของผู้คนที่อยู่ภายใต้ความขัดแย้งเหล่านี้ และ เปิดเผยความน่าพรั่นพรึงของช่วงเวลาที่ถนนในเมืองที่เราคุ้นเคย กลายเป็นสมรภูมิรบ
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 11:53
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What I saw in the war | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What I saw in the war | ||
Unnawut Leepaisalsuwanna approved Thai subtitles for What I saw in the war | ||
Unnawut Leepaisalsuwanna commented on Thai subtitles for What I saw in the war | ||
Unnawut Leepaisalsuwanna edited Thai subtitles for What I saw in the war | ||
Unnawut Leepaisalsuwanna edited Thai subtitles for What I saw in the war | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut accepted Thai subtitles for What I saw in the war | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut commented on Thai subtitles for What I saw in the war |