เราเห็นความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นหรือเปล่า
-
0:01 - 0:03ผมชอบปริศนาอันยิ่งใหญ่
-
0:03 - 0:07และผมตื่นเต้นกับปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ที่ยังไม่เปิดเผยในวงการวิทยาศาสตร์ -
0:07 - 0:09บางที อาจเป็นเพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว
-
0:10 - 0:12มันเกี่ยวกับว่า เรานั้นเป็นใคร
-
0:12 - 0:14และผมก็ฉงนสงสัย
-
0:14 - 0:16ปริศนาก็คือ
-
0:16 - 0:20อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างสมองของคุณ
-
0:20 - 0:21และประสบการณ์ใต้จิตสำนึกของคุณ
-
0:21 - 0:24เช่น ประสบการณ์ที่ได้ลิ้มลองช็อกโกแลต
-
0:24 - 0:26หรือสัมผัสที่มีต่อผ้ากำมะหยี่
-
0:27 - 0:29เอาล่ะ ปริศนานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย
-
0:29 - 0:33ในปีค.ศ. 1868 โทมัส ฮักซ์ลี เขียนว่า
-
0:33 - 0:38"เราไม่สามารถอธิบายได้เลยว่า
สิ่งที่น่าทึ่งอย่างสภาวะมีสติ -
0:38 - 0:41ที่เป็นผลจากการกวนเนื้อเยื่อประสาทนั้น
-
0:41 - 0:43เกิดขึ้นได้อย่างไร
-
0:43 - 0:47มันอย่างกับว่า เกิดการปรากฏตัวขึ้นของยักษ์
เมื่ออะลาดินถูกตะเกียง" -
0:49 - 0:52ครับ ฮักซ์ลี รู้ว่ากิจกรรมของสมอง
-
0:52 - 0:55กับประสบการณ์ใต้จิตสำนึกนั้นเกี่ยวข้องกัน
-
0:55 - 0:57แต่เขาไม่รู้ว่าทำไม
-
0:57 - 1:00ด้วยวิทยาศาสตร์ในยุคของเขา
มันยังเป็นปริศนา -
1:00 - 1:02หลายปีหลังจากสมัยของฮักซ์ลี
-
1:02 - 1:06วิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้มากมาย
เกี่ยวกับกิจกรรมของสมอง -
1:06 - 1:08แต่ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมของสมอง
-
1:08 - 1:11กับประสบการณ์ใต้จิตสำนึกยังคงเป็นปริศนา
-
1:11 - 1:15ทำไมล่ะ ทำไมเรื่องนี้ไม่คืบหน้าสักเท่าไรเลย
-
1:15 - 1:19ครับ ผู้เชี่ยวชาญบางท่านคิดว่า
เราไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ -
1:19 - 1:23เพราะว่าเราขาดแนวคิดที่จำเป็น
และความเฉลียวฉลาด -
1:24 - 1:28เราคงไม่คาดหวังให้ลิงแก้ปัญหา
ที่เกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม -
1:28 - 1:32และอย่างที่เห็น เราไม่ได้คาดหวังว่า
พวกเราจะแก้ปัญหานี้ได้เช่นกัน -
1:33 - 1:36แต่ว่านะ ผมไม่เห็นด้วยหรอก
ผมมองโลกในแง่ดีกว่า -
1:36 - 1:39ผมคิดว่า พวกเราได้ตั้งสมมุติฐานที่ผิด
-
1:39 - 1:42เมื่อเราแก้ไขสิ่งนี้แล้ว เราก็น่าจะแก้ปัญหาได้
-
1:42 - 1:45วันนี้ ผมอยากจะบอกพวกคุณ
ว่าสมมุติฐานที่ว่าคืออะไร -
1:45 - 1:47ทำไมมันถึงผิด และเราจะแก้ไขมันได้อย่างไร
-
1:48 - 1:50มาเริ่มกันด้วยคำถามที่ว่า
-
1:50 - 1:53คุณเห็นความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นหรือเปล่า
-
1:53 - 1:55ผมลืมตา
-
1:55 - 1:59และผมมีประสบการณ์ว่าผมอธิบาย
ถึงมะเขือเทศแดงที่ห่างออกไปหนึ่งเมตร -
2:01 - 2:04ผลก็คือ ผมเชื่อว่านั่นเป็นความเป็นจริง
-
2:04 - 2:06มีมะเขือเทศสีแดงอยู่ห่างออกไปหนึ่งเมตร
-
2:07 - 2:12จากนั้นผมหลับตา และประสบการณ์ของผม
ก็เปลี่ยนไปเป็นสีเทา -
2:12 - 2:18แต่มันยังเป็นจริงอยู่หรือไม่ในความเป็นจริง
ที่มะเขือเทศสีแดงอยู่ห่างไปหนึ่งเมตร -
2:18 - 2:22ผมคิดว่าใช่นะครับ
แต่มันจะผิดแผกเป็นอย่างอื่นได้ไหม -
2:22 - 2:27ผมเข้าใจธรรมชาติของการตระหนักรู้ของผม
ผิดไปหรือเปล่า -
2:27 - 2:31เราเคยตีความการตระหนักรู้ของเรา
ผิดพลาดมาก่อน -
2:31 - 2:34เราเคยคิดว่าโลกแบน
เพราะดูแล้วมันเป็นแบบนั้น -
2:35 - 2:38ปีทากอรัสค้นพบว่าเราคิดผิด
-
2:38 - 2:42จากนั้น เราคิดว่าโลกอยู่นิ่ง ๆ
เป็นศูนย์กลางจักรวาล -
2:42 - 2:44ก็เพราะว่ามันดูเหมือนว่าเป็นอย่างนั้น
-
2:44 - 2:49โคเปอร์นิคัส และกาลิเลโอ ค้นพบว่า
เราคิดผิดอีกแล้ว -
2:49 - 2:53กาลิเลโอสงสัยว่า
เราตีความประสบการณ์ของเราผิดแผก -
2:53 - 2:55ไปเป็นอื่นหรือเปล่า
-
2:55 - 3:00เขาเขียนว่า "ผมคิดว่ารส กลิ่น สี และอื่น ๆ
-
3:00 - 3:02อยู่ในจิตสำนึกของเราเอง
-
3:02 - 3:08ฉะนั้น ถ้าไม่มีสิ่งมีชีวิต
คุณสมบัติทั้งหมดนี้ก็จะมลายไปด้วย" -
3:09 - 3:11เอาล่ะ นั่นเป็นการกล่าวอ้างที่น่าทึ่ง
-
3:11 - 3:13กาลิเลโอพูดถูกหรือเปล่า
-
3:13 - 3:18เราตีความประสบการณ์ของเราได้แย่จริง ๆ หรือ
-
3:18 - 3:20วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ว่าอย่างไรกับสิ่งนี้
-
3:21 - 3:26เอาล่ะ นักประสาทวิทยาบอกเราว่า
ประมาณหนึ่งในสามของสมองส่วนคอร์เท็กซ์ -
3:26 - 3:28มีส่วนเกี่ยวข้องกับการมอง
-
3:28 - 3:31เมื่อคุณลืมตาและมองไปรอบ ๆ ห้อง
-
3:31 - 3:36เซลล์ประสาทเป็นพันล้านเซลล์
กับไซแนปส์เป็นล้านล้านเข้าทำงานร่วมกัน -
3:36 - 3:37ครับ นี่มันน่าประหลาดใจสักหน่อย
-
3:37 - 3:40เพราะว่าถ้าเราจะพิจารณา
ในแง่มุมหนึ่งของการมองเห็น -
3:40 - 3:43เราก็จะคิดว่ามันเหมือนกับกล้องถ่ายรูป
-
3:43 - 3:47มันแค่ถ่ายภาพสิ่งของอย่างที่มันเป็นจริง ๆ
-
3:47 - 3:50มันมีส่วนการมองเห็น ซึ่งเหมือนกับ
กล้องถ่ายรูป -
3:50 - 3:55ตามีเลนส์ที่โฟกัสภาพไปทางด้านหลังของตา
-
3:55 - 3:58ที่ซึ่งมีตัวรับแสง 130 ล้านตัว
-
3:58 - 4:02ฉะนั้นตาของเราเหมือนกล้อง 130 เมกะพิกเซล
-
4:02 - 4:06แต่นั่นไม่ได้อธิบายถึงเซลล์ประสาทพันล้านเซลล์
-
4:06 - 4:09และไซเนปส์เป็นล้านล้าน
ที่ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็น -
4:09 - 4:12เซลล์ประสาทพวกนี้ทำอะไรกัน
-
4:12 - 4:16ครับ นักประสาทวิทยาบอกพวกเราว่า
พวกมันสร้าง -
4:16 - 4:20รูปร่าง สิ่งของ สี และการเคลื่อนไหว
ตามเวลาจริงที่เรามองเห็น -
4:20 - 4:24มันเหมือนกับว่า เราแค่ถ่ายภาพนิ่ง
ของห้องนี้ในแบบที่มันเป็น -
4:24 - 4:27แต่อันที่จริง เราสร้างภาพทุกสิ่งที่เราเห็น
-
4:27 - 4:30เราไม่ได้สร้างภาพโลกทั้งใบขึ้นมาในทีเดียว
-
4:30 - 4:33เราสร้างภาพสิ่งที่เราต้องการในวินาทีนั้น ๆ
-
4:34 - 4:37ครับ มีการสาธิตมากมายที่ค่อนข้างน่าสนใจ
-
4:37 - 4:39ว่าเราสร้างภาพสิ่งที่เรามองเห็น
-
4:39 - 4:41ผมจะลองให้ชมสองตัวอย่างนะครับ
-
4:41 - 4:47ในตัวอย่างนี้ คุณเห็นแผ่นกลมสีแดง
ที่มีรอยแหว่งไปนิดหน่อย -
4:47 - 4:49แต่ถ้าผมหมุนมันสักนิดนึง
-
4:49 - 4:54คุณก็จะเห็นลูกบากศ์สามมิติ ปรากฏขึ้นบนจอ
-
4:54 - 4:57แน่ล่ะ จอมันแบน
-
4:57 - 5:00ฉะนั้นลูกบากศ์สามมิติที่คุณได้เห็น
-
5:00 - 5:03จะต้องเป็นการสร้างภาพของคุณ
-
5:03 - 5:05ในตัวอย่างต่อไป
-
5:05 - 5:10คุณเห็นแท่งเรืองแสงสีฟ้า
ที่มีขอบขัดเจนเคลื่อนที่ไปช้า ๆ -
5:10 - 5:13เคลื่อนผ่านกลุ่มจุดหลายจุด
-
5:14 - 5:17อันที่จริง ไม่มีจุดใดเลยที่เคลื่อนที่
-
5:17 - 5:21จากฉากหนึ่งไปอีกฉากหนึ่ง
ผมแค่เปลี่ยนสีของจุด -
5:21 - 5:24จากสีน้ำเงินเป็นดำ และดำเป็นน้ำเงิน
-
5:24 - 5:26แต่เมื่อคุณทำมันเร็ว ๆ
-
5:26 - 5:29ระบบการมองเห็นของคุณจะสร้างภาพ
แท่งสีฟ้าเรืองแสง -
5:29 - 5:32ที่มีขอบชัดเจน และมีการเคลื่อนไหว
-
5:32 - 5:35มันยังมีตัวอย่างอื่นอีกมาก
แต่มีแค่สองตัวอย่างนี้ -
5:35 - 5:38ที่คุณสร้างภาพขึ้นมาเมื่อคุณมอง
-
5:38 - 5:40แต่นักประสาทวิทยาไปไกลกว่านั้น
-
5:41 - 5:46พวกเขาบอกว่า เราสร้างความเป็นจริงขึ้นใหม่
-
5:46 - 5:51ฉะนั้น เมื่อผมมีประสบการณ์
ที่อธิบายได้ว่าเป็นมะเขือเทศสีแดง -
5:51 - 5:55ที่จริงแล้วประสบการณ์นั้น
เป็นการสร้างขึ้นใหม่ที่แม่นยำ -
5:55 - 5:57จากคุณสมบัติที่เป็นของมะเขือเทศสีแดงจริง ๆ
-
5:57 - 6:00ที่ควรจะเป็น แม้ว่าผมจะไม่ได้มองมันก็ตาม
-
6:02 - 6:05เอาล่ะ ทำไมนักประสาทวิทยาถึงบอกว่า
เราไม่ได้แค่สร้างภาพ -
6:05 - 6:07แต่เราสร้างภาพขึ้นใหม่
-
6:07 - 6:09ครับ ข้อโต้แย้งพื้นฐานที่มีอยู่
-
6:09 - 6:12ก็มักจะเป็นเรื่องของวิวัฒนาการ
-
6:13 - 6:15บรรพบุรุษของพวกเราที่เห็นได้ชัดเจนกว่า
-
6:15 - 6:20มีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับพวกที่เห็นได้แย่กว่า
-
6:20 - 6:23และดังนั้น พวกเขาก็มักจะส่งต่อยีนส์พวกนั้น
-
6:23 - 6:26เราเป็นลูกหลานของพวกที่มองเห็นได้ดีกว่า
-
6:26 - 6:29และดังนั้น เราจึงมั่นใจในกรณีปกติ
-
6:29 - 6:32การตระหนักรู้ของเรามีความแม่นยำ
-
6:32 - 6:35คุณเห็นสิ่งนี้ในหนังสือตำราพื้นฐาน
-
6:35 - 6:37หนังสือเล่มหนึ่งอ้างไว้ว่า ยกตัวอย่างเช่น
-
6:37 - 6:39"เมื่อพูดในเชิงวิวัฒนาการ
-
6:39 - 6:43การมองเห็นมีประโยชน์อย่างแน่นอน
เพราะว่ามันแม่นยำจริง ๆ " -
6:43 - 6:48ฉะนั้น แนวคิดก็คือว่าการมองเห็นที่แม่นยำ
เป็นการตระหนักรู้ที่เหมาะสมกว่า -
6:48 - 6:50พวกมันทำให้คุณมีข้อได้เปรียบในการอยู่รอด
-
6:50 - 6:52แล้วมันถูกต้องหรือไม่
-
6:52 - 6:55นี่เป็นการตีความที่ถูกแล้วหรือ
สำหรับทฤษฎีวิวัฒนาการ -
6:55 - 6:58เอาล่ะ ลองมาดูสองสามตัวอย่างในธรรมชาติ
-
6:59 - 7:01ออสเตเรียน จีวัล บีทเทิล
(Australian jewel beetle) -
7:01 - 7:04มีร่องบุ๋ม เป็นเงามัน และสีน้ำตาล
-
7:04 - 7:07ตัวเมียบินไม่ได้
-
7:07 - 7:11แมลงตัวผู้ กำลังมองหาตัวเมียสวย ๆ
-
7:11 - 7:15เมื่อมันพบแล้ว มันก็จะเข้าคู่ และผสมพันธุ์
-
7:15 - 7:17ยังมีอีกสปีชีส์หนึ่งในชุมชนห่างไกลนั้น
-
7:17 - 7:18โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens)
-
7:18 - 7:22ตัวผู้ของสปีชีส์นี้มีสมองขนาดใหญ่
-
7:22 - 7:25ที่เอาไว้ใช้สำหรับล่าหาเบียร์เย็น ๆ
-
7:26 - 7:27(เสียงหัวเราะ)
-
7:27 - 7:30และเมื่อเขาพบเข้าแล้ว เขาก็จะดื่มมัน
-
7:30 - 7:33และบางทีก็จะขว้างขวดทิ้งไปในชุมชนนั้น
-
7:33 - 7:37ทีนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้
ขวดที่มีร่อง เป็นเงามัน -
7:37 - 7:41และมีสีน้ำตาลกำลังพอดี
ก็กระตุ้นความใคร่ของแมลงเหล่านี้ -
7:43 - 7:46พวกตัวผู้เข้ารุมล้อมขวด
พยายามที่จะจับคู่ผสมพันธุ์ -
7:48 - 7:50พวกมันหมดความสนใจกับตัวเมียจริง ๆ
-
7:50 - 7:55ตัวอย่างคลาสสิกของตัวผู้
ที่หนีตัวเมียไปหาขวด -
7:55 - 7:58(เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ)
-
7:59 - 8:02แมลงสปีชีส์นี้เกือบที่จะสูญพันธุ์
-
8:02 - 8:07ประเทศออสเตรเลียจำต้องเปลี่ยนสีขวด
เพื่อที่จะช่วยแมลงพวกนี้ -
8:07 - 8:10(เสียงหัวเราะ)
-
8:10 - 8:14เอาละ แมลงตัวผู้ตามหาตัวเมียได้สำเร็จ
มาเป็นพัน ๆ ปี -
8:14 - 8:16หรืออาจจะเป็นล้าน ๆ ปี
-
8:16 - 8:21เหมือนว่ามันเห็นความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น
แต่เอาเข้าจริงแล้วไม่ใช่ -
8:21 - 8:24วิวัฒนาการได้มอบทางลัดให้กับพวกมัน
-
8:24 - 8:28ตัวเมียคืออะไรก็ตามที่มีร่องบุ๋ม
เป็นเงามัน และเป็นสีน้ำตาล -
8:28 - 8:31ยิ่งใหญ่ยิ่งดี
-
8:31 - 8:33(เสียงหัวเราะ)
-
8:33 - 8:37แม้ว่ามันจะคลานไปซะทั่วขวดแล้ว
ตัวผู้ก็ยังไม่พบข้อผิดพลาดของมัน -
8:38 - 8:42ครับ คุณอาจจะบอกว่า แมลงเหรอ แหงสิ
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ -
8:42 - 8:43เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหรอก
-
8:43 - 8:46สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไม่ถูกตบตาหรอก
-
8:46 - 8:52เอาล่ะครับ ผมคงไม่ยึดติดกับมันหรอก
แต่คุณคงพอเห็นแนวคิดนะครับ (เสียงหัวเราะ) -
8:52 - 8:55ฉะนั้น สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามทางเทคนิคที่สำคัญ
-
8:55 - 9:01การคัดเลือกทางธรรมชาติ
สนับสนุนการมองเห็นความเป็นจริงงั้นหรือ -
9:02 - 9:05โชคดี ที่เราไม่จำต้องซี้ซั้วเดา
-
9:05 - 9:09วิวัฒนาการ
เป็นทฤษฎีที่มีความแน่นอนในเชิงคณิตศาสตร์ -
9:09 - 9:12เราสามารถใช้สมการของวิวัฒนาการ
ในการตรวจสอบได้ -
9:12 - 9:16เราสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ แข่งขันกัน
ในโลกสมมติ -
9:16 - 9:18และดูว่าสิ่งมีชีวิตใดจะอยู่รอด
และพัฒนาได้ -
9:18 - 9:22ระบบการรับสัมผัสใดจะเหมาะสมมากกว่า
-
9:22 - 9:26สิ่งสำคัญในสมการนี้คือความเหมาะสม
-
9:26 - 9:29ลองพิจารณาเนื้อก้อนนี้ดู
-
9:30 - 9:33เนื้อก้อนนี้จะมีผลกระทบอะไร
ต่อความเหมาะสมของสัตว์ -
9:33 - 9:39สำหรับสิงโตหิวโหยที่กำลังจ้องจะกิน
มันเสริมสร้างความเหมาะสม -
9:40 - 9:45สำหรับสิงโตที่อิ่มดีที่กำลังมองหาคู่
มันไม่ได้ช่วยเสริมสร้างความเหมาะสม -
9:46 - 9:50และสำหรับกระต่ายในสถานะใด ๆ
มันไม่ได้ช่วยเสริมสร้างความเหมาะสม -
9:50 - 9:54ฉะนั้น ใช่ครับ ความเหมาะสมขึ้นอยู่กับ
ความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น -
9:54 - 9:58แต่ยังคงขึ้นอยู่กับสิ่งมีชีวิต
สถานะของมันและการกระทำของมัน -
9:58 - 10:02ความเหมาะสมไม่ได้เป็นอย่างเดียวกัน
กับความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น -
10:02 - 10:05และมันคือความเหมาะสม
ไม่ใช่ความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น -
10:05 - 10:09ที่เป็นตัวเลขที่สำคัญอย่างยิ่ง
ในสมการของวิวัฒนาการ -
10:09 - 10:13ดังนั้น ในห้องทดลองของผม
-
10:13 - 10:16พวกเราได้ดำเนินการกับการจำลองเกมส์วิวัฒนาการ
เป็นแสน ๆ ครั้ง -
10:16 - 10:19ด้วยการสุ่มเลือกโลก
-
10:19 - 10:24และเป็นสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ให้พวกมัน
แข่งขันแก่งแย่งแหล่งอาหารกัน -
10:24 - 10:28สิ่งมีชีวิตบางอย่างเห็นความเป็นจริงทั้งหมด
-
10:28 - 10:30ชนิดอื่น ๆ เห็นเพียงบางส่วนของความเป็นจริง
-
10:30 - 10:32และบางชนิด ไม่เห็นความเป็นจริงเลย
-
10:32 - 10:34มีเพียงแค่ความเหมาะสม
-
10:34 - 10:36ใครจะเป็นผู้ชนะ
-
10:36 - 10:42ครับ ผมเกลียดจริง ๆ ที่จะเฉลยให้คุณฟังว่า
การตระหนักรู้ความเป็นจริงนั้นสูญพันธุ์ -
10:42 - 10:44ในเกือบทุกแบบจำลอง
-
10:44 - 10:46สิ่งมีชีวิตที่ไม่เห็นความเป็นจริงเลย
-
10:46 - 10:48แต่มุ่งไปหาความเหมาะสม
-
10:48 - 10:54ขับเคลื่อนการสูญพันธุ์สิ่งมีชีวิตทุกชนิด
ที่เห็นความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น -
10:54 - 10:58ฉะนั้น สิ่งสำคัญก็คือ
วิวัฒนาการไม่ได้ส่งเสริม -
10:58 - 11:00หรือทำให้การตระหนักรู้นั้นแม่นยำ
-
11:00 - 11:04การตระหนักรู้ถึงความเป็นจริงสูญพันธุ์ไป
-
11:04 - 11:06ครับ มันน่าตกใจไม่น้อย
-
11:06 - 11:09มันจะเป็นไปได้อย่างไร
ที่การไม่เห็นโลกอย่างแม่นยำ -
11:09 - 11:11สร้างความได้เปรียบในการอยู่รอดให้กับเรา
-
11:11 - 11:13มันอาจเหมือนกับการตอบโต้ทางสัญชาตญาณ
-
11:13 - 11:15แต่จำไว้นะครับว่า จีวัล บีทเทิล
-
11:15 - 11:19แมลงที่อยู่รอดมาเป็นพัน ๆ ปี
บางทีอาจจะเป็นล้าน ๆ ปี -
11:19 - 11:22ใช้กลเม็ดและการวิธีลัดแบบง่าย ๆ
-
11:22 - 11:25สิ่งที่สมการวิวัฒนาการกำลังบอกกับเรา
-
11:25 - 11:30คือสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง รวมถึงเราด้วย
อยู่บนเรือลำเดียวกัน กับจีวัล บีทเทิล -
11:30 - 11:32เราไม่ได้เห็นความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น
-
11:32 - 11:37เราถูกหล่อหลอมขึ้นด้วยกลเม็ด
และวิธีลัดที่ทำให้เราอยู่รอด -
11:37 - 11:39ถึงอย่างนั้น
-
11:39 - 11:41เราต้องการอะไรบางอย่างจากการหยั่งรู้ของเรา
-
11:41 - 11:45การไม่ยอมรับความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น
มีประโยชน์อย่างไร -
11:45 - 11:49ครับ โชคดี
เรามีการเปรียบเปรยที่ช่วยเราได้มาก -
11:49 - 11:52หน้าจออินเทอร์เฟสคอมพิวเตอร์ของคุณนั่นเอง
-
11:52 - 11:56ลองพิจารณาไอคอนสีฟ้า
สำหรับ TED Talk ที่คุณกำลังเขียนถึง -
11:56 - 12:00ทีนี้ ไอคอนนั้นเป็นสีฟ้าและเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้า
-
12:00 - 12:03และอยู่ที่มุมขวาด้านล่างของหน้าจอ
-
12:03 - 12:08นั่นหมายความว่า
ไฟล์ข้อความในคอมพิวเตอร์เองนั้นเป็นสีฟ้า -
12:08 - 12:12เป็นกล่องสี่เหลี่ยม และอยู่ตรงที่มุมขวาด้านล่าง
ของคอมพิวเตอร์อย่างงั้นหรือ -
12:12 - 12:13ไม่ใช่หรอก
-
12:13 - 12:18ใคร ๆ ที่คิดอย่างนั้นตีความจุดประสงค์
ของอินเทอร์เฟสผิดไป -
12:18 - 12:21มันไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงความเป็นจริง
ของคอมพิวเตอร์ -
12:21 - 12:24อันที่จริง มันอยู่ตรงนั้นเพื่อที่จะ
ซ่อนความเป็นจริง -
12:24 - 12:26คุณไม่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับไดโอด
-
12:26 - 12:28และตัวต้านทาน และซอฟแวร์หลายเมกะไบต์
-
12:28 - 12:31ถ้าคุณจะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งนั้น
คุณคงจะเขียนไฟล์ข้อความ -
12:31 - 12:32หรือแก้ไขภาพของคุณไม่ได้หรอก
-
12:32 - 12:37ฉะนั้นแนวคิดคือว่า
วิวัฒนาการให้อินเทอร์เฟสกับเรา -
12:37 - 12:41ที่ซ่อนความเป็นจริง
และให้แนวทางพฤติกกรรมที่ปรับเปลี่ยนได้ -
12:41 - 12:44ที่ว่างและเวลา
ที่คุณตระหนักรู้ถึงพวกมันได้ในตอนนี้ -
12:44 - 12:47เป็นหน้าจอของคุณ
-
12:47 - 12:51ทางกายภาพต่าง ๆ คือไอคอนบนหน้าจอ
-
12:52 - 12:54แต่มีข้อโต้แย้งที่ค่อนข้างชัดเจน
-
12:54 - 12:58ฮอฟแมน ถ้าคุณคิดว่ารถไฟวิ่งมาตามราง
ด้วยความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมง -
12:58 - 13:01เป็นแค่ไอคอนบนหน้าจอ
-
13:01 - 13:03ทำไมคุณไม่เดินลงไปขวางล่ะ
-
13:03 - 13:05และหลังจากที่คุณจากไปแล้ว
พร้อมกับทฤษฎีของคุณ -
13:05 - 13:09เรารู้ว่ามันเป็นรถไฟ
มากกว่าจะเป็นเพียงแค่ไอคอน -
13:09 - 13:11ครับ ผมคงจะไม่ลงไปยืนขวางรถไฟ
-
13:11 - 13:12ด้วยเหตุผลเดียวกัน
-
13:12 - 13:16ผมคงจะไม่ลากไอคอน
ทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ระมัดระวัง -
13:16 - 13:20ไม่ใช่เพราะว่าผมเข้าใจว่าไอคอน
เป็นแบบนั้นจริง ๆ -- -
13:20 - 13:23ไฟล์ก็ไม่ได้เป็นสีฟ้าจริง ๆ
หรือเป็นแค่กล่องสี่เหลี่ยม -- -
13:23 - 13:25แต่ผมต้องจริงจังกับมันมากเพราะ
-
13:25 - 13:27ผมอาจเสียงานที่ผมทำไว้เป็นเวลาหลายสัปดาห์
-
13:27 - 13:30คล้ายกัน วิวัฒนาการหล่อหลอมเรา
-
13:30 - 13:34ด้วยสัญลักษณ์ที่เราตระหนักรู้ได้
ที่ถูกออกแบบไว้เพื่อทำให้เรามีชีวิตอยู่รอด -
13:35 - 13:37เราควรที่จะจริงจังกับมันจริง ๆ
-
13:37 - 13:39ถ้าคุณเห็นงู ก็ไม่ควรจะหยิบมันขึ้นมา
-
13:40 - 13:43ถ้าคุณเห็นหน้าผา ก็อย่าได้กระโดดลงไป
-
13:43 - 13:47พวกมันถูกออกแบบมาเพื่อให้พวกเราปลอดภัย
และเราควรจะจริงจังกับพวกมัน -
13:47 - 13:49นั่นไม่ได้หมายความว่า
เราไม่ควรที่จะเข้าใจแบบนั้นจริง ๆ -
13:49 - 13:52นั่นมันตรรกะวิบัติแล้วล่ะ
-
13:52 - 13:55อีกหนึ่งข้อโต้แย้งก็คือ
มันไม่มีอะไรใหม่จริง ๆ เลยหรือ -
13:55 - 13:59นักฟิสิกส์เคยบอกเรามานานแล้วว่า
โลหะของรถไฟที่ดูแล้วเป็นของแข็ง -
13:59 - 14:03ที่จริงมันเกือบจะมีแต่ที่ว่างเปล่า
เพราะมีอนุภาคระดับไมโครวิ่งไปรอบ ๆ -
14:03 - 14:05ไม่มีอะไรใหม่เลยตรงนี้
-
14:05 - 14:07ก็ ไม่ถึงกับเป็นอย่างนั้นหรอกครับ
-
14:07 - 14:11มันเหมือนกับการบอกว่า
ผมรู้ว่ามีไอคอนสีฟ้าบนหน้าจอ -
14:11 - 14:13ไม่ได้เป็นความเป็นจริงของคอมพิวเตอร์
-
14:13 - 14:17แต่ถ้าผมเอาแว่นขยายที่ไว้ใจได้ออกมา
และส่องเข้าไปดูใกล้ ๆ -
14:17 - 14:18ผมจะเห็นพิกเซล (pixel) เล็ก ๆ
-
14:18 - 14:21และนั่นคือความเป็นจริงของคอมพิวเตอร์
-
14:21 - 14:25ครับ ก็ไม่ใช่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรอก--
คุณยังอยู่กับหน้าจอ และนั่นแหละครับประเด็น -
14:25 - 14:28อนุภาคระดับไมโครเหล่านั้น
ยังคงอยู่ในที่ว่างและเวลา -
14:28 - 14:30พวกมันยังอยู่ในอินเทอร์เฟสของผู้ใช้
-
14:30 - 14:34ฉะนั้น ผมกำลังพูดถึงบางอย่าง
ที่มันสุดโต่งกว่าที่นักฟิสิกส์ว่าไว้ -
14:35 - 14:36สุดท้าย คุณอาจโต้แย้งได้อีกว่า
-
14:36 - 14:39เอาล่ะ เราทุกคนเห็นรถไฟ
-
14:39 - 14:42ฉะนั้น ไม่มีใครสร้างภาพรถไฟขึ้นมาเอง
-
14:42 - 14:44แต่จำตัวอย่างนี้ได้นะครับ
-
14:44 - 14:47ในตัวอย่างนี้ เราทุกคนเห็นลูกบาศก์
-
14:48 - 14:50แต่จอภาพแบน
-
14:50 - 14:52ฉะนั้น ลูกบาศก์ที่คุณเห็น
เป็นลูกบาศก์ที่คุณสร้างภาพขึ้น -
14:54 - 14:56เราทุกคนเห็นลูกบาศก์
-
14:56 - 15:01เพราะว่าเราทุกคน แต่ละคน
สร้างภาพลูกบาศก์ที่เราเห็น -
15:01 - 15:03ซึ่งเป็นจริงเช่นเดียวกับรถไฟ
-
15:03 - 15:07เราทุกคนเห็นรถไฟเพราะว่า
เราแต่ละคนเห็นรถไฟที่เราสร้างภาพขึ้นมา -
15:07 - 15:11และมันก็เป็นจริงกับวัตถุทางกายภาพทั้งหลาย
-
15:12 - 15:17เราถูกทำให้โน้มเอียงการคิดว่าการตระหนักรู้
เหมือนกับหน้าต่างบนความจริงอย่างที่มันเป็น -
15:17 - 15:22ทฤษฎีวิวัฒนาการกำลังบอกเราว่า
มันเป็นการตีความที่ผิดพลาด -
15:22 - 15:24ของการตระหนักรู้ของเรา
-
15:25 - 15:29ความจริงแล้ว
ความเป็นจริงเป็นมากกว่าหน้าจอสามมิติ -
15:29 - 15:32ที่ถูกออกแบบมา ให้ซ่อนความสลับซับซ้อน
ของโลกแห่งความเป็นจริง -
15:32 - 15:34และให้แนวทางกับพฤติกรรมที่ปรับเปลี่ยนได้
-
15:34 - 15:37ที่ว่างอย่างที่คุณยอมรับ
ว่ามันอยู่บนหน้าจอของคุณ -
15:37 - 15:40วัตถุทางกายภาพเป็นเพียงแค่ไอคอนบนหน้าจอ
-
15:41 - 15:45เราเคยคิดว่าโลกแบน
เพราะดูแล้วมันเป็นแบบนั้น -
15:46 - 15:49จากนั้น เราคิดว่าโลกอยู่นิ่ง ๆ
เป็นศูนย์กลางของความเป็นจริง -
15:49 - 15:50เพราะดูแล้วมันเป็นแบบนั้น
-
15:50 - 15:52เราผิดไปแล้ว
-
15:52 - 15:54เราได้ตีความการตระหนักรู้ของเราผิดไป
-
15:55 - 15:58ทีนี้ เราเชื่อว่า มิติเวลา และวัตถุต่าง ๆ
-
15:58 - 16:01เป็นธรรมชาติของความจริงอย่างที่มันเป็น
-
16:01 - 16:05ทฤษฎีวิวัฒนาการกำลังบอกเรา
ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าเราผิด -
16:05 - 16:10เรากำลังตีความเนื้อหาประสบการณ์การตระหนักรู้ของเรา
อย่างผิด ๆ -
16:10 - 16:13บางสิ่งมีตัวตนอยู่เมื่อคุณไม่ได้มอง
-
16:13 - 16:16แต่มันไม่ใช่มิติเวลาและวัตถุทางกายภาพ
-
16:16 - 16:19สำหรับเราการปล่อยวางจากเรื่องมิติเวลาและวัตถุต่าง ๆ
-
16:19 - 16:23มันยากพอ ๆ กับที่ จีวัล บีทเทิล
จะปล่อยวางจากขวดของมัน -
16:23 - 16:27ทำไมน่ะหรือ เพราะว่าเราถูกทำไห้มองไม่เห็น
ความสามารถในการมองเห็นของเราเอง -
16:28 - 16:31แต่เรามีข้อได้เปรียบเหนือกว่าจีวัล บีทเทิล
-
16:31 - 16:33เรามีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเรา
-
16:33 - 16:35ด้วยการจ้องมองผ่านเลนส์ของกล้องโทรทัศน์
-
16:35 - 16:40เราค้นพบว่าโลกไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ
เป็นศูนย์กลางของความเป็นจริง -
16:40 - 16:42และด้วยการมองผ่านเลนส์ของทฤษฎีวิวัฒนาการ
-
16:42 - 16:45เราค้นพบว่ามิติเวลาและวัตถุต่าง ๆ
-
16:45 - 16:47ไม่ได้เป็นธรรมชาติของความเป็นจริง
-
16:47 - 16:51เมื่อผมมีประสบการณ์เชิงการตระหนักรู้
ที่ผมอธิบายว่าเป็นมะเขือเทศแดง -
16:51 - 16:54ผมมีปฎิสัมพันธ์กับความเป็นจริง
-
16:54 - 17:00แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่มะเขือเทศแดง
และไม่มีอะไรเหมือนมะเขือเทศแดง -
17:00 - 17:05คล้ายกัน เมื่อผมมีประสบการณ์
ที่ผมอธิบายว่าเป็นสิงโตหรือเนื้อก้อน -
17:05 - 17:07ผมมีปฏิสัมพันธ์กับความเป็นจริง
-
17:07 - 17:10แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่สิงโตหรือเนื้อก้อน
-
17:10 - 17:12และที่ทำให้ฉุกคิดก็คือ
-
17:12 - 17:17เมื่อผมมีประสบการณ์เชิงการตระหนักรู้
ที่ผมอธิบายว่าเป็นสมอง หรือเซลล์ประสาท -
17:17 - 17:19ผมมีปฏิสัมพันธ์กับความเป็นจริง
-
17:19 - 17:22แต่ความเป็นจริงไม่ใช่สมองหรือเซลล์ประสาท
-
17:22 - 17:26และไม่มีอะไรเหมือนกับสมองหรือเซลล์ประสาท
-
17:26 - 17:31และความเป็นจริงนั้น ไม่ว่ามันคืออะไร
-
17:31 - 17:34เป็นต้นกำเนิดที่แท้จริงของเหตุและผล
-
17:34 - 17:38ในโลก -- ไม่ใช่สมอง ไม่ใช่เซลล์ประสาท
-
17:38 - 17:41สมองและเซลล์ประสาทไม่มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกัน
-
17:41 - 17:43พวกมันไม่ได้ก่อให้เกิดประสบการณ์เชิงตระหนักรู้เรา
-
17:43 - 17:45และพฤติกรรมใดของเรา
-
17:45 - 17:51สมองและเซลล์ประสาทเป็นชุดสัญลักษณ์
ที่เฉพาะเจาะจงต่อสปีชีส์ มันเป็นทางลัด -
17:51 - 17:53มันความหมายถึงอะไรต่อปริศนาของจิตสำนึก
-
17:54 - 17:58มันเปิดเผยความเป็นไปได้สิ่งใหม่ ๆ
-
17:58 - 18:00ยกตัวอย่างเช่น
-
18:00 - 18:07บางที ความเป็นจริงคือเครื่องยนต์ขนาดใหญ่
ที่เป็นสาเหตุของประสบการณ์จิตสำนึก -
18:07 - 18:10ผมสงสัยครับ แต่มันก็คุ้มค่าที่จะสำรวจ
-
18:10 - 18:16บางที ความเป็นจริงคือเครือข่ายปฏิสัมพันธ์
ที่ยิ่งใหญ่ของสสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับจิตสำนึก -
18:16 - 18:21ทั้งที่เรียบง่ายและสลับซับซ้อน
ที่ทำให้เกิดประสบการณ์จิตสำนึก -
18:21 - 18:24อันที่จริง มันไม่ได้ฟังดูบ้าอย่างที่คิด
-
18:24 - 18:26และผมก็กำลังทำการสำรวจอยู่
-
18:27 - 18:29แต่ประเด็นก็คือว่า
-
18:29 - 18:32เมื่อเรายอมปล่อยวางการหยั่งรู้
ที่มีมามากมายของเรา -
18:32 - 18:36แต่ก็ยังมีข้อสมมุติที่ยังผิดพลาดอยู่อย่าง
มากมายเกี่ยวกับธรรมชาติของความจริง -
18:36 - 18:40มันเปิดทางใหม่ให้เราได้คิด
เกี่ยวกับปริศนาชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด -
18:41 - 18:46ผมขอพนันเลยว่า ความจริงจะน่าสนใจ
-
18:46 - 18:50และเหนือความคาดหมาย
กว่าที่เราเคยได้จินตนาการเอาไว้ -
18:50 - 18:54ทฤษฎีวิวัฒนาการแสดงให้เราเห็น
ถึงความท้าทายอย่างที่สุด -
18:54 - 18:59ความท้าทายที่จะรู้ว่าการตระหนักรู้
ไม่ใช่แค่การเห็นความจริง -
18:59 - 19:03มันเกี่ยวกับการมีลูกหลาน
-
19:03 - 19:08แล้วแม้แต่งาน TED ครั้งนี้
มันก็แค่จินตนาการในสมองของคุณเท่านั้นแหละ -
19:08 - 19:10ขอบคุณมาก ๆ ครับ
-
19:10 - 19:14(เสียงปรบมือ)
-
19:21 - 19:24คริส แอนเดอร์สัน : ถ้าหากว่าคุณอยู่ตรงนั้นจริง ๆ
ขอบคุณนะครับ -
19:24 - 19:27มีเรื่องราวมากมายเลยจากการบรรยายในครั้งนี้
-
19:27 - 19:30อย่างแรกเลย บางคนอาจรู้สึกหดหู่อย่างสุด ๆ
-
19:30 - 19:36กับความคิดที่ว่า
ถ้าหากวิวัฒนาการไม่ได้ส่งเสริมความเป็นจริง -
19:36 - 19:39ผมหมายความว่า ในบางแง่มุม
มันคงจะไม่กร่อนทำลายความพยายามของเรา -
19:39 - 19:42ความสามารถของคนเราที่จะคิดว่า
เราสามารถคิดความจริงได้หรือครับ -
19:42 - 19:45แม้ว่าจะรวมเอาทฤษฎีของคุณเข้าไปด้วยแล้ว
ถ้าคุณหมายความถึงเช่นนั้น -
19:45 - 19:50โดนัล ฮอฟแมน : ครับ มันไม่ได้ห้ามเรา
ไม่ให้ประสบความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ -
19:50 - 19:53สิ่งที่เราได้คือทฤษฎีหนึ่งที่
กลายเป็นว่ามันได้ผิดพลาดไป -
19:53 - 19:57และการมองเห็นก็เหมือนกับความเป็นจริง
และความเป็นจริงก็เหมือนกับการมองเห็นของเรา -
19:57 - 19:59ทฤษฎีนั้นกลายเป็นว่ามันผิดพลาดไป
-
19:59 - 20:00เอาล่ะ โยนทฤษฎีนั้นทิ้งไป
-
20:00 - 20:04นั่นมันไม่ไช่หยุดยั้งเราให้ตั้งสมมุติฐานสำหรับทฤษฎีอื่น ๆ
-
20:04 - 20:05ในเรื่องธรรมชาติของความเป็นจริง
-
20:05 - 20:09ฉะนั้น ที่จริงแล้วมันเป็นความก้าวหน้า
ที่เราจะรู้ว่าทฤษฎีของเรานั้นผิด -
20:09 - 20:11วิทยาศาสตร์ยังดำเนินการต่อไปตามปกติ
ไม่มีปัญหาอะไรครับ -
20:11 - 20:14คริส:ถ้าอย่างนั้นคุณก็คิดว่ามันเป็นไปได้
-- (เสียงหัวเราะ) -- -
20:14 - 20:18เจ่งดีครับ จากที่คุณพูด ผมคิดว่ามันเป็นไปได้
-
20:18 - 20:21ที่วิวัฒนาการยังจะพาคุณไปยังเหตุผล
-
20:21 - 20:23โดนัล: ครับ นั่นเป็นคำถามที่น่าสนใจมากครับ
-
20:23 - 20:27แบบจำลองเกมส์วิวัฒนาการที่ผมแสดงให้ดู
มันเฉพาะเจาะจงต่อการตระหนักรู้ -
20:27 - 20:30และพวกมันแสดงให้เห็นว่า
การตระหนักรู้ได้ถูกหล่อหลอม -
20:30 - 20:32ให้ไม่แสดงความจริงอย่างที่มันเป็นต่อเรา
-
20:32 - 20:36แต่นั่นไม่ได้มีความหมายอย่างเดียวกัน
กับตรรกะ หรือคณิตศาสตร์ของพวกเรา -
20:36 - 20:40เราไม่ได้ดำเนินการตามแบบจำลองเหล่านี้
แต่ผมขอพนันว่า เราจะพบว่า -
20:40 - 20:43มีแรงขับบางอย่าง
ในการเลือกตรรกะและคณิตศาสตร์ของเรา -
20:43 - 20:46ให้มีทิศทางไปหาความจริงไม่มากก็น้อย
-
20:46 - 20:48ถ้าคุณเหมือนกับผม
คณิตศาสตร์กับตรรกะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ -
20:48 - 20:52เราไม่ได้เข้าใจมันดีหรอก
แต่อย่างน้อย ๆ แรงขับในการเลือก -
20:52 - 20:54ก็ไม่ได้เคลื่อนห่าง
ออกจากคณิตศาสตร์และตรรกะจริง ๆ -
20:54 - 20:57ฉะนั้น ผมคิดว่าเราจะได้พบว่า
เราต้องดูความสามารถในการรับรู้แต่ละอย่าง -
20:57 - 21:00ทีละอย่าง และดูว่าวิวัฒนาการกระทำอะไรกับมัน
-
21:00 - 21:04สิ่งที่จริงสำหรับการตระหนักรู้
อาจไม่เป็นจริงสำหรับคณิตศาสตร์และตรรกะ -
21:04 - 21:08คริส : สำหรับผม สิ่งที่คุณกำลังเสนอ
มันเหมือนกับการตีความโลก -
21:08 - 21:10ของ บิชอป เบิร์คลีย์ ในแบบใหม่
-
21:10 - 21:13จิตสำนึกก่อให้เกิดสสาร
ไม่ใช่ตรงกันข้ามกัน -
21:13 - 21:15โดนัล : มันต่างไปจากของเบิร์คลีย์นิดหน่อยครับ
-
21:15 - 21:19เบิร์คลีย์คิดว่า เขาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า
และเขาคิดว่าที่สุดของธรรมชาติความเป็นจริง -
21:19 - 21:21ก็คือพระเจ้า เป็นต้น
-
21:21 - 21:24ผมไม่จำต้องไปในแนวทางเดียวกับเบิร์คลีย์
-
21:24 - 21:27ฉะนั้น มันค่อนข้างแตกต่างไปจากเบิร์คลีย์
นิดหน่อย -
21:28 - 21:31ผมเรียกมันว่าความเป็นจริงจากจิตสำนึก
มันเป็นวิธีการที่แตกต่างออกไปอย่างมาก -
21:31 - 21:35คริส : ดอน ผมคงได้คุยกับคุณได้เป็นชั่วโมงๆ
ผมอยากจริง ๆ เลยครับ -
21:35 - 21:37ขอบคุณมาก ๆ นะครับ
ดอน : ขอบคุณครับ (เสียบปรบมือ)
- Title:
- เราเห็นความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นหรือเปล่า
- Speaker:
- โดนัล ฮอฟแมน (Donald Hoffman)
- Description:
-
นักวิทยาศาสตร์ด้านการเรียนรู้ นาม โดนัล ฮอฟแมน กำลังพยายามที่จะตอบคำถามที่ยิ่งใหญ่: เรามีประสบการณ์ต่อโลกอย่างที่มันเป็นจริงๆ ... หรืออย่างที่เราต้องการให้มันเป็น ในการบรรยายนี้ที่จะมาเขย่าความคิดคุณไม่มากก็น้อย เขาเอ่ยถามว่า สมองของเราสร้างความเป็นจริงให้กับเราได้อย่างไร
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 21:50
Jenny Zurawell approved Thai subtitles for Do we see reality as it is? | ||
Jenny Zurawell accepted Thai subtitles for Do we see reality as it is? | ||
Jenny Zurawell edited Thai subtitles for Do we see reality as it is? | ||
Jenny Zurawell edited Thai subtitles for Do we see reality as it is? | ||
Jenny Zurawell edited Thai subtitles for Do we see reality as it is? | ||
Jenny Zurawell edited Thai subtitles for Do we see reality as it is? | ||
Jenny Zurawell edited Thai subtitles for Do we see reality as it is? | ||
Jenny Zurawell edited Thai subtitles for Do we see reality as it is? |