นีล ฮาร์บิสสัน: ผมฟังสีได้
-
0:01 - 0:04ผมเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติทางสายตา
-
0:04 - 0:08ที่เรียกว่าเอโครมาทอปเซีย ซึ่งก็คือโรค ดาบอดสีโดยสมบูรณ์
-
0:08 - 0:10ดังนั้นผมจึงไม่เคยเห็นสี
-
0:10 - 0:12และผมก็ไม่รู้ว่าสีนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
-
0:12 - 0:15เพราะผมมาจากโลกสีเทา
-
0:15 - 0:18สำหรับผม ท้องฟ้าเป็นสีเทา
-
0:18 - 0:20ดอกไม้เป็นสีเทา
-
0:20 - 0:22และโทรทัศน์ก็ยังเป็นสีขาวดำอยู่
-
0:22 - 0:24แต่เมื่อผมอายุ 21 ปี
-
0:24 - 0:28แทนที่จะมองเห็นสี ผมกลับได้ยินสี
-
0:28 - 0:31ในปีค.ศ. 2003 ผมจึงเริ่มโครงการหนึ่งขึ้น
-
0:31 - 0:34กับ อดัม มอนแทนดอน, นักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์
-
0:34 - 0:37และผลลัพธ์ที่ได้จากการร่วมมือ
-
0:37 - 0:40กับ ปีเตอร์ เคเซ่ จากประเทศสโลเวเนีย
-
0:40 - 0:42และ มาเทียส ลิซาน่า จากเมืองบาร์เซโลน่า
-
0:42 - 0:44ก็คือ เจ้าตา อิเล็กทรอนิกส์ อันนี้
-
0:44 - 0:47มันคือเซนเซอร์ที่จะตรวจจับ
-
0:47 - 0:50ความถี่ของสีที่อยู่ตรงหน้าผม ------- (เสียงความถี่) ---------
-
0:50 - 0:53ซึ่งความถี่นี้จะถูกส่งไปที่ชิพที่ติดตั้งไว้
-
0:53 - 0:56ด้านหลังของหัวผม และผมก็จะได้ยินสีที่อยู่ตรงหน้าผม
-
0:56 - 0:59ผ่านกระดูก ซึ่งเทำหน้าที่ส่งผ่านความสั่นสะเทือนของเสียง
-
0:59 - 1:02(เสียงความถี่) ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมมีนี่
-
1:06 - 1:09นี่เป็นเสียงของสีม่วง (เสียงความถี่)
-
1:09 - 1:16ส่วนนี่เป็นเสียงของหญ้า (เสียงความถี่)
-
1:16 - 1:18นี่คือสีแดง เหมือน TED (เสียงความถี่)
-
1:18 - 1:23นี่เป็นเสียงของถุงเท้าสกปรก (หัวเราะ)
-
1:23 - 1:24ซึ่งก็คือสีเหลือง
-
1:24 - 1:29จะเห็นว่า ผมได้ยิน"สี"อยู่ตลอดเวลามาเป็นเวลา8 ปีแล้ว
-
1:29 - 1:31ตั้งแต่ปี 2004 ดังนั้นตอนนี้ผมจึงรู้สึกเป็นปกติ
-
1:31 - 1:34กับการได้ยิน"สี"ตลอดเวลา
-
1:34 - 1:38ในตอนแรกๆ ผมเริ่มจากการจดจำชื่อที่คุณใช้เรียก
-
1:38 - 1:40สีแต่ละสี ดังนั้นผมจึงต้องจำโน้ตของสีเหล่านั้น
-
1:40 - 1:42แต่พอใช้เวลาสักพัก ข้อมูลเหล่านี้ได้
-
1:42 - 1:44กลายมาเป็นการรับรู้
-
1:44 - 1:46ผมไม่จำเป็นต้องคิดถึงตัวโน๊ตเหล่านั้น
-
1:46 - 1:49และไม่นาน การรับรู้นี้ก็กลายมาเป็นความรู้สึก
-
1:49 - 1:51ผมเริ่มมีสีที่ชอบที่สุด
-
1:51 - 1:53และผมเริ่มฝันเป็นสี
-
1:53 - 1:57เมื่อตอนผมได้ฝันเป็นสีนั้นเองคือตอนที่ผมรู้สึกว่า
-
1:57 - 2:00ซอฟท์แวร์และสมองของผมได้เชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกัน
-
2:00 - 2:03เพราะในความฝัน สมองของผมได้ผลิต
-
2:03 - 2:05เสียงอิเล็กทรอนิกส์เอง ไม่ใช่ตัวซอฟท์แวร์
-
2:05 - 2:09ตอนนั้นแหละ ที่ผมเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์หุ่นยนต์
-
2:09 - 2:12ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่า อุปกรณ์กล อันนี้
-
2:12 - 2:14ไม่ได้เป็นอุปกรณ์อีกต่อไปแล้ว
-
2:14 - 2:16มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายผม
-
2:16 - 2:19เป็นประสาทสัมผัสที่ถูกเพิ่มขึ้นมา
-
2:19 - 2:21และเมื่อเวลาผ่านไป มันก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ
-
2:21 - 2:25รูปลักษณ์ ของผม
-
2:25 - 2:27นี่คือหนังสือเดินทางของผมเมื่อปี 2004
-
2:27 - 2:30จริงๆแล้วรูปถ่ายของคุณในหนังสือเดินทางนั้นไม่อนุญาตให้
-
2:30 - 2:33มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ผมก็ต้องยืนยันกับ
-
2:33 - 2:35ที่ทำการหนังสือเดินทางว่า เครื่องที่เขาเห็นน่ะเป็น
-
2:35 - 2:38ส่วนหนึ่งของร่างกายผม
-
2:38 - 2:41มันเป็นส่วนขยายของสมองผม เขาถึงจะยอมให้เครื่องนี้
-
2:41 - 2:44ปรากฏอยู่ในรูปถ่ายหนังสือเดินทางของผม
-
2:44 - 2:47ชีวิตของผมนั้นเปลี่ยนไปอย่างมากตั้งแต่ผมได้ยินสี
-
2:47 - 2:50เพราะว่าสีนั้นมีอยู่เกือบทุกที่
-
2:50 - 2:53การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นคือ
-
2:53 - 2:57ตอนที่ผมไปที่ห้องแสดงภาพของ ปิคาสโซ่
-
2:57 - 3:00มันเหมือนกันไปงานคอนเสิรต์มาก
-
3:00 - 3:03เพราะว่าผมได้ยินเสียงของรูปภาพ
-
3:03 - 3:05อีกที่คือที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ผมประหลาดใจมาก
-
3:05 - 3:08เพราะมันสวยมากๆในขณะที่ผมกำลังเดินอยู่
-
3:08 - 3:09มันเหมือนได้ไปผับ
-
3:09 - 3:13เพราะว่ามันมีแต่เสียง (หัวเราะ)
-
3:13 - 3:15โดยเฉพาะแถวที่ขายผลิตภัณฑ์ซักล้าง
-
3:15 - 3:18มันสวยมากจริงๆ (หัวเราะ)
-
3:18 - 3:21นอกจากนี้ การแต่งตัวของผมก็ได้เปลี่ยนไปด้วย
-
3:21 - 3:23แต่ก่อนผมแต่งตัวให้มันดูดี
-
3:23 - 3:28แต่เดี๋ยวนี้ผมแต่งให้มันฟังไพเราะ (เสียงหัวเราะ)
-
3:28 - 3:33(เสียงปรบมือ)
-
3:33 - 3:35วันนี้ผมแต่งมาในโน๊ต ซี เมเจอร์
-
3:35 - 3:38เพราะมันเป็นคอรด์ที่รื่นเริง
-
3:38 - 3:40แต่ถ้าผมต้องไปงานศพ
-
3:40 - 3:43ผมจะแต่งตามโน็ต บี ไมเนอร์ ซึ่งจะเป็นสี
-
3:43 - 3:52สีเทอร์คอยส์, ม่วง และ ส้ม (เสียงหัวเราะ)
-
3:52 - 3:56อีกอย่างคืออาหาร มุมมองของผมต่ออาหารได้เปลี่ยนไป
-
3:56 - 3:59เพราะว่าตอนนี้ผมสามารถตกแต่งอาหารบนจาน
-
3:59 - 4:02เพื่อที่ผมจะได้กินเพลงที่ผมชอบ (เสียงหัวเราะ)
-
4:02 - 4:04ดังนั้นขึ้นอยู่กับการจัดแต่งของผม
-
4:04 - 4:06ผมสามารถได้ยินและแต่งเพลงขึ้นได้จากอาหาร
-
4:06 - 4:09เพราะฉะนั้นลองจินตนาการร้านอาหารที่เราสามารถกิน
-
4:09 - 4:12สลัด เลดี้ กาก้า เป็นกับแกล้ม (เสียงหัวเราะ)
-
4:12 - 4:15นี่อาจจะเป็นวิธีที่ทำให้เด็กๆกินผักก็ได้
-
4:15 - 4:19และก็กินคอนเสิรต์เปียโนของ รัคมานินอฟ เป็นจานหลัก
-
4:19 - 4:22และ บอร์ค หรือ มาดอนน่า เป็นของหวาน
-
4:22 - 4:25ร้านอาหารแบบนี้ที่คุณสามารถกินเพลงได้
-
4:25 - 4:28จะน่าสนใจมาก
-
4:28 - 4:32มุมมองของผมต่อความสวยงามก็ได้เปลี่ยนไปเช่นกัน
-
4:32 - 4:37เพราะเวลาผมมองเห็นใครบางคน ผมจะได้ยินหน้าเขาด้วย
-
4:37 - 4:42ดังนั้นคนที่หน้าตาสวยอาจจะฟังไม่ไพเราะ
-
4:42 - 4:44(เสียงหัวเราะ) และคนที่ไม่สวยอาจจะฟังไพเราะก็เป็นได้เหมือนกัน
-
4:44 - 4:46ดังนั้นผมจึงชอบที่ประดิษฐ์
-
4:46 - 4:48เสียงคนมากๆ
-
4:48 - 4:51แทนที่จะวาดใบหน้าคนให้เป็นรูปร่าง
-
4:51 - 4:54ผมสามารถมองไปที่หน้าคนและจด
-
4:54 - 4:57โน๊ตต่างๆที่ผมได้ยิน
-
4:57 - 4:59นี่คือในหน้าของคนบางคน
-
4:59 - 5:13(เสียงดนตรี)
-
5:13 - 5:17อืม.. นิโคล คิดแมนฟังเพราะดีแฮะ.. (เสียงหัวเราะ)
-
5:17 - 5:20คนบางคนอาจดูไม่ออกว่าคล้ายคลึงกันแต่เสียงกลับคล้ายกัน
-
5:20 - 5:22เช่น เจ้าชาย ชาร์ลส์ มีความคล้ายคลึงกันกับ นิโคล คิดแมน
-
5:22 - 5:25เขาทั้งสองมีดวงตาที่คล้ายกัน
-
5:25 - 5:27ดังนั้นคุณสามารถหาความคล้ายคลึงระหว่างคนสองคนได้
-
5:27 - 5:30และคุณก็สามารถจัดงานคอนเสิรต์ได้
-
5:30 - 5:33โดยการมองหน้าของผู้ชม
-
5:33 - 5:36ผมมองไปที่ตาคน และผมก็สามารถเล่นเสียงของใบห้นาคน
-
5:36 - 5:37คอนเสิรต์นี้ดีอย่างที่ว่า
-
5:37 - 5:40ถ้าคอนเสิรต์ออกมาแย่ ความผิดนั้นอยู่ที่คนฟัง
-
5:40 - 5:43มันไม่ใช่ความผิดผม (เสียงหัวเราะ)
-
5:43 - 5:47และอีกอย่างที่เกิดขึ้นกับผมคือ
-
5:47 - 5:50ผมเริ่มมีประสบการณ์ที่กลับกัน
-
5:50 - 5:53คือเสียงธรมมดากลับกลายเป็นสี
-
5:53 - 5:57ผมได้ยินเสียงริงโทนโทรศัพท์เป็นสีเขียว
-
5:57 - 5:59เพราะว่าเสียงของมันเหมือนกับโน๊ตสีเขียวเลย
-
5:59 - 6:03เสียงเตือนของข่าว บีบีซี เป็นสีเทอร์คอยส์
-
6:03 - 6:06และการฟังเสียงของ โมสาร์ท กลายเป็นสีเหลือง
-
6:06 - 6:10ดังนั้นผมจึงเริ่มระบายดนตรีและระบายเสียงของคน
-
6:10 - 6:12เพราะว่าเสียงของคนนั้นมีความถี่ที่
-
6:12 - 6:14ตรงกับสี
-
6:14 - 6:19และนี่ก็คือดนตรีที่ถูกแปลออกมาเป็นสี
-
6:19 - 6:24เพลงของ โมสาร์ท "ราชินีแห่นรติกาล" เป็นแบบนี้
-
6:24 - 6:26(เสียงดนตรี) สีเหลืองเข้มและสดใสมากๆ
-
6:26 - 6:28เพราะว่าความถี่นั้นหลากหลาย
-
6:28 - 6:31(เสียงดนตรี)
-
6:32 - 6:34และนี้ก็คือเพลงเต็มๆ
-
6:34 - 6:38(เสียงดนตรี) เพลงของ จัสติน บีเบอร์ "เบบี้" (เสียงหัวเราะ)
-
6:38 - 6:40(เสียงดนตรี)
-
6:40 - 6:44มันเป็นสีชมพูกับสีเหลือง
-
6:44 - 6:51นอกจากนี้ผมยังสามารถเปลี่ยนคำพูดเป็นสีได้อีกด้วย
-
6:51 - 6:54เช่น มีการปราศรัยที่โด่งดังอยู่สองครั้ง
-
6:54 - 6:58การปราศรัยอันแรกคือของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง "ฉันมีความฝัน"
-
6:58 - 7:00และอีกอันคือของ ฮิตเลอร์
-
7:00 - 7:03และผมก็ชอบที่จะแสดงรูปภาพเหล่านี้ที่หอแสดงภาพ
-
7:03 - 7:06โดยไม่ติดคำอธิบายไว้ และผมก็ถามคนว่า
-
7:06 - 7:07"คุณชอบรูปไหนมากกว่า"
-
7:07 - 7:10คนส่วนใหญ่จะเปลี่ยนใจทันที
-
7:10 - 7:13เมื่อผมบอกเขาว่ารูปด้านซ้ายเป็นของ ฮิตเลอร์
-
7:13 - 7:16และรูปด้านขวาเป็นของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง
-
7:16 - 7:22ผมไปถึงจุดที่ผมสามารถรับรู้สีได้ 360 สี
-
7:22 - 7:23เหมือนการมองเห็นของคนทั่วไป
-
7:23 - 7:27ผมสามารถที่จะแยกแยะสีต่างๆที่อยู่บนลูกล้อสี
-
7:27 - 7:29แต่ว่าผมคิดว่า
-
7:29 - 7:32การมองเห็นของคนนั้นไม่ดีพอ
-
7:32 - 7:34มันมีสีมากมายรอบตัวเรา
-
7:34 - 7:36ที่เราไม่สามารถรับรู้ได้
-
7:36 - 7:38แต่ตาเทียมของผมสามารถรับรู้ได้
-
7:38 - 7:42ดังนั้นผมจึงขยายการรับรู้สีต่อไปเรื่อยๆ
-
7:42 - 7:46และผมก็ได้เพิ่มสีอินฟราเรดและอัลตรวไวโอเล็ต
-
7:46 - 7:49เข้าไปในเครื่องวัด สี-ต่อ-เสียง เพื่อผมจะได้ฟังสี
-
7:49 - 7:51ที่ดวงตาคนธรรมดาไม่สามารถรับรู้ได้
-
7:51 - 7:55โดยเฉพาะ แสงอินฟราเรดเพราะมันสามารถ
-
7:55 - 7:59รับรู้การเคลื่อนไหวต่างๆในห้อง
-
7:59 - 8:02ผมสามารถได้ยินเสียงคนชี้รีโมทคอนโทรลมาที่ผม
-
8:02 - 8:06และสิ่งที่ดีเกี่ยวกับการรับรู้แสงอัลตราไวโอเล็ตคือ
-
8:06 - 8:10คุณสามาถรับรู้ได้ว่ามันเป็นวันที่ดีหรือไม่สำหรับการนอนตากแดด
-
8:10 - 8:13เพราะว่าสีอัลตราไวโอเล็ตนั้นเป็นสีที่อันตราย
-
8:13 - 8:17มันเป็นสีที่สามารถฆ่าคนได้ เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าพวกเราควรประสงค์
-
8:17 - 8:20ที่จะสามารถรับรู้สีที่เราไม่สามารถรับรู้ได้
-
8:20 - 8:21เช่นนั้น สองปีที่แล้ว
-
8:21 - 8:23ผมจึงก่อตั้งองค์กรมนุษย์หุ่นยนต์
-
8:23 - 8:25ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือผู้คน
-
8:25 - 8:28ให้เป็นมนุษย์หุ่นยนต์และสนับสนุนให้ผู้คน
-
8:28 - 8:30ขยายการรับรู้ต่างๆ
-
8:30 - 8:33โดยใช้เทคโนโลยีให้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
-
8:33 - 8:36พวกเราควรคิดว่าความรู้ต่างๆนั้นมาจากประสาทการรับรู้
-
8:36 - 8:38ดังนั้นถ้าเราขยายประสาทการรับรู้
-
8:38 - 8:42เราก็จะค่อยๆเพิ่มความรู้ให้ตัวเราเอง
-
8:42 - 8:44ผมคิดว่าชีวิตจะน่าตื่นเต้นมาก
-
8:44 - 8:48เมื่อเราหยุดสร้างโปรแกรมสำหรับโทรศัพท์มือถือ
-
8:48 - 8:51และหันมาริเริ่มสร้างโปรแกรมให้ตัวเราเอง
-
8:51 - 8:53ผมคิดว่ามันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มาก
-
8:53 - 8:55ในศรรตวรรษนี้
-
8:55 - 8:59ดังนั้นผมจึงสนับสนุนทุกๆท่านให้เริ่มคิดเกี่ยวกับระบบการรับรู้ไหนที่
-
8:59 - 9:00พวกคุณอยากจะขยาย
-
9:00 - 9:03ผมสนับสนุนให้พวกคุณกลายเป็นมนุษย์หุ่นยนต์
-
9:03 - 9:08คุณจะไม่อยู่เพียงลำพัง ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)
-
9:08 - 9:15(เสียงปรบมือ)
- Title:
- นีล ฮาร์บิสสัน: ผมฟังสีได้
- Speaker:
- Neil Harbisson
- Description:
-
ศิลปิน นีล ฮาร์บิสสัน เกิดมากับโรคตาบอดสี แต่ว่าตาเทียมที่ติดอยู่บนหัวเขาสามารถแปลงสีต่างๆเป็นความถี่ที่สามารถได้ยินได้ แทนที่จะเห็นโลกเป็นสีเทา คุณฮาร์บิสสันสามารถฟังสีได้ และแน่นอนเขาสามารถฟังใบหน้าผู้คนและรูปภาพได้ด้วยเช่นกัน
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 09:35
Dimitra Papageorgiou approved Thai subtitles for I listen to color | ||
Sritala Dhanasarnsombut accepted Thai subtitles for I listen to color | ||
Sritala Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for I listen to color | ||
Retired user edited Thai subtitles for I listen to color | ||
Vasant Jain edited Thai subtitles for I listen to color | ||
Vasant Jain added a translation |