Return to Video

ภาษาของความบ้า | เชย์ดา คาไฟ (Shayda Kafai )| TECxCPP

  • 0:05 - 0:08
    ฉันขอกล่าวก่อนนะคะ
    ว่าฉันอยากจะอุทิศการบรรยายครั้งนี้
  • 0:08 - 0:14
    ให้กับทุกคนที่เผชิญกับความความไม่รู้
    และแบ่งปันเรื่องราวของพวกเขา
  • 0:14 - 0:17
    ฉันอยากมอบการบรรยายครั้งนี้
    ให้กับภรรยาของฉัน เอมี่
  • 0:17 - 0:21
    (เสียงปรบมือ)
  • 0:24 - 0:29
    ฉันอยากเริ่มด้วย
    การเล่าเรื่องราวส่วนหนึ่งของฉัน
  • 0:29 - 0:31
    มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะพูดถึงบ่อย ๆ
  • 0:32 - 0:37
    ตอนฉันอายุ 17 ฉันถูกวินิจฉัยว่า
    เป็นโรคอารมณ์สองขั้ว
  • 0:37 - 0:38
    ฉันอยากจะหยุดที่ตรงนั้น
  • 0:38 - 0:43
    เพราะแค่การเอ่ยถึง
    คำสั้น ๆ สองคำนั้น "อารมณ์สองขั้ว"
  • 0:43 - 0:48
    ฉันก็ได้สร้างคลื่นผลกระทบทางลบ
    ที่รุนแรงขึ้นในห้องนี้แล้ว
  • 0:50 - 0:53
    บางทีคุณอาจมองร่างกายของฉัน
    ต่างออกไปจากที่คุณเคยเห็น
  • 0:53 - 0:54
    เมื่อคุณได้ฟังบทนำของฉัน
  • 0:54 - 0:58
    บางทีคุณอาจจะกำหนดภาพพจน์ให้ฉัน
    ทั้งที่จริง ๆ ฉันไม่ใช่เป็นแบบนั้น
  • 0:59 - 1:03
    ฉันคิดว่ามันสำคัญที่คุณทุกคนต้องรู้
    ว่า ณ จุดนี้ ฉันอยากจะบอกว่า
  • 1:03 - 1:06
    "ขอบคุณที่รับฟัง"
    และฉันอยากจะลงจากเวทีแล้ว
  • 1:06 - 1:08
    แต่ฉันจะอยู่ตรงนี้ค่ะ
  • 1:08 - 1:11
    (เสียงปรบมือ)
  • 1:12 - 1:14
    ปรบมือกันเยอะจังเลย
  • 1:14 - 1:15
    (เสียงหัวเราะ)
  • 1:17 - 1:21
    เราอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า
    "Depression" (ความหดหู่)
  • 1:21 - 1:23
    เราอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า
    "Mania" (ความคลุ้มคลั่ง)
  • 1:23 - 1:27
    คุณอาจจะเคยใช้คำเหล่านี้ในบทสนทนา
  • 1:27 - 1:31
    "วันนี้ฉันหดหู่จังเลย"
    "เขาดูคลั่งมากเลย"
  • 1:31 - 1:34
    สำหรับฉัน ความคลุ้มคลั่งและความหดหู่นั้น
  • 1:34 - 1:38
    ดูจะเป็นเรื่องที่กวนใจ
    มากกว่าจะเป็นเรื่องปกติประจำวัน
  • 1:39 - 1:41
    มันรุกล้ำเข้ามา
    ในชีวิตประจำวันของฉันจริง ๆ
  • 1:41 - 1:44
    และแม้ว่านี่จะเป็นแค่ประสบการณ์ของฉัน
  • 1:44 - 1:46
    ฉันคิดว่ามันสำคัญที่จะรู้เช่นกัน
  • 1:46 - 1:48
    ว่าประสบการณ์ของทุกคนนั้น
    ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
  • 1:50 - 1:52
    ตอนฉันอายุ 17 ปี ฉันเรียนจบมัธยมปลาย
  • 1:52 - 1:56
    ฉันกำลังเริ่มเรียนในคณะวารสารท้องถิ่น
  • 1:56 - 2:01
    และสำหรับฉัน ความหดหู่
    มันเหมือนเป็นความลำบากอย่างมาก
  • 2:01 - 2:04
    ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องที่ไม่มีลูกบิด
  • 2:04 - 2:06
    การลุกออกจากเตียงและการเริ่มวันใหม่ได้นั้น
  • 2:06 - 2:08
    ก็นับเป็นความสำเร็จแล้ว
  • 2:09 - 2:12
    ฉันอยากฆ่าตัวตายมากจนไม่สามารถขับรถได้
  • 2:12 - 2:15
    แม่ฉันก็เลยต้องขับรถมาส่งฉันที่มหาวิทยาลัย
  • 2:15 - 2:19
    รอฉันสามชั่วโมงที่ลานจอดรถ
    เพื่อรับฉันและขับรถพาฉันกลับบ้าน
  • 2:20 - 2:23
    แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
    หรือไม่ได้ยาวนานเท่าไหร่
  • 2:23 - 2:28
    สำหรับฉัน ภาวะคลุ้มคลั่ง คือ
    ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยสมาธิและพลังงาน
  • 2:28 - 2:30
    และฉันรู้สึกแข็งแกร่งมากจริง ๆ
  • 2:31 - 2:35
    เมื่อตอนที่ฉันจบปริญญาเอก
  • 2:35 - 2:37
    ฉันต้องเข้าบำบัดในโรงพยาบาลสี่ครั้ง
  • 2:38 - 2:43
    เอาล่ะค่ะ นี่ไม่ใช่การเริ่ม TED Talk ของฉัน
    อย่างที่ฉันคิดไว้เลย
  • 2:43 - 2:44
    ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด
  • 2:44 - 2:47
    ฉันเคยอยากจะพูดกับคุณทุกคน
  • 2:47 - 2:50
    เกี่ยวกับสถิติที่เกี่ยวข้องกับความวิกลจริต
  • 2:50 - 2:52
    ฉันเคยอยากจะพูดกับคุณเกี่ยวกับ
    การศึกษาเกี่ยวกับความหมายของคำ
  • 2:52 - 2:55
    ฉันเคยอยากจะบอกคุณเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
  • 2:55 - 2:58
    ว่าเราทำความเข้าใจและให้ความหมาย
    คำว่าวิกลจริตอย่างไร
  • 2:58 - 3:02
    และไม่จนกระทั่งตอนมาถึงร่างที่สี่
    ของการพูดนี้ ฉันจึงตระหนักได้ว่า
  • 3:02 - 3:06
    ฉันได้เขียนเรื่องที่ไม่เกี่ยวอย่างสิ้นเชิง
    กับตัวฉันในบทสนทนานี้
  • 3:06 - 3:09
    และฉันต้องหยุดและถามกับตัวเองว่าทำไม
  • 3:09 - 3:13
    ทำไมในการพูดที่ฉันอยากจะมาค้นหา
    ปฏิกิริยาเชิงลบ
  • 3:13 - 3:17
    ต้องเกิดจากวิธีที่เราทำความเข้าใจ
    คำว่าวิกลจริต
  • 3:17 - 3:20
    ฉันได้เขียนเรื่องเล่าของฉันเองออกมาหรือยัง
  • 3:20 - 3:23
    เรื่องเล่าที่เหมาะสมกับการสนทนานี้จริง ๆ
  • 3:23 - 3:25
    และคำตอบนั้นก็เรียบง่าย
  • 3:25 - 3:29
    และฉันคิดว่ามันเป็นปัญหาอย่างแน่นอน
    ในความเรียบง่ายของมัน
  • 3:29 - 3:31
    และมันคือคำเพียงคำเดียว
  • 3:31 - 3:35
    นั่นคือ "ความน่าอับอาย" และ "มลทิน" ของมัน
  • 3:35 - 3:38
    แม้ว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้ต่อหน้าพวกคุณ
  • 3:38 - 3:43
    ฉันรู้สึกเกรงกลัวกับการที่ฉันจะถูกมอง
  • 3:43 - 3:45
    ร่างกายฉันจะถูกมองว่าอย่างไร
  • 3:45 - 3:49
    จากสายตาของนักเรียนเก่า นักเรียนปัจจุบัน
    และนักเรียนในอนาคตของฉัน
  • 3:50 - 3:54
    เพื่อนร่วมงานของฉันจะมองร่างกายของฉัน
    และตัวตนของฉันอย่างไร
  • 3:54 - 4:00
    ฉันจะถูกมองว่าด้อยกว่าไหม
    หรือไร้ความสามารถ หรือไม่น่าไว้ใจไหม
  • 4:02 - 4:07
    พวกคุณบางคนอาจจะกำลัง
    นั่งคิดอยู่เงียบ ๆ กับตัวคุณเอง
  • 4:07 - 4:10
    "แต่เธอดูไม่เหมือนคนบ้าเลยหนิ"
  • 4:10 - 4:15
    และสำหรับคำถามเหล่านั้น ฉันขอถามคุณ
    แล้วพวกคนบ้าต้องมีลักษณะอย่างไร
  • 4:15 - 4:19
    และที่จริง เราไม่ได้ถูกสอนมา
    ว่าคนบ้าต้องเป็นอย่างไร ใช่ไหม
  • 4:19 - 4:23
    หลายสถาบันในสังคมของเราได้สอนเรา
  • 4:23 - 4:29
    และช่วยปลูกฝังความเข้าใจ
    อย่างตายตัวเกี่ยวกับความวิกลจริตให้กับเรา
  • 4:29 - 4:31
    และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเร็ว
    ที่สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้น
  • 4:31 - 4:34
    และมันได้เกิดขึ้นกับเราทุกคน
    ตั้งแต่เรายังเด็กมาก ๆ
  • 4:34 - 4:38
    ฉันอยากจะให้ทุกคนหยุดพร้อมกับฉันและคิดดู
  • 4:38 - 4:41
    คุณคิดถึงอะไร
    รูปร่างอะไร ความหมายอะไร
  • 4:41 - 4:45
    คุณคิดถึงอะไรเมื่อได้ยินคำว่า "ประสาท"
  • 4:45 - 4:49
    คุณคิดถึงอะไรเมื่อได้ยินคำว่า "บ้า"
  • 4:49 - 4:54
    ความหมายและรูปร่างอะไรที่เข้ามาในความคิด
    เมื่อคุณได้ยินคำว่า "ป่วยทางจิต"
  • 4:56 - 4:58
    บางทีความคิดและภาพในหัวของคุณ
  • 4:58 - 5:04
    มาจากวิธีการที่สื่อข่าวที่ฝังความพิการ
  • 5:04 - 5:07
    ความพิการทางจิต และความบ้า
  • 5:07 - 5:10
    บางทีความคิดของคุณอาจมากจากวรรณกรรม
  • 5:10 - 5:13
    จากนวนิยาย หรือจากภาพยนตร์
  • 5:13 - 5:15
    ฉันจะขอพูดถึงภาพยนตร์
  • 5:16 - 5:19
    บางทีคุณอาจนึกถึง "Girl Interrupted",
  • 5:21 - 5:23
    "One Flew Over the Cuckoo's Nest",
  • 5:24 - 5:25
    "Psycho",
  • 5:26 - 5:28
    "Mommy Dearest",
  • 5:29 - 5:30
    หรือ "A Beautiful Mind".
  • 5:32 - 5:36
    โดยไม่คำนึงถึงว่า
    คุณจะได้ให้ภาพเหล่านั้นกับที่ไหนบ้าง
  • 5:36 - 5:39
    หรือคุณจะได้ภาพเหล่านั้นมาจากที่ไหน
  • 5:39 - 5:44
    ฉันคิดว่ารายการที่เป็นแบบแผน
    ของการเหมาร่วมได้เกิดขึ้นแล้ว
  • 5:44 - 5:48
    แม้ว่าเราอาจทำมันมาด้วยกัน
    และกำลังเพิ่มเติมรายการเหล่านี้ต่อไปเรื่อย ๆ
  • 5:48 - 5:51
    รายการย่อ ๆ เป็นดังต่อไปนี้
  • 5:51 - 5:57
    คนที่มีความพิการทางจิต
    มักถูกมองว่าเป็นอันตราย
  • 5:57 - 6:01
    คาดเดาไม่ได้ ไร้ความสามารถ
  • 6:01 - 6:06
    แปรปรวน ไม่มีเหตุผล และขาดความรับผิดชอบ
  • 6:06 - 6:10
    ทีนี้ ภาพลักษณ์หรือความเข้าใจ
  • 6:10 - 6:13
    ที่เข้ามาในหัวของคุณอย่างรวดเร็ว
  • 6:13 - 6:16
    ตอนที่ฉันให้คุณหยุด
    และตั้งสมาธิไปที่คำซึ่งก็คือ
  • 6:16 - 6:20
    "ประสาท", "บ้า" และ "ป่วยทางจิต"
  • 6:20 - 6:23
    ภาพลักษณ์ที่ฉันดึงขึ้นมานั้น
    เป็นสิ่งที่จิตใจฉันเคยมอง
  • 6:23 - 6:26
    และรายการความเชื่อเหมารวมนี้
  • 6:26 - 6:31
    นี่คือเหตุผลที่
    ฉันต้องร่างการพูดในครั้งนี้ถึงสี่ฉบับ
  • 6:31 - 6:37
    ความเป็นสากลอย่างชัดเจนของคำ
    และภาพลักษณ์เหล่านี้ และภาระที่มากับมัน
  • 6:37 - 6:40
    ได้กำหนดชีวิตผู้ป่วยทางจิตเวช
  • 6:40 - 6:41
    กำหนดชีวิตของฉัน
  • 6:43 - 6:48
    ฉันคิดว่ามันสำคัญที่จะรู้ว่า
    โรคจิตเวชต่าจากโรคทางจิตประเภทอื่น
  • 6:48 - 6:53
    จิตเวชนำมาซึ่งบางอย่าง
    ที่แตกต่างและเป็นเอกลักษณ์
  • 6:53 - 6:56
    มันนำมาซึ่งการตัดสินทางศีลธรรมต่อคนคนหนึ่ง
  • 6:58 - 7:02
    ดังนั้น เราทำอะไรกับสิ่งเหล่านี้ได้บ้าง
  • 7:02 - 7:04
    ก่อนที่ฉันจะบอกคุณเรื่องนั้น
    ฉันอยากบอกคุณ
  • 7:04 - 7:06
    ถึงสิ่งที่ไม่ใช่จุดประสงค์ของการพูดครั้งนี้
  • 7:06 - 7:09
    ฉันคิดบ่อย ๆ ว่า
    เมื่อคนพิการไม่ว่าด้านใดก็ตาม
  • 7:09 - 7:11
    ได้แบ่งปันเรื่องราวของเขา
    หรือกล่าวสุนทรพจน์
  • 7:11 - 7:15
    พวกเขาจะถูกมองว่าเป็นแรงบันดาลใจ
  • 7:15 - 7:19
    เรื่องของพวกเขามีความหมายที่จะฟัง
    และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ
  • 7:19 - 7:21
    ที่จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น
    ในฐานะที่คุณสมประกอบ
  • 7:21 - 7:24
    หรือแม้กระทั่ง ในฐานะคนพิการเหมือนกัน
  • 7:24 - 7:28
    ฉันมาที่นี่เพื่อจะบอกคุณว่า
    ฉันไม่ใช่แรงบันดาลใจของคุณ
  • 7:28 - 7:30
    นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของฉัน
  • 7:30 - 7:33
    จุดประสงค์ของการพูดครั้งนี้
    คือเพื่อที่จะร้องขอ
  • 7:33 - 7:37
    ให้เราค่อย ๆ ปลูกฝังให้ชุมชนและสังคม
  • 7:37 - 7:40
    แก้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเหมารวม
    และมลทินต่าง ๆ
  • 7:40 - 7:43
    ที่ถูกฝังลึกในค่าคำทางจิตเวช
  • 7:44 - 7:46
    ฉันอยากจะอยู่ในที่
  • 7:46 - 7:49
    ที่ใครก็ตามที่บอกว่า
    เขาเป็นโรคอารมณ์สองขั้วนั้น
  • 7:49 - 7:54
    ไร้พิษภัยเหมือนกับที่คนอื่นพูดว่า
    "ฉันเป็นเบาหวาน"
  • 7:56 - 7:58
    ฉันอยากจะอยู่ในที่ที่การตัดสินทางศีลธรรม
  • 7:58 - 8:03
    ที่ผู้ป่วยจิตเวชถูกตีตราอยู่นั้นหายไป
  • 8:04 - 8:09
    ฉันอยากจะอยู่ในที่ที่ฉันสามารถ
    อยู่ต่อหน้าฝูงชน
  • 8:09 - 8:12
    หรือใครซักคน
  • 8:12 - 8:13
    แบบนี้
  • 8:13 - 8:16
    ยืนขึ้นและพูดว่า
    "ฉันชื่อเชย์ดา คาไฟ
  • 8:16 - 8:19
    ฉันเป็นศาสตราจารย์จากภาควิชา
    ชาติพันธุ์และสตรีศึกษา
  • 8:19 - 8:24
    ที่ Cal Poly Pomona
    และฉันเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว
  • 8:24 - 8:25
    ขอบคุณค่ะ
  • 8:25 - 8:27
    (เสียงปรบมือ)
Title:
ภาษาของความบ้า | เชย์ดา คาไฟ (Shayda Kafai )| TECxCPP
Description:

ทำไมเราถึงพูดคำที่ไม่ได้มีความหมายตามความหมายจริง ๆ ของมัน คนเราเปลี่ยนคำนิยามของคำศัพท์ไปตามสมัยนิยม ภาษาที่ถูกสร้างขึ้นจึงทำให้บางคนถูกทำร้ายและต้องหวาดกลัวกับการเปิดเผยตัวตน

Dr. Shayda Kafai เป็นอาจารย์สังกัดมหาวิทยาลัย California State Polytechnic ในภาควิชาชาติพันธุ์และสตรีศึกษาในวิทยาลัย Pomona เธอสำเร็จปริญญาเอกในสาขาวัฒนธรรมศึกษาจากมหาวิทยาลัย Claremont วิทยานิพนธ์ของเธอในหัวข้อ จารึกความพิการใหม่: การเคลื่อนไหวทางการแสดงของกลุ่ม Sins Invalid ที่มีต่อศิลปะการแสดงและความยุติธรรมในผู้พิการของกลุ่ม Sins Invalid ซึ่งเป็นโครงการการแสดงที่เบแอเรีย (Bay Area) ในซานฟรานซิสโก ในฐานะที่เธอเป็นบุคคลรักร่วมเพศและผิวสี เธอตั้งใจที่จะค้นหาวิธีการที่หลากหลายที่เราจะสามารถเรียกคืนร่างกายของเราจากระบบกดขี่ที่กีดขวางอยู่ เชย์ดาอาศัยอยู่ในลอสแองเจลิสกับภรรยาของเธอชื่อเอมี่

more » « less
Video Language:
English
Team:
closed TED
Project:
TEDxTalks
Duration:
08:31

Thai subtitles

Revisions