WEBVTT 00:00:00.835 --> 00:00:02.901 ผมชอบปริศนาอันยิ่งใหญ่ 00:00:02.901 --> 00:00:07.313 และผมตื่นเต้นกับปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ยังไม่เปิดเผยในวงการวิทยาศาสตร์ 00:00:07.313 --> 00:00:09.271 บางที อาจเป็นเพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว 00:00:09.681 --> 00:00:11.539 มันเกี่ยวกับว่า เรานั้นเป็นใคร 00:00:11.539 --> 00:00:13.656 และผมก็ฉงนสงสัย NOTE Paragraph 00:00:14.186 --> 00:00:16.275 ปริศนาก็คือ 00:00:16.275 --> 00:00:19.710 อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างสมองของคุณ 00:00:19.710 --> 00:00:21.221 และประสบการณ์ใต้จิตสำนึกของคุณ 00:00:21.221 --> 00:00:23.891 เช่น ประสบการณ์ที่ได้ลิ้มลองช็อกโกแลต 00:00:23.891 --> 00:00:25.665 หรือสัมผัสที่มีต่อผ้ากำมะหยี่ NOTE Paragraph 00:00:26.805 --> 00:00:28.739 เอาล่ะ ปริศนานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย 00:00:28.999 --> 00:00:32.598 ในปีค.ศ. 1868 โทมัส ฮักซ์ลี เขียนว่า 00:00:32.598 --> 00:00:37.892 "เราไม่สามารถอธิบายได้เลยว่า สิ่งที่น่าทึ่งอย่างสภาวะมีสติ 00:00:37.892 --> 00:00:41.259 ที่เป็นผลจากการกวนเนื้อเยื่อประสาทนั้น 00:00:41.259 --> 00:00:43.325 เกิดขึ้นได้อย่างไร 00:00:43.325 --> 00:00:47.378 มันอย่างกับว่า เกิดการปรากฏตัวขึ้นของยักษ์ เมื่ออะลาดินถูกตะเกียง" 00:00:49.268 --> 00:00:51.545 ครับ ฮักซ์ลี รู้ว่ากิจกรรมของสมอง 00:00:51.545 --> 00:00:54.819 กับประสบการณ์ใต้จิตสำนึกนั้นเกี่ยวข้องกัน 00:00:54.819 --> 00:00:56.978 แต่เขาไม่รู้ว่าทำไม 00:00:56.978 --> 00:01:00.299 ด้วยวิทยาศาสตร์ในยุคของเขา มันยังเป็นปริศนา 00:01:00.299 --> 00:01:02.435 หลายปีหลังจากสมัยของฮักซ์ลี 00:01:02.435 --> 00:01:05.801 วิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้มากมาย เกี่ยวกับกิจกรรมของสมอง 00:01:05.801 --> 00:01:07.822 แต่ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมของสมอง 00:01:07.822 --> 00:01:10.910 กับประสบการณ์ใต้จิตสำนึกยังคงเป็นปริศนา 00:01:10.910 --> 00:01:14.555 ทำไมล่ะ ทำไมเรื่องนี้ไม่คืบหน้าสักเท่าไรเลย 00:01:14.555 --> 00:01:19.414 ครับ ผู้เชี่ยวชาญบางท่านคิดว่า เราไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ 00:01:19.414 --> 00:01:23.213 เพราะว่าเราขาดแนวคิดที่จำเป็น และความเฉลียวฉลาด 00:01:23.883 --> 00:01:27.952 เราคงไม่คาดหวังให้ลิงแก้ปัญหา ที่เกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม 00:01:27.952 --> 00:01:32.117 และอย่างที่เห็น เราไม่ได้คาดหวังว่า พวกเราจะแก้ปัญหานี้ได้เช่นกัน 00:01:32.527 --> 00:01:35.661 แต่ว่านะ ผมไม่เห็นด้วยหรอก ผมมองโลกในแง่ดีกว่า 00:01:35.661 --> 00:01:38.703 ผมคิดว่า พวกเราได้ตั้งสมมุติฐานที่ผิด 00:01:38.703 --> 00:01:42.209 เมื่อเราแก้ไขสิ่งนี้แล้ว เราก็น่าจะแก้ปัญหาได้ 00:01:42.209 --> 00:01:44.626 วันนี้ ผมอยากจะบอกพวกคุณ ว่าสมมุติฐานที่ว่าคืออะไร 00:01:44.626 --> 00:01:47.384 ทำไมมันถึงผิด และเราจะแก้ไขมันได้อย่างไร NOTE Paragraph 00:01:47.874 --> 00:01:49.808 มาเริ่มกันด้วยคำถามที่ว่า 00:01:49.808 --> 00:01:52.866 คุณเห็นความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นหรือเปล่า 00:01:52.866 --> 00:01:54.561 ผมลืมตา 00:01:54.561 --> 00:01:59.498 และผมมีประสบการณ์ว่าผมอธิบาย ถึงมะเขือเทศแดงที่ห่างออกไปหนึ่งเมตร 00:02:00.606 --> 00:02:03.849 ผลก็คือ ผมเชื่อว่านั่นเป็นความเป็นจริง 00:02:03.849 --> 00:02:06.491 มีมะเขือเทศสีแดงอยู่ห่างออกไปหนึ่งเมตร 00:02:06.751 --> 00:02:11.615 จากนั้นผมหลับตา และประสบการณ์ของผม ก็เปลี่ยนไปเป็นสีเทา 00:02:12.425 --> 00:02:17.591 แต่มันยังเป็นจริงอยู่หรือไม่ในความเป็นจริง ที่มะเขือเทศสีแดงอยู่ห่างไปหนึ่งเมตร 00:02:18.361 --> 00:02:21.913 ผมคิดว่าใช่นะครับ แต่มันจะผิดแผกเป็นอย่างอื่นได้ไหม 00:02:21.913 --> 00:02:26.511 ผมเข้าใจธรรมชาติของการตระหนักรู้ของผม ผิดไปหรือเปล่า NOTE Paragraph 00:02:27.351 --> 00:02:30.551 เราเคยตีความการตระหนักรู้ของเรา ผิดพลาดมาก่อน 00:02:30.551 --> 00:02:34.010 เราเคยคิดว่าโลกแบน เพราะดูแล้วมันเป็นแบบนั้น 00:02:34.707 --> 00:02:37.586 ปีทากอรัสค้นพบว่าเราคิดผิด 00:02:37.586 --> 00:02:41.598 จากนั้น เราคิดว่าโลกอยู่นิ่ง ๆ เป็นศูนย์กลางจักรวาล 00:02:41.603 --> 00:02:43.506 ก็เพราะว่ามันดูเหมือนว่าเป็นอย่างนั้น 00:02:44.406 --> 00:02:49.312 โคเปอร์นิคัส และกาลิเลโอ ค้นพบว่า เราคิดผิดอีกแล้ว NOTE Paragraph 00:02:49.312 --> 00:02:53.400 กาลิเลโอสงสัยว่า เราตีความประสบการณ์ของเราผิดแผก 00:02:53.400 --> 00:02:54.908 ไปเป็นอื่นหรือเปล่า 00:02:54.908 --> 00:02:59.917 เขาเขียนว่า "ผมคิดว่ารส กลิ่น สี และอื่น ๆ 00:02:59.917 --> 00:03:01.921 อยู่ในจิตสำนึกของเราเอง 00:03:02.291 --> 00:03:08.043 ฉะนั้น ถ้าไม่มีสิ่งมีชีวิต คุณสมบัติทั้งหมดนี้ก็จะมลายไปด้วย" NOTE Paragraph 00:03:08.955 --> 00:03:10.794 เอาล่ะ นั่นเป็นการกล่าวอ้างที่น่าทึ่ง 00:03:11.184 --> 00:03:12.995 กาลิเลโอพูดถูกหรือเปล่า 00:03:12.995 --> 00:03:17.593 เราตีความประสบการณ์ของเราได้แย่จริง ๆ หรือ 00:03:17.593 --> 00:03:20.154 วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ว่าอย่างไรกับสิ่งนี้ NOTE Paragraph 00:03:20.704 --> 00:03:25.928 เอาล่ะ นักประสาทวิทยาบอกเราว่า ประมาณหนึ่งในสามของสมองส่วนคอร์เท็กซ์ 00:03:25.928 --> 00:03:27.786 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการมอง 00:03:27.786 --> 00:03:31.292 เมื่อคุณลืมตาและมองไปรอบ ๆ ห้อง 00:03:31.292 --> 00:03:35.564 เซลล์ประสาทเป็นพันล้านเซลล์ กับไซแนปส์เป็นล้านล้านเข้าทำงานร่วมกัน NOTE Paragraph 00:03:35.564 --> 00:03:37.172 ครับ นี่มันน่าประหลาดใจสักหน่อย 00:03:37.172 --> 00:03:39.813 เพราะว่าถ้าเราจะพิจารณา ในแง่มุมหนึ่งของการมองเห็น 00:03:39.813 --> 00:03:42.650 เราก็จะคิดว่ามันเหมือนกับกล้องถ่ายรูป 00:03:42.650 --> 00:03:46.590 มันแค่ถ่ายภาพสิ่งของอย่างที่มันเป็นจริง ๆ 00:03:46.590 --> 00:03:50.290 มันมีส่วนการมองเห็น ซึ่งเหมือนกับ กล้องถ่ายรูป 00:03:50.290 --> 00:03:54.929 ตามีเลนส์ที่โฟกัสภาพไปทางด้านหลังของตา 00:03:54.929 --> 00:03:58.319 ที่ซึ่งมีตัวรับแสง 130 ล้านตัว 00:03:58.319 --> 00:04:02.219 ฉะนั้นตาของเราเหมือนกล้อง 130 เมกะพิกเซล 00:04:02.219 --> 00:04:05.702 แต่นั่นไม่ได้อธิบายถึงเซลล์ประสาทพันล้านเซลล์ 00:04:05.702 --> 00:04:09.324 และไซเนปส์เป็นล้านล้าน ที่ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็น 00:04:09.324 --> 00:04:11.623 เซลล์ประสาทพวกนี้ทำอะไรกัน NOTE Paragraph 00:04:11.623 --> 00:04:15.830 ครับ นักประสาทวิทยาบอกพวกเราว่า พวกมันสร้าง 00:04:15.830 --> 00:04:20.160 รูปร่าง สิ่งของ สี และการเคลื่อนไหว ตามเวลาจริงที่เรามองเห็น 00:04:20.160 --> 00:04:23.651 มันเหมือนกับว่า เราแค่ถ่ายภาพนิ่ง ของห้องนี้ในแบบที่มันเป็น 00:04:23.651 --> 00:04:27.226 แต่อันที่จริง เราสร้างภาพทุกสิ่งที่เราเห็น 00:04:27.226 --> 00:04:30.407 เราไม่ได้สร้างภาพโลกทั้งใบขึ้นมาในทีเดียว 00:04:30.407 --> 00:04:33.172 เราสร้างภาพสิ่งที่เราต้องการในวินาทีนั้น ๆ NOTE Paragraph 00:04:33.542 --> 00:04:36.909 ครับ มีการสาธิตมากมายที่ค่อนข้างน่าสนใจ 00:04:36.909 --> 00:04:38.720 ว่าเราสร้างภาพสิ่งที่เรามองเห็น 00:04:38.720 --> 00:04:40.763 ผมจะลองให้ชมสองตัวอย่างนะครับ 00:04:40.763 --> 00:04:46.529 ในตัวอย่างนี้ คุณเห็นแผ่นกลมสีแดง ที่มีรอยแหว่งไปนิดหน่อย 00:04:46.529 --> 00:04:49.470 แต่ถ้าผมหมุนมันสักนิดนึง 00:04:49.470 --> 00:04:54.207 คุณก็จะเห็นลูกบากศ์สามมิติ ปรากฏขึ้นบนจอ 00:04:54.207 --> 00:04:57.040 แน่ล่ะ จอมันแบน 00:04:57.040 --> 00:04:59.640 ฉะนั้นลูกบากศ์สามมิติที่คุณได้เห็น 00:04:59.640 --> 00:05:02.617 จะต้องเป็นการสร้างภาพของคุณ NOTE Paragraph 00:05:03.397 --> 00:05:05.310 ในตัวอย่างต่อไป 00:05:05.310 --> 00:05:09.534 คุณเห็นแท่งเรืองแสงสีฟ้า ที่มีขอบขัดเจนเคลื่อนที่ไปช้า ๆ 00:05:09.534 --> 00:05:12.718 เคลื่อนผ่านกลุ่มจุดหลายจุด 00:05:13.708 --> 00:05:16.845 อันที่จริง ไม่มีจุดใดเลยที่เคลื่อนที่ 00:05:16.845 --> 00:05:21.466 จากฉากหนึ่งไปอีกฉากหนึ่ง ผมแค่เปลี่ยนสีของจุด 00:05:21.466 --> 00:05:23.927 จากสีน้ำเงินเป็นดำ และดำเป็นน้ำเงิน 00:05:23.927 --> 00:05:25.761 แต่เมื่อคุณทำมันเร็ว ๆ 00:05:25.761 --> 00:05:29.476 ระบบการมองเห็นของคุณจะสร้างภาพ แท่งสีฟ้าเรืองแสง 00:05:29.476 --> 00:05:32.147 ที่มีขอบชัดเจน และมีการเคลื่อนไหว 00:05:32.147 --> 00:05:34.817 มันยังมีตัวอย่างอื่นอีกมาก แต่มีแค่สองตัวอย่างนี้ 00:05:34.817 --> 00:05:37.580 ที่คุณสร้างภาพขึ้นมาเมื่อคุณมอง NOTE Paragraph 00:05:37.580 --> 00:05:39.955 แต่นักประสาทวิทยาไปไกลกว่านั้น 00:05:41.395 --> 00:05:46.496 พวกเขาบอกว่า เราสร้างความเป็นจริงขึ้นใหม่ 00:05:46.496 --> 00:05:50.722 ฉะนั้น เมื่อผมมีประสบการณ์ ที่อธิบายได้ว่าเป็นมะเขือเทศสีแดง 00:05:50.722 --> 00:05:54.855 ที่จริงแล้วประสบการณ์นั้น เป็นการสร้างขึ้นใหม่ที่แม่นยำ 00:05:54.855 --> 00:05:56.970 จากคุณสมบัติที่เป็นของมะเขือเทศสีแดงจริง ๆ 00:05:56.970 --> 00:06:00.265 ที่ควรจะเป็น แม้ว่าผมจะไม่ได้มองมันก็ตาม NOTE Paragraph 00:06:01.595 --> 00:06:04.816 เอาล่ะ ทำไมนักประสาทวิทยาถึงบอกว่า เราไม่ได้แค่สร้างภาพ 00:06:04.816 --> 00:06:06.696 แต่เราสร้างภาพขึ้นใหม่ 00:06:06.696 --> 00:06:09.227 ครับ ข้อโต้แย้งพื้นฐานที่มีอยู่ 00:06:09.227 --> 00:06:11.781 ก็มักจะเป็นเรื่องของวิวัฒนาการ 00:06:12.941 --> 00:06:15.380 บรรพบุรุษของพวกเราที่เห็นได้ชัดเจนกว่า 00:06:15.380 --> 00:06:20.233 มีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับพวกที่เห็นได้แย่กว่า 00:06:20.233 --> 00:06:22.989 และดังนั้น พวกเขาก็มักจะส่งต่อยีนส์พวกนั้น 00:06:22.989 --> 00:06:26.380 เราเป็นลูกหลานของพวกที่มองเห็นได้ดีกว่า 00:06:26.380 --> 00:06:29.149 และดังนั้น เราจึงมั่นใจในกรณีปกติ 00:06:29.149 --> 00:06:31.680 การตระหนักรู้ของเรามีความแม่นยำ 00:06:31.680 --> 00:06:35.375 คุณเห็นสิ่งนี้ในหนังสือตำราพื้นฐาน 00:06:35.375 --> 00:06:37.369 หนังสือเล่มหนึ่งอ้างไว้ว่า ยกตัวอย่างเช่น 00:06:37.369 --> 00:06:39.340 "เมื่อพูดในเชิงวิวัฒนาการ 00:06:39.340 --> 00:06:43.383 การมองเห็นมีประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะว่ามันแม่นยำจริง ๆ " 00:06:43.383 --> 00:06:48.181 ฉะนั้น แนวคิดก็คือว่าการมองเห็นที่แม่นยำ เป็นการตระหนักรู้ที่เหมาะสมกว่า 00:06:48.181 --> 00:06:50.325 พวกมันทำให้คุณมีข้อได้เปรียบในการอยู่รอด NOTE Paragraph 00:06:50.325 --> 00:06:52.240 แล้วมันถูกต้องหรือไม่ 00:06:52.240 --> 00:06:54.899 นี่เป็นการตีความที่ถูกแล้วหรือ สำหรับทฤษฎีวิวัฒนาการ 00:06:54.899 --> 00:06:58.280 เอาล่ะ ลองมาดูสองสามตัวอย่างในธรรมชาติ NOTE Paragraph 00:06:58.800 --> 00:07:01.238 ออสเตเรียน จีวัล บีทเทิล (Australian jewel beetle) 00:07:01.238 --> 00:07:04.349 มีร่องบุ๋ม เป็นเงามัน และสีน้ำตาล 00:07:04.349 --> 00:07:06.694 ตัวเมียบินไม่ได้ 00:07:06.694 --> 00:07:10.711 แมลงตัวผู้ กำลังมองหาตัวเมียสวย ๆ 00:07:10.711 --> 00:07:14.659 เมื่อมันพบแล้ว มันก็จะเข้าคู่ และผสมพันธุ์ 00:07:14.659 --> 00:07:17.130 ยังมีอีกสปีชีส์หนึ่งในชุมชนห่างไกลนั้น 00:07:17.130 --> 00:07:18.464 โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) 00:07:18.464 --> 00:07:21.531 ตัวผู้ของสปีชีส์นี้มีสมองขนาดใหญ่ 00:07:21.531 --> 00:07:25.479 ที่เอาไว้ใช้สำหรับล่าหาเบียร์เย็น ๆ 00:07:25.889 --> 00:07:27.168 (เสียงหัวเราะ) 00:07:27.168 --> 00:07:29.542 และเมื่อเขาพบเข้าแล้ว เขาก็จะดื่มมัน 00:07:29.542 --> 00:07:32.932 และบางทีก็จะขว้างขวดทิ้งไปในชุมชนนั้น 00:07:32.932 --> 00:07:37.180 ทีนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ ขวดที่มีร่อง เป็นเงามัน 00:07:37.180 --> 00:07:41.320 และมีสีน้ำตาลกำลังพอดี ก็กระตุ้นความใคร่ของแมลงเหล่านี้ 00:07:42.772 --> 00:07:46.235 พวกตัวผู้เข้ารุมล้อมขวด พยายามที่จะจับคู่ผสมพันธุ์ 00:07:47.582 --> 00:07:50.369 พวกมันหมดความสนใจกับตัวเมียจริง ๆ 00:07:50.369 --> 00:07:54.572 ตัวอย่างคลาสสิกของตัวผู้ ที่หนีตัวเมียไปหาขวด 00:07:54.572 --> 00:07:57.519 (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) 00:07:59.402 --> 00:08:01.773 แมลงสปีชีส์นี้เกือบที่จะสูญพันธุ์ 00:08:02.443 --> 00:08:06.752 ประเทศออสเตรเลียจำต้องเปลี่ยนสีขวด เพื่อที่จะช่วยแมลงพวกนี้ 00:08:06.752 --> 00:08:09.752 (เสียงหัวเราะ) 00:08:09.752 --> 00:08:13.960 เอาละ แมลงตัวผู้ตามหาตัวเมียได้สำเร็จ มาเป็นพัน ๆ ปี 00:08:13.960 --> 00:08:16.398 หรืออาจจะเป็นล้าน ๆ ปี 00:08:16.398 --> 00:08:20.832 เหมือนว่ามันเห็นความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น แต่เอาเข้าจริงแล้วไม่ใช่ 00:08:20.832 --> 00:08:23.689 วิวัฒนาการได้มอบทางลัดให้กับพวกมัน 00:08:23.689 --> 00:08:28.425 ตัวเมียคืออะไรก็ตามที่มีร่องบุ๋ม เป็นเงามัน และเป็นสีน้ำตาล 00:08:28.425 --> 00:08:30.701 ยิ่งใหญ่ยิ่งดี 00:08:30.701 --> 00:08:32.535 (เสียงหัวเราะ) 00:08:32.535 --> 00:08:37.375 แม้ว่ามันจะคลานไปซะทั่วขวดแล้ว ตัวผู้ก็ยังไม่พบข้อผิดพลาดของมัน NOTE Paragraph 00:08:37.945 --> 00:08:41.590 ครับ คุณอาจจะบอกว่า แมลงเหรอ แหงสิ พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ 00:08:41.590 --> 00:08:43.448 เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหรอก 00:08:43.448 --> 00:08:46.165 สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไม่ถูกตบตาหรอก 00:08:46.165 --> 00:08:52.178 เอาล่ะครับ ผมคงไม่ยึดติดกับมันหรอก แต่คุณคงพอเห็นแนวคิดนะครับ (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:08:52.178 --> 00:08:55.336 ฉะนั้น สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามทางเทคนิคที่สำคัญ 00:08:55.336 --> 00:09:01.327 การคัดเลือกทางธรรมชาติ สนับสนุนการมองเห็นความเป็นจริงงั้นหรือ NOTE Paragraph 00:09:01.877 --> 00:09:05.413 โชคดี ที่เราไม่จำต้องซี้ซั้วเดา 00:09:05.413 --> 00:09:08.594 วิวัฒนาการ เป็นทฤษฎีที่มีความแน่นอนในเชิงคณิตศาสตร์ 00:09:08.594 --> 00:09:12.147 เราสามารถใช้สมการของวิวัฒนาการ ในการตรวจสอบได้ 00:09:12.147 --> 00:09:16.300 เราสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ แข่งขันกัน ในโลกสมมติ 00:09:16.300 --> 00:09:18.253 และดูว่าสิ่งมีชีวิตใดจะอยู่รอด และพัฒนาได้ 00:09:18.253 --> 00:09:21.806 ระบบการรับสัมผัสใดจะเหมาะสมมากกว่า NOTE Paragraph 00:09:21.806 --> 00:09:25.891 สิ่งสำคัญในสมการนี้คือความเหมาะสม 00:09:25.891 --> 00:09:28.586 ลองพิจารณาเนื้อก้อนนี้ดู 00:09:29.956 --> 00:09:32.918 เนื้อก้อนนี้จะมีผลกระทบอะไร ต่อความเหมาะสมของสัตว์ 00:09:33.438 --> 00:09:39.454 สำหรับสิงโตหิวโหยที่กำลังจ้องจะกิน มันเสริมสร้างความเหมาะสม 00:09:40.179 --> 00:09:44.773 สำหรับสิงโตที่อิ่มดีที่กำลังมองหาคู่ มันไม่ได้ช่วยเสริมสร้างความเหมาะสม 00:09:46.053 --> 00:09:49.924 และสำหรับกระต่ายในสถานะใด ๆ มันไม่ได้ช่วยเสริมสร้างความเหมาะสม 00:09:49.924 --> 00:09:54.048 ฉะนั้น ใช่ครับ ความเหมาะสมขึ้นอยู่กับ ความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น 00:09:54.048 --> 00:09:58.236 แต่ยังคงขึ้นอยู่กับสิ่งมีชีวิต สถานะของมันและการกระทำของมัน 00:09:58.236 --> 00:10:01.789 ความเหมาะสมไม่ได้เป็นอย่างเดียวกัน กับความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น 00:10:01.789 --> 00:10:05.272 และมันคือความเหมาะสม ไม่ใช่ความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น 00:10:05.272 --> 00:10:09.451 ที่เป็นตัวเลขที่สำคัญอย่างยิ่ง ในสมการของวิวัฒนาการ NOTE Paragraph 00:10:09.451 --> 00:10:12.642 ดังนั้น ในห้องทดลองของผม 00:10:12.642 --> 00:10:16.417 พวกเราได้ดำเนินการกับการจำลองเกมส์วิวัฒนาการ เป็นแสน ๆ ครั้ง 00:10:16.417 --> 00:10:19.482 ด้วยการสุ่มเลือกโลก 00:10:19.482 --> 00:10:23.661 และเป็นสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ให้พวกมัน แข่งขันแก่งแย่งแหล่งอาหารกัน 00:10:23.661 --> 00:10:27.980 สิ่งมีชีวิตบางอย่างเห็นความเป็นจริงทั้งหมด 00:10:27.980 --> 00:10:29.869 ชนิดอื่น ๆ เห็นเพียงบางส่วนของความเป็นจริง 00:10:29.869 --> 00:10:31.974 และบางชนิด ไม่เห็นความเป็นจริงเลย 00:10:31.974 --> 00:10:33.740 มีเพียงแค่ความเหมาะสม 00:10:34.240 --> 00:10:35.820 ใครจะเป็นผู้ชนะ NOTE Paragraph 00:10:36.290 --> 00:10:42.255 ครับ ผมเกลียดจริง ๆ ที่จะเฉลยให้คุณฟังว่า การตระหนักรู้ความเป็นจริงนั้นสูญพันธุ์ 00:10:42.255 --> 00:10:44.164 ในเกือบทุกแบบจำลอง 00:10:44.164 --> 00:10:46.346 สิ่งมีชีวิตที่ไม่เห็นความเป็นจริงเลย 00:10:46.346 --> 00:10:48.436 แต่มุ่งไปหาความเหมาะสม 00:10:48.436 --> 00:10:53.660 ขับเคลื่อนการสูญพันธุ์สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ที่เห็นความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น 00:10:53.660 --> 00:10:58.250 ฉะนั้น สิ่งสำคัญก็คือ วิวัฒนาการไม่ได้ส่งเสริม 00:10:58.250 --> 00:10:59.906 หรือทำให้การตระหนักรู้นั้นแม่นยำ 00:10:59.906 --> 00:11:03.668 การตระหนักรู้ถึงความเป็นจริงสูญพันธุ์ไป NOTE Paragraph 00:11:03.668 --> 00:11:05.688 ครับ มันน่าตกใจไม่น้อย 00:11:05.688 --> 00:11:09.370 มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่การไม่เห็นโลกอย่างแม่นยำ 00:11:09.370 --> 00:11:11.190 สร้างความได้เปรียบในการอยู่รอดให้กับเรา 00:11:11.190 --> 00:11:13.303 มันอาจเหมือนกับการตอบโต้ทางสัญชาตญาณ 00:11:13.303 --> 00:11:15.138 แต่จำไว้นะครับว่า จีวัล บีทเทิล 00:11:15.138 --> 00:11:18.899 แมลงที่อยู่รอดมาเป็นพัน ๆ ปี บางทีอาจจะเป็นล้าน ๆ ปี 00:11:18.899 --> 00:11:21.593 ใช้กลเม็ดและการวิธีลัดแบบง่าย ๆ 00:11:21.593 --> 00:11:24.770 สิ่งที่สมการวิวัฒนาการกำลังบอกกับเรา 00:11:24.770 --> 00:11:30.413 คือสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง รวมถึงเราด้วย อยู่บนเรือลำเดียวกัน กับจีวัล บีทเทิล 00:11:30.413 --> 00:11:32.343 เราไม่ได้เห็นความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น 00:11:32.343 --> 00:11:36.615 เราถูกหล่อหลอมขึ้นด้วยกลเม็ด และวิธีลัดที่ทำให้เราอยู่รอด NOTE Paragraph 00:11:36.615 --> 00:11:38.635 ถึงอย่างนั้น 00:11:38.635 --> 00:11:40.702 เราต้องการอะไรบางอย่างจากการหยั่งรู้ของเรา 00:11:40.702 --> 00:11:45.485 การไม่ยอมรับความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น มีประโยชน์อย่างไร 00:11:45.485 --> 00:11:49.154 ครับ โชคดี เรามีการเปรียบเปรยที่ช่วยเราได้มาก 00:11:49.154 --> 00:11:51.986 หน้าจออินเทอร์เฟสคอมพิวเตอร์ของคุณนั่นเอง 00:11:51.986 --> 00:11:56.119 ลองพิจารณาไอคอนสีฟ้า สำหรับ TED Talk ที่คุณกำลังเขียนถึง 00:11:56.119 --> 00:12:00.123 ทีนี้ ไอคอนนั้นเป็นสีฟ้าและเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้า 00:12:00.123 --> 00:12:02.504 และอยู่ที่มุมขวาด้านล่างของหน้าจอ 00:12:03.324 --> 00:12:07.510 นั่นหมายความว่า ไฟล์ข้อความในคอมพิวเตอร์เองนั้นเป็นสีฟ้า 00:12:07.850 --> 00:12:11.955 เป็นกล่องสี่เหลี่ยม และอยู่ตรงที่มุมขวาด้านล่าง ของคอมพิวเตอร์อย่างงั้นหรือ 00:12:11.955 --> 00:12:13.278 ไม่ใช่หรอก 00:12:13.278 --> 00:12:17.987 ใคร ๆ ที่คิดอย่างนั้นตีความจุดประสงค์ ของอินเทอร์เฟสผิดไป 00:12:17.987 --> 00:12:20.755 มันไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงความเป็นจริง ของคอมพิวเตอร์ 00:12:20.755 --> 00:12:23.680 อันที่จริง มันอยู่ตรงนั้นเพื่อที่จะ ซ่อนความเป็นจริง 00:12:23.680 --> 00:12:25.555 คุณไม่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับไดโอด 00:12:25.555 --> 00:12:27.805 และตัวต้านทาน และซอฟแวร์หลายเมกะไบต์ 00:12:27.805 --> 00:12:30.936 ถ้าคุณจะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งนั้น คุณคงจะเขียนไฟล์ข้อความ 00:12:30.936 --> 00:12:32.411 หรือแก้ไขภาพของคุณไม่ได้หรอก 00:12:32.411 --> 00:12:37.128 ฉะนั้นแนวคิดคือว่า วิวัฒนาการให้อินเทอร์เฟสกับเรา 00:12:37.128 --> 00:12:41.443 ที่ซ่อนความเป็นจริง และให้แนวทางพฤติกกรรมที่ปรับเปลี่ยนได้ 00:12:41.443 --> 00:12:44.461 ที่ว่างและเวลา ที่คุณตระหนักรู้ถึงพวกมันได้ในตอนนี้ 00:12:44.461 --> 00:12:46.635 เป็นหน้าจอของคุณ 00:12:46.635 --> 00:12:51.372 ทางกายภาพต่าง ๆ คือไอคอนบนหน้าจอ NOTE Paragraph 00:12:52.192 --> 00:12:54.413 แต่มีข้อโต้แย้งที่ค่อนข้างชัดเจน 00:12:54.413 --> 00:12:58.361 ฮอฟแมน ถ้าคุณคิดว่ารถไฟวิ่งมาตามราง ด้วยความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมง 00:12:58.361 --> 00:13:00.822 เป็นแค่ไอคอนบนหน้าจอ 00:13:00.822 --> 00:13:02.947 ทำไมคุณไม่เดินลงไปขวางล่ะ 00:13:02.947 --> 00:13:05.240 และหลังจากที่คุณจากไปแล้ว พร้อมกับทฤษฎีของคุณ 00:13:05.240 --> 00:13:08.554 เรารู้ว่ามันเป็นรถไฟ มากกว่าจะเป็นเพียงแค่ไอคอน 00:13:08.554 --> 00:13:10.597 ครับ ผมคงจะไม่ลงไปยืนขวางรถไฟ 00:13:10.597 --> 00:13:12.153 ด้วยเหตุผลเดียวกัน 00:13:12.153 --> 00:13:16.448 ผมคงจะไม่ลากไอคอน ทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ระมัดระวัง 00:13:16.448 --> 00:13:19.629 ไม่ใช่เพราะว่าผมเข้าใจว่าไอคอน เป็นแบบนั้นจริง ๆ -- 00:13:19.629 --> 00:13:22.634 ไฟล์ก็ไม่ได้เป็นสีฟ้าจริง ๆ หรือเป็นแค่กล่องสี่เหลี่ยม -- 00:13:22.934 --> 00:13:25.260 แต่ผมต้องจริงจังกับมันมากเพราะ 00:13:25.260 --> 00:13:27.291 ผมอาจเสียงานที่ผมทำไว้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ 00:13:27.291 --> 00:13:29.845 คล้ายกัน วิวัฒนาการหล่อหลอมเรา 00:13:29.845 --> 00:13:34.281 ด้วยสัญลักษณ์ที่เราตระหนักรู้ได้ ที่ถูกออกแบบไว้เพื่อทำให้เรามีชีวิตอยู่รอด 00:13:34.811 --> 00:13:37.276 เราควรที่จะจริงจังกับมันจริง ๆ 00:13:37.276 --> 00:13:39.481 ถ้าคุณเห็นงู ก็ไม่ควรจะหยิบมันขึ้นมา 00:13:40.391 --> 00:13:43.150 ถ้าคุณเห็นหน้าผา ก็อย่าได้กระโดดลงไป 00:13:43.150 --> 00:13:46.726 พวกมันถูกออกแบบมาเพื่อให้พวกเราปลอดภัย และเราควรจะจริงจังกับพวกมัน 00:13:46.726 --> 00:13:49.417 นั่นไม่ได้หมายความว่า เราไม่ควรที่จะเข้าใจแบบนั้นจริง ๆ 00:13:49.417 --> 00:13:51.671 นั่นมันตรรกะวิบัติแล้วล่ะ NOTE Paragraph 00:13:51.671 --> 00:13:54.876 อีกหนึ่งข้อโต้แย้งก็คือ มันไม่มีอะไรใหม่จริง ๆ เลยหรือ 00:13:54.876 --> 00:13:58.800 นักฟิสิกส์เคยบอกเรามานานแล้วว่า โลหะของรถไฟที่ดูแล้วเป็นของแข็ง 00:13:58.800 --> 00:14:03.188 ที่จริงมันเกือบจะมีแต่ที่ว่างเปล่า เพราะมีอนุภาคระดับไมโครวิ่งไปรอบ ๆ 00:14:03.188 --> 00:14:04.676 ไม่มีอะไรใหม่เลยตรงนี้ 00:14:04.676 --> 00:14:06.880 ก็ ไม่ถึงกับเป็นอย่างนั้นหรอกครับ 00:14:06.880 --> 00:14:10.920 มันเหมือนกับการบอกว่า ผมรู้ว่ามีไอคอนสีฟ้าบนหน้าจอ 00:14:10.920 --> 00:14:13.219 ไม่ได้เป็นความเป็นจริงของคอมพิวเตอร์ 00:14:13.219 --> 00:14:16.678 แต่ถ้าผมเอาแว่นขยายที่ไว้ใจได้ออกมา และส่องเข้าไปดูใกล้ ๆ 00:14:16.678 --> 00:14:18.489 ผมจะเห็นพิกเซล (pixel) เล็ก ๆ 00:14:18.489 --> 00:14:20.950 และนั่นคือความเป็นจริงของคอมพิวเตอร์ 00:14:20.950 --> 00:14:24.758 ครับ ก็ไม่ใช่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรอก-- คุณยังอยู่กับหน้าจอ และนั่นแหละครับประเด็น 00:14:24.758 --> 00:14:27.754 อนุภาคระดับไมโครเหล่านั้น ยังคงอยู่ในที่ว่างและเวลา 00:14:27.754 --> 00:14:30.145 พวกมันยังอยู่ในอินเทอร์เฟสของผู้ใช้ 00:14:30.145 --> 00:14:33.907 ฉะนั้น ผมกำลังพูดถึงบางอย่าง ที่มันสุดโต่งกว่าที่นักฟิสิกส์ว่าไว้ NOTE Paragraph 00:14:34.727 --> 00:14:36.200 สุดท้าย คุณอาจโต้แย้งได้อีกว่า 00:14:36.200 --> 00:14:38.759 เอาล่ะ เราทุกคนเห็นรถไฟ 00:14:38.759 --> 00:14:41.801 ฉะนั้น ไม่มีใครสร้างภาพรถไฟขึ้นมาเอง 00:14:41.801 --> 00:14:43.891 แต่จำตัวอย่างนี้ได้นะครับ 00:14:43.891 --> 00:14:46.607 ในตัวอย่างนี้ เราทุกคนเห็นลูกบาศก์ 00:14:47.597 --> 00:14:49.690 แต่จอภาพแบน 00:14:49.690 --> 00:14:52.427 ฉะนั้น ลูกบาศก์ที่คุณเห็น เป็นลูกบาศก์ที่คุณสร้างภาพขึ้น 00:14:53.736 --> 00:14:55.779 เราทุกคนเห็นลูกบาศก์ 00:14:55.779 --> 00:15:00.638 เพราะว่าเราทุกคน แต่ละคน สร้างภาพลูกบาศก์ที่เราเห็น 00:15:00.638 --> 00:15:02.698 ซึ่งเป็นจริงเช่นเดียวกับรถไฟ 00:15:02.698 --> 00:15:07.180 เราทุกคนเห็นรถไฟเพราะว่า เราแต่ละคนเห็นรถไฟที่เราสร้างภาพขึ้นมา 00:15:07.180 --> 00:15:10.733 และมันก็เป็นจริงกับวัตถุทางกายภาพทั้งหลาย NOTE Paragraph 00:15:12.343 --> 00:15:17.396 เราถูกทำให้โน้มเอียงการคิดว่าการตระหนักรู้ เหมือนกับหน้าต่างบนความจริงอย่างที่มันเป็น 00:15:17.396 --> 00:15:22.400 ทฤษฎีวิวัฒนาการกำลังบอกเราว่า มันเป็นการตีความที่ผิดพลาด 00:15:22.400 --> 00:15:23.865 ของการตระหนักรู้ของเรา 00:15:25.095 --> 00:15:28.639 ความจริงแล้ว ความเป็นจริงเป็นมากกว่าหน้าจอสามมิติ 00:15:28.639 --> 00:15:31.936 ที่ถูกออกแบบมา ให้ซ่อนความสลับซับซ้อน ของโลกแห่งความเป็นจริง 00:15:31.936 --> 00:15:33.802 และให้แนวทางกับพฤติกรรมที่ปรับเปลี่ยนได้ 00:15:34.282 --> 00:15:37.210 ที่ว่างอย่างที่คุณยอมรับ ว่ามันอยู่บนหน้าจอของคุณ 00:15:37.210 --> 00:15:40.236 วัตถุทางกายภาพเป็นเพียงแค่ไอคอนบนหน้าจอ NOTE Paragraph 00:15:41.456 --> 00:15:45.126 เราเคยคิดว่าโลกแบน เพราะดูแล้วมันเป็นแบบนั้น 00:15:45.520 --> 00:15:48.654 จากนั้น เราคิดว่าโลกอยู่นิ่ง ๆ เป็นศูนย์กลางของความเป็นจริง 00:15:48.654 --> 00:15:50.378 เพราะดูแล้วมันเป็นแบบนั้น 00:15:50.378 --> 00:15:51.520 เราผิดไปแล้ว 00:15:51.520 --> 00:15:54.190 เราได้ตีความการตระหนักรู้ของเราผิดไป 00:15:54.910 --> 00:15:58.319 ทีนี้ เราเชื่อว่า มิติเวลา และวัตถุต่าง ๆ 00:15:58.319 --> 00:16:00.933 เป็นธรรมชาติของความจริงอย่างที่มันเป็น 00:16:01.453 --> 00:16:05.377 ทฤษฎีวิวัฒนาการกำลังบอกเรา ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าเราผิด 00:16:05.377 --> 00:16:10.416 เรากำลังตีความเนื้อหาประสบการณ์การตระหนักรู้ของเรา อย่างผิด ๆ 00:16:10.416 --> 00:16:12.947 บางสิ่งมีตัวตนอยู่เมื่อคุณไม่ได้มอง 00:16:12.947 --> 00:16:16.350 แต่มันไม่ใช่มิติเวลาและวัตถุทางกายภาพ 00:16:16.350 --> 00:16:19.378 สำหรับเราการปล่อยวางจากเรื่องมิติเวลาและวัตถุต่าง ๆ 00:16:19.378 --> 00:16:22.861 มันยากพอ ๆ กับที่ จีวัล บีทเทิล จะปล่อยวางจากขวดของมัน 00:16:22.861 --> 00:16:27.279 ทำไมน่ะหรือ เพราะว่าเราถูกทำไห้มองไม่เห็น ความสามารถในการมองเห็นของเราเอง 00:16:28.409 --> 00:16:30.756 แต่เรามีข้อได้เปรียบเหนือกว่าจีวัล บีทเทิล 00:16:30.756 --> 00:16:32.544 เรามีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเรา 00:16:32.544 --> 00:16:34.935 ด้วยการจ้องมองผ่านเลนส์ของกล้องโทรทัศน์ 00:16:34.935 --> 00:16:39.571 เราค้นพบว่าโลกไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ เป็นศูนย์กลางของความเป็นจริง 00:16:39.571 --> 00:16:42.449 และด้วยการมองผ่านเลนส์ของทฤษฎีวิวัฒนาการ 00:16:42.449 --> 00:16:44.771 เราค้นพบว่ามิติเวลาและวัตถุต่าง ๆ 00:16:44.771 --> 00:16:47.139 ไม่ได้เป็นธรรมชาติของความเป็นจริง 00:16:47.139 --> 00:16:51.424 เมื่อผมมีประสบการณ์เชิงการตระหนักรู้ ที่ผมอธิบายว่าเป็นมะเขือเทศแดง 00:16:51.424 --> 00:16:54.361 ผมมีปฎิสัมพันธ์กับความเป็นจริง 00:16:54.361 --> 00:16:59.571 แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่มะเขือเทศแดง และไม่มีอะไรเหมือนมะเขือเทศแดง 00:16:59.571 --> 00:17:04.972 คล้ายกัน เมื่อผมมีประสบการณ์ ที่ผมอธิบายว่าเป็นสิงโตหรือเนื้อก้อน 00:17:04.972 --> 00:17:06.820 ผมมีปฏิสัมพันธ์กับความเป็นจริง 00:17:06.820 --> 00:17:09.978 แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่สิงโตหรือเนื้อก้อน 00:17:09.978 --> 00:17:11.998 และที่ทำให้ฉุกคิดก็คือ 00:17:11.998 --> 00:17:16.688 เมื่อผมมีประสบการณ์เชิงการตระหนักรู้ ที่ผมอธิบายว่าเป็นสมอง หรือเซลล์ประสาท 00:17:16.688 --> 00:17:18.778 ผมมีปฏิสัมพันธ์กับความเป็นจริง 00:17:18.778 --> 00:17:22.307 แต่ความเป็นจริงไม่ใช่สมองหรือเซลล์ประสาท 00:17:22.307 --> 00:17:25.805 และไม่มีอะไรเหมือนกับสมองหรือเซลล์ประสาท 00:17:25.805 --> 00:17:30.584 และความเป็นจริงนั้น ไม่ว่ามันคืออะไร 00:17:30.584 --> 00:17:34.195 เป็นต้นกำเนิดที่แท้จริงของเหตุและผล 00:17:34.195 --> 00:17:38.227 ในโลก -- ไม่ใช่สมอง ไม่ใช่เซลล์ประสาท 00:17:38.227 --> 00:17:40.827 สมองและเซลล์ประสาทไม่มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกัน 00:17:40.827 --> 00:17:43.428 พวกมันไม่ได้ก่อให้เกิดประสบการณ์เชิงตระหนักรู้เรา 00:17:43.428 --> 00:17:45.216 และพฤติกรรมใดของเรา 00:17:45.216 --> 00:17:50.592 สมองและเซลล์ประสาทเป็นชุดสัญลักษณ์ ที่เฉพาะเจาะจงต่อสปีชีส์ มันเป็นทางลัด NOTE Paragraph 00:17:50.592 --> 00:17:53.273 มันความหมายถึงอะไรต่อปริศนาของจิตสำนึก 00:17:53.923 --> 00:17:57.916 มันเปิดเผยความเป็นไปได้สิ่งใหม่ ๆ 00:17:57.916 --> 00:17:59.611 ยกตัวอย่างเช่น 00:17:59.611 --> 00:18:06.590 บางที ความเป็นจริงคือเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ที่เป็นสาเหตุของประสบการณ์จิตสำนึก 00:18:06.590 --> 00:18:10.260 ผมสงสัยครับ แต่มันก็คุ้มค่าที่จะสำรวจ 00:18:10.260 --> 00:18:15.609 บางที ความเป็นจริงคือเครือข่ายปฏิสัมพันธ์ ที่ยิ่งใหญ่ของสสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับจิตสำนึก 00:18:15.609 --> 00:18:21.182 ทั้งที่เรียบง่ายและสลับซับซ้อน ที่ทำให้เกิดประสบการณ์จิตสำนึก 00:18:21.182 --> 00:18:24.432 อันที่จริง มันไม่ได้ฟังดูบ้าอย่างที่คิด 00:18:24.432 --> 00:18:26.052 และผมก็กำลังทำการสำรวจอยู่ NOTE Paragraph 00:18:26.592 --> 00:18:28.658 แต่ประเด็นก็คือว่า 00:18:28.658 --> 00:18:31.979 เมื่อเรายอมปล่อยวางการหยั่งรู้ ที่มีมามากมายของเรา 00:18:31.979 --> 00:18:35.903 แต่ก็ยังมีข้อสมมุติที่ยังผิดพลาดอยู่อย่าง มากมายเกี่ยวกับธรรมชาติของความจริง 00:18:35.903 --> 00:18:40.291 มันเปิดทางใหม่ให้เราได้คิด เกี่ยวกับปริศนาชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 00:18:41.251 --> 00:18:45.860 ผมขอพนันเลยว่า ความจริงจะน่าสนใจ 00:18:45.860 --> 00:18:49.834 และเหนือความคาดหมาย กว่าที่เราเคยได้จินตนาการเอาไว้ NOTE Paragraph 00:18:49.834 --> 00:18:54.222 ทฤษฎีวิวัฒนาการแสดงให้เราเห็น ถึงความท้าทายอย่างที่สุด 00:18:54.222 --> 00:18:59.364 ความท้าทายที่จะรู้ว่าการตระหนักรู้ ไม่ใช่แค่การเห็นความจริง 00:18:59.364 --> 00:19:03.460 มันเกี่ยวกับการมีลูกหลาน 00:19:03.460 --> 00:19:08.200 แล้วแม้แต่งาน TED ครั้งนี้ มันก็แค่จินตนาการในสมองของคุณเท่านั้นแหละ NOTE Paragraph 00:19:08.200 --> 00:19:10.244 ขอบคุณมาก ๆ ครับ NOTE Paragraph 00:19:10.244 --> 00:19:13.632 (เสียงปรบมือ) NOTE Paragraph 00:19:20.786 --> 00:19:24.221 คริส แอนเดอร์สัน : ถ้าหากว่าคุณอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ขอบคุณนะครับ 00:19:24.221 --> 00:19:27.152 มีเรื่องราวมากมายเลยจากการบรรยายในครั้งนี้ 00:19:27.152 --> 00:19:30.421 อย่างแรกเลย บางคนอาจรู้สึกหดหู่อย่างสุด ๆ 00:19:30.421 --> 00:19:35.970 กับความคิดที่ว่า ถ้าหากวิวัฒนาการไม่ได้ส่งเสริมความเป็นจริง 00:19:35.970 --> 00:19:39.300 ผมหมายความว่า ในบางแง่มุม มันคงจะไม่กร่อนทำลายความพยายามของเรา 00:19:39.300 --> 00:19:41.984 ความสามารถของคนเราที่จะคิดว่า เราสามารถคิดความจริงได้หรือครับ 00:19:41.984 --> 00:19:45.490 แม้ว่าจะรวมเอาทฤษฎีของคุณเข้าไปด้วยแล้ว ถ้าคุณหมายความถึงเช่นนั้น NOTE Paragraph 00:19:45.490 --> 00:19:49.944 โดนัล ฮอฟแมน : ครับ มันไม่ได้ห้ามเรา ไม่ให้ประสบความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ 00:19:49.944 --> 00:19:52.756 สิ่งที่เราได้คือทฤษฎีหนึ่งที่ กลายเป็นว่ามันได้ผิดพลาดไป 00:19:52.756 --> 00:19:57.215 และการมองเห็นก็เหมือนกับความเป็นจริง และความเป็นจริงก็เหมือนกับการมองเห็นของเรา 00:19:57.215 --> 00:19:58.900 ทฤษฎีนั้นกลายเป็นว่ามันผิดพลาดไป 00:19:58.900 --> 00:20:00.318 เอาล่ะ โยนทฤษฎีนั้นทิ้งไป 00:20:00.318 --> 00:20:03.572 นั่นมันไม่ไช่หยุดยั้งเราให้ตั้งสมมุติฐานสำหรับทฤษฎีอื่น ๆ 00:20:03.572 --> 00:20:04.930 ในเรื่องธรรมชาติของความเป็นจริง 00:20:04.930 --> 00:20:08.535 ฉะนั้น ที่จริงแล้วมันเป็นความก้าวหน้า ที่เราจะรู้ว่าทฤษฎีของเรานั้นผิด 00:20:08.535 --> 00:20:11.193 วิทยาศาสตร์ยังดำเนินการต่อไปตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไรครับ NOTE Paragraph 00:20:11.193 --> 00:20:13.794 คริส:ถ้าอย่างนั้นคุณก็คิดว่ามันเป็นไปได้ -- (เสียงหัวเราะ) -- 00:20:13.794 --> 00:20:17.904 เจ่งดีครับ จากที่คุณพูด ผมคิดว่ามันเป็นไปได้ 00:20:17.904 --> 00:20:20.551 ที่วิวัฒนาการยังจะพาคุณไปยังเหตุผล NOTE Paragraph 00:20:20.551 --> 00:20:22.864 โดนัล: ครับ นั่นเป็นคำถามที่น่าสนใจมากครับ 00:20:22.864 --> 00:20:27.391 แบบจำลองเกมส์วิวัฒนาการที่ผมแสดงให้ดู มันเฉพาะเจาะจงต่อการตระหนักรู้ 00:20:27.391 --> 00:20:29.969 และพวกมันแสดงให้เห็นว่า การตระหนักรู้ได้ถูกหล่อหลอม 00:20:29.969 --> 00:20:31.849 ให้ไม่แสดงความจริงอย่างที่มันเป็นต่อเรา 00:20:31.849 --> 00:20:36.122 แต่นั่นไม่ได้มีความหมายอย่างเดียวกัน กับตรรกะ หรือคณิตศาสตร์ของพวกเรา 00:20:36.122 --> 00:20:39.744 เราไม่ได้ดำเนินการตามแบบจำลองเหล่านี้ แต่ผมขอพนันว่า เราจะพบว่า 00:20:39.744 --> 00:20:43.366 มีแรงขับบางอย่าง ในการเลือกตรรกะและคณิตศาสตร์ของเรา 00:20:43.366 --> 00:20:45.572 ให้มีทิศทางไปหาความจริงไม่มากก็น้อย 00:20:45.572 --> 00:20:48.219 ถ้าคุณเหมือนกับผม คณิตศาสตร์กับตรรกะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ 00:20:48.219 --> 00:20:51.570 เราไม่ได้เข้าใจมันดีหรอก แต่อย่างน้อย ๆ แรงขับในการเลือก 00:20:51.570 --> 00:20:53.908 ก็ไม่ได้เคลื่อนห่าง ออกจากคณิตศาสตร์และตรรกะจริง ๆ 00:20:53.908 --> 00:20:57.228 ฉะนั้น ผมคิดว่าเราจะได้พบว่า เราต้องดูความสามารถในการรับรู้แต่ละอย่าง 00:20:57.228 --> 00:20:59.852 ทีละอย่าง และดูว่าวิวัฒนาการกระทำอะไรกับมัน 00:20:59.852 --> 00:21:03.613 สิ่งที่จริงสำหรับการตระหนักรู้ อาจไม่เป็นจริงสำหรับคณิตศาสตร์และตรรกะ NOTE Paragraph 00:21:03.613 --> 00:21:07.607 คริส : สำหรับผม สิ่งที่คุณกำลังเสนอ มันเหมือนกับการตีความโลก 00:21:07.607 --> 00:21:09.998 ของ บิชอป เบิร์คลีย์ ในแบบใหม่ 00:21:09.998 --> 00:21:12.947 จิตสำนึกก่อให้เกิดสสาร ไม่ใช่ตรงกันข้ามกัน NOTE Paragraph 00:21:12.947 --> 00:21:15.339 โดนัล : มันต่างไปจากของเบิร์คลีย์นิดหน่อยครับ 00:21:15.339 --> 00:21:18.701 เบิร์คลีย์คิดว่า เขาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า และเขาคิดว่าที่สุดของธรรมชาติความเป็นจริง 00:21:18.701 --> 00:21:20.740 ก็คือพระเจ้า เป็นต้น 00:21:20.740 --> 00:21:23.850 ผมไม่จำต้องไปในแนวทางเดียวกับเบิร์คลีย์ 00:21:23.850 --> 00:21:26.545 ฉะนั้น มันค่อนข้างแตกต่างไปจากเบิร์คลีย์ นิดหน่อย 00:21:27.725 --> 00:21:31.235 ผมเรียกมันว่าความเป็นจริงจากจิตสำนึก มันเป็นวิธีการที่แตกต่างออกไปอย่างมาก NOTE Paragraph 00:21:31.235 --> 00:21:34.825 คริส : ดอน ผมคงได้คุยกับคุณได้เป็นชั่วโมงๆ ผมอยากจริง ๆ เลยครับ NOTE Paragraph 00:21:34.825 --> 00:21:37.298 ขอบคุณมาก ๆ นะครับ ดอน : ขอบคุณครับ (เสียบปรบมือ)