นี่คือสมองของคุณตอนกำลังสื่อสาร
-
0:01 - 0:03ลองนึกว่าคุณประดิษฐ์อุปกรณ์สักอย่าง
-
0:03 - 0:05ที่สามารถบันทึกความทรงจำของผม
-
0:05 - 0:07ความฝันของผม ความคิดของผม
-
0:07 - 0:08และส่งมันไปยังสมองของคุณ
-
0:09 - 0:12นั่นมันคงจะเป็นเทคโนโลยีที่แปลกใหม่มาก
ใช่ไหมครับ -
0:12 - 0:15แต่อันที่จริง เรามีอุปกรณ์นี้อยู่แล้ว
-
0:15 - 0:18และมันถูกเรียกว่า ระบบการสื่อสารของมนุษย์
-
0:18 - 0:19และการเล่าเรื่องอย่างมีประสิทธิภาพ
-
0:20 - 0:22เพื่อที่จะทำความเข้าใจว่า
อุปกรณ์นี้ทำงานได้อย่างไร -
0:22 - 0:25เราต้องมองเข้าไปในสมองของเรา
-
0:25 - 0:28และเราต้องตั้งคำถาม
ในแบบที่ต่างไปจากปกติ -
0:28 - 0:30ทีนี้ เราต้องถามว่า
-
0:30 - 0:33รูปแบบเซลล์ประสาทในสมองของผมเหล่านี้
-
0:33 - 0:36ที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ
และความคิดของผม -
0:36 - 0:39ถูกส่งต่อไปยังสมองของคุณได้อย่างไร
-
0:40 - 0:43และเราคิดว่า มันมีสองปัจจัย
ที่ทำให้เราสามารถสื่อสารกันได้ -
0:43 - 0:47ประการแรก สมองของคุณตอนนี้
กำลังจับคู่ในทางกายภาพกับคลื่นเสียง -
0:47 - 0:50ที่ผมกำลังส่งออกไปยังสมองของคุณ
-
0:50 - 0:53และประการที่สอง เราพัฒนา
วิธีการทางประสาทพื้นฐาน -
0:53 - 0:55ที่สามารถทำให้เราสื่อสารกันได้
-
0:55 - 0:57แล้วเรารู้ได้อย่างไรล่ะ
-
0:57 - 0:59ในห้องทดลองของผมในพรินส์ตัน
-
0:59 - 1:03ผมนำคนเข้าเครื่อง fMRI
และเราถ่ายภาพสมอง -
1:03 - 1:07ในขณะที่พวกเขากำลังเล่าเรื่อง
หรือฟังเรื่องราวในชีวิตจริงอยู่ -
1:07 - 1:09และเพื่อให้คุณเข้าใจถึงสิ่งกระตุ้นที่เราใช้
-
1:09 - 1:13ให้ผมฉายเรื่องราวที่เราใช้
เป็นเวลา 20 วินาที -
1:13 - 1:16ซึ่งเรื่องนี้ถูกเล่า
โดยนักเล่าเรื่องที่มีพรสวรรค์มาก -
1:16 - 1:17จิม โอ กราดี
-
1:18 - 1:22(เสียง) จิม โอ กราดี: ผมนำเรื่องของผมมา
และผมก็รู้ว่ามันดูดี -
1:22 - 1:24และจากนั้นผมก็ทำให้มันดีขึ้น --
-
1:24 - 1:26(เสียงหัวเราะ)
-
1:26 - 1:29โดยการเพิ่มเติมเสริมแต่ง
-
1:30 - 1:33นักข่าวเรียกสิ่งนี้ว่า "การใส่สีตีไข่"
-
1:33 - 1:35(เสียงหัวเราะ)
-
1:36 - 1:39และพวกเขาแนะนำว่าอย่าข้ามเส้น
-
1:40 - 1:45แต่ผมก็ได้เห็นมาข้ามเส้น
ระหว่างผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งสูง -
1:45 - 1:46และก่อกวนหยอก ๆ
-
1:46 - 1:48และผมก็ค่อนข้างชอบมันน่ะครับ"
-
1:48 - 1:50ยูริ แฮสสัน: ครับ
ตอนนี้ลองมาดูสมองของคุณ -
1:50 - 1:53และมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อคุณฟังเรื่องพวกนี้ -
1:53 - 1:57และลองมาเริ่มกับอะไรง่าย ๆ ก่อน --
ลองมาเริ่มจากผู้ฟังคนหนึ่งและสมองบริเวณหนึ่ง -
1:58 - 2:01คอร์เท็กซ์ส่วนการฟังที่เกี่ยวข้องกับ
เสียงที่รับมาทางหู -
2:01 - 2:03และอย่างที่คุณเห็นในบางส่วนของสมอง
-
2:04 - 2:07การตอบสนองเพิ่มขึ้นและลดลง
เมื่อเรื่องราวถูกเปิดเผยมากขึ้น -
2:07 - 2:09ทีนี้ คุณสามารถนำการตอบสนองนี้
-
2:09 - 2:11ไปเปรียบเทียบกับการตอบสนอง
ที่ได้จากผู้ฟังคนอื่น ๆ -
2:11 - 2:13ในสมองบริเวณเดียวกัน
-
2:13 - 2:14และเราสามารถถามได้ว่า
-
2:14 - 2:17การตอบสนองของผู้ฟังทั้งหมด
มีความคล้ายคลึงกันมากแค่ไหน -
2:18 - 2:20ตรงนี้คุณได้เห็นผู้ฟังห้าคน
-
2:21 - 2:24และเราเริ่มสแกนด์สมองของพวกเขา
ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่อง -
2:24 - 2:28เมื่อพวกเขานอนนิ่ง ๆ อยู่ในความมืด
และรอให้เริ่มต้นขึ้น -
2:28 - 2:29อย่างที่คุณเห็น
-
2:29 - 2:32บริเวณสมองกำลังตอบสนองมากขึ้น
และน้อยลงในแต่ละส่วน -
2:32 - 2:34แต่การตอบสนองเหล่านี้
มีความแตกต่างกันมาก -
2:34 - 2:35และไม่ได้เกิดขึ้นไปพร้อมกัน
-
2:35 - 2:38อย่างไรก็ดี ในทันทีที่เริ่มเรื่อง
-
2:38 - 2:40อะไรบางอย่างที่น่าอัศจรรย์
ก็เกิดขึ้น -
2:41 - 2:44(เสียง) จิม: ผมก็เลยเล่าเรื่องออกมา
และผมก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ดี -
2:44 - 2:45และจากนั้น ผมเริ่มที่จะทำให้มัน --
-
2:45 - 2:49ยูริ: ทันใดนั้นเอง คุณสามารถเห็นได้ว่า
การตอบสนองในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด -
2:49 - 2:50จดจ่ออยู่กับเรื่องราว
-
2:50 - 2:53และตอนนี้พวกมันก็เพิ่มขึ้นและลดลง
ในแบบที่คล้ายกัน -
2:53 - 2:55ในผู้ฟังทั้งหมด
-
2:55 - 2:58และอันที่จริง มันเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ในสมองของคุณตอนนี้ -
2:58 - 3:01เมื่อคุณกำลังฟังเสียงพูดของผม
-
3:01 - 3:04เราเรียกผลนี้ว่า
"การเข้าผสมทางธรรมชาติ" -
3:04 - 3:07และเพื่อที่จะอธิบายกับคุณ
ว่าการเข้าผสมธรรมชาตินี้คืออะไร -
3:07 - 3:09ให้ผมได้อธิบายก่อนว่า
การเข้าผสมทางกายภาพคืออะไร -
3:10 - 3:13เราจะเห็นเครื่องทำจังหวะห้าเครื่อง
-
3:13 - 3:16คิดซะว่าเจ้าห้าเครื่องนี้
เป็นสมองห้าก้อน -
3:16 - 3:19และคล้ายกับผู้ฟังก่อนเริ่มเรื่อง
-
3:19 - 3:20เครื่องทำจังหวะเหล่านี้กำลังที่จะเคาะ
-
3:20 - 3:23แต่พวกมันจะไม่เคาะพร้อมกัน
-
3:23 - 3:27(เสียงเคาะ)
-
3:27 - 3:30เอาล่ะครับ ตอนนี้ดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อผมเชื่อมต่อพวกมัน -
3:31 - 3:33โดยนำพวกมันวางไว้บนทรงกระบอก
-
3:34 - 3:37(เสียงเคาะ)
-
3:37 - 3:40ตอนนี้ ทรงกระบอกสองอันนี้
เริ่มที่จะกลิ้ง -
3:40 - 3:43การสั่นของการกลิ้งนี้
เคลื่อนไปตามแผ่นไม้ -
3:43 - 3:46และมันจะจับคู่
เครื่องเข้าจังหวะทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน -
3:46 - 3:48และตอนนี้ลองฟังเสียงเคาะสิครับ
-
3:48 - 3:52(เสียงเคาะพร้อมกัน)
-
3:58 - 4:00นี่คือสิ่งที่คุณเรียกว่า
การเข้าผสมทางกายภาพ -
4:00 - 4:03ทีนี้ กลับไปยังสมอง
และลองถามคำถามที่ว่า -
4:03 - 4:05อะไรกันที่ขับเคลื่อน
การเข้าผสมธรรมชาติ -
4:05 - 4:08มันเป็นแค่เสียง
ที่ผู้พูดผลิตออกมาหรือเปล่า -
4:08 - 4:09หรือบางทีอาจเป็นคำ
-
4:09 - 4:13หรือบางทีมันเป็นความหมาย
ที่ผู้พูดพยายามที่จะสื่อสาร -
4:13 - 4:16เพื่อที่จะทดสอบ
เราทำการทดลองดังต่อไปนี้ -
4:16 - 4:19ประการแรก เรานำเรื่องราวมา
และเล่ามันย้อนกลับ -
4:19 - 4:22และนั่นเป็นการคงโครงสร้างเสียงดั้งเดิม
เอาไว้หลายส่วน -
4:22 - 4:24แต่เป็นการเอาความหมายออกไป
-
4:24 - 4:26และมันฟังดูเป็นแบบนี้ครับ
-
4:26 - 4:31(เสียง) จิม: (ข้อความที่ไม่ฟังไม่รู้เรื่อง)
-
4:31 - 4:34และเราให้สีกับสมองทั้งสอง
-
4:34 - 4:38เพื่อบ่งบอกบริเวณของสมอง
ที่ตอบสนองอย่างคล้ายกัน -
4:38 - 4:39และดังที่คุณได้เห็น
-
4:39 - 4:43เสียงที่เข้ามานี้เหนี่ยวนำการเข้าผสม
หรือการเทียบเคียงกันของสมองทั้งหมด -
4:43 - 4:45ในสมองส่วนการฟัง
ที่จัดการกับเสียงที่เข้ามา -
4:45 - 4:48แต่มันไม่ได้แผ่ขยายลึกเข้าไปในสมอง
-
4:48 - 4:51ทีนี้ เราสามารถนำเอาเสียงเหล่านี้
และสร้างคำขึ้นมา -
4:51 - 4:54ถ้าเราเอาจิม โอกราดี มา
และสลับคำพวกนั้น -
4:54 - 4:55เราจะได้รายการคำ
-
4:55 - 4:58(เสียง) จิม: ... สัตว์...
ข้อเท็จจริงที่หลากหลาย ... -
4:58 - 5:01และตรงนั้น ... ไพน์แมน ...
อย่างมีศักยภาพ ... เรื่องราวของผม -
5:01 - 5:04ยูริ: และคุณเห็นได้ว่าคำเหล่านี้
เริ่มที่จะเหนี่ยวนำการเทียบเคียง -
5:04 - 5:06ในส่วนภาษาส่วนแรก
แต่ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น -
5:06 - 5:10ทีนี้ เราสามารถเอาคำเหล่านี้มา
และเริ่มสร้างประโยคจากพวกมัน -
5:12 - 5:15(เสียง) จิม: และพวกเขาก็แนะนำว่า
อย่างข้ามเส้น -
5:16 - 5:20เขาบอกว่า "จิมที่รัก
นั่นเป็นเรื่องที่ดี รายละเอียดก็งาม -
5:20 - 5:23เธอไม่ได้รู้เรื่องเขาผ่านผมหรอกหรือ"
-
5:23 - 5:26ยูริ: ตอนนี้คุณสามารถเห็นได้
ถึงการตอบสนองในส่วนภาษาทั้งหมด -
5:26 - 5:27ที่จัดการกับภาษาที่เข้ามา
-
5:27 - 5:30ว่าพวกมันถูกเทียบเคียงและ
มีความใกล้เคียงกันในผู้ฟังทั้งหมด -
5:30 - 5:35อย่างไรก็ดี เมื่อพวกเราใช้เรื่องราวที่
สมบูรณ์ เข้าถึง และสอดคล้องกันเท่านั้น -
5:35 - 5:37ที่การตอบสนองจะแพร่กระจาย
ลึกลงไปในสมอง -
5:37 - 5:39เข้าไปยังบริเวณ
ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น -
5:39 - 5:42ซึ่งรวมถึงคอร์เทกซ์ส่วนหน้า
และคอร์เทกซ์ส่วนนอก -
5:42 - 5:44และทำให้พวกมันตอบสนอง
อย่างคล้ายคลึงกัน -
5:44 - 5:48และเราเชื่อว่าการตอบสนองเหล่านี้
ในบริเวณที่ซับซ้อนกว่าก็เกิดขึ้น -
5:48 - 5:50และมีความคล้ายคลึงกันในบรรดาผู้ฟัง
-
5:50 - 5:53เพราะว่าความหมายถูกสื่อโดยผู้พูด
-
5:53 - 5:54ไม่ใช่โดยคำพูดหรือเสียง
-
5:55 - 5:57และถ้าเรามาถูกทาง
การคาดคะแนที่น่าจะเป็นไปได้สูงก็คือ -
5:57 - 6:00ถ้าผมบอกคุณถึงแนวคิดเดียวกัน
-
6:00 - 6:02โดยใช้คำสองชุดที่ต่างกันมาก ๆ
-
6:02 - 6:05การตอบสมองของสมองของคุณ
จะยังคล้ายกัน -
6:05 - 6:09และเพื่อทำการทดสอบ
เราทำการทดลองดังต่อไปนี้ -
6:09 - 6:11เรานำเรื่องราวภาษาอังกฤษ
-
6:11 - 6:13และแปลมันเป็นภาษารัสเซีย
-
6:13 - 6:17ตอนนี้ คุณมีสองเสียงและระบบภาษา
ที่แตกต่างกัน -
6:17 - 6:20ที่สื่อถึงความหมายอย่างเดียวกัน
-
6:20 - 6:23และคุณเล่าเรื่องภาษาอังกฤษ
ให้กับผู้ฟังอังกฤษ -
6:23 - 6:26และเล่าเรื่องภาษารัสเซีย
ให้กับผู้ฟังรัสเซีย -
6:26 - 6:29และเราสามารถเปรียบเทียบ
การตอบสนองของพวกเขาในกลุ่มได้ -
6:29 - 6:32และเมื่อเราทำอย่างนั้น
เราไม่เห็นการตอบสนองที่คล้ายกัน -
6:32 - 6:35ในสมองส่วนการฟังในภาษา
-
6:35 - 6:37เพราะว่าภาษาและเสียง
มีความแตกต่างกันอย่างมาก -
6:37 - 6:40อย่างไรก็ดี คุณเห็นได้ว่า
การตอบสนองในบริเวณที่ซับซ้อนกว่า -
6:40 - 6:42ยังคงคล้ายกันในคนทั้งสองกลุ่ม
-
6:43 - 6:47เราเชื่อว่า นี่เป็นเพราะพวกเขา
เข้าใจเรื่องราวในแบบที่คล้ายกันมาก -
6:47 - 6:51ดังที่เรายืนยันได้ โดยการทดสอบ
หลังจากจบเรื่อง -
6:52 - 6:56และเราคิดว่า การเทียบเคียงนี้
มีความสำคัญสำหรับการสื่อสาร -
6:56 - 6:59ยกตัวอย่างเช่น อย่างที่คุณก็รู้ว่า
-
6:59 - 7:01ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ของผม
-
7:01 - 7:03ผมโตขึ้นมาโดยมีภาษาอื่นเป็นภาษาแม่
-
7:03 - 7:05และเช่นเดียวกันกับพวกคุณหลายคน
ในกลุ่มผู้ฟังนี้ -
7:05 - 7:07ถึงกระนั้น เรายังสามารถสื่อสารกันได้
-
7:07 - 7:08มันเป็นไปได้อย่างไรกัน
-
7:09 - 7:12เราคิดว่าเราสามารถสื่อสารกันได้
เพราะเรามีรหัสพื้นฐานนี้ -
7:12 - 7:13ที่แสดงความหมาย
-
7:14 - 7:17ถึงตอนนี้ เราเพียงพูดถึง
ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในสมองของผู้ฟัง -
7:17 - 7:20ในสมองของคุณ
เมื่อคุณกำลังฟังการบรรยายนี้ -
7:20 - 7:22แต่มันเกิดอะไรขึ้น
ในสมองของผู้พูด ในสมองของผม -
7:22 - 7:24เมื่อผมกำลังพูดกับคุณ
-
7:24 - 7:26เพื่อที่จะดูในสมองของผู้พูด
-
7:26 - 7:29เราขอให้ผู้พูดเข้าไป
ยังเครื่องถ่ายภาพสมอง -
7:29 - 7:31เราถ่ายภาพสมองของเขา
-
7:31 - 7:35และจากนั้นเปรียบเทียบการตอบสนอง
ของสมองของเขากับของผู้ฟัง -
7:35 - 7:37ที่กำลังฟังเรื่องราวนั้น
-
7:37 - 7:41คุณต้องจำว่าการบรรยาย
และการเข้าใจการบรรยายนั้น -
7:41 - 7:43เป็นกระบวนการที่แตกต่างกันมาก
-
7:43 - 7:45ถึงตรงนี้ เราถามว่า
แล้วมันคล้ายกันแค่ไหนล่ะ -
7:46 - 7:48เราแปลกใจมาก
-
7:48 - 7:52ที่เราเห็นว่ารูปแบบที่ซับซ้อนเหล่านี้
ในผู้ฟัง -
7:52 - 7:55อันที่จริงแล้วมาจากสมองของผู้พูด
-
7:55 - 7:59ฉะนั้นการผลิตและการเข้าใจ
ขึ้นอยู่กับกระบวนการที่คล้ายกันมาก -
7:59 - 8:01และเรายังพบอีกว่า
-
8:01 - 8:04ยิ่งมีความคล้ายกันมากเท่าไร
ระหว่างสมองของผู้ฟัง -
8:04 - 8:06และสมองของผู้พูด
-
8:06 - 8:08การสื่อสารก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
-
8:08 - 8:12ฉะนั้น ผมรู้ว่า
ถ้าคุณสับสนมาก ๆ ในตอนนี้ -
8:12 - 8:14แต่ผมหวังว่าคุณจะไม่สับสนนะครับ
-
8:14 - 8:16การตอบสนองของสมองของคุณ
จะแตกต่างจากของผมมาก -
8:16 - 8:19แต่ผมยังรู้อีกว่า
ถ้าคุณเข้าใจผมจริง ๆ ในตอนนี้ -
8:19 - 8:22สมองของคุณ ... และของคุณ
... และของคุณ -
8:22 - 8:24จะคล้ายกับของผมมาก
-
8:26 - 8:29ทีนี้ ลองนำข้อมูลทั้งหมดนี้
มาประกอบเข้าด้วยกัน และถามว่า -
8:29 - 8:32เราจะใช้มันในการส่งต่อ
ความทรงจำที่เรามี -
8:32 - 8:34จากสมองของผม
ไปยังสมองของคุณได้อย่างไร -
8:35 - 8:37เราทำการทดลองดังต่อไปนี้ครับ
-
8:38 - 8:40เราให้คนชมสิ่งนี้เป็นครั้งแรก
ระหว่างที่เราถ่ายภาพสมอง -
8:40 - 8:44มันคือเรื่อง "เชอร์ล๊อค" ตอนหนึ่ง
จากรายการของ BBC -
8:44 - 8:47และจากนั้นเราก็ขอให้พวกเขา
กลับไปยังเครื่องถ่ายภาพสมอง -
8:47 - 8:51และเล่าเรื่องนั้นให้กับอีกคนหนึ่ง
ที่ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนั้นมาก่อน -
8:51 - 8:53เอาให้ชัด ๆ ก็คือ
-
8:53 - 8:55ลองนึกถึงฉากนี้
-
8:55 - 8:57เมื่อเชอร์ล๊อคกำลังเข้าไปในรถแท็กซี่
ในลอนดอน -
8:58 - 9:00ที่ผู้ขับคือฆาตรกรที่เขากำลังตามหา
-
9:00 - 9:03สำหรับผมในฐานะผู้ชม
-
9:03 - 9:06นี่เป็นรูปแบบสมองจำเพาะ
ในสมองของผมตอนที่ชมเรื่องนี้ -
9:07 - 9:11ทีนี้ รูปแบบเดียวกันนี้ ผมสามารถ
เรียกมันขึ้นมาในสมองอีกครั้ง -
9:11 - 9:15โดยการเล่าเรื่องให้คนอื่นฟัง
ถึง เชอร์ล๊อค ลอนดอน ฆาตรกร -
9:15 - 9:18และเมื่อผมส่งต่อคำเหล่านี้
ไปยังสมองของคุณในตอนนี้ -
9:19 - 9:21คุณจะต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่
ในความคิดของคุณ -
9:21 - 9:26อันที่จริง เราเห็นรูปแบบนี้
กำลังเกิดขึ้นในสมองของคุณตอนนี้ -
9:26 - 9:28และเราก็แปลกใจมากที่ได้เห็นว่า
-
9:28 - 9:30รูปแบบดังกล่าวที่คุณมีอยู่
ในสมองของคุณตอนนี้ -
9:30 - 9:32เมื่อผมอธิบายถึงฉากเหล่านี้
ให้คุณฟัง -
9:32 - 9:36จะมีความคล้ายมากกับรูปแบบ
ที่ผมมีเมื่อผมชมหนังเรื่องนี้ -
9:36 - 9:38เมื่อหลายเดือนก่อน
ในเครื่องถ่ายภาพสมอง -
9:38 - 9:40มันเริ่มที่จะบอกคุณเกี่ยวกับกลไก
-
9:40 - 9:43ที่ซึ่งเราสามารถเล่าเรื่องราว
และส่งต่อข้อมูล -
9:44 - 9:46เพราะว่า ยกตัวอย่างเช่น
-
9:46 - 9:49ตอนนี้คุณกำลังตั้งใจฟังและ
พยายามเข้าใจว่าผมพูดอะไรอยู่ -
9:49 - 9:51และผมรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายเลย
-
9:51 - 9:55แต่ผมหวังว่า ณ จุดหนึ่งในการบรรยายนี้
เราเข้าใจซึ่งกันและกัน และคุณเข้าใจผม -
9:55 - 9:59และผมคิดว่าในไม่กี่ชั่วโมง
ไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน -
9:59 - 10:01คุณจะพบกับใครสักคนที่งานเลี้ยง
-
10:01 - 10:04และจะเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
-
10:04 - 10:08และทันในนั้นเอง มันจะราวกับว่า
เขาคนนั้นมายืนอยู่ตรงนี้ที่นี่กับเรา -
10:08 - 10:11ตอนนี้ คุณเห็นได้ว่า
เราจะสามารถนำเอากลไกนี้ -
10:11 - 10:15ไปใช้ในการส่งต่อความทรงจำ
และความรู้ไปสู่อีกคนได้อย่างไร -
10:15 - 10:17ซึ่งมันน่าจะดีมากเลยใช่ไหมครับ
-
10:17 - 10:20แต่ความสามารถในการสื่อสารของเรา
ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา -
10:20 - 10:23ในการมีพื้นฐานร่วมกัน
-
10:23 - 10:24เพราะว่า ยกตัวอย่างเช่น
-
10:24 - 10:28ถ้าหากผมกำลังใช้คำพ้องภาษาอังกฤษ
-
10:28 - 10:30"พาหนะเช่า" แทนคำว่า "แท๊กซี่"
-
10:30 - 10:34ผมรู้ว่าผมกำลังจะไม่ไปในทิศทางเดียว
กับผู้ฟังส่วนใหญ่ของผม -
10:35 - 10:37การเทียบเคียงนี้ไม่เพียงแต่
จะขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา -
10:37 - 10:39ในการทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐาน
-
10:39 - 10:44มันยังขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา
ในการพัฒนาพื้นฐานและความเข้าใจร่วมกัน -
10:44 - 10:46และมีระบบความเชื่อร่วมกัน
-
10:46 - 10:47เพราะว่าเรารู้ว่าในหลาย ๆ กรณี
-
10:47 - 10:52คนเข้าใจเรื่องราวเดียวกัน
ในรูปแบบที่แตกต่างกัน -
10:52 - 10:56ฉะนั้น เพื่อทดสองสิ่งนี้ในห้องทดลอง
ผมทำการทดลองดังต่อไปนี้ -
10:56 - 10:59เราใช้เรื่องราวของ เจ. ดี. ซาลินเจอร์
-
10:59 - 11:03ที่ซึ่งสามีหลงกับภรรยากลางงานเลี้ยง
-
11:03 - 11:07และเขาเรียกเพื่อนรักของเขามา
เพื่อถามว่า "เห็นภรรยาของผมไหม" -
11:08 - 11:09กลุ่มทดลองครึ่งหนึ่ง
-
11:09 - 11:13เราบอกว่า ภรรยามีสัมพันธ์
กับเพื่อนรักคนนั้น -
11:13 - 11:14อีกครึ่งหนึ่ง
-
11:14 - 11:20เราบอกว่า ภรรยาเป็นคนที่ซื่อสัตย์
แต่สามีเป็นคนขึ้หึงมาก -
11:20 - 11:23เพียงประโยคเดียวนี้ก่อนเริ่มเรื่อง
-
11:23 - 11:25ก็เพียงพอแล้ว
ที่จะทำให้การตอบสนองของสมอง -
11:25 - 11:28ของทุกคนที่เชื่อว่าภรรยามีชู้
-
11:28 - 11:31มีความคล้ายคลึงกันในส่วนที่ซับซ้อน
-
11:31 - 11:33และแตกต่างจากอีกกลุ่มหนึ่ง
-
11:33 - 11:37และถ้าเพียงประโยคเดียวนั้นเพียงพอ
ที่จะทำให้สมองของคุณมีความคล้ายกัน -
11:37 - 11:38กับคนที่คิดเหมือนกับคุณ
-
11:38 - 11:41และแตกต่างกับคนที่คิดต่างกับคุณแล้ว
-
11:41 - 11:45ลองคิดดูสิครับว่าผลนี้ จะถูกขยาย
ออกไปมากแค่ไหนในชีวิตประจำวัน -
11:45 - 11:48เมื่อเราทุกคนกำลังฟังข่าวเดียวกัน
-
11:48 - 11:51หลังจากที่ทุก ๆ วัน
-
11:51 - 11:55เราเผชิญกับช่องทางสื่อที่แตกต่างกัน
เช่น ข่าวช่อง ฟ๊อกซ์ หรือ นิวยอร์ค ไทม์ -
11:55 - 11:58ที่ให้ทัศนคติต่อความจริงกับเรา
ในแบบที่แตกต่างกัน -
12:00 - 12:01ฉะนั้น ให้ผมสรุปนะครับ
-
12:02 - 12:04ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนในคืนนี้
-
12:04 - 12:08ผมใช้ความสามารถของผมผลิตเสียง
เพื่อเข้าคู่กับสมองของคุณ -
12:08 - 12:09และผมใช้การเข้าคู่นี้
-
12:09 - 12:13เพื่อส่งต่อรูปแบบสมองของผม
ที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำและความคิดของผม -
12:13 - 12:15เข้าไปยังสมองของคุณ
-
12:15 - 12:19ด้วยสิ่งนี้ ผมเริ่มที่จะเผย
กลไกธรรมชาติที่ถูกซ่อนอยู่ -
12:19 - 12:21ที่เราใช้ในการสื่อสาร
-
12:21 - 12:24และเรารู้ว่าในอนาคต
มันจะสามารถทำให้เราปรับปรุง -
12:24 - 12:26และทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น
-
12:26 - 12:28แต่การศึกษานี้ ยังได้เปิดเผย
-
12:29 - 12:32ว่าการสื่อสารขึ้นอยู่กับพื้นฐานร่วม
-
12:32 - 12:34และพวกเราในสังคม
จะต้องตระหนักให้ดี -
12:34 - 12:38ว่าหากเราสูญเสียพื้นฐานร่วมนี้
และความสามารถในการพูดกับคนอื่น -
12:38 - 12:41ที่แตกต่างจากเราไปเล็กน้อย
-
12:41 - 12:44เพราะว่าเรายอมให้ช่องสื่อไม่กี่ช่อง
ที่มีอิทธิพล -
12:44 - 12:45เข้ามาควบคุมกระบอกเสียงนี้
-
12:46 - 12:49และกำกับ ควบคุม
แนวคิดที่เราทุกคนคิดอ่าน -
12:49 - 12:52และผมก็ไม่แน่ใจว่าจะแก้ไขมันอย่างไร
เพราะผมก็เป็นแค่นักวิทยาศาสตร์ -
12:52 - 12:55แต่บางที ทางหนึ่งที่เราจะทำได้
-
12:55 - 12:57คือกลับไปยังวิธีการสื่อสาร
ที่เป็นธรรมชาติมากกว่า -
12:57 - 12:59ซึ่งก็คือการสนทนา
-
12:59 - 13:02ที่ไม่ใช่เพียงแค่การที่ผม
พูดอยู่กับพวกคุณในตอนนี้ -
13:02 - 13:04แต่เป็นวิธีการพูด
ที่เป็นธรรมชาติมากกว่านี้ -
13:04 - 13:08ที่ซึ่งผมกำลังพูด
และผมกำลังฟัง -
13:08 - 13:12และการที่เราพยายามจะมีพื้นฐานร่วม
และแนวคิดใหม่ด้วยกัน -
13:12 - 13:13เพราะว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
-
13:13 - 13:17คนที่เราเข้าคู่ด้วย
เป็นตัวกำหนดว่าเราเป็นอย่างไร -
13:17 - 13:20และความต้องการของเรา
ที่จะถูกเข้าคู่ด้วยกับอีกสมองหนึ่ง -
13:20 - 13:24เป็นอะไรบางอย่างที่เป็นพื้นฐาน
ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย -
13:24 - 13:28ฉะนั้น ให้ผมจบการบรรยายนี้
ด้วยตัวอย่างจากชีวิตส่วนตัวของผม -
13:29 - 13:33ที่ผมคิดว่ามันเป็นตัวอย่างที่ดี
ที่ว่าการเข้าคู่กับคนอื่น -
13:33 - 13:36เป็นการกำหนดว่าเราเป็นอย่างไรจริง ๆ
-
13:36 - 13:39นี่คือลูกชายขของผม
โจนาธาน ตอนที่ยังเด็ก -
13:39 - 13:44ดูสิครับว่าเราพัฒนาเกมส์เสียง
กับภรรยาของผมด้วยกัน -
13:44 - 13:49จากความต้องการและความสุข
ที่จะได้เข้าคู่กับมนุษย์อีกคนหนึ่ง -
13:50 - 13:54(เสียงของทั้งสองคน)
-
14:03 - 14:05(เสียงหัวเราะ)
-
14:05 - 14:09ทีนี้ ลองคิดดูครับ
ว่าความสามารถของลูกชายของผม -
14:09 - 14:12ที่จะเข้าคู่กับเรา
และคนอื่น ๆ ในชีวิตของเขา -
14:12 - 14:15กำลังที่จะปั้นให้เขา
เป็นอย่างที่เขากำลังจะเป็นได้อย่างไร -
14:15 - 14:17และคิดดูครับว่าคุณอย่างไรบ้าง
ในชีวิตประจำวัน -
14:17 - 14:22จากการมีปฏิสัมพันธ์และเข้าคู่
กับคนอื่น ๆ ในชีวิต -
14:23 - 14:25ฉะนั้น เข้าคู่กับคนอื่น ๆ เสมอ
-
14:25 - 14:27เผยแผ่ความคิดของคุณออกไป
-
14:27 - 14:30เพราะว่า ผลรวมของเราทุกคน
ผนวกรวมเข้าคู่กัน -
14:30 - 14:32ยิ่งใหญ่กว่าแค่ส่วนหนึ่งของเราเอง
-
14:32 - 14:33ขอบคุณครับ
-
14:33 - 14:38(เสียงปรบมือ)
- Title:
- นี่คือสมองของคุณตอนกำลังสื่อสาร
- Speaker:
- ยูริ แฮสสัน (Uri Hasson)
- Description:
-
นักประสาทวิทยาศาสตร์ ยูริ แฮสสัน วิจัยพื้นฐานการสื่อสารของมนุษย์ และทำการทดลองจากห้องทดลองของเขาเปิดเผยว่าสมองของเราแสดงถึงกิจกรรมที่คล้ายกันแม้ว่าจะต่างใช้ภาษาที่ต่างกัน หรือมัน "เทียบเคียงกัน" เมื่อเราได้ยินแนวคิดหรือเรื่องราวเดียวกัน กลไกธรรมชาติที่น่าทึ่งนี้ทำให้เราสามารถส่งต่อรูปแบบสมองพื้นฐาน แบ่งปันความคิดและความรู้กันได้ "เราสามารถสื่อสารได้เพราะว่าเรามีรหัสร่วมกันที่แสดงความหมาย" แฮสสันกล่าว
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 14:51
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for This is your brain on communication | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for This is your brain on communication | ||
Rawee Ma accepted Thai subtitles for This is your brain on communication | ||
Rawee Ma edited Thai subtitles for This is your brain on communication | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for This is your brain on communication | ||
Rawee Ma declined Thai subtitles for This is your brain on communication | ||
Rawee Ma edited Thai subtitles for This is your brain on communication | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for This is your brain on communication |