ทำไมเราควรเชื่อนักวิทยาศาสตร์
-
0:01 - 0:04ทุกๆ วันเราเจอปัญหาอย่าง
การเปลี่ยนแปลงสภาพทางภูมิอากาศ -
0:04 - 0:05หรือความปลอดภัยของวัคซีน
-
0:05 - 0:09ซึ่งคำถามที่เราต้องตอบนั้น
-
0:09 - 0:12ต้องพึ่งพาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาก
-
0:12 - 0:15นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่าโลกของเราร้อนขึ้น
-
0:15 - 0:17นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่าวัคซีนนั้นปลอดภัย
-
0:17 - 0:19แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาพูดถูก
-
0:19 - 0:21ทำไมเราต้องเชื่อวิทยาศาสตร์ด้วย
-
0:21 - 0:25อันที่จริง พวกเราหลายคนไม่เชื่อวิทยาศาสตร์
-
0:25 - 0:27ความคิดเห็นจากการทำการสำรวจ
แสดงให้เห็นเสมอว่า -
0:27 - 0:30คนอเมริกันจำนวนมากทีเดียว
-
0:30 - 0:34ที่ไม่เชื่อว่าภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป
เพราะการกระทำของมนุษย์ -
0:34 - 0:37ไม่คิดว่ามี วิวัฒนาการ
ที่เกิดจากการคัดเลือกทางธรรมชาติ -
0:37 - 0:40และไม่ได้คล้อยตามว่าวัคซีนนั้นปลอดภัย
-
0:40 - 0:44แล้วทำไมเราต้องเชื่อวิทยาศาสตร์
-
0:44 - 0:48นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ชอบ
ที่จะพูดถึงวิทยาศาสตร์ว่าเป็นความเชื่อ -
0:48 - 0:50ที่จริง พวกเขามักทำให้เห็นความต่างระหว่าง
วิทยาศาสตร์และความศรัทธา -
0:50 - 0:53และพวกเขาอาจบอกว่า
ความเชื่ออยู่ในขอบเขตของความศรัทธา -
0:53 - 0:57และความศรัทธานั้นเป็นสิ่งที่ต่าง
และห่างออกไปจากวิทยาศาสตร์ -
0:57 - 1:00พวกเขาจะพูดแน่ๆ ว่าศาสนา
นั้นอยู่บนรากฐานของความศรัทธา -
1:00 - 1:04หรือบางทีจะขอใช้แคลคูลัสของปาสกัล
เป็นเดิมพัน -
1:04 - 1:07เบลส ปาสกัล (Blaise Pascal)
นักคณิตศาสตร์ในศตวรรษที่ 17 -
1:07 - 1:09ผู้ซึ่งพยายามที่จะนำการให้เหตุผล
ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้กับคำถามที่ว่า -
1:09 - 1:11เขาควรเชื่อในพระเจ้าหรือไม่
-
1:11 - 1:14และเดิมพันของเขาก็คือ
-
1:14 - 1:16เอาล่ะ ถ้าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง
-
1:16 - 1:18แต่ฉันตัดสินใจที่จะเชื่อในพระเจ้า
-
1:18 - 1:20ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรมาก
-
1:20 - 1:22บางทีก็แค่เวลาไม่กี่ชั่วโมงตอนวันอาทิตย์
-
1:22 - 1:23(เสียงหัวเราะ)
-
1:23 - 1:26แต่ถ้าพระองค์มีอยู่จริง แล้วผมไม่เชื่อ
-
1:26 - 1:28ทีนี้ล่ะ ผมเจอปัญหาใหญ่แน่
-
1:28 - 1:31ปาสกัลก็เลยบอกว่า เราควรที่จะเชื่อในพระเจ้า
-
1:31 - 1:34หรืออย่างหนึ่งที่ศาสตราจารย์ของฉันบอก
-
1:34 - 1:36"เขายึดหลักเกาะเกี่ยวกับความศรัทธา"
-
1:36 - 1:38เขาทำการกระโจนออกไปด้วยความศรัทธา
-
1:38 - 1:42ทิ้งวิทยาศาสตร์และหลักความเชื่อเรื่องเหตุผล
ไว้ข้างหลัง -
1:42 - 1:45ทีนี้ความจริงนั้นมันยาก สำหรับเราส่วนใหญ่
-
1:45 - 1:48ข้อกล่าวอ้างทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่
เป็นการกระโจนด้วยศรัทธา -
1:48 - 1:53พวกเราไม่สามารถตัดสินข้อกล่าวอ้าง
ทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ได้ด้วยตัวเองจริงๆ -
1:53 - 1:55และแน่นอน มันจริงเช่นกัน
สำหรับนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ -
1:55 - 1:58เมื่อมันเป็นเรื่องที่นอกเหนือความเชี่ยวชาญ
-
1:58 - 2:00ดังนั้น ถ้าคุณคิดถึงมัน
นักธรณีวิทยาไม่สามารถบอกคุณได้ -
2:00 - 2:02ว่าวัคซีนปลอดภัยหรือเปล่า
-
2:02 - 2:05นักเคมีส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ
ในทฤษฎีวิวัฒนาการ -
2:05 - 2:07นักฟิสิกส์ไม่สามารถบอกคุณได้
-
2:07 - 2:09เว้นเสียแต่ว่าเป็นข้อกล่าวอ้างบางข้อ
-
2:09 - 2:12ว่ายาสูบทำให้เกิดมะเร็งหรือเปล่า
-
2:12 - 2:14ดังนั้น ถ้าแม้แต่นักวิทยาศาสตร์เอง
-
2:14 - 2:16ยังจะต้องมีการกระโจนด้วยศรัทธา
-
2:16 - 2:18เมื่อออกไปนอกองค์ความรู้ของพวกเขา
-
2:18 - 2:22แล้วทำไมพวกเขาถึงยอมรับ
ข้อกล่าวอ้างของนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ -
2:22 - 2:24ทำไมพวกเขาจึงเชื่อข้อกล่าวอ้างของกันและกัน
-
2:24 - 2:27และเราควรที่จะเชื่อข้อกล่าวอ้างพวกนั้นหรือ
-
2:27 - 2:30ที่ฉันอยากจะแย้งคือ ใช่ เราควรค่ะ
-
2:30 - 2:33แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่ว่า
พวกเราส่วนใหญ่คิดอย่างนั้น -
2:33 - 2:35พวกเราส่วนใหญ่ถูกสอนมาในโรงเรียน
ว่าเหตุผลที่เราควรเชื่อในวิทยาศาสตร์ -
2:35 - 2:39ก็เพราะว่าด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
-
2:39 - 2:41เราถูกสอนว่า นักวิทยาศาสตร์ทำตามขั้นตอน
-
2:41 - 2:44และวิธีการนี้รับรอง
-
2:44 - 2:46ความจริงให้กับข้อกล่าวอ้างของพวกเขา
-
2:46 - 2:49วิธีการที่พวกเราส่วนใหญ่
ถูกสอนมาในโรงเรียน -
2:49 - 2:51พวกเราเรียกมันว่าวิธีการตามตำราก็ได้
-
2:51 - 2:54มันเป็นวิธีแบบนิรนัยจากสมมติฐาน
(hypothetical deductive method) -
2:54 - 2:57ตามแบบจำลองมาตรฐาน ตามแบบจำลองตำรา
-
2:57 - 3:00นักวิทยาศาสตร์พัฒนาสมมติฐาน
พวกเขาอนุมาน -
3:00 - 3:02ผลที่จะตามมาของสมมติฐานนั้น
-
3:02 - 3:04และจากนั้นพวกเขาก็ออกไปในโลก
และบอกว่า -
3:04 - 3:06"เอาล่ะ สิ่งที่เกิดตามมานั้นมันจริงหรือเปล่า"
-
3:06 - 3:10เราทำการสำรวจ
ว่ามันเกิดขึ้นในโลกปกติได้ไหม -
3:10 - 3:12และถ้ามันจริง
นักวิทยาศาสตร์ก็จะบอกว่า -
3:12 - 3:15"ยอดเลย เรารู้ว่าสมมติฐานนี้ถูกต้อง"
-
3:15 - 3:17มีตัวอย่างที่โด่งดังมากมาย
ในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ -
3:17 - 3:20ที่นักวิทยาศาสตร์ทำแบบนี้เป๊ะๆ
-
3:20 - 3:22หนึ่งในตัวอย่างที่โด่งดังที่สุด
-
3:22 - 3:24มาจากผลงานของอัลเบิร์ต ไอสไตน์
-
3:24 - 3:27เมื่อไอสไตน์พัฒนาทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไป
-
3:27 - 3:29หนึ่งในผลที่เกิดขึ้นต่อมาจากทฤษฎีของเขา
-
3:29 - 3:32คืออวกาศ-เวลา ไม่ได้เป็นแค่ห้วงว่างเปล่า
-
3:32 - 3:34แต่แท้จริงแล้วมันมีโครงสร้าง
-
3:34 - 3:36และโครงสร้างนั้นก็ถูกดัด
-
3:36 - 3:39เมื่อมีวัตถุขนาดยักษ์อย่างดวงอาทิตย์
-
3:39 - 3:42ดังนั้น ถ้าทฤษฎีนี้เป็นจริงแล้ว
มันหมายความว่า -
3:42 - 3:43เมื่อแสงเดินทางผ่านดวงอาทิตย์
-
3:43 - 3:45ควรที่จะถูกดัดให้โค้งไปรอบมัน
-
3:45 - 3:48มันค่อนข้างจะเป็นการคาดคะเนที่น่าตกใจ
-
3:48 - 3:50และมันก็กินเวลาสองสามปี
ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์ -
3:50 - 3:51จะสามารถที่จะทดสอบมันได้
-
3:51 - 3:54แต่พวกเขาทำการทดสอบในปี 1919
-
3:54 - 3:56และดูเสียก่อน
กลายเป็นว่ามันเป็นความจริงซะด้วย -
3:56 - 3:59แสงดาวถูกดัดให้โค้งจริงๆ
เมื่อมันเดินทางรอบดวงอาทิตย์ -
3:59 - 4:02นี่เป็นการยืนยันที่ยิ่งใหญ่ของทฤษฎีนี้
-
4:02 - 4:03มันได้รับการพิจารณาว่าเป็นข้อพิสูจน์ความจริง
-
4:03 - 4:05ของความคิดใหม่แสนสุดโต่ง
-
4:05 - 4:07และมันถูกเขียนถึงในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
-
4:07 - 4:09ทั่วโลก
-
4:09 - 4:11ทีนี้ บางครั้งทฤษฎีหรือแบบจำลองนี้
-
4:11 - 4:15ถูกกล่าวถึงว่าเป็นแบบจำลองแบบกฎของการอนุมาน
(deductive-nomological model) -
4:15 - 4:18โดยหลักแล้ว เพราะทางวิชาการ
ชอบที่จะทำสิ่งที่ซับซ้อน -
4:18 - 4:24แต่มันก็ยังเป็นเพราะในกรณีที่สมบูรณ์
มันเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ -
4:24 - 4:26คำว่า โนโมโลจิคัล (nomological)
หมายถึง เกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ -
4:26 - 4:29และในกรณีที่สมบูรณ์ สมมติฐานไม่ได้เป็นแค่ความคิด
-
4:29 - 4:32โดยสมบูรณ์แล้ว มันคือกฎแห่งธรรมชาติ
-
4:32 - 4:34ทำไมมันถึงสำคัญ ที่วามันเป็นกฎแห่งธรรมชาติ
-
4:34 - 4:37เพราะว่า ถ้ามันเป็นกฎแล้ว
มันก็ไม่สามารถที่จะถูกฝ่าฝืนได้ -
4:37 - 4:39ถ้ามันเป็นกฎแล้วมันจะเป็นจริงเสมอ
-
4:39 - 4:40ในทุกเวลาและทุกสถานที่
-
4:40 - 4:42ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
-
4:42 - 4:46และที่คุณทุกคนก็รู้อย่างน้อยหนึ่งตัวอย่าง
ของกฎที่โด่งดัง -
4:46 - 4:49สมการที่โด่งดังของไอสไตน์ E=MC2
-
4:49 - 4:51ซึ่งบอกเราว่าความสัมพันธ์
-
4:51 - 4:53ระหว่างพลังงานและมวลคืออะไร
-
4:53 - 4:57และความสัมพันธ์นั้นก็จริงไม่ว่าจะอย่างไร
-
4:57 - 5:01ทีนี้ มันกลายเป็นว่า แบบจำลองนี้มีปัญหา
อยู่สองสามอย่าง -
5:01 - 5:05ปัญหาหลักคือมันผิด
-
5:05 - 5:08มันก็แค่ไม่จริง (เสียงหัวเราะ)
-
5:08 - 5:11และฉันกำลังที่จะบรรยายเกี่ยวกับอีกสามเหตุผล
ว่าทำไมมันผิด -
5:11 - 5:14เหตุผลแรกคือเหตุผลทางตรรกะ
-
5:14 - 5:17มันเป็นปัญหาแห่งความคิดผิดๆ
เกี่ยวกับการยืนยันผลที่ตามมา -
5:17 - 5:20นั่นเป็นอีกหนึ่งความคิดผิดๆ
เป็นการพูดอย่างนักวิชาการ -
5:20 - 5:23ว่าทฤษฎีที่ผิดสามารถให้การคาดเดาที่ถูกได้
-
5:23 - 5:25แค่เพียงเพราะการคาดเดาออกมาถูก
-
5:25 - 5:28ไม่ได้พิสูจน์ด้วยตรรกะจริงๆ ว่าทฤษฎีนั้นถูกต้อง
-
5:28 - 5:32และฉันมีตัวอย่างด้วยเช่นกัน
อีกครั้ง จากประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ -
5:32 - 5:34นี่คือรูปภาพของจักรวาลของปโตเลมี
-
5:34 - 5:36ที่มีโลกอยู่ศูนย์กลางจักรวาล
-
5:36 - 5:39และดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์อื่นๆ
โคจรไปรอบๆ มัน -
5:39 - 5:41แบบจำลองแบบปโตเลมีได้รับความเชื่อถือ
-
5:41 - 5:44โดยคนฉลาดมากมาย เป็นเวลาหลายศตวรรษ
-
5:44 - 5:46เพราะอะไรล่ะ
-
5:46 - 5:49คำตอบก็คือ เพราะว่ามันทำการคาดคะเนมากมาย
ที่ผลออกมาเป็นจริง -
5:49 - 5:51ระบบแบบปโตเลมีทำให้นักดาราศาสตร์
-
5:51 - 5:54ทำการคาดคะเนการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์
ได้อย่างแม่นยำ -
5:54 - 5:57อันที่จริง ตอนแรกคาดคะเนได้แม่นยำมากกว่า
-
5:57 - 6:01ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส ซึ่งตอนนี้เราบอกได้ว่ามันจริง
-
6:01 - 6:04นั่นเป็นหนึ่งปัญหาของแบบจำลองตามตำรา
-
6:04 - 6:06ปัญหาที่สองเป็นปัญหาทางในทางปฏิบัติ
-
6:06 - 6:10และมันเป็นปัญหาของสมมติฐานเสริม
-
6:10 - 6:12สมมติฐานเสริมเป็นการสันนิษฐาน
-
6:12 - 6:14ที่นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างขึ้น
-
6:14 - 6:17ซึ่งพวกเขาอาจจะหรือไม่ตระหนัก
ว่าพวกเขากระทำ -
6:17 - 6:20ตัวอย่างสำคัญของสิ่งนี้
-
6:20 - 6:22มาจากแบบจำลองโคเปอร์นิคัส
-
6:22 - 6:25ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว มาแทนที่ระบบแบบปโตเลมี
-
6:25 - 6:27เมื่อนิโคลัส โคเปอร์นิคัส กล่าวว่า
-
6:27 - 6:30ที่จริงโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาล
-
6:30 - 6:32ดวงอาทิตย์อยู่ศูนย์กลางระบบสุริยจักรวาล
-
6:32 - 6:33โลกโคจรไปรอบๆ ดวงอาทิตย์
-
6:33 - 6:37นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เอาล่ะ นิโคลัส ถ้านั่นมันจริง
-
6:37 - 6:39เราก็ควรที่จะสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหว
-
6:39 - 6:41ของโลกรอบๆ ด้วยอาทิตย์ได้สิ
-
6:41 - 6:43และสไลด์นี้เป็นภาพของแนวคิด
-
6:43 - 6:44ที่เรียกว่า การเหลื่อมตำแหน่งของดวงดาว
(stellar parallax) -
6:44 - 6:48และนักดาราศาสตร์บอกว่า ถ้าโลกกำลังเคลื่อนที่
-
6:48 - 6:51และเรามองไปยังดาวที่เด่นชัด เช่น ซิริอัส
-
6:51 - 6:54ฉันรู้ว่าฉันอยู่ในแมนฮัตตัน
คุณก็เลยไม่เห็นดาว -
6:54 - 6:58แต่ลองนึกดูว่าคุณออกไปอยู่ในชนบท
ลองคิดว่าคุณเลือกชีวิตไกลกรุง -
6:58 - 7:00และเรามองดวงดาวในเดือนธันวาคม
เราเห็นดาวดวงนั้น -
7:00 - 7:03บนพื้นหลังที่มีดาวที่ห่างออกไป
-
7:03 - 7:06ถ้าพวกเราทำการสังเกตหกเดือนหลังจากนี้
-
7:06 - 7:10เมื่อโลกได้เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งในเดือนมิถุนายน
-
7:10 - 7:14เรามองไปยังดาวดวงเดิม และเราเห็นมัน
บนพื้นหลังที่ต่างออกไป -
7:14 - 7:18ความแตกต่างนั้น องศาที่แตกต่างนั้น
คือ การเหลื่อมตำแหน่งของดวงดาว -
7:18 - 7:21ดังนั้น การคาดการโดยแบบจำลองโคเปอร์นิคัส
-
7:21 - 7:24นักดาราศาสตร์มองหา
การเหลื่อมตำแหน่งของดวงดาว -
7:24 - 7:29และพวกเขาไม่พบอะไร ไม่พบอะไรเลย
-
7:29 - 7:33และคนมากมายเถียงว่า
นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ว่าแบบจำลองโคเปอร์นิคัสเป็นเท็จ -
7:33 - 7:34แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
-
7:34 - 7:37เมื่อเราเข้าใจปัญหาหลังจากที่มันเกิดขึ้นแล้ว
เราสามารถบอกได้ว่านักดาราศาสตร์ -
7:37 - 7:39ได้ตั้งสองสมมติฐานเสริม ซึ่งทั้งสองข้อนั้น
-
7:39 - 7:42ตอนนี้เราบอกได้ว่ามันไม่ถูก
-
7:42 - 7:46อย่างแรกคือข้อสมมติเกี่ยวกับขนาดของวงโคจรโลก
-
7:46 - 7:49นักดาราศาสตร์เคยคาดไว้ว่าวงโคจรของโลกนั้นใหญ่
-
7:49 - 7:51เป็นสัดส่วนกับระยะห่างจากดวงดาว
-
7:51 - 7:53วันนี้เราจะเขียนภาพเป็นแบบนี้มากกว่า
-
7:53 - 7:55มันมาจากนาซ่า
-
7:55 - 7:57และคุณเห็นวงโคจรของโลกว่ามันค่อนข้างเล็ก
-
7:57 - 8:00อันที่จริง มันเล็กกว่าที่แสดงให้เห็นตรงนี้
-
8:00 - 8:02การเหลื่อมตำแหน่งของดวงดาวนั้น
-
8:02 - 8:05เล็กมากๆ และอันที่จริง ยากที่จะตรวจจับได้
-
8:05 - 8:07และนั่นนำไปสู่เหตุผลที่สอง
-
8:07 - 8:09ทำไมการคาดคะเนถึงไม่ได้ผล
-
8:09 - 8:11เพราะว่านักวิทยาศาสตร์ยังเข้าใจว่า
-
8:11 - 8:14กล้องโทรทัศน์ที่พวกเขามีนั้นไวพอ
-
8:14 - 8:16ที่จะตรวจจับการเหลื่อมตำแหน่งได้
-
8:16 - 8:18และนั่นกลายเป็นว่าไม่เป็นความจริง
-
8:18 - 8:21ไม่จนกระทั่งศตวรรษที่ 19
-
8:21 - 8:22ที่นักวิทยาศาสตร์สามารถที่จะตรวจจับ
-
8:22 - 8:24การเหลื่อมตำแหน่งของดาวได้
-
8:24 - 8:26ดังนั้น มันมีปัญหาที่สามเช่นกัน
-
8:26 - 8:29ปัญหาที่สามเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริง
-
8:29 - 8:32ที่ว่า วิทยาศาสตร์มากมาย
ไม่ได้เป็นไปตามแบบจำลองตำรา -
8:32 - 8:34วิทยาศาสตร์มากมายไม่ใช่การนิรนัยเลย
-
8:34 - 8:36มันเป็นการอุปนัย
-
8:36 - 8:39และที่เราบอกว่า นักวิทยาศาสตร์
-
8:39 - 8:41ไม่จำเป็นจะต้องเริ่มต้นด้วยทฤษฎีและสมมติฐาน
-
8:41 - 8:43บ่อยครั้ง พวกเขาเริ่มจากการสังเกต
-
8:43 - 8:45สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก
-
8:45 - 8:48และตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดนั้น
-
8:48 - 8:51คืองานจากนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุดที่เคยมี
ชาร์ล ดาวิน -
8:51 - 8:54เมื่อดาวิน ได้เดินทางไปกับเรือบีเกิลเมื่อยังหนุ่ม
-
8:54 - 8:57เขาไม่ได้มีสมมติฐาน เขาไม่ได้มีทฤษฎี
-
8:57 - 9:01เขาแค่รู้ว่าเขาต้องการจะมีอาชีพ
เป็นนักวิทยาศาสตร์ -
9:01 - 9:03และเขาก็เริ่มเก็บข้อมูล
-
9:03 - 9:05โดยหลักๆ แล้ว เขารู้ว่าเขาเกลียดการแพทย์
-
9:05 - 9:07เพราะการเห็นเลือดทำให้เขารู้สึกไม่ดี
-
9:07 - 9:09เขาต้องหาอาชีพทางเลือกอื่น
-
9:09 - 9:11ดังนั้นเขาจึงเริ่มเก็บข้อมูล
-
9:11 - 9:15และเขาเก็บสิ่งต่างๆ มากมาย
รวมทั้งนกฟินช์ -
9:15 - 9:17เมื่อเขาเก็บนกเหล่านี้
เขาโยนมันเข้าไปในถุง -
9:17 - 9:19และเขาไม่รู้เลยว่าเขาได้ทำอะไร
-
9:19 - 9:21หลายปีผ่านไปในลอนดอน
-
9:21 - 9:24ดาวินดูข้อมูลของเขาอีกครั้ง
-
9:24 - 9:26แล้วเริ่มที่จะพัฒนาคำอธิบาย
-
9:26 - 9:29และนั่นคำอธิบายนั่นก็คือ
ทฤษฎีของการคัดเลือกโดยธรรมชาติ -
9:29 - 9:32นอกเหนือจากวิทยาศาสตร์อุปนัย
-
9:32 - 9:34นักวิทยาศาสตร์ยังข้องเกี่ยว
กับการสร้างแบบจำลองบ่อยๆ -
9:34 - 9:37สิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการจะทำในชีวิต
-
9:37 - 9:39ก็คือได้อธิบายเหตุของสิ่งต่างๆ
-
9:39 - 9:41และเราทำอย่างนั้นได้อย่างไร
-
9:41 - 9:43ทางหนึ่งที่คุณสามารถทำได้คือสร้างแบบจำลอง
-
9:43 - 9:45และทดสองความคิด
-
9:45 - 9:46นี่คือภาพของแฮนรี่ คาร์เดล
-
9:46 - 9:49ผู้ซึ่งเป็นนักธรณีวิทยาชาวสกอตในศตวรรษที่ 19
-
9:49 - 9:51คุณสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นชาวสกอต
จากชุดที่เขาใส่ -
9:51 - 9:53หมวกคนล่ากวางและรองเท้าบูทเวลิงตัน
-
9:53 - 9:55(เสียงหัวเราะ)
-
9:55 - 9:57และคาร์เดลต้องการที่จะหาคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า
-
9:57 - 9:59ภูเขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
-
9:59 - 10:00และหนึ่งในสิ่งที่เขาสังเกตเห็น
-
10:00 - 10:03คือถ้าคุณดูภูเขา อย่างเทือกเขาแอปพาเลเชีย
(Appalachians) -
10:03 - 10:04คุณมักพบว่าหินในนั้น
-
10:04 - 10:06โค้งงอ
-
10:06 - 10:08และพวกมันโค้งงอในแบบจำเพาะ
-
10:08 - 10:09ที่แนะเขาว่า
-
10:09 - 10:12พวกมันถูกบีบอัดจากด้านข้าง
-
10:12 - 10:14และความคิดนี้ต่อมาได้มีบทบาทที่สำคัญ
-
10:14 - 10:16ในการอภิปรายในเรื่องการเคลื่อนตัวของทวีป
-
10:16 - 10:19เขาสร้างแบบจำลองนี้ เครื่องมือแสนประหลาด
-
10:19 - 10:21ที่มีคานและไม้ และนี่คือรถเข็นล้อเดียวของเขา
-
10:21 - 10:24ตะกร้า และค้อนยักษ์
-
10:24 - 10:25ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงใส่บูทเวลลิงตัน
-
10:25 - 10:27บางทีมันอาจจะกำลังฝนตก
-
10:27 - 10:30และเขาสร้างแบบจำลองทางกายภาพนี้เพื่อที่จะ
-
10:30 - 10:34แสดงว่า อันที่จริงคุณสามารถสร้าง
-
10:34 - 10:37แบบร่างในหิน หรืออย่างน้อย ในกรณีนี้ ในตม
-
10:37 - 10:39ที่มองดูเหมือนภูเขา
-
10:39 - 10:41ถ้าคุณอัดมันจากด้านข้าง
-
10:41 - 10:44มันเป็นข้อถกเถียงเกี่ยวกับสาเหตุการกำเนิดภูเขา
-
10:44 - 10:47ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่
ชอบที่จะทำงานจากข้างใน -
10:47 - 10:50ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้สร้างแบบจำลองทางกายภาพ
-
10:50 - 10:52มากเท่ากับการสร้างภาพจำลองคอมพิวเตอร์
-
10:52 - 10:55แต่ภาพจำลองคอมพิวเตอร์เป็นแบบจำลองอย่างหนึ่ง
-
10:55 - 10:57มันเป็นแบบจำลองที่สร้างขึ้นด้วยคณิตศาสตร์
-
10:57 - 11:00และเหมือนกับแบบจำลองทางกายภาพ
ยุคศตวรรษที่ 19 -
11:00 - 11:04มันสำคัญมากสำหรับการคิดถึงสาเหตุ
-
11:04 - 11:07ดังนั้นหนึ่งในคำถามข้อใหญ่ที่เกี่ยวกับ
การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ -
11:07 - 11:08เรามีหลักฐานมากมาย
-
11:08 - 11:10ที่โลกอุ่นขึ้น
-
11:10 - 11:13สไลด์นี้ เส้นสีดำแสดง
-
11:13 - 11:15การวัดที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำ
-
11:15 - 11:17ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา
-
11:17 - 11:18ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิของโลก
-
11:18 - 11:20เพิ่มขึ้นอย่างคงที่
-
11:20 - 11:23และคุณสามารถเห็นได้ว่าใน 50 ปีที่ผ่านมา
-
11:23 - 11:24มันมีการเพิ่มขึ้นอย่างมาก
-
11:24 - 11:27ถึงเกือบหนึ่งองศาเซลเซียส
-
11:27 - 11:29หรือเกือบสององศาฟาเรนไฮด์
-
11:29 - 11:32แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้
-
11:32 - 11:34เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าอะไรที่ทำให้
-
11:34 - 11:35เกิดอากาศที่อุ่นขึ้นอย่างที่เราเห็น
-
11:35 - 11:37นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างแบบจำลองของมัน
-
11:37 - 11:40โดยใช้ภาพจำลองคอมพิวเตอร์
-
11:40 - 11:42ภาพนี้แสดงให้เห็นภาพจำลองคอมพิวเตอร์
-
11:42 - 11:44ที่มองไปยังตัวแปลต่างๆ
-
11:44 - 11:47ที่เรารู้ว่าสามารถส่งผลกระทบต่อภูมิอากาศโลก
-
11:47 - 11:50อนุภาคซัลเฟตจากมลภาวะทางอากาศ
-
11:50 - 11:53ฝุ่นภูเขาไฟจากการระเบิดของภูเขาไฟ
-
11:53 - 11:55การเปลี่ยนแปลงของรังสีสุริยะ
-
11:55 - 11:57และแน่นอน ก๊าซเรือนกระจก
-
11:57 - 11:59และพวกเขาถามคำถาม
-
11:59 - 12:03ว่าตัวแปรชุดไหนที่ใส่เข้ามาในแบบจำลอง
-
12:03 - 12:06แล้วจะเลียนแบบสิ่งที่เราเห็นในชีวิตจริงได้
-
12:06 - 12:08นี่คือชีวิตจริงในสีดำ
-
12:08 - 12:10นี่คือแบบจำลองในสีเทาอ่อน
-
12:10 - 12:12และคำตอบก็คือ
-
12:12 - 12:16ตัวอย่างที่ประกอบด้วย มันคือคำตอบ E บน SAT นั่น
-
12:16 - 12:18ทั้งหมดพวกนั้น
-
12:18 - 12:20ทางเดียวที่เราสามารถจะเลียนแบบ
-
12:20 - 12:22การวัดอุณหภูมิที่สังเกตเห็น
-
12:22 - 12:24คือด้วยการนำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเข้ามารวมกัน
-
12:24 - 12:26รวมไปถึงก๊าซเรือนกระจก
-
12:26 - 12:28และโดยเฉพาะถ้าคุณเห็นว่าการเพิ่มขึ้น
-
12:28 - 12:30ของการติดตามก๊าซเรือนกระจก
-
12:30 - 12:32การเพิ่มขึ้นอย่างมากมายของอุณหภูมิ
-
12:32 - 12:34ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา
-
12:34 - 12:36และนี่เป็นเหตุที่ทำไมนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ
บอกว่า -
12:36 - 12:39มันไม่ใช่แค่เรารู้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ
กำลังเกิดขึ้น -
12:39 - 12:42เรารู้ว่า ก๊าซเรือนกระจกเป็นส่วนใหญ่
-
12:42 - 12:45ของเหตุผลว่าทำไม
-
12:45 - 12:47ดังนั้น เพราะมันมีสิ่งต่างๆ มากมาย
-
12:47 - 12:49ที่นักวิทยาศาสตร์ทำ
-
12:49 - 12:52นักปรัชญา พอล ฟีเยอร์เบน
(Paul Feyeraben ) กล่าวไว้ว่า -
12:52 - 12:54"หลักการทางวิทยาศาสตร์เดียว
-
12:54 - 12:58ที่ไม่ได้หยุดยั้งการพัฒนาคือ: ยังไงก็ได้"
-
12:58 - 13:00คำพูดนี้มักถูกอ้างถึงอย่างผิดบริบท
-
13:00 - 13:03เพราะฟีเยอร์เบนไม่ได้พูดจริงๆ
-
13:03 - 13:05ว่าในวิทยาศาสตร์ จะยังไงก็ได้
-
13:05 - 13:06ที่เขาพูดคือ
-
13:06 - 13:08จริงๆ ก็คือ
-
13:08 - 13:10"ถ้าคุณต้องให้ผมพูด
-
13:10 - 13:12ว่าอะไรคือวิธีการทางวิทยาศาสตร์
-
13:12 - 13:15ผมต้องบอกว่า ยังไงก็ได้"
-
13:15 - 13:16ที่เขาพยายายามจะพูด
-
13:16 - 13:19คือนักวิทยาศาสตร์ทำอะไรมากมาย
-
13:19 - 13:21นักวิทยาศาสตร์มีความคิดสร้างสรรค์
-
13:21 - 13:23แต่แล้วนี่มันก็ดันปัญหากลับ
-
13:23 - 13:27ถ้าวิทยาศาสตร์ไม่ได้ใช้วิธีการเดียว
-
13:27 - 13:29แล้วเขาจะตัดสินได้อย่างไร
-
13:29 - 13:30ว่าอะไรถูกอะไรผิด
-
13:30 - 13:32และใครจะเป็นผู้ตัดสิน
-
13:32 - 13:34และคำตอบก็คือ นักวิทยาศาสตร์เป็นผู้ตัดสิน
-
13:34 - 13:37และพวกเขาตัดสินโดยตัดสินจากหลักฐาน
-
13:37 - 13:40นักวิทยาศาสตร์เก็บหลักฐานในวิธีการต่างๆ
-
13:40 - 13:42แต่อย่างไรก็ดี พวกเขาเก็บมัน
-
13:42 - 13:45พวกเขาจะต้องไตร่ตรองมันอย่างถี่ถ้วน
-
13:45 - 13:47และมันก็นำนักสังคมวิทยา
โรเบิร์ต เมอร์ตัน (Robert Merton) -
13:47 - 13:49ไปสู่ความสนใจในคำถามว่านักวิทยาศาสตร์
-
13:49 - 13:51ไตร่ตรองข้อมูลและหลักฐานอย่างไร
-
13:51 - 13:54และเขาบอกว่า พวกเขาทำมันในแบบที่เขาเรียกว่า
-
13:54 - 13:56"กังขาอย่างมีระเบียบ"
-
13:56 - 13:58และนั่นเขาหมายถึงว่ามันเป็นระเบียบ
-
13:58 - 13:59เพราะว่าพวกเขาทำมันเป็นกลุ่ม
-
13:59 - 14:01พวกเขาทำมันอย่างเป็นหมวดหมู่
-
14:01 - 14:04และกังขาสงสัย เพราะพวกเขาทำมันจากตำแหน่ง
-
14:04 - 14:05ของความไม่เชื่อ
-
14:05 - 14:07มันบอกว่า ภาระของการพิสูจน์
-
14:07 - 14:09อยู่บนคนที่มีข้อถือสิทธิ์ใหม่
-
14:09 - 14:13และในกรณีนี้
วิทยาศาสตร์คือการสำรวจอย่างมีเงื่อนไข -
14:13 - 14:15มันค่อนข้างยากที่จะคะยั้นยะคอสังคมวิทยาศาสตร์
-
14:15 - 14:19ให้บอกว่า "ใช่ เรารู้บางอย่าง มันเป็นความจริง"
-
14:19 - 14:21ถึงแม้ว่าแนวคิดของกระบวนทัศน์นั้นเปลี่ยนไป
-
14:21 - 14:23จะเป็นที่นิยม
-
14:23 - 14:24สิ่งที่เราพบแท้จริงแล้ว
-
14:24 - 14:27คือการเปลี่ยนแปลงหลักในการคิดอย่างวิทยาศาสตร์
-
14:27 - 14:31ค่อนข้างหาได้ยากในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์
-
14:31 - 14:34ดังนั้นในที่สุด นั่นนำเราไปยังอีกหนึ่งแนวคิด
-
14:34 - 14:38ถ้าวิทยาศาสตร์ตัดสินหลักฐานโดยรวม
-
14:38 - 14:41มันได้นำนักประวัติศาสตร์ให้มาจดจ้องกับคำถาม
-
14:41 - 14:42ของมหาชน
-
14:42 - 14:44และการบอกว่า ที่สุดแล้วนั้น
-
14:44 - 14:46วิทยาศาสตร์คืออะไร
-
14:46 - 14:48ความรู้ทางวิทยาศาสตร์คืออะไร
-
14:48 - 14:51ความเห็นที่เป็นเอกฉันท์
ของผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ -
14:51 - 14:53ผู้ซึ่งใช้กระบวนการการใคร่ครวญอย่างเป็นระเบียบ
-
14:53 - 14:55การไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า
-
14:55 - 14:57ได้ตัดสินหลักฐาน
-
14:57 - 14:59และได้บทสรุปเกี่ยวกับมัน
-
14:59 - 15:02ว่าจะเป็นใช่หรือไม่
-
15:02 - 15:04เราสามารถคิดถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์
-
15:04 - 15:06เป็นความใคร่ครวญของผู้เชี่ยวชาญ
-
15:06 - 15:07เรายังสามารถคิดถึงวิทยาศาสตร์
-
15:07 - 15:09เป็นดั่งลูกขุน
-
15:09 - 15:12เว้นแต่ว่ามันเป็นลูกขุนชนิดพิเศษ
-
15:12 - 15:14มันไม่ใช่ลูกขุนของเพื่อนคุณ
-
15:14 - 15:16มันเป็นลูกขุนของพวกบ้าวิชา
-
15:16 - 15:19มันเป็นลูกขุนของชายหญิงผู้เป็น ดร.
-
15:19 - 15:22และไม่เหมือนกับลูกขุนทั่วไป
-
15:22 - 15:23ซึ่งมีแค่สองตัวเลือก
-
15:23 - 15:26คือ ผิด หรือ ไม่ผิด
-
15:26 - 15:29ลูกขุนวิทยาศาสตร์มีตัวเลือกมากมาย
-
15:29 - 15:32นักวิทยาศาสตร์สามารถบอกว่า ใช่ บางทีมันจริง
-
15:32 - 15:35นักวิทยาศาสตร์สามารถบอกได้ว่า ไม่ มันผิด
-
15:35 - 15:37หรือพวกเขาจะบอกก็ได้ว่า อืม มันอาจจะจริง
-
15:37 - 15:40แต่เราต้องทำการศึกษาอีก
และต้องเก็บหลักฐานเพิ่ม -
15:40 - 15:42หรือพวกเขาอาจบอกว่า มันอาจจะจริง
-
15:42 - 15:44แต่เราไม่รู้ว่าจะตอบคำถามได้อย่างไร
-
15:44 - 15:45และเรากำลังที่จะมองข้ามมันไป
-
15:45 - 15:48และบางทีเราอาจกลับมาพูดถึงทีหลัง
-
15:48 - 15:52นั่นเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า "ความดึงดัน"
-
15:52 - 15:54แต่มันนำเราไปยังปัญหาสุดท้าย
-
15:54 - 15:57ถ้าวิทยาศาสตร์เป็นอย่างที่นักวิทยาศาสตร์บอกแล้ว
-
15:57 - 16:00ไม่ใช่ว่านั่นน่าสนใจสำหรับผู้รู้หรอกหรือ
-
16:00 - 16:01แล้วไม่ใช่ว่าเราทุกคนถูกสอนที่โรงเรียนหรือ
-
16:01 - 16:04ว่าการดึงดูดผู้รู้
เป็นการหลอกลวงอย่างมีตรรกะ -
16:04 - 16:07นี่คือปฏิทรรศน์ของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
-
16:07 - 16:10ปฏิทรรศน์ของบทสรุปที่ฉันคิดว่านักประวัติศาสตร์
-
16:10 - 16:12และนักปรัชญาและนักสังคมวิทยาได้เผชิญ
-
16:12 - 16:16ที่จริงแล้ววิทยาศาสตร์เป็นตัวดึงดูดความสนใจของผู้รู้
-
16:16 - 16:19แต่มันไม่ใช่ผู้รู้ของปัจเจกชน
-
16:19 - 16:22ไม่ว่าบุคคลนั้นจะฉลาดแค่ไหน
-
16:22 - 16:26เป็นพลาโต หรือโสเครติส หรือไอสไตน์
-
16:26 - 16:29มันเป็นผู้รู้แห่งสังคมรวม
-
16:29 - 16:32คุณอาจคิดถึงมันว่าเป็นความรู้ของกลุ่มคน
-
16:32 - 16:36แต่เป็นกลุ่มคนชนิดพิเศษ
-
16:36 - 16:38วิทยาศาสตร์เป็นที่สนใจของผู้รู้
-
16:38 - 16:40แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลใด
-
16:40 - 16:42ไม่ว่าบุคคลนั้นจะฉลาดแค่ไหนก็ตาม
-
16:42 - 16:44มันขึ้นอยู่กับความรู้ที่สั่งสมมา
-
16:44 - 16:47ศาสตร์สหสาขา และการศึกษาต่อยอด
-
16:47 - 16:49ของบรรดานักวิทยาศาสตร์ผู้ซึ่งได้ศึกษา
-
16:49 - 16:51ปัญหาเฉพาะมากมาย
-
16:51 - 16:54นักวิทยาศาสตร์เหมือนมีวัฒนธรรม
การไม่เชื่อแบบสั่งสม -
16:54 - 16:56วัฒนธรรม "ไหนล่ะ" ที่ว่านี้
-
16:56 - 16:58ถูกแสดงให้เห็นโดยผู้หญิงคนนี้
-
16:58 - 17:01ที่แสดงหลักฐานให้ผู้ร่วมงานเห็น
-
17:01 - 17:03แน่ล่ะ คนเหล่านี้ไม่ได้ดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์
-
17:03 - 17:05เพราะพวกเขาดูร่าเริงเกินไป
-
17:05 - 17:09(เสียงหัวเราะ)
-
17:09 - 17:14เอาล่ะ นั่นนำฉันมาถึงเรื่องสุดท้าย
-
17:14 - 17:16พวกเราส่วนใหญ่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
-
17:16 - 17:18พวกเราส่วนใหญ่เชื่อใจรถของเรา
-
17:18 - 17:19ลองมาดูว่าฉันคิดยังไง ฉันอยู่ในแมนฮัตตัน
-
17:19 - 17:21นี่เป็นการเปรียบเทียบที่แย่มาก
-
17:21 - 17:23แต่ชาวอเมริกันส่วนมากที่ไม่ชอบแมนฮัตตัน
-
17:23 - 17:25ตื่นขึ้นมาตอนเช้าและขึ้นรถ
-
17:25 - 17:28และทำการสตาร์ทรถ และรถก็ทำงานได้
-
17:28 - 17:30และพวกมันก็ทำงานดีซะด้วย
-
17:30 - 17:32รถยนต์สมัยใหม่แทบจะไม่เคยพังเลย
-
17:32 - 17:35แล้วทำไมล่ะ ทำไมรถถึงทำงานดีนัก
-
17:35 - 17:38ไม่ใช่ว่ามันเป็นเพราะอัฉริยะ เฮนรี ฟอร์ด
-
17:38 - 17:41หรือ คาร์ล เบนซ์ หรือ อีลอน มัสค์
-
17:41 - 17:43มันเป็นเพราะรถสมัยใหม่
-
17:43 - 17:48เป็นผลผลิตของการศึกษามากกว่าร้อยปี
-
17:48 - 17:50โดยคนมากมาย
-
17:50 - 17:51นับร้อยนับพันคน
-
17:51 - 17:53รถยนต์รุ่นใหม่ๆ
-
17:53 - 17:56จากการศึกษาที่สั่งสม ความรู้ และประสบการณ์
-
17:56 - 17:58ของบุรุษและสตรีผู้ซึ่งได้ทำการศึกษา
-
17:58 - 18:00เกี่ยวกับรถยนต์
-
18:00 - 18:03และความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยีคือผลลัพธ์
-
18:03 - 18:05ของความพยายามที่สะสมมา
-
18:05 - 18:08เราได้รับประโยขน์ ไม่ใช่แค่จากอัฉริยะอย่างเบนซ์
-
18:08 - 18:09หรือฟอร์ด หรือ มัสค์
-
18:09 - 18:12แต่เป็นจากสติปัญญา
และการทำงานอย่างจริงจังที่สั่งสมมา -
18:12 - 18:14ของทุกคนที่ได้ทำงาน
-
18:14 - 18:16เกี่ยวกับรถสมัยใหม่
-
18:16 - 18:18และมันก็เป็นจริงเช่นเดียวกันในวิทยาศาสตร์
-
18:18 - 18:21เพียงแต่วิทยาศาสตร์นั้นแก่กว่าเสียอีก
-
18:21 - 18:23พื้นฐานความเชื่อของเราในวิทยาศาสตร์นั้น
แท้จริงแล้วเหมือนกันกับ -
18:23 - 18:26พื้นฐานความเชื่อของเราที่มีต่อเทคโนโลยี
-
18:26 - 18:30และเหมือนกันกับพื้นฐานความเชื่อในทุกสิ่ง
-
18:30 - 18:32เป็นต้นว่า ประสบการณ์
-
18:32 - 18:34แต่มันมิอาจเป็นความเชื่ออย่างมืดบอด
-
18:34 - 18:37มากไปกว่าที่เราเชื่อสิ่งอื่นๆ อย่างหน้ามืดตามัว
-
18:37 - 18:40ความเชื่อของเราที่มีต่อวิทยาศาสตร์
เช่นตัววิทยาศาสตร์เอง -
18:40 - 18:42ควรที่จะตั้งอยู่บนหลักฐาน
-
18:42 - 18:43และนั่นหมายความว่านักวิทยาศาสตร์
-
18:43 - 18:45จะต้องกลายเป็นนักสื่อสารที่ดีขึ้น
-
18:45 - 18:48พวกเขาจะต้องอธิบายให้เราฟัง
ไม่ใช่แค่ในสิ่งที่เขาเข้าใจ -
18:48 - 18:50แต่ต้องอธิบายว่าพวกเขาเข้าใจอย่างไรด้วย
-
18:50 - 18:54และนั่นหมายความว่าพวกเขา
จะต้องเป็นผู้ฟังที่ดี -
18:54 - 18:55ขอบคุณมากๆ ค่ะ
-
18:55 - 18:57(เสียงปรบมือ)
- Title:
- ทำไมเราควรเชื่อนักวิทยาศาสตร์
- Speaker:
- นาโอมิ ออเรสเคส (Naomi Oreskes)
- Description:
-
ปัญหาใหญ่ๆ มากมายในโลกต้องการคำตอบจากนักวิทยาศาสตร์ แต่ทำไมเราควรที่จะเชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด นักประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ นาโอมิ ออเรสเคส ครุ่นคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรากับความเชื่อ และเฟ้นเลือกเอาสามปัญหากับแนวคิดทั่วไปที่มีต่อการสอบสวนทางวิทยาศาสตร์ และให้เหตุผลของเธอว่าทำไมเราควรที่จะเชื่อวิทยาศาสตร์
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 19:14
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for Why we should trust scientists | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Why we should trust scientists | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Why we should trust scientists | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Why we should trust scientists | ||
Jaa Yimhin accepted Thai subtitles for Why we should trust scientists | ||
Jaa Yimhin edited Thai subtitles for Why we should trust scientists | ||
Jaa Yimhin edited Thai subtitles for Why we should trust scientists | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Why we should trust scientists |