เบน โกเดเคอร์ (Ben Goldacre): สิ่งที่คุณแพทย์ไม่รู้เกี่ยวกับยาที่พวกเขาสั่งให้คนไข้
-
0:00 - 0:03สวัสดีครับ ครับ เจ้าหนุ่มคนนี้
-
0:03 - 0:05เขาคิดว่าเขาสามารถบอกอนาคตคุณได้
-
0:05 - 0:07เขาชื่อนอสตราดามุส แม้ว่าในรูปนี้ดวงอาทิตย์
-
0:07 - 0:11ทำให้เขาดูเหมือนชอน คอนเนอรี่บ้างเล็กน้อย (เสียงหัวเราะ)
-
0:11 - 0:14และเหมือนกับพวกคุณส่วนใหญ่ ผมเดาว่า
ผมไม่เชื่อจริงๆ -
0:14 - 0:15ว่าคนเราสามารถมองเห็นอนาคตได้
-
0:15 - 0:18ผมไม่เชื่อเรื่องการมองเห็นอนาคต แต่บางครั้งบางคราว
-
0:18 - 0:21คุณก็ได้ยินว่าใครบางคนสามารถทำนาย
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ -
0:21 - 0:24และนั่นอาจเป็นเพราะว่าบังเอิญโชคช่วย
และเราก็เพียงแค่ -
0:24 - 0:26ได้ยินเกี่ยวกับลูกฟลุ๊ค และเรื่องแปลกๆนั้น
-
0:26 - 0:31เราไม่ได้ยินทุกๆครั้งที่ คนเราทำนายอะไรผิดๆ
-
0:31 - 0:33ทีนี้เราคาดว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดกับเรื่องไร้สาระ
-
0:33 - 0:36เกี่ยวกับการมองเห็นอนาคต แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า
-
0:36 - 0:39เรามีปัญหาอย่างเดียวกันนี้ในวงการวิชาการ
-
0:39 - 0:44และในวงการแพทย์ และในบริบทนี้ ผลของมันหมายถึงชีวิต
-
0:44 - 0:47ดังนั้น ประการแรก ลองคิดถึงแค่การมองเห็นอนาคต
อย่างที่ผลมันปรากฎออกมาว่า -
0:47 - 0:50เมื่อปีที่แล้วนี้เอง นักวิจัยชื่อ ดาริล เบม (Daryl Bem) ได้ทำ
-
0:50 - 0:51งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เขาพบหลักฐาน
-
0:51 - 0:55เรื่องพลังการมองเห็นอนาคต ของนักศึกษาปริญญาตรี
-
0:55 - 0:58และงานวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ
ที่ตรวจทานโดยผู้เชี่ยวชาญ -
0:58 - 1:00และคนส่วนใหญ่ที่อ่านเรื่องนี้ก็จะบอกว่า "โอเค
-
1:00 - 1:02ก็ยุติธรรมดีหรอกนะ แต่ผมคิดว่ามันเป็นโชคบังเอิญ
มันประหลาดนะ เพราะผมรู้ว่า -
1:02 - 1:05ถ้าผมทำการศึกษาแล้วไม่พบหลักฐานว่า
-
1:05 - 1:07นักศึกษาปริญญาตรี มีพลังทำนายอนาคต
-
1:07 - 1:11งานก็คงจะไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสารหรอก
-
1:11 - 1:14และที่จริง เราก็รู้กันว่าเป็นอย่างนั้นจริง เพราะ
-
1:14 - 1:16นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มพยายามที่จะ
-
1:16 - 1:20ทดลองซ้ำ เพื่อให้ได้ผลเหมือนอย่างการศึกษาญาณวิเศษนั้น
-
1:20 - 1:23แล้วเมื่อพวกเขาส่งผลไปที่วารสารเดียวกันนั้น
-
1:23 - 1:26วารสารนั้นตอบกลับว่า "ไม่ เราไม่สนใจจะพิมพ์
-
1:26 - 1:30ผลงานที่ทำซ้ำ เราไม่สนใจข้อมูลเชิงลบของคุณหรอก"
-
1:30 - 1:33แค่นี้ก็เป็นหลักฐานแล้วว่าเป็นอย่างไร
ในงานเขียนเชิงวิชาการ -
1:33 - 1:38เราจะเห็นตัวอย่างหนึ่งของอคติ ในภาพจริง
-
1:38 - 1:41ของงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ที่ได้ถูกทำขึ้น
-
1:41 - 1:46แต่นั่นไม่ได้แค่เกิดขึ้น ในสาขาวิชาการของจิตวิทยาที่น่าเบื่อ
-
1:46 - 1:50มันเกิดขึ้นใน ตัวอย่างเช่น การวิจัยโรคมะเร็งด้วย
-
1:50 - 1:54เดือนมีนาคม 2012 หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เอง นักวิจัยจำนวนหนึ่ง
-
1:54 - 1:57รายงานในวารสาร Nature ว่าพวกเขาได้พยายามอย่างไร
-
1:57 - 2:01ในการทำซํ้า งานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐานต่างๆกัน
53 งานวิจัย เพื่อตรวจดู -
2:01 - 2:04เป้าหมายในการรักษาโรคมะเร็งที่มีศักยภาพ
-
2:04 - 2:07และจากงานวิจัยทั้ง 53 นั้น พวกเขาทำซ้ำได้
-
2:07 - 2:10สำเร็จเพียง 6 เท่านั้น
-
2:10 - 2:1547 จาก 53 เป็นการทดลองที่ทำซ้ำแล้วไม่ให้ผลเหมือนเดิม
-
2:15 - 2:18และพวกเขา เขียนในอภิปรายผลว่า มันน่าจะเป็นเช่นนี้
-
2:18 - 2:21เพราะว่าผลงานที่แปลกประหลาด ได้รับการตีพิมพ์
-
2:21 - 2:23ผู้คนจะทำการศึกษาวิจัยเยอะแยะมากมาย
-
2:23 - 2:25แล้วเวลาที่การทดลองเป็นผลสำเร็จ งานก็ได้ตีพิมพ์
-
2:25 - 2:27และเวลาที่งานไม่เป็นผลสำเร็จ ก็ไม่ได้รับการตีพิมพ์
-
2:27 - 2:31และข้อเสนอแรกจากพวกเขาในการแก้ปัญหานี้
-
2:31 - 2:34เพราะว่านี่เป็นปัญหา เพราะว่ามันส่งเราเดินไปสู่ทางตัน
-
2:34 - 2:36ข้อเสนอแรกของพวกเขาในการแก้ปัญหานี้ ก็คือ
-
2:36 - 2:39ทำให้งานวิจัยวิทยาศาสตร์ที่มีผลเป็นลบตีพิมพ์ ได้ง่ายขึ้น
-
2:39 - 2:42และเปลี่ยนแปลงแรงจูงใจ เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์
-
2:42 - 2:47ได้รับการส่งเสริมให้แสดงผลการทดลองที่เป็นลบของเขา
ต่อสาธารณชนให้มากขึ้น -
2:47 - 2:50แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ ในโลกที่น่าเบื่อ
-
2:50 - 2:54ของงานวิจัยมะเร็งเชิงวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
ระยะก่อนทดลองในมนุษย์ -
2:54 - 2:58มันยังเกิดขึ้นกับเนื้อหนังจริงๆด้วย
-
2:58 - 3:01ของการแพทย์เชิงวิชาการ ดังนั้นในปี 1980
-
3:01 - 3:05นักวิจัยบางคนทำการศึกษายาชื่อ โลร์คาไนด์ (lorcainide)
-
3:05 - 3:07เป็นยาต้านอาการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ
-
3:07 - 3:09เป็นยาที่ระงับจังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่ปกติ
-
3:09 - 3:11และแนวคิดก็คือ หลังจากที่คนมีอาการหัวใจวาย
-
3:11 - 3:13เป็นไปได้มากทีเดียว ที่พวกเขาจะมีจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ
-
3:13 - 3:15ดังนั้น ถ้าเราให้ยาที่ระงับจังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่ปกติ
-
3:15 - 3:19มันจะช่วยเพิ่ม โอกาสในการรอดชีวิตของพวกเขา
-
3:19 - 3:22เบื้องต้นของการพัฒนา พวกเขาทำการทดสอบที่เล็กมาก
-
3:22 - 3:24ในผู้ป่วยแค่ไม่ถึงร้อยคน
-
3:24 - 3:27คนไข้ห้าสิบคนได้รับโลร์คาไนด์ และในกลุ่มคนไข้นั้น
10 คนเสียชีวิต -
3:27 - 3:30อีก 50 คนได้รับยาหลอกที่ทำจากน้ำตาล
-
3:30 - 3:33ซึ่งไม่มีสารออกฤทธิ์ใดๆ และเพียงหนึ่งในนั้นเสียชีวิต
-
3:33 - 3:36ดังนั้น พวกเขาจึงพิจารณาถูกต้องได้ว่า
ยานี้ไม่ประสบผลสำเร็จ -
3:36 - 3:39และการทำโฆษณาเพื่อการค้าก็ถูกระงับไป
และเพราะว่า -
3:39 - 3:43พอการโฆษณาไม่มี การทดลองนี้ก็เลยไม่เคยได้รับการตีพิมพ์
-
3:43 - 3:49แต่โชคร้าย กว่า 5 หรือ 10 ปีต่อจากนั้น
-
3:49 - 3:52บริษัทอื่นๆ มีความคิดเดียวกันเกี่ยวกับยา
-
3:52 - 3:55ที่จะป้องกันอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในคนที่เคยมีอาการหัวใจวาย -
3:55 - 3:57ยาเหล่านี้ถูกนำเข้าสู่ตลาด มันถูกจ่ายตามใบสั่งยา
ไปใช้อย่างกว้างขวาง -
3:57 - 4:00เพราะว่า โรคหัวใจวายนั้น พบได้ทั่วไป
-
4:00 - 4:04และใช้เวลานานมากก่อนที่เราจะพบว่า ยาเหล่านี้
-
4:04 - 4:07ยังเป็นสาเหตุ ของอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น
-
4:07 - 4:10ซึ่งก่อนที่เราจะตรวจพบสัญญาณปลอดภัยนั้น
-
4:10 - 4:16คนกว่า 100,000 ในอเมริกาต้องตาย อย่างไม่มีสาเหตุอันควร
-
4:16 - 4:19จากการสั่งใช้ ยาต้านหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะนี้
-
4:19 - 4:23ทีนี้ จริงๆแล้วในปี 1993
-
4:23 - 4:26นักวิจัยที่ทำการศึกษาของปี 1980นั้น หรือการวิจัยแต่แรกนั้น
-
4:26 - 4:30ตีพิมพ์บทความขอโทษต่อวงการวิทยาศาสตร์
[mea culpa แปลว่า ข้าผิดเอง] -
4:30 - 4:33ซึ่งเขาได้กล่าวว่า "เมื่อเราได้ทำการทดลองในปี 1980
-
4:33 - 4:35เราคิดว่า อัตราการเสียชีวิตที่เกิดขึ้น
-
4:35 - 4:38ในกลุ่มผู้ใช้ยาโลร์คาไนด์นั้น เป็นผลมาจากความบังเอิญ"
-
4:38 - 4:41การพัฒนาของยาโลคาไนด์
ถูกละทิ้งด้วยเหตุผลทางการค้า -
4:41 - 4:42และการศึกษานี้ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์
-
4:42 - 4:45มันเป็นตัวอย่างที่ดี ของความลำเอียงในการตีพิมพ์
-
4:45 - 4:46นั่นเป็นคำเฉพาะสำหรับปรากฏการณ์ซึ่ง
-
4:46 - 4:51ข้อมูลการทดลองไม่เป็นที่พอใจหายไป ไม่ได้รับการตีพิมพ์
-
4:51 - 4:54ถูกทิ้งไว้ไม่นำมาใช้ และเขาได้บอกว่าผลการทดลองนั้น
-
4:54 - 4:59"น่าจะได้ให้คำเตือนเสียแต่เนิ่นๆ ถึงปัญหาในภายภาคหน้า"
-
4:59 - 5:02นี่เป็นเรื่องราวจากวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
-
5:02 - 5:07นี่เป็นเรื่องราว จากเมื่อ 20, 30 ปีที่แล้ว
-
5:07 - 5:10บรรยากาศการตีพิมพ์ทางวิชาการเปลี่ยนไปมากในปัจจุบันนี้
-
5:10 - 5:14มีวารสารวิชาการเช่น "Trial" ที่เป็นวารสารเปิดเสรี
-
5:14 - 5:17ซึ่งจะตีพิมพ์การทดลองใดๆก็ตามที่ทดลองในมนุษย์
-
5:17 - 5:20ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเชิงบวก หรือเป็นเชิงลบ
-
5:20 - 5:24แต่ปัญหาของผลการทดลองที่เป็นลบ
ที่หายไป ไม่ได้รับการปฎิบัติ -
5:24 - 5:27ยังพบได้เยอะมาก ที่จริงแล้วมันเยอะมากเสียจน
-
5:27 - 5:33มันบาดลึกไปถึงแก่น
ของการแพทย์ที่ยึดเอาหลักฐานเป็นที่ตั้ง -
5:33 - 5:36นี่คือยาที่เรียกว่า โรบ๊อกซิทิน (roboxetine) และมันเป็นยา
-
5:36 - 5:39ที่ผมเองเคยเขียนใบสั่งให้คนไข้ใช้
มันเป็นยาต้านอาการซึมเศร้า -
5:39 - 5:41และผมเป็นหมอหนอนหนังสือ
ผมจึงอ่านงานวิจัยทั้งหมด -
5:41 - 5:44ที่ผมหาได้เกี่ยวกับยาตัวนี้ ผมอ่านงานวิจัยหนึ่งที่ตีพิมพ์
-
5:44 - 5:47ที่แสดงให้เห็นว่า ยาโรบ๊อกซิทินนั้นดีกว่ายาหลอก
-
5:47 - 5:49และผมอ่านงานวิจัยอื่นที่ตีพิมพ์อีกสามเรื่อง
-
5:49 - 5:53ที่แสดงให้เห็นว่า ยาโรบ๊อกซิทินดีพอๆกับยาต้านอาการซึมเศร้าตัวอื่นๆ
-
5:53 - 5:55และเพราะว่า คนไข้ไม่ได้ตอบสนองต่อยาอื่นๆได้ดีกว่า
-
5:55 - 5:58ผมก็คิด เอ ถ้าโรบ๊อกซิทินก็ดีพอๆกัน ก็น่าจะลองดูนะ
-
5:58 - 6:01แต่มันกลายเป็นว่า ผมถูกทำให้เข้าใจผิด ที่จริงแล้ว
-
6:01 - 6:03มีการทดลองเจ็ดครั้งเพื่อเปรียบเทียบ โรบ๊อกซิทิน
-
6:03 - 6:06กับยาหลอกที่ทำจากน้ำตาล หนึ่งในนั้นให้ผลเชิงบวก
-
6:06 - 6:08และได้รับการตีพิมพ์ แต่ที่เหลือหกครั้งนั้น
-
6:08 - 6:12ได้ผลเชิงลบ และพวกมันถูกทิ้งไป ไม่ได้รับการตีพิมพ์
-
6:12 - 6:14การทดลองสามครั้งได้รับการตีพิมพ์
เพื่อเปรียบเทียบโรบ๊อกซิทิน -
6:14 - 6:16กับยาต้านอาการซึมเศร้าอื่นๆ ซึ่งโรบ๊อกซิทิน
-
6:16 - 6:18ก็ให้ผลดีพอๆกัน และมันก็ได้รับการตีพิมพ์
-
6:18 - 6:23แต่ข้อมูลจากคนไข้จำนวนมากกว่าถึงสามเท่า
ที่เก็บรวบรวมได้ -
6:23 - 6:24ซึ่งแสดงให้เห็นว่า โรบ๊อกซิทินนั้นแย่กว่า
-
6:24 - 6:29การรักษาแบบอื่นๆ แต่การทดลองเหล่านั้นไม่ได้ถูกตีพิมพ์
-
6:29 - 6:33ผมรู้สึกถูกทำให้ไขว้เขว
-
6:33 - 6:35คุณอาจบอกว่า ก็ นั่นมันเป็นตัวอย่างที่ผิดปกติไปอย่างสุดๆ
-
6:35 - 6:37และผมก็ไม่อยากที่จะรู้สึกผิดในแบบเดียวกับ
-
6:37 - 6:40การอ้างอิงที่เลือกมาเฉพาะบางจุดที่นำมายืนยันได้
-
6:40 - 6:42ซึ่งผมกล่าวหาคนอื่นๆอยู่
-
6:42 - 6:44แต่มันกลายเป็นว่า ปรากฏการณ์ของการตีพิมพ์ที่ลำเอียงนี้
-
6:44 - 6:46จริงๆแล้ว ได้มีการศึกษาวิจัยไว้อย่างดีมากๆ
-
6:46 - 6:48ตรงนี้จึงเป็น ตัวอย่างหนึ่งของวิธีที่คุณจะเข้าถึงมันได้
-
6:48 - 6:50แบบจำลองชั้นคลาสสิกก็คือ คุณทำการรวบรวมงานวิจัย
-
6:50 - 6:53ที่คุณรู้ว่าพวกเขาได้ทำการทดลองและทำจนเสร็จสิ้นแล้ว
-
6:53 - 6:55แล้วคุณก็ไปดูว่ามันได้รับการตีพิมพ์ที่ไหน
-
6:55 - 6:58ในเอกสารทางวิชาการบ้าง
ดังนั้นจึงเป็นการนำการทดลองทั้งหมด -
6:58 - 7:00ที่เคยทำการศึกษากับยาต้านอาการซึมเศร้า
-
7:00 - 7:04ที่ได้รับการอนุมัติมาแล้วกว่า ช่วง15 ปี
โดยองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) -
7:04 - 7:07พวกเขาเอาการทดลองทั้งหมดนั้น ที่ถูกส่งให้ FDA
ซึ่งเป็นส่วนของชุดเอกสารเพื่อการขออนุมัติ -
7:07 - 7:11ดังนั้น นั่นจึงไม่ใช่การทดลองทั้งหมด
ที่เคยทำการศึกษายาเหล่านี้ -
7:11 - 7:13เพราะว่า เราไม่อาจทราบได้เลยว่า มันมีหรือไม่
-
7:13 - 7:16แต่มันเป็นงานวิจัยที่ถูกทำขึ้น เพื่อขออนุมัติเพื่อออกสู่ตลาด
-
7:16 - 7:19แล้วพวกเขาก็ไปดูว่าการทดลองเหล่านี้ได้ถูกตีพิมพ์หรือไม่
-
7:19 - 7:21ในเอกสารทางวิชาการที่ได้รับการตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญ
และนี่คือสื่งที่เขาพบ -
7:21 - 7:24เกือบจะแยกออกเป็น 50-50 ทีเดียว
ครึ่งหนึ่งของการวิจัยเหล่านี้ -
7:24 - 7:28มีผลเป็นเชิงบวก อีกครึ่งเป็นเชิงลบ ตามความเป็นจริง
-
7:28 - 7:33แต่เมื่อพวกเขามองหางานวิจัยเหล่านี้
ในเอกสารวิชาการที่ได้รับการตรวจทาน -
7:33 - 7:35สิ่งที่เขาพบนั้นเป็นคนละเรื่อง
-
7:35 - 7:39การศึกษาที่ผลเป็นเชิงลบเพียงสามงานเท่านั้นที่ถูกตีพิมพ์
-
7:39 - 7:44และส่วนงานวิจัยที่มีผลเชิงบวก มีการตีพิมพ์ทั้งหมด
ขาดไปงานเดียว -
7:44 - 7:48ถ้าคุณพลิกดูกลับไปกลับมา ระหว่างงานวิจัยสองแบบนั้น
-
7:48 - 7:50คุณจะเห็นความแตกต่างจนแทบช๊อก
-
7:50 - 7:54ระหว่างความเป็นจริง กับสิ่งที่แพทย์ คนไข้
-
7:54 - 7:56ผู้มีหน้าที่ด้านบริการสุขอนามัย และนักวิชาการ
-
7:56 - 8:00สามารถเห็นได้ จากเอกสารวิชาการที่ได้รับการตรวจเหล่านี้
-
8:00 - 8:04เราถูกชักนำไปในทางที่ผิด และนี่เป็นความผิดพลาดของระบบ
-
8:04 - 8:07ในแก่นของการแพทย์
-
8:07 - 8:10ที่จริง ในปัจจุบัน มีการศึกษาวิจัยมากมายทีเดียวเกี่ยวกับ
-
8:10 - 8:13ความลำเอียงของการตีพิมพ์ คือมากกว่าร้อยชิ้นงาน
-
8:13 - 8:17ทีถูกจัดเก็บรวบรวมไว้ในการตรวจสอบ (review) อย่างมีระบบ
และตีพิมพ์ในปี 2010 -
8:17 - 8:19ซึ่งเอางานวิจัยทุกชิ้นเรื่องความลำเอียงในการตีพิมพ์
-
8:19 - 8:21ที่พวกเขาสามารถหามาได้
-
8:21 - 8:24ความลำเอียงในการตีพิมพ์ ส่งผลต่อทุกสาขาทางการแพทย์
-
8:24 - 8:28ประมาณครึ่งหนึ่งของการทดลองทั้งหมด โดยเฉลี่ย
หายไปไม่ได้นำมาใช้ -
8:28 - 8:31และเรารู้ว่า ผลการวิจัยที่เป็นเชิงบวก จะได้รับการตีพิมพ์
-
8:31 - 8:34มากประมาณสองเท่า ของผลงานวิจัยที่เป็นเชิงลบ
-
8:34 - 8:38สิ่งนี้เป็นมะเร็งที่แก่น ของการแพทย์บนพื้นฐานของหลักฐาน
-
8:38 - 8:42ถ้าผมโยนเหรียญ 100 ครั้ง แล้วก็
-
8:42 - 8:45ไม่ยอมบอกคุณผลที่ได้ จากครึ่งหนึ่งของการโยนนั้น
-
8:45 - 8:49ผมทำให้เหมือนกับว่า ผมมีเหรียญที่จะออกหัวทุกครั้งได้
-
8:49 - 8:50แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผมมีเหรียญที่มีหัวทั้งสองด้าน
-
8:50 - 8:52แต่นั่นจะหมายความว่าผมเป็นพวกฉวยโอกาส
-
8:52 - 8:55และคุณก็เป็นไอ้โง่ที่ปล่อยให้ผมหลอกได้ (เสียงหัวเราะ)
-
8:55 - 8:59แต่แน่ๆ นี่เป็นสิ่งที่เราหลับหูหลับตาทน
-
8:59 - 9:03ในการแพทย์บนพื้นฐานของหลักฐานทั้งหมด
-
9:03 - 9:07และสำหรับผม นี่มันเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทางการวิจัย
-
9:07 - 9:10ถ้าผมทำการศึกษาวิจัยสักเรื่อง และปกปิด
-
9:10 - 9:13ครึ่งหนึ่งของข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยนั้น
-
9:13 - 9:17คุณก็มีสิทธิจะกล่าวหาผม โดยหลักการแล้ว ว่าโกงการวิจัย
-
9:17 - 9:20แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ถ้าใครสักคนทำงานวิจัย
-
9:20 - 9:2510 เรื่่อง แต่ตีพิมพ์แค่ห้าเรื่องที่ให้ผลอย่างที่เขาต้องการ
-
9:25 - 9:28เราไม่คิดว่านั่นเป็นการประพฤติผิดทางการวิจัย
-
9:28 - 9:30และเมื่อความรับผิดชอบนั้น แพร่กระจายไปทั่ว
-
9:30 - 9:33ทั้งเครือข่ายของนักวิจัย นักวิชาการ
-
9:33 - 9:37ผู้ให้การสนับสนุนทางอุตสหกรรม บรรณาธิการวารสาร
-
9:37 - 9:38ด้วยเหตุผลบางอย่าง เราคิดว่ามันรับได้
-
9:38 - 9:42แต่ผลที่มีต่อคนไข้นั้น นำไปสู่ความเสียหาย
-
9:42 - 9:47และมันเกิดขึ้น ณ ขณะนี้ วันนี้
-
9:47 - 9:50นี่คือยาที่เรียกว่า ทามิฟลู (Tamiful) ทามิฟลูเป็นยา
-
9:50 - 9:52ที่รัฐบาลทั่วโลกใช้เงินหลายต่อหลายพันล้าน
-
9:52 - 9:55ดอลล่าร์กักตุนมันไว้ในคลัง
-
9:55 - 9:58และพวกเราก็กักตุนทามิฟลูกันไว้ อย่างตื่นตระหนก
-
9:58 - 10:02ด้วยความเชื่อที่ว่า มันจะช่วยลดอัตราภาวะแซกซ้อน
จากไข้หวัดใหญ่ -
10:02 - 10:05ภาวะแซกซ้อนเป็นคำนุ่มนวลทางการแพทย์
สำหรับโรคปอดบวม -
10:05 - 10:09และความตายครับ (เสียงหัวเราะ)
-
10:09 - 10:13ทีนี้ เมื่อผู้ตรวจสอบจาก Cochrane systematic review
-
10:13 - 10:15พยายามที่จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมด
-
10:15 - 10:19จากการทดลองที่ได้ทำไว้ เกี่ยวกับว่าจริงๆแล้วทามิฟลู
ทำอย่างที่ว่าได้หรือไม่ -
10:19 - 10:22พวกเขาพบว่า งานวิจัยทดลองเหล่านั้น
หลายงานไม่ได้ตีพิมพ์ -
10:22 - 10:24ผลการทดลองเหล่านั้น ไม่มีให้พวกเขา
-
10:24 - 10:28และเมื่อพวกเขาเริ่มได้รับบทความวิจารณ์
การทดลองเหล่านั้น ผ่านทางวิธีการต่างๆ ได้แก่ -
10:28 - 10:29การขอข้อมูลผ่านทาง พ.ร.บ.ว่าด้วยเสรีภาพของข้อมูล (Freedom of Information Act)
-
10:29 - 10:34ผ่านทางการก่อกวนองค์กรต่างๆหลากหลาย
สิ่งที่พวกเขาค้นพบ ก็ไม่สอดคล้องกัน -
10:34 - 10:37และเมื่อพวกเขาพยายามที่จะให้ได้
รายงานการวิจัยทางการแพทย์มา -
10:37 - 10:40ซึ่งเป็นเอกสารความยาว 10,000 หน้า
-
10:40 - 10:43ที่มีการถอดความข้อมูลที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
-
10:43 - 10:46พวกเขาได้รับการบอกว่า ไม่อนุญาตให้พวกเขาเอาข้อมูลได้
-
10:46 - 10:49และถ้าคุณอยากจะอ่านจดหมายโต้ตอบเรื่องนั้นเต็มๆ
-
10:49 - 10:52และข้ออ้างและคำอธิบายที่บริษัทยาให้
-
10:52 - 10:55คุณสามารถอ่านได้ในวารสาร PLOS Medicine
-
10:55 - 10:59ฉบับสัปดาห์นี้
-
10:59 - 11:03และสิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุดในทั้งหมดนี้ สำหรับผมแล้ว
-
11:03 - 11:06ไม่ใช่เพียงแค่ว่านี่เป็นปัญหา ไม่ใช่แค่ว่าเรารับรู้
-
11:06 - 11:11ว่ามันคือปัญหา แต่ว่าเราทนรับกรรมกับการแก้ไขหลอกๆ
-
11:11 - 11:14พวกเรามี คนที่แกล้งทำเป็นว่า นี่เป็นปัญหาที่แก้ไขแล้ว
-
11:14 - 11:16อย่างแรกเลย เรามีการลงทะเบียนการทดลอง
และทุกๆคนบอกว่า โอเค ตกลง -
11:16 - 11:19เราจะให้ทุกคนมาลงทะเบียนการวิจัยทดลอง
พวกเขาจะได้ประกาศต้นร่างการทดลองออกมา -
11:19 - 11:21พวกเขาจะบอกว่า พวกเขาจะทำอะไร
ก่อนที่จะทำการวิจัยทดลองจริง -
11:21 - 11:24แล้วจากนั้น เราก็จะตรวจสอบได้ และจะเห็นว่า
การทดลองทั้งหมด -
11:24 - 11:26ที่ได้ทำและเสร็จสิ้นสมบูรณ์จะได้รับการตีพิมพ์
-
11:26 - 11:28แต่คนไม่ได้ใส่ใจที่จะไปลงทะเบียน
-
11:28 - 11:31ดังนั้น คณะกรรมการบรรณาธิการวารสารการแพทย์ระหว่างประเทศ (ICMJE) จึงเข้ามา
-
11:31 - 11:32และบอกว่า เอาล่ะ เราจะหยุดการตีพิมพ์ไว้
-
11:32 - 11:35เราจะไม่ตีพิมพ์วารสารใดๆ เราจะไม่ตีพิมพ์การทดลองใดๆ
-
11:35 - 11:38เว้นเสียแต่ว่า พวกเขาจะลงทะเบียนก่อนที่จะทำการศึกษา
-
11:38 - 11:41แต่พวกเขาก็ไม่ได้หยุดการพิมพ์
ในปี 2008 มีการทำการศึกษา -
11:41 - 11:44ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ครึ่งหนึ่งของการทดลองทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสาร
-
11:44 - 11:47ที่ผ่านการตรวจสอบโดยสมาชิกของ ICMJE
-
11:47 - 11:52ไม่ได้ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง และหนึ่งในสี่ของจำนวนนั้น
ไม่ได้ลงทะเบียนด้วยซ้ำ -
11:52 - 11:54แล้วในที่สุด พ.ร.บ. แก้ไขปรับปรุง FDA ก็ผ่านออกมา
-
11:54 - 11:57ได้สองปีมาแล้ว กล่าวว่า ทุกคนที่ทำการศึกษาทดลอง
-
11:57 - 12:00ต้องประกาศผลการศึกษานั้น ภายในหนึ่งปี
-
12:00 - 12:04และใน BMJ ฉบับแรกของเดือนมกราคมปี 2012
-
12:04 - 12:07คุณสามารถไปดูการศึกษา ที่ตามดูว่า
-
12:07 - 12:11คนทำตามกฎที่ว่านั้นหรือเปล่า และกลับเป็นว่าแค่หนึ่งในห้า
-
12:11 - 12:14ที่ทำตามนั้น
-
12:14 - 12:17นี่มันเป็นหายนะ
-
12:17 - 12:21เราไม่สามารถรู้ ผลจริงๆของยา
-
12:21 - 12:24ที่เราจ่ายออกไปได้ ถ้าเราไม่สามารถเข้าถึง
-
12:24 - 12:27ข้อมูลทั้งหมดได้
-
12:27 - 12:31และนี่ไม่ได้เป็นปัญหาที่แก้ไขยาก
-
12:31 - 12:36เราต้องบังคับ ให้ผู้คนตีพิมพ์การทดลองทั้งหมด
-
12:36 - 12:39ที่ทำในมนุษย์ รวมทั้งการทดลองเก่าๆด้วย
-
12:39 - 12:43เพราะว่า พ.ร.บ. แก้ไขปรับปรุง FDA นั้น แค่ขอให้คุณตีพิมพ์การทดลองที่ทำหลังปี 2008 เท่านั้น
-
12:43 - 12:46และผมไม่ทราบว่า ในโลกอะไรกันนี่ ที่เรา
-
12:46 - 12:50ปฎิบัติงานทางการแพทย์ บนรากฐานของการวิจัยทดลอง
ที่ทำเสร็จกันในแค่สองปีที่ผ่านมาเท่านั้น -
12:50 - 12:52เราต้องการให้ตีพิมพ์การทดสอบในมนุษย์ทั้งหมด
-
12:52 - 12:55รวมทั้งงานเก่าๆ ที่เกี่ยวกับยาทั้งหมดที่ใช้อยู่ในขณะนี้
-
12:55 - 12:58และคุณต้องบอกทุกคนที่คุณรู้จัก
-
12:58 - 13:02ว่านี่มันเป็นปัญหา และมันก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข
-
13:02 - 13:04ขอบคุณมากครับ (เสียงปรบมือ)
-
13:04 - 13:08(เสียงปรบมือ)
- Title:
- เบน โกเดเคอร์ (Ben Goldacre): สิ่งที่คุณแพทย์ไม่รู้เกี่ยวกับยาที่พวกเขาสั่งให้คนไข้
- Speaker:
- Ben Goldacre
- Description:
-
เมื่อยาตัวใหม่ได้ถูกทดสอบ ผลการทดลองก็ควรจะได้รับการตีพิมพ์เพื่อให้โลกแห่งการแพทย์ที่เหลือได้รับรู้ แต่ทว่า ส่วนมากแล้ว การทดลองที่มีผลเชิงลบหรือหาข้อสรุปไม่ได้นั้น ไม่มีการรายงาน ทิ้งให้แพทย์และนักวิจัยอยู่ในความมืด
ในการบรรยายที่กระตือรือร้นนี้ เบน โกเดเคอร์ อธิบายว่า ทำไมตัวอย่างของข้อมูลเชิงลบที่ไม่ได้ถูกนำมารายงานเหล่านี้ เฉพาะอย่างยิ่งจึงทำให้เกิดการเข้าใจผิดและเป็นอันตราย - Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 13:29
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for What doctors don't know about the drugs they prescribe | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What doctors don't know about the drugs they prescribe | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What doctors don't know about the drugs they prescribe | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What doctors don't know about the drugs they prescribe | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What doctors don't know about the drugs they prescribe | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for What doctors don't know about the drugs they prescribe | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut commented on Thai subtitles for What doctors don't know about the drugs they prescribe | ||
yamela areesamarn commented on Thai subtitles for What doctors don't know about the drugs they prescribe |
yamela areesamarn
แก้ไขมากหน่อยนะคะ เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นคะ
Kelwalin Dhanasarnsombut
โห... ตัวแดงเต็มเลย T^T
ยังไงจะลองค่อยๆดูนะคะ ขอบคุณค่ะที่ตรวจให้