โจนาธาน เฮดท์ (Jonathan Haidt): ภัยคุกคามทำให้เราค้นพบจุดยืนร่วม (ทางการเมือง)
-
0:01 - 0:02ถ้าคุณตามข่าวอยู่บ้าง
-
0:02 - 0:05คุณคงได้ยินมาบ้างว่ามีกลุ่มดาวเคราะห์น้อยกลุ่มหนึ่ง
-
0:05 - 0:06กำลังมุ่งหน้ามายังสหรัฐอเมริกา
-
0:06 - 0:09และจะถล่มเราภายในห้าสิบปีข้างหน้า
-
0:09 - 0:13ทีนี้ ผมไม่ได้จะพูดถึงดาวเคราะห์น้อยจริงๆ
ที่เป็นหินหรือโลหะ -
0:13 - 0:14นั่นจะไม่ใช่ปัญหาเลย
-
0:14 - 0:16เพราะถ้าเราทุกคนกำลังจะตาย
-
0:16 - 0:19เราจะลืมความแตกต่างระหว่างเรา และทำอะไรก็ได้
-
0:19 - 0:21เพื่อหาทางผลักกลุ่มดาวพวกนั้นไม่ให้มาชนโลก
-
0:21 - 0:24แต่วันนี้ผมจะพูดถึงภัยอื่นที่กำลังคุกคามเข้ามาใกล้เรา
-
0:24 - 0:26แต่มันถูกห่อหุ้มไว้ด้วยสนามพลังพิเศษ
-
0:26 - 0:31ที่แยกเราออกเป็นสองขั้ว ทำให้เรานิ่งงันเหมือนเป็นอัมพาต
-
0:31 - 0:32เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ผมไปร่วมการประชุม TED
-
0:32 - 0:35และได้ฟังจิม แฮนเซน นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซาพูด
-
0:35 - 0:38เขาเป็นคนแรกที่ออกมาเตือนเรื่องภาวะโลกร้อน
ตั้งแต่ช่วงปี 1980s -
0:38 - 0:41และดูเหมือนว่าคำทำนายของเขาเมื่อตอนนั้น
-
0:41 - 0:42กำลังจะกลายเป็นจริง
-
0:42 - 0:46นี่คือภาพแสดงการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิในโลกของเรา
-
0:46 - 0:48ถ้าวิถีชีวิตของเรายังเป็นแบบนี้กันต่อไป
-
0:48 - 0:51อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นสี่ถึงห้าองศาเซลเซียส
-
0:51 - 0:52ภายในปลายศตวรรษนี้
-
0:52 - 0:56แฮนเซนกล่าวว่า เราจะได้เห็นระดับน้ำทะเลสูงขึ้นห้าเมตร
-
0:56 - 0:59และเมื่อน้ำทะเลสูงขึ้นห้าเมตร มันจะหน้าตาแบบนี้ครับ
-
0:59 - 1:02เมืองที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ต่ำทั่วโลกจะจมหายไป
-
1:02 - 1:06ภายในชั่วอายุขัยของเด็กที่เกิดวันนี้
-
1:06 - 1:09แฮนเซนทิ้งท้ายว่า
-
1:09 - 1:13"ลองนึกภาพดาวเคราะห์น้อยดวงใหญ่ที่กำลังจะพุ่งมาชนโลก
-
1:13 - 1:15ปัญหาที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้มันใหญ่เท่านั้นเลยล่ะครับ
-
1:15 - 1:19แต่เรากลับลังเลไม่ทำอะไรเพื่อผลักมันออกไปเลย
-
1:19 - 1:20แม้ว่ายิ่งเรารอนานเท่าใด
-
1:20 - 1:24การจัดการกับมันก็ยิ่งจัดการยากและแพงขึ้นเท่านั้น
-
1:24 - 1:25แน่นอนล่ะ ฝ่ายซ้าย (เสรีนิยม) อยากทำอะไรสักอย่าง
-
1:25 - 1:29แต่ฝ่ายขวา (อนุรักษ์นิยม) ไม่เชื่อว่าปัญหานี้มีอยู่จริง
-
1:29 - 1:30เอาล่ะ แล้วผมก็กลับจากการประชุม TED
-
1:30 - 1:33หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผมได้รับเชิญไปงานเลี้ยงอาหารค่ำ
-
1:33 - 1:36ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งผมรู้ว่าผมจะได้พบกับ
-
1:36 - 1:38นักวิชาการสายอนุรักษ์นิยมจำนวนหนึ่ง รวมทั้งยูวัล เลวิน
-
1:38 - 1:42ผมจึงเตรียมตัวไปงานนั้นโดยอ่านบทความชิ้นหนึ่งของเลวิน
-
1:42 - 1:45ชื่อ "ก้าวข้ามรัฐสวัสดิการ"
(Beyond the Welfare State) -
1:45 - 1:49ในวารสาร National Affairs ซึ่งเลวินเขียนว่า
-
1:49 - 1:51รัฐชาติต่างๆ เริ่มยอมรับความจริงแล้วว่า
-
1:51 - 1:53ระบบรัฐสวัสดิการแบบสังคมนิยมประชาธิปไตยนั้น
-
1:53 - 1:57เป็นสิ่งที่ไปไม่ได้ และแพงเกินกว่ารัฐจะจ่ายได้
-
1:57 - 1:59เพราะมันตั้งอยู่บนระบบเศรษฐกิจที่ไม่ถูกต้อง
-
1:59 - 2:03และโมเดลด้านประชากรศาสตร์ยุคเก่าที่ล้าสมัยไปแล้ว
-
2:03 - 2:05เอาล่ะ นี่อาจจะฟังดูไม่น่ากลัวเท่ากับดาวเคราะห์น้อยชนโลก
-
2:05 - 2:08แต่ลองดูกราฟที่เลวินแสดงในบทความนี่สิครับ
-
2:08 - 2:11กราฟนี้แสดงมูลค่าหนี้ของประเทศในหน่วยร้อยละของจีดีพี
-
2:11 - 2:14หรือร้อยละของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของสหรัฐอเมริกา
-
2:14 - 2:16คุณจะเห็นว่า ตอนก่อตั้งประเทศ
-
2:16 - 2:18เรากู้เงินจำนวนมากมาเพื่อทำสงครามปฏิวัติอเมริกา
-
2:18 - 2:21การทำสงครามต้องใช้เงินเยอะ
แต่เราก็ใช้หนี้ ใช้หนี้ ใช้หนี้กันไป -
2:21 - 2:24แล้วยังไงครับ โอ้ อะไรเนี่ย
สงครามกลางเมือง ยิ่งแพงเข้าไปอีก -
2:24 - 2:27เราก็กู้เงินมา แล้วก็ใช้หนี้ ใช้หนี้ ใช้หนี้
-
2:27 - 2:30จนเกือบหมดแล้ว บูม! เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
-
2:30 - 2:31แล้ววงจรเดิมๆ ก็เกิดซ้ำอีก
-
2:31 - 2:33ตรงนี้คือช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ แล้วก็สงครามโลกครั้งที่สอง
-
2:33 - 2:38ยอดหนี้ของเราพุ่งทะลุร้อยละ 118 ของจีดีพี
-
2:38 - 2:41ซึ่งเป็นระดับที่ไร้ความมั่นคงแล้วครับ อันตรายมาก
-
2:41 - 2:46แต่เราก็ใช้หนี้ ใช้หนี้ ใช้หนี้ แลัวนี่อะไรอีกครับ?
-
2:46 - 2:49ทำไมตัวเลขหนี้จึงเพิ่มขึ้นในช่วงปี 1970s?
-
2:49 - 2:52ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการลดภาษี ทำให้รัฐขาดรายได้
-
2:52 - 2:54แต่เหตุผลหลักคือ
ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการที่รัฐมอบให้ประชาชน -
2:54 - 2:57โดยเฉพาะโครงการประกันสุขภาพเมดิแคร์
-
2:57 - 3:00ยอดหนี้ของเราสูงขึ้น
เกือบเท่ากับช่วงสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว -
3:00 - 3:03นี่ประชากรยุคเบบี้บูมเมอร์ยังไม่เกษียณเลยนะครับ
-
3:03 - 3:06และนี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าคนกลุ่มนี้เกษียณ
-
3:06 - 3:08นี่เป็นข้อมูลจากสำนักงบประมาณของรัฐบาล
-
3:08 - 3:11ซึ่งแสดงการคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
-
3:11 - 3:15ถ้าสถานการณ์ ความคาดหวัง
และแนวโน้มที่เป็นอยู่ยังดำเนินต่อไป -
3:15 - 3:18เอาล่ะครับ ถึงตรงนี้คุณคงสังเกตเห็นแล้วว่ากราฟทั้งสองนี้
-
3:18 - 3:22เหมือนกันเปี๊ยบเลย ไม่ใช่ในแง่ตัวเลขบนแกน x และแกน y
-
3:22 - 3:23หรือข้อมูลที่นำเสนอออกมา
-
3:23 - 3:28แต่ในแง่ความหมายทางศีลธรรมและการเมือง
-
3:28 - 3:30กราฟสองภาพนี้พูดเหมือนกันเลย ผมจะแปลให้ฟัง
-
3:30 - 3:33"เราเจอหายนะแน่ ถ้าเราไม่ลงมือทำอะไรกันเสียเดี๋ยวนี้
-
3:33 - 3:36พวกคุณที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามน่ะ คุณเพี้ยนไปหรือเปล่า
-
3:36 - 3:41คุณมองไม่เห็นความจริงหรือไง
ถ้าจะไม่ช่วยกันก็ถอยไปไกลๆ เลย" -
3:41 - 3:43เราสามารถผลักดันดาวเคราะห์น้อยทั้งสองนี้ออกไปได้
-
3:43 - 3:46ในทางเทคนิคแล้ว ปัญหาทั้งสองอย่างนี้แก้ได้
-
3:46 - 3:49แต่ปัญหาและโศกนาฏกรรมที่แท้จริงของเราก็คือ
-
3:49 - 3:52ในยุคที่เราแตกแยกกันสุดขั้ว เมื่อฝ่ายหนึ่งบอกว่า
-
3:52 - 3:54"ดูนั่นสิ ดาวเคราะห์น้อยจะมาชนโลก"
อีกฝ่ายก็บอกว่า "หือ อะไร -
3:54 - 3:57ฉันไม่ยอมมองขึ้นไปหรอก ไม่มีทาง"
-
3:57 - 4:00ถ้าอยากทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา
-
4:00 - 4:04และเราจะทำอะไรกับมันได้บ้าง
เราต้องศึกษาจิตวิทยาด้านศีลธรรม -
4:04 - 4:07ผมเป็นนักจิตวิทยาสังคม ผมศึกษาเรื่องศีลธรรม
-
4:07 - 4:09และหนึ่งในหลักการสำคัญที่สุดของศีลธรรมก็คือ
-
4:09 - 4:12ศีลธรรมผูกรวมใจและทำให้ตาบอด
-
4:12 - 4:15ศีลธรรมผูกใจเรารวมกัน
โดยมีค่านิยมที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์กลาง -
4:15 - 4:19และนั่นก็ทำให้เราตาบอด มองไม่เห็นความเป็นจริง
-
4:19 - 4:20ลองคิดอย่างนี้ก็ได้ครับ
-
4:20 - 4:24การร่วมมือกันในสังคมวงกว้างนั้นหายากมากบนโลกนี้
-
4:24 - 4:26มีสิ่งมีชีวิตเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่ทำได้
-
4:26 - 4:29เช่นรังผึ้งแบบนี้ หรือจอมปลวกยักษ์แบบนี้
-
4:29 - 4:32เมื่อคุณพบพฤติกรรมแบบนี้ในสัตว์
มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันเสมอ -
4:32 - 4:37นั่นคือ สัตว์เหล่านี้ล้วนเป็นพี่น้อง
ซึ่งเกิดจากนางพญาตัวเดียวกัน -
4:37 - 4:39พวกมันจึงอยู่ในเรือลำเดียวกันหมด
-
4:39 - 4:42พวกมันรุ่งเรือง ตกต่ำ รอด หรือตายด้วยกันหมด
-
4:42 - 4:45มีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวเท่านั้นบนโลกนี้ที่ทำเช่นนี้ได้
-
4:45 - 4:47โดยไม่ต้องเป็นญาติพี่น้องกัน นั่นคือมนุษย์อย่างพวกเรา
-
4:47 - 4:49นี่คือภาพจำลองกรุงบาบิโลนในยุคโบราณ
-
4:49 - 4:52นี่คือกรุงเตนอชตีตลันของชนเผ่าอัซเตก
-
4:52 - 4:54เราทำอย่างนี้ได้อย่างไรครับ? เราเปลี่ยนจาก
-
4:54 - 4:57การล่าสัตว์และหาของป่าเมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว
-
4:57 - 5:01มาสร้างเมืองใหญ่โตมโหฬารแบบนี้ได้
ภายใน 2-3 พันปีได้อย่างไร -
5:01 - 5:04มันมหัศจรรย์มาก และคำอธิบายส่วนหนึ่งของสิ่งเหล่านี้ก็คือ
-
5:04 - 5:08ความสามารถที่จะรวมตัวกันโดยมีค่านิยมบางอย่างเป็นศูนย์กลาง
-
5:08 - 5:12คุณคงเห็นว่าแล้ววัดและพระเจ้า
มีบทบาทสำคัญในอารยธรรมโบราณ -
5:12 - 5:16นี่คือภาพของชาวมุสลิมที่ล้อมวงและเดินเวียนรอบหินกะบะห์
-
5:16 - 5:19ซึ่งเป็นหินศักดิ์สิทธิ์
และเมื่อคนมาล้อมวงรอบอะไรสักอย่างด้วยกัน -
5:19 - 5:23เขาจะรวมใจกันเป็นหนึ่ง และไว้วางใจซึ่งกันและกัน
-
5:23 - 5:26เหมือนกับเวลาคุณหมุนขดลวดผ่านสนามแม่เหล็ก
-
5:26 - 5:28ซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า เมื่อคนมาล้อมวง
-
5:28 - 5:31และเคลื่อนไหวไปด้วยกัน เขาก็สร้างกระแสอะไรบางอย่างขึ้น
-
5:31 - 5:32มนุษย์เราชอบล้อมวงรอบสิ่งต่างๆ
-
5:32 - 5:36เราล้อมวงรอบธง และเราก็ไว้วางใจกันและกัน
-
5:36 - 5:39เราจึงสู้ไปด้วยกันเป็นทีม เป็นหนึ่งเดียวกัน
-
5:39 - 5:42แต่ศีลธรรมที่ผูกรวมใจคนเข้าด้วยดันเป็นหนึ่งเดียว
-
5:42 - 5:46เป็นกลุ่ม เป็นทีม ก็ทำให้พวกเขาตาบอด
-
5:46 - 5:48หรือบิดเบือนความจริงให้ผิดเพี้ยนไป
-
5:48 - 5:52เราเริ่มแบ่งแยกทุกอย่างเป็นฝ่ายดีกับฝ่ายชั่วร้าย
-
5:52 - 5:56กระบวนการนี้ทำให้เรารู้สึกดีและพึงพอใจมาก
-
5:56 - 6:00แต่มันกลายเป็นการบิดเบือนความจริงอย่างน่ารังเกียจ
-
6:00 - 6:03คุณคงเห็นการทำงานของแม่เหล็กไฟฟ้าทางศีลธรรม
ในรัฐสภาแล้ว -
6:03 - 6:05กราฟนี้แสดงสถิติว่าลงคะแนนเสียงในรัฐสภาสหรัฐ
-
6:05 - 6:08แยกเป็นสองขั้ว คือซ้ายกับขวาอย่างชัดเจน
-
6:08 - 6:11ดังนั้น ถ้าคุณรู้ว่าใครสักคนเป็นพวกเสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยม
-
6:11 - 6:14คุณจะรู้ได้ทันทีเลยว่าเขาลงคะแนนในเรื่องสำคัญๆ ต่างๆ อย่างไร
-
6:14 - 6:16และคุณจะเห็นว่า
-
6:16 - 6:19ในช่วงหลังสงครามกลางเมือง
-
6:19 - 6:21ภายในรัฐสภามีการแยกขั้วรุนแรงและชัดเจนที่สุด
-
6:21 - 6:24อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งคุณก็คงคาดเดาได้
-
6:24 - 6:27แต่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การแยกขั้วก็ลดลง
-
6:27 - 6:30เราจึงเห็นการแยกขั้วลดลงสู่ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์
-
6:30 - 6:31นี่เป็นยุคทองของการร่วมมือระหว่างสองพรรค
-
6:31 - 6:35อย่างน้อยก็ในแง่ที่สองพรรคสามารถทำงานร่วมกัน
-
6:35 - 6:38เพื่อแก้ปัญหาใหญ่ๆ ของประเทศได้
-
6:38 - 6:42แต่ในทศวรรษที่ 1980s ถึง 1990s แม่เหล็กไฟฟ้าหมุนกลับ
-
6:42 - 6:45และการแยกขั้วก็เกิดขึ้นอีก
-
6:45 - 6:48ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ฝ่ายที่เป็นกลาง และฝ่ายเสรีนิยม
-
6:48 - 6:50เคยทำงานร่วมกันในสภาได้หมด
-
6:50 - 6:52พวกเขาจะจัดคณะกรรมการมาทำงานร่วมกันก็ได้
-
6:52 - 6:56แต่แม่เหล็กไฟฟ้าของศีลธรรมมีแรงผลักเพิ่มขึ้น
-
6:56 - 6:58สนามพลังแรงขึ้น
-
6:58 - 7:01พรรคเดโมแครตกับรีพับลิกันก็แยกขั้วกันอีก
-
7:01 - 7:03พวกเขาเข้าหน้ากันยากขึ้น
-
7:03 - 7:04ร่วมมือกันยากขึ้น
-
7:04 - 7:09สมาชิกพรรคที่เกษียณไปแล้ว
มองว่ามันเหมือนสงครามระหว่างแก๊ง -
7:09 - 7:13มีใครสังเกตไหมครับว่าในการโต้วาทีสองจากสามครั้ง
-
7:13 - 7:16โอบามาผูกเนคไทสีน้ำเงินและรอมนีย์ผูกเนคไทสีแดง
-
7:16 - 7:18ทำไมรู้ไหมครับ เพื่อให้ชาวแก๊ง Bloods และแก๊ง Crips
-
7:18 - 7:22(2 แก๊งอันธพาลในลอสแอนเจลิส)
รู้ว่าจะเลือกใคร (เสียงหัวเราะ) -
7:22 - 7:25การแยกขั้วนี้รุนแรงที่สุดในหมู่ผู้มีตำแหน่งทางการเมืองสูงๆ
-
7:25 - 7:27ใครๆ ก็เชื่อโดยไม่สงสัยว่าการแยกขั้วนี้กำลังเกิดขึ้นในสภา
-
7:27 - 7:31แต่ยังสงสัยกันว่าปัญหานี้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนหรือไม่
-
7:31 - 7:32ภายในสิบสองปีที่ผ่านมา
-
7:32 - 7:34เราเห็นได้ชัดแล้วว่ามันเกิดขึ้นในหมู่ประชาชนด้วย
-
7:34 - 7:37ลองดูข้อมูลนี้ครับ
นี่คือผลสำรวจในการเลือกตั้งทั่วประเทศในอเมริกา -
7:37 - 7:40ในการสำรวจนี้ เขามีคำถาม
-
7:40 - 7:42ที่เรียกว่าปรอทวัดความรู้สึก
-
7:42 - 7:46คือ ถามว่าคุณรู้สึกอบอุ่นเป็นมิตร หรือเย็นชาไม่เป็นมิตร
-
7:46 - 7:49ต่อชนพื้นเมืองอเมริกัน สถาบันทหาร
คนที่เชื่อในพรรครีพับลิกัน -
7:49 - 7:52คนที่เชื่อในพรรคเดโมแครต และกลุ่มอื่นๆ ที่คนอเมริกันรู้จัก
-
7:52 - 7:54เส้นสีน้ำเงินคือความรู้สึกของคนที่เชื่อในพรรคเดโมแครต
-
7:54 - 7:57ที่มีต่อคนที่เชื่อในพรรคเดโมแครต แน่นอน เขาชอบคนกลุ่มนี้
-
7:57 - 8:00ดูสิครับ คะแนนอยู่ที่ 70 กว่าๆ จากคะแนนเต็ม 100
-
8:00 - 8:03คนที่เชื่อในพรรครีพับลิกันก็ชอบพวกเดียวกัน ไม่น่าแปลกใจ
-
8:03 - 8:05แต่พอคุณดูข้อมูลการประเมินพรรคอื่น
-
8:05 - 8:07คุณจะเห็นว่าคะแนนต่ำกว่า แต่ที่จริง
-
8:07 - 8:09ตอนผมเห็นข้อมูลนี้ครั้งแรก ผมแปลกใจ
เพราะมันไม่ได้แย่มาก -
8:09 - 8:13ถ้าคุณย้อนไปดูสมัยประธานาธิบดีคาร์เตอร์หรือแม้แต่เรแกน
-
8:13 - 8:17คะแนนที่ประเมินคนที่ชอบพรรคอื่นอยู่ที่ 43, 45
ไม่เลวนะครับ -
8:17 - 8:19ต่อมาคะแนนค่อยๆ ตกลงนิดหน่อย
-
8:19 - 8:23แต่ดูสิครับ
เกิดอะไรขึ้นในสมัยจอร์จ ดับเบิลยู บุช และโอบามา -
8:23 - 8:26คะแนนร่วงเลย เกิดอะไรขึ้นตรงนี้ครับ
-
8:26 - 8:28แม่เหล็กไฟฟ้ากำลังหมุนกลับอีก
-
8:28 - 8:31และปัจจุบันนี้ ทุกวันนี้
-
8:31 - 8:33พวกเดโมแครตเกลียดพวกรีพับลิกันมากๆ
-
8:33 - 8:36พวกรีพับลิกันก็เกลียดพวกเดโมแครต
พวกเรากำลังเปลี่ยนไป -
8:36 - 8:39ราวกับแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังส่งผลต่อพวกเราด้วย
-
8:39 - 8:43เหมือนมันถูกวางไว้ที่สองฝั่งมหาสมุทร และกำลังฉีกประเทศ
-
8:43 - 8:47ทั้งประเทศ ให้แยกเป็นขั้วซ้ายกับขวา
-
8:47 - 8:50เหมือนแก๊ง Bloods และแก๊ง Crips
-
8:50 - 8:53มีเหตุผลมากมายที่ทำให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับเรา
-
8:53 - 8:56หลายอย่างไม่อาจย้อนคืนมาได้แล้ว
-
8:56 - 8:58เราคงไม่มีวันเห็นนักการเมืองที่ถูกหล่อหลอมรวมกัน
-
8:58 - 9:02ด้วยประสบการณ์การต่อสู้กับศัตรูร่วมกัน
-
9:02 - 9:04เหมือนในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองอีกแล้ว
-
9:04 - 9:08เราคงไม่มีวันกลับไปมีสถานีโทรทัศน์แค่สามช่อง
-
9:08 - 9:11ซึ่งล้วนแล้วแต่มีมุมมองค่อนข้างเป็นกลาง
-
9:11 - 9:16ไม่มีวันแล้ว
ที่เราจะมีคนกลุ่มใหญ่ในรัฐทางใต้ที่นิยมพรรคเดโมแครต -
9:16 - 9:20กับคนกลุ่มใหญ่ในรัฐทางเหนือที่ยังนิยมพรรครีพับลิกัน
-
9:20 - 9:24มีลักษณะร่วมหลายอย่าง
ที่ช่วยให้การร่วมมือสองพรรคทำได้ง่ายขึ้น -
9:24 - 9:27ด้วยเหตุผลหลายอย่าง
ช่วง 2-3 ทศวรรษหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 -
9:27 - 9:29จึงเป็นช่วงเวลาที่พิเศษในประวัติศาสตร์
-
9:29 - 9:32เราจะไม่มีวันกลับไปสู่ยุคที่การแบ่งขั้วลดต่ำลงเท่านั้นอีกแล้ว
-
9:32 - 9:35แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่เราทำได้ มีการปฏิรูปหลายสิบอย่าง
-
9:35 - 9:38ที่เราทำได้ เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น
-
9:38 - 9:40เพราะความบกพร่องของเราหลายอย่าง เป็นผลโดยตรงมาจาก
-
9:40 - 9:44สิ่งที่นักการเมืองทำไว้ในรัฐสภาช่วงทศวรรษ 1990s
-
9:44 - 9:49ทำให้รัฐสภาเป็นสถาบันที่ยิ่งแตกแยกและไม่อาจทำงานได้
-
9:49 - 9:51มีคนเขียนถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างละเอียด
ในหนังสือหลายเล่ม -
9:51 - 9:54ผมแนะนำให้คุณอ่านสองเล่มนี้ครับ
-
9:54 - 9:56หนังสือสองเล่มนี้ยังบอกแนวทางการปฏิรูปไว้มากมาย
-
9:56 - 9:59ผมจะจัดเป็นสามหมวดหมู่ตามนี้ครับ
-
9:59 - 10:02ถ้าคุณคิดว่าปัญหาอยู่ที่สถาบันที่แบ่งขั้ว
-
10:02 - 10:05และไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ขั้นแรกที่เราทำได้คือ
-
10:05 - 10:10ทำทุกวิถีทาง
ให้คนที่มีความคิดสุดโต่งถูกเลือกเข้าไปในสภาน้อยลง -
10:10 - 10:12ถ้าคุณใช้ระบบปิด
ในการเสนอชื่อตัวแทนพรรคลงรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี -
10:12 - 10:15และมีแต่คนที่ประกาศตัวชัดเจน
ว่าเป็นรีพับลิกันหรือเดโมแครตสุดโต่งเท่านั้นที่ออกเสียง -
10:15 - 10:19ก็เท่ากับคุณกำลังเสนอชื่อและเลือกคน
ที่มีความคิดแยกขั้วสุดโต่งที่สุด -
10:19 - 10:22การใช้ระบบเปิดในการเสนอชื่อผู้สมัครจะช่วยบรรเทาปัญหาลงได้
-
10:22 - 10:27แต่ปัญหาหลักๆ ไม่ได้อยู่ที่เราเลือกคนเลวเข้าไปในรัฐสภา
-
10:27 - 10:30จากประสบการณ์ของผม และที่ได้ยินมาจากคนวงในรัฐสภา
-
10:30 - 10:33คนส่วนใหญ่ที่เข้าไปในรัฐสภาเป็นคนดี ขยัน ทำงานหนัก
-
10:33 - 10:36และฉลาด ที่อยากแก้ปัญหาจริงๆ
-
10:36 - 10:39แต่เมื่อเขาเข้าไปในสภา ก็พบว่าตัวเองถูกบังคับ
-
10:39 - 10:42ให้เล่นเกมที่คนเล่นพรรคเล่นพวกได้รางวัล
-
10:42 - 10:43และคนมีความคิดเป็นอิสระถูกลงโทษ
-
10:43 - 10:46ถ้าคุณเดินล้ำเส้น คุณจะถูกลงโทษ
-
10:46 - 10:48มีการปฏิรูปหลายอย่างที่เราทำได้
-
10:48 - 10:49เพื่อบรรเทาปัญหานี้
-
10:49 - 10:52เช่น การต่อต้านองค์กร "Citizen United"
ซึ่งเป็นบ่อเกิดของหายนะ -
10:52 - 10:54เพราะมันเหมือนปืนที่จ่อหัวคุณ
-
10:54 - 10:57ถ้าคุณเดินแตกแถว ถ้าคุณข้ามเส้น
-
10:57 - 10:59ก็มีเงินมหาศาลรอจะมอบให้ฝ่ายตรงข้ามของคุณ
-
10:59 - 11:05เอาไปทำโฆษณาให้ทุกคนเชื่อว่าคุณเป็นคนเลวร้าย
-
11:05 - 11:07การปฏิรูประดับที่สามก็คือ เราต้องเปลี่ยน
-
11:07 - 11:10รูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมในรัฐสภา
-
11:10 - 11:15นักการเมืองที่ผมเคยเจอโดยทั่วไปก็เป็นคนเปิดตัว
-
11:15 - 11:18เป็นมิตร มีทักษะทางสังคมดีมาก
-
11:18 - 11:21ซึ่งนั้นเป็นธรรมชาติของการเมือง คุณต้องสร้างความสัมพันธ์
-
11:21 - 11:24ทำข้อตกลง คุณต้องโน้มน้าว เอาใจ และยกยอคนอื่น
-
11:24 - 11:27คุณต้องใช้ทักษะส่วนบุคคลของคุณ
-
11:27 - 11:29นั่นเป็นวิถีของการเมืองมาตลอด
-
11:29 - 11:32แต่ตั้งแต่ทศวรรษ 1990s สภาผู้แทนราษฎร
-
11:32 - 11:34ได้เปลี่ยนวันประชุมสภานิติบัญญัติ
-
11:34 - 11:38มาเป็นกลางสัปดาห์ทั้งหมด
-
11:38 - 11:40ทุกวันนี้ สส. ก็บินเข้ามาประชุมวันอังคาร
-
11:40 - 11:43รบกันสองวัน แล้วก็บินกลับบ้านวันพฤหัสฯ บ่าย
-
11:43 - 11:45พวกเขาไม่ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่เมืองหลวง
-
11:45 - 11:47ไม่พบปะสามี หรือภรรยา หรือลูกๆ ของ สส. คนอื่น
-
11:47 - 11:50ไม่มีความสัมพันธ์เหลือแล้วครับ
-
11:50 - 11:54การทำงานในสภาโดยไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
-
11:54 - 11:57ก็เหมือนพยายามขับรถโดยไม่มีน้ำมันเครื่อง
-
11:57 - 11:59ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราต้องเห็นทั้งระบบหยุดนิ่ง
-
11:59 - 12:03กลายเป็นอัมพาต และแบ่งแยกแตกเป็นสองขั้วแน่
-
12:03 - 12:05เรื่องง่ายๆ อย่างการเปลี่ยนวันประชุมสภานิติบัญญัติ
-
12:05 - 12:07เช่น ให้ประชุมและทำงานร่วมกันติดต่อกันสามสัปดาห์
-
12:07 - 12:09แล้วมีวันหยุดหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ให้กลับบ้าน
-
12:09 - 12:12วิธีนี้จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระดับรากฐานในรัฐสภาเลย
-
12:12 - 12:15เอาล่ะ มีหลายอย่างที่เราทำได้ แต่ว่าใครจะเป็นคนทำล่ะครับ
-
12:15 - 12:18ตอนนี้มีหลายกลุ่มที่กำลังผลักดันเรื่องพวกนี้อยู่
-
12:18 - 12:20เช่น กลุ่ม No Labels และ Common Cause ซึ่งเข้าใจดี
-
12:20 - 12:22ว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยนี้
-
12:22 - 12:25ตอบสนองประชาชนมากขึ้น
และทำให้รัฐสภามีประสิทธิภาพขึ้น -
12:25 - 12:27แต่ผมอยากเสริมงานที่พวกเขาทำอยู่
-
12:27 - 12:31ด้วยเคล็ดลับเล็กๆ ทางจิตวิทยา นั่นคือ
-
12:31 - 12:34ไม่มีอะไรผูกใจคนไว้ด้วยกันได้ดีไปกว่าการมีภัยคุกคามร่วมกัน
-
12:34 - 12:38หรือถูกโจมตีพร้อมกัน โดยเฉพาะจากศัตรูต่างแดน
-
12:38 - 12:43เว้นแต่ว่ามันโจมตีตรงจุดที่เราเห็นต่างและเล่นพวกกัน
-
12:43 - 12:46ซึ่งจะยิ่งทำให้เราแตกแยกกันมากขึ้นอย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว
-
12:46 - 12:49บางทีภัยคุกคามอย่างหนึ่งอาจทำให้เราแยกขั้วกันก็ได้
-
12:49 - 12:52แต่ถ้าสถานการณ์ที่เราเผชิญไม่ได้มีภัยคุกคามอย่างเดียว
-
12:52 - 12:54แต่มีมากมายแบบนี้ล่ะครับ
-
12:54 - 12:55ถ้ามีเรื่องเข้ามามากเสียจนเราเริ่มร้องบอกกันว่า
-
12:55 - 12:58"เฮ้ ช่วยกันยิงหน่อย ทุกคน เร็วเข้า
-
12:58 - 13:00เราต้องร่วมมือกัน เริ่มยิงได้แล้ว"
-
13:00 - 13:02เพราะที่จริงแล้วเรากำลังเผชิญสถานการณ์แบบนี้อยู่นะครับ
-
13:02 - 13:05นี่คือประเทศของเรา
-
13:05 - 13:07และนี่คือดาวเคราะห์น้อยอีกดวง
-
13:07 - 13:09เราทุกคนเคยเห็นกราฟนี้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมาแล้ว
-
13:09 - 13:13กราฟนี้แสดงความมั่งคั่งที่เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ปี 1979
-
13:13 - 13:15อย่างที่คุณเห็นนี่ ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมดกระจุกตัวอยู่
-
13:15 - 13:20ในกลุ่มคนร้อยละ 20 หรือที่จริงคือร้อยละ 1 ที่รวยที่สุดอยู่แล้ว
-
13:20 - 13:22ความไม่เท่าเทียมของรายได้นี้มีความสัมพันธ์กับ
-
13:22 - 13:25ปัญหามากมายในสังคมประชาธิปไตย
-
13:25 - 13:28โดยเฉพาะ การทำลายความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
-
13:28 - 13:31และความรู้สึกว่าเราลงเรือลำเดียวกัน
เพราะเห็นชัดๆ อยู่แล้วว่าไม่ใช่ -
13:31 - 13:34บางคนนั่งสบายปลอดภัยบนเรือยอช์ทขนาดยักษ์
-
13:34 - 13:36บางคนต้องอาศัยเกาะแผ่นไม้ลอยคอในทะเล
-
13:36 - 13:38เราไม่ได้อยู่บนเรือลำเดียวกัน และนั่นหมายความว่า
-
13:38 - 13:43จะไม่มีใครยอมเสียสละเพื่อส่วนรวม
-
13:43 - 13:46ฝ่ายซ้ายป่าวประกาศเรื่องดาวเคราะห์น้อยดวงนี้
มาสามสิบปีแล้ว -
13:46 - 13:51แต่ฝ่ายขวาบอกว่า "หือ อะไรนะ ไม่มีปัญหานี่ ไม่มีปัญหา"
-
13:51 - 13:53ทีนี้ มันเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะครับ
-
13:53 - 13:56ทำไมความไม่เท่าเทียมจึงเพิ่มสูงขึ้น?
-
13:56 - 13:59สาเหตุใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง หลังโลกเปลี่ยนสู่ยุคโลกาภิวัตร
-
13:59 - 14:02ก็คือดาวเคราะห์น้อยดวงที่สี่ที่พุ่งชนเรา
-
14:02 - 14:04นั่นคือ การมีลูกนอกสมรส
-
14:04 - 14:07กราฟนี้แสดงอัตราเด็กเกิดนอกสมรสที่เพิ่มขึ้นตลอด
-
14:07 - 14:09ตั้งแต่ปี 1960s เป็นต้นมา
-
14:09 - 14:12เด็กเชื้อสายฮิสแพนิกและเด็กผิวดำส่วนใหญ่เกิดมาไม่มีพ่อ
-
14:12 - 14:15เด็กผิวขาวก็กำลังมีแนวโน้มอย่างเดียวกัน
-
14:15 - 14:17ภายใน 1-2 ทศวรรษข้างหน้า เด็กอเมริกันส่วนใหญ่
-
14:17 - 14:20จะเกิดมาในบ้านที่ไม่มีพ่อ
-
14:20 - 14:22ซึ่งหมายถึงครัวเรือนที่มีรายได้น้อยลง
แต่เงินไม่ใช่ปัญหาเดียว -
14:22 - 14:26ยังมีประเด็นเรื่องความมั่นคงและความปั่นป่วนในบ้านอีก
-
14:26 - 14:28ผมเรียนรู้จากการทำงานกับเด็กเร่ร่อนในบราซิลว่า
-
14:28 - 14:34แฟนของแม่คือบุคคลที่อันตรายสุดๆ ต่อเด็กๆ
-
14:34 - 14:38ฝ่ายขวาโวยวายเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 1960s
-
14:38 - 14:41แต่ฝ่ายซ้ายก็พูดมาตลอดว่า
"ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาสักหน่อย" -
14:41 - 14:43ฝ่ายซ้ายลังเลที่จะยอมรับว่า
-
14:43 - 14:47การแต่งงานเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้หญิงและเด็ก
-
14:47 - 14:49เดี๋ยวผมขอพูดชัดๆ ตรงนี้ว่า ผมไม่ได้โทษผู้หญิงนะครับ
-
14:49 - 14:50ผมโทษผู้ชายมากกว่า
-
14:50 - 14:52ที่ไม่รับผิดชอบเลี้ยงดูลูกของตัวเอง
-
14:52 - 14:55และโทษระบบเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้ชายหลายคน
-
14:55 - 14:58ไม่สามารถหาเงินได้เพียงพอเพื่อมาเลี้ยงดูลูกได้
-
14:58 - 15:03แต่ถึงแม้ว่าเราไม่โทษใครเลย
มันก็ยังเป็นปัญหาระดับประเทศ -
15:03 - 15:06และฝ่ายหนึ่งก็ห่วงเรื่องนี้มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
-
15:06 - 15:09แต่ในที่สุด
หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ก็สังเกตเห็นดาวเคราะห์น้อยนี้ -
15:09 - 15:11ในข่าวหน้าหนึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วแสดงให้เห็นว่า
-
15:11 - 15:15อัตราการแต่งงานที่ลดลงมีส่วนก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียม
-
15:15 - 15:19เรากำลังจะกลายเป็นประเทศที่มีแค่สองชนชั้น
-
15:19 - 15:21คนอเมริกันที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยและแต่งงานกัน
-
15:21 - 15:24มีอัตราการหย่าร้างต่ำมาก
-
15:24 - 15:27พวกเขามีรายได้สูง และใช้เงินนั้นเพื่อลูก
-
15:27 - 15:29บางคนก็กลายเป็นแม่เสือ
-
15:29 - 15:30ที่เลี้ยงลูกให้บรรลุศักยภาพสูงสุดของเขา
-
15:30 - 15:33เด็กๆ เหล่านี้ก็เติบโตไป
-
15:33 - 15:37เป็นเส้นสองเส้นบนกราฟนี้
-
15:37 - 15:40แล้วคนอื่นๆ ที่เหลือ
-
15:40 - 15:43เด็กที่ไม่ได้รับประโยชน์จากการชีวิตสมรสที่มั่นคงของพ่อแม่
-
15:43 - 15:45ซึ่งไม่มีเงินมากมายที่จะเอามาลงทุนเพื่อลูก
-
15:45 - 15:46ลูกก็ไม่ได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่มั่นคง
-
15:46 - 15:51และในที่สุดก็กลายเป็นเส้นสามเส้นล่างสุดในกราฟนี้
-
15:51 - 15:55เห็นไหมครับ กราฟทั้งสองนี้กำลังสื่อข้อความเดียวกัน
-
15:55 - 15:58เรามีปัญหาแล้ว เราต้องเริ่มแก้ปัญหานี้
-
15:58 - 16:00เราต้องทำอะไรสักอย่าง
-
16:00 - 16:03พวกคุณที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามน่ะ ไม่เห็นภัยคุกคามนี้หรือไง
-
16:03 - 16:06แต่ถ้าเราทุกคนสามารถเปิดม่านบังตาออก
-
16:06 - 16:09เราะจะเห็นว่าทั้งสองปัญหานี้แก้ได้
-
16:09 - 16:12ถ้ามันถูกแก้ไปด้วยกัน
-
16:12 - 16:14เพราะถ้าคุณเป็นห่วงเรื่องความเหลื่อมล้ำของรายได้
-
16:14 - 16:16คุณอาจไปคุยกับกลุ่มคริสเตียนนิกายอีแวนเจลิคัล
-
16:16 - 16:19ที่กำลังรณรงค์ส่งเสริมการแต่งงาน
-
16:19 - 16:21แต่คุณก็จะเจอกับปัญหาว่า
-
16:21 - 16:24ผู้หญิงไม่อยากแต่งงาน
-
16:24 - 16:26กับผู้ชายที่ไม่มีงานทำ
-
16:26 - 16:28ถ้าคุณห่วงใยเรื่องการสร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง
-
16:28 - 16:30คุณก็ต้องคุยกับคนในฝ่ายเสรีนิยม
-
16:30 - 16:33ที่กำลังรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมทางการศึกษา
-
16:33 - 16:35เรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
-
16:35 - 16:38และกำลังหาทางหยุดยั้งไม่ให้ผู้ชายจำนวนมาก
-
16:38 - 16:40ถูกดูดเข้าไปอยู่ในคุกในตะราง
-
16:40 - 16:43และหายไปจากตลาดการหาคู่แต่งงานตลอดชีวิต
-
16:43 - 16:49สรุปคือ
ตอนนี้มีดาวเคราะห์น้อยอย่างน้อยสี่ดวงกำลังจะพุ่งมาชนเรา -
16:49 - 16:52มีกี่คนครับที่มองเห็นทั้งสี่ดวง
-
16:52 - 16:54กรุณายกมือหน่อยครับ ถ้าคุณยินดีที่จะยอมรับว่า
-
16:54 - 16:57ทั้งสี่ดวงนี้เป็นปัญหาระดับประเทศ
-
16:57 - 16:59ยกมือหน่อยครับ
-
16:59 - 17:01โอ เกือบทุกคนเลยนะครับ
-
17:01 - 17:04ยินดีด้วยครับ คุณได้สาบานตนเป็นสมาชิก
-
17:04 - 17:07ชมรมดาวเคราะห์น้อยแล้ว
-
17:07 - 17:10นี่เป็นชมรมของคนอเมริกันที่ยอมรับว่า
-
17:10 - 17:13ฝ่ายตรงข้ามกับเราอาจมีประเด็นที่สำคัญ
-
17:13 - 17:16ในชมรมดาวเคราะห์น้อย
เราไม่ได้มุ่งหาจุดร่วมที่เรามีเหมือนกัน -
17:16 - 17:18จุดร่วมเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากๆ
-
17:18 - 17:20เราต้องเริ่มจากการมองหาภัยคุกคามที่เรามีร่วมกัน
-
17:20 - 17:24เพราะมันจะทำให้เรามีจุดร่วมที่เหมือนกันเอง
-
17:24 - 17:28เอาล่ะ นี่ผมคิดอะไรตื้นๆ ไร้เดียงสาไปหรือเปล่า
-
17:28 - 17:29ที่คิดว่าคนเราจะวางดาบของตัวเองลง
-
17:29 - 17:33แล้วฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาจะมาทำงานร่วมกันได้
-
17:33 - 17:35ผมว่าผมไม่ได้มองโลกแง่ดีเกินไปหรอกนะครับ
-
17:35 - 17:39แม้จะไม่ได้พบบ่อย
แต่ก็มีตัวอย่างหลากหลายที่ชี้ว่ามันเป็นไปได้ -
17:39 - 17:40นี่คือสิ่งที่เราทำได้
-
17:40 - 17:44เพราะคนอเมริกันทั้งสองฝ่ายล้วนกังวลเรื่องสังคมที่เสื่อมลง
-
17:44 - 17:46และได้ก่อตั้งองค์กรมากมายขึ้นมา
-
17:46 - 17:48ทั้งในระดับชาติ เช่นองค์กรนี้
-
17:48 - 17:50ไปจนถึงระด้บท้องถิ่น เช่น
-
17:50 - 17:52องค์กร To The Village Square
ในเมืองทัลลาฮัสซี รัฐฟลอริดา -
17:52 - 17:55ซึ่งพยายามดึงผู้นำระดับรัฐมาพูดคุยกันเพื่อช่วยส่งเสริม
-
17:55 - 17:58มนุษยสัมพันธ์ในการทำงานร่วมกัน
-
17:58 - 18:01ซึ่งจำเป็นต่อการแก้ปัญหาของรัฐฟลอริดา
-
18:01 - 18:06คนอเมริกันทั้งสองฝ่าย
ห่วงใยเรื่องโรคเอดส์และความยากจนทั่วโลก -
18:06 - 18:09รวมทั้งปัญหาด้านมนุษยธรรมอื่นๆ อีกมาก
-
18:09 - 18:12ที่จริงแล้วฝ่ายเสรีนิยมและฝ่ายเคร่งศาสนาเป็นพันธมิตรกันได้
-
18:12 - 18:13และบางทีพวกเขาก็ทำงานร่วมกัน
-
18:13 - 18:15เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้
-
18:15 - 18:18และที่ทำให้ผมประหลาดใจคือ บางทีสองฝ่ายนี้
-
18:18 - 18:20ก็เห็นตรงกันเลยในเรื่องกระบวนการยุติธรรม
-
18:20 - 18:24เช่น อัตราการถูกจองจำ หรือจำนวนประชากรนักโทษ
-
18:24 - 18:28ในประเทศของเรา ที่เพิ่มขึ้นสี่เท่าจากปี 1980
-
18:28 - 18:31นี่คือหายนะทางสังคม
-
18:31 - 18:33และฝ่ายเสรีนิยมก็ห่วงเรื่องนี้มาก
-
18:33 - 18:35ศูนย์กฎหมาย Southern Poverty Law Center
เพื่อคนจนในรัฐทางตอนใต้ -
18:35 - 18:38กำลังสู้เพื่อต่อต้านธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับคุก
-
18:38 - 18:41ต่อต้านระบบที่ดูดเอาเด็กหนุ่มยากจนเข้าไปในคุก
-
18:41 - 18:43แล้วฝ่ายอนุรักษ์นิยมชอบระบบนี้หรือเปล่า?
-
18:43 - 18:46ไม่ครับ โกรเวอร์ นอร์ควิสท์ไม่ชอบระบบนี้
-
18:46 - 18:50เพราะมันมีต้นทุนเป็นเงินมหาศาล
-
18:50 - 18:52ธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับคุกเหล่านี้
-
18:52 - 18:56กำลังทำให้ประเทศล้มละลายและกัดกร่อนจิตวิญญาณของเรา
-
18:56 - 19:00กลุ่มอนุรักษ์นิยมทางการเงินและศาสนาคริสต์
-
19:00 - 19:04ได้รวมตัวกันตั้งกลุ่ม
Right on Crime (ฝ่ายขวาต้านอาชญากรรม) -
19:04 - 19:07ซึ่งร่วมมือกับ the Southern Poverty Law Center
-
19:07 - 19:09เพื่อต่อต้านการสร้างคุกเพิ่ม
-
19:09 - 19:12และกระตุ้นให้เกิดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
-
19:12 - 19:15ให้มีประสิทธิภาพและมีมนุษยธรรมมากขึ้น
-
19:15 - 19:18ดังนั้น มันเป็นไปได้ครับ เราทำได้
-
19:18 - 19:21เราออกไปสนามรบกันเถอะครับ
-
19:21 - 19:23ไม่ใช่ออกไปรบกันเอง
-
19:23 - 19:26แต่ไปสู้เพื่อผลักดาวเคราะห์น้อยเหล่านี้ออกไป
-
19:26 - 19:29พันธกิจแรกของเราคือการกดดันให้รัฐสภาปฏิรูปตัวเอง
-
19:29 - 19:33ก่อนที่มันจะสายเกินไปสำหรับประเทศของเรา
-
19:33 - 19:37ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)
- Title:
- โจนาธาน เฮดท์ (Jonathan Haidt): ภัยคุกคามทำให้เราค้นพบจุดยืนร่วม (ทางการเมือง)
- Speaker:
- Jonathan Haidt
- Description:
-
ถ้ามีดาวเคราะห์น้อยกำลังจะพุ่งมาชนโลก เราคงร่วมมือกันหาทางหยุดมันเหมือนในหนังใช่ไหม? แต่ทำไม เมื่อเราเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ๆ ในชีวิตจริง ซึ่งมีข้อมูลสนับสนุนว่าจะทำให้สิ้นโลกได้ เราจึงได้ถอยเข้ามุม ตะโกนใส่กัน และได้แต่ยืนคุมเชิงกันไปมา โจนาธาน เฮดท์ชี้ให้เราเห็นปัญหาที่เหมือนดาวเคราะห์น้อยสามสี่ดวงซึ่งกำลังมุ่งหน้าจะมาชนเรา ฝ่ายซ้าย (เสรีนิยม) สนใจบางเรื่องเป็นพิเศษ ส่วนฝ่ายขวา (อนุรักษ์นิยม) ก็สนใจบางเรื่องที่ต่างออกไป เขาเสนอวิธีว่าจะทำอย่างไรให้ทั้งสองขั้วหันมาทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติทั้งมวล
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 20:01
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for How common threats can make common (political) ground | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for How common threats can make common (political) ground | ||
Dimitra Papageorgiou approved Thai subtitles for How common threats can make common (political) ground | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut accepted Thai subtitles for How common threats can make common (political) ground | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut commented on Thai subtitles for How common threats can make common (political) ground | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for How common threats can make common (political) ground | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for How common threats can make common (political) ground | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for How common threats can make common (political) ground |