-
พิธีกร: ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ
-
เข้าสู่ TEDxChulalongkornU ครับ
-
ไปพบกับคุณแฟรงค์นะคะ วสุพล สุทัศนานนท์
-
จากทอล์คที่มีชื่อว่า “ทำไม่ทำ ไม่มีคำว่าลอง” ค่ะ
-
(เสียงปรบมือ)
-
ผมเชื่อว่าทุกคนในที่นี้นะครับล้วนมีเป้าหมาย
-
passion และความฝัน
-
รวมถึงสิ่งต่าง ๆ มากมาย
-
ที่เราตั้งใจไว้ว่าเราอยากจะทำมัน
-
ผ่านเข้ามาตลอดในทุกช่วงของชีวิตครับ
-
และในขณะเดียวกันนั้นเอง ทุกช่วงของชีวิต
-
ก็มักจะมีอุปสรรคต่าง ๆ
-
ที่เข้ามาขวางกั้นระหว่างเรากับความฝัน
-
เป้าหมาย สิ่งที่เราตั้งใจ
-
ทำให้เรากับมัน
-
ถอยห่างกันออกไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ
-
บางครั้งอุปสรรคต่าง ๆ ก็เกิดจากตัวเราเอง
-
เกิดจากปัจจัยภายใน
-
บางครั้งก็เกิดจากปัจจัยภายนอก
-
ที่เราไม่สามารถควบคุมมันได้
-
และในบางครั้งอุปสรรคต่าง ๆ นานาเหล่านี้
-
ก็ถาโถมเข้ามามากมาย
-
เสียจนทำให้เรากับความฝัน
-
ที่เราเคยตั้งใจหมายมั่นว่าจะทำ
-
เราก็ลืมเลือนมันไปเสียแล้ว
-
วันนี้ครับ ผมมีพลังวิเศษพลังหนึ่งละกัน
-
ที่อยากจะมาแชร์ให้กับทุกคนในที่นี้ฟัง
-
พลังวิเศษนี้นะครับมีอยู่หน้าที่เดียวเท่านั้น
-
คือเอาไว้ต่อกรกับทุกอุปสรรคที่จะเข้ามาขวาง
-
ระหว่างเรากับความฝันของเรา
-
และมากไปกว่านั้นนะครับ พลังวิเศษที่ว่านี้
-
ยังช่วยใครหลายคนที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่
-
ไม่รู้ว่าเราอยากจะทำอะไร
-
ไม่รู้ว่าเราอยากจะเป็นอะไร
-
ได้เจอเส้นทางความฝัน
-
และสิ่งที่ตัวเองชอบเสียด้วย
-
แต่ผมจะบอกให้ครับ
-
ว่าพลังวิเศษที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้
-
ไม่ใช่พลังยอดมนุษย์แต่อย่างใดครับ
-
แต่เป็นพลังที่มีอยู่กับมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิดแล้ว
-
แฝงตัวมากับเรา
-
แต่เราไม่รู้เท่านั้นว่าเรามีมัน
-
และผมจะบอกให้อย่างหนึ่งนะครับ
-
ว่าพลังนี้คุณสามารถเริ่มใช้มันได้ตั้งแต่วันนี้
-
ตอนนี้ วินาทีนี้ด้วยซ้ำครับ
-
พลังที่ว่านี้ครับ มีชื่อว่า
-
“พลังแห่งการลงมือทำ” ครับ
-
ก่อนอื่นเลยผมต้องบอกก่อนว่า ขอสารภาพครับ
-
ผมคิดว่าผมเป็นนิสิตคณะบัญชีจุฬาฯ
-
ภาควิชาการบัญชี เพียงไม่กี่คนนะครับ
-
ที่มีอาชีพและหน้าที่หลักคือนักดนตรีครับ
-
ส่วนงานอดิเรกคือการเรียนหนังสือครับ
-
ใช่ครับ ผมขอสารภาพตรง ๆ เลยว่า
-
ย้อนกลับไปสมัยนั้น ผมมีความฝันเดียว
-
และความฝันเดียวเท่านั้น
-
คือผมจะต้องออกไปแตะขอบฟ้า
-
กับพี่ตูน บอดี้สแลมให้ได้
-
ผมจะต้องไปตามหาความฝัน
-
ในการเป็นนักดนตรี ศิลปินให้จงได้ครับ
-
และมีแค่ความฝันเดียว
-
ไม่มีอย่างอื่น ไม่เบี่ยงเบน
-
ฟังดูแล้ว ทุกคนอาจจะตั้งคำถาม
-
ว่าผมเริ่มต้นอย่างไร
-
ผมอยากจะบอกว่า
-
ผมเริ่มต้นจากการทำสิ่งที่ง่ายที่สุดครับ
-
คือการสมัครเข้าชมรมดนตรีสากลของคณะ
-
แล้วก็ใช้วิชาที่เรียกว่าวิชาหน้าด้านครับ
-
ผมวิ่งเข้าหาทุกโอกาสที่ทำให้ผมสามารถ
-
ไปเล่นดนตรีสดได้ ไปเล่นดนตรีอยู่บนเวทีได้
-
งานเล็ก งานใหญ่ งานฟรี
-
งานจ่ายตังค์ขอเขาเล่นก็เอามาแล้ว
-
แม้กระทั่งงานที่ผมต้องไปเล่น
-
แล้วอีกวันหนึ่งสอบไฟนอลของวิชาบัญชี
-
ผมก็ไปเล่นมาแล้วครับ
-
ทุกคนอาจจะคิดว่า
-
โห มันฮาร์ดคอร์มากเลยนะ
-
กับเด็กบัญชีคนหนึ่งที่ไปใช้ชีวิตนักดนตรี
-
และสองสิ่งนี้ก็ดูเป็นสิ่งที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว
-
แทบจะเป็นคนละเรื่องกันเลย
-
และผมเชื่อว่า หลาย ๆ คน
-
ก็คงจะประสบปัญหาเช่นเดียวกับผมครับ
-
มาย้อนกลับไปสมัยก่อน
-
เราอาจจะได้เรียนในสิ่งที่เราไม่อยากเรียน
-
หรือเราอาจจะได้ทำในสิ่งที่เราไม่ได้อยากทำ
-
แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นครับ
-
หลาย ๆ คนชอบพูดว่า
-
ที่เราไม่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ
-
เพราะ เราไม่มีโอกาส เราโชคไม่ดี
-
เพราะอันนั้น อันนี้ เพราะอะไรก็ไม่รู้
-
ที่ทำให้เราไม่ได้ทำ รู้แต่ว่ามันไม่ใช่เรา
-
มันเป็นอย่างอื่น สำหรับส่วนตัวผม
-
ณ วินาทีที่ผมได้เล่นดนตรี ทั้ง ๆ ที่ผมยังเรียนบัญชี
-
มันทำให้ผมเข้าใจถึงพลังแห่งการลงมือทำ
-
ขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งครับ
-
เข้าใจว่าพลังแห่งการลงมือทำ
-
มีคุณสมบัติที่น่าทึ่งอยู่คุณสมบัติหนึ่งครับ
-
คือพลังนี้เป็นอิสระจากทุกข้ออ้าง
-
และทุกข้อจำกัดต่าง ๆ นานาทั้งหลายทั้งปวงครับ
-
ผมไม่เชื่อว่า เราจะทำอะไรไม่ได้
-
เพียงแค่เพราะว่าข้ออ้างครับ
-
ถามว่าทำไมคนเราถึงสร้างข้ออ้างขึ้นมา
-
เพื่อขวางกั้นระหว่างเรากับเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้
-
ต้องยอมรับครับว่าพวกเราอ่อนแอครับ
-
พวกเราอ่อนแอต่อเป้าหมายที่เราตั้งไว้
-
เราจึงเอาข้ออ้างต่าง ๆ นานามาปกปิด
-
กลบเกลื่อนความอ่อนแอในจิตใจเราต่างหาก
-
ไม่มีอะไรที่จะหยุดผมได้ ไม่มีอะไรที่หยุด
-
ที่ทำให้ผมเลิกตามหาความฝันในการเป็นนักดนตรี
-
ทั้ง ๆ ที่ผมเรียนอยู่ที่คณะบัญชีได้
-
และไม่มีวันที่มันจะหมดพลังนี้ไปจากตัวผม
-
หลังจากนั้นนะครับ
-
หลังจากที่ผมได้ใช้ชีวิตเป็นนักดนตรี
-
ทำอาชีพหลักเป็นนักดนตรี
-
แล้วก็งานอดิเรกเป็นการเรียนหนังสือ
-
ไปได้สักพักใหญ่ ๆ แล้ว
-
ผมก็เกิดคำถามขึ้นมากับชีวิต
-
ผมคิดว่า ผมเล่นดนตรีไปเรื่อย ๆ
-
ผมเริ่มเดินมาถึงจุดอิ่มตัว
-
ทางการเป็นนักดนตรีของผมแล้ว
-
ผมก็ตัดสินใจได้ว่าอย่างไรก็แล้วแต่
-
ผมอาจจะต้อง say goodbye
-
บ๊ายบายพี่ตูนว่า นายไปแตะขอบฟ้าคนเดียวนะ
-
เราจะไม่ไปแตะกับนายแล้ว
-
เราจะออกไปตามหาเส้นทางของเราใหม่
-
ไปตามหาขอบฟ้าใหม่ของเรา
-
ดูสิว่าเราชอบเราฝันเรา passion อะไรกันแน่
-
และในจังหวะนั้นเองนะครับ
-
ก็เป็นจังหวะที่ผมเรียนอยู่ในชั้นปีที่ 3 ของคณะบัญชี
-
ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่เด็กคณะบัญชี
-
ภาควิชาบัญชีทุกคน ชั้นปีที่ 3
-
ก็จะต้องไปทำการฝึกงาน เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี
-
กับบริษัทบัญชียักษ์ใหญ่
-
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ นี่คือผมครับ
-
เป็นหนึ่งในเพื่อน ๆ ในรุ่นทุกคน
-
ที่สมัครฝึกงานไปเหมือนกัน
-
แต่มันมีเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง
-
ที่อยากจะมาเล่าให้ฟังครับ
-
คือช่วงเวลาก่อนหน้าฝึกงานประมาณ 2-3 เดือน
-
ผมเกิดอาการที่เรียกว่าหลงทางครับ
-
ผมตั้งคำถามกับชีวิตตัวเองขึ้นมาอย่างจริงจังว่า
-
นี่เป็นสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ หรอ
-
อีก 2 เดือนเราต้องไปฝึกงาน
-
นี่ใช่ไหมเป็นสิ่งที่เราอยากจะทำ
-
หรือเราอยากจะไปทำอย่างอื่นมากกว่า
-
เราอยากออกไปตามความฝัน
-
ไปหาแรงบันดาลใจ
-
ไปหาสิ่งที่เราอยากทำมากกว่าใช่ไหม
-
ผมใช้วิธีแก้ปัญหา
-
ใช้พลังแห่งการลงมือทำแก้ปัญหาได้ง่ายที่สุด
-
คือผมหยิบกระดาษเอสี่ขึ้นมาแผ่นหนึ่งครับ
-
เอสี่ง่าย ๆ เลยนะครับแผ่นหนึ่งเลย
-
กี่แกรมก็ได้ จะบางจะหนาได้หมด
-
ผมหยิบมา และผมหยิบปากกามาแท่งหนึ่ง
-
ผมเขียนทุกอย่างที่ผมอยากทำ
-
ลงไปในกระดาษใบนั้นครับ
-
ผมเหมามาหมดแม็กเลยครับ
-
ผมไล่มันออกทุกข้อ ไม่มีกั๊ก ไม่มีออมมือ
-
เขียนลงไปหมดทุกข้อครับ
-
และทุกอย่างที่ผมเขียนลงไป
-
เป็นสิ่งที่ 1) ผมอยากจะทำมันอย่างจริงจัง
-
2) ผมคิดว่าผมทำมันแล้ว ผมจะมีความสุข
-
3) และผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำ
-
มันจะไปสร้างประโยชน์ และเกิดคุณค่าแก่คนอื่น ๆ
-
และมากไปกว่านั้นนะครับ
-
มากกว่าการเขียนลงกระดาษ
-
สิ่งที่ผมทำก็คือ ผมออกไปทำทุกข้อ
-
ที่ผมเขียนมาหมดเลยครับ
-
ที่คุณเห็นอยู่บนกระดานตรงนี้
-
ที่เวทีพรีเซ็นเทชั่นตรงนี้ ผมทำหมดเลยครับ
-
แบบไม่รอ ไม่เว้นวรรค ไม่ ไม่มีการรอรีใด ๆ ทั้งสิ้นครับ
-
ผมทำทุกอย่างที่ผมคิดไว้หมดเลย
-
ผมอยากจะเป็นดีเจ ผมก็ใช้สูตรเดิมครับ
-
หน้าด้าน ก็ไปวิ่งเข้าหาโอกาสครับ
-
ไปฝึก ไปซ้อม แล้วก็สุดท้ายก็ได้เป็นดีเจสมใจ
-
ผมอยากจะเปิดโรงเรียนสอนดนตรีกับเพื่อน
-
สิ่งที่ผมทำง่ายที่สุดครับ ผมก็โทรศัพท์หาเพื่อน
-
แล้วผมก็นัดกันมา ทำเลย ไม่มีพรุ่งนี้ ไม่มีเดี๋ยวก่อน
-
ทำตอนนี้แหละ ตอนนี้เท่านั้น
-
ถึงแม้ว่าทำไปทำมา โรงเรียนสอนดนตรีที่ผมทำ
-
มันก็ไปเจอกับศัพท์เทคนิคภาษาอังกฤษคำหนึ่งครับ
-
ที่ผมเรียนรู้ระหว่างการทำโรงเรียนสอนดนตรี
-
คือผมไปเจอศัพท์ที่ตัวย่อเรียกว่า JENK ครับ
-
หรือย่อมาจาก เจ๊ง นั่นเองครับ
-
ทำไปทำมามันก็เจ๊งนะครับ
-
แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างที่ผมทำมา
-
มันก็หล่อหลอมไปเป็นประสบการณ์
-
ที่ช่วยผลักดันตัวผมให้เข้าใกล้เป้าหมาย
-
สิ่งที่ชอบ และตัวตนของผมมากขึ้นเรื่อย ๆ
-
มากขึ้นเรื่อย ๆ
-
ชีวิตคนเราครับ มันก็เหมือนกับแผนที่ใหญ่แผนที่หนึ่งครับ
-
เราล้วนอยากที่จะไปในที่ต่าง ๆ
-
เปรียบเสมือนเป้าหมายของชีวิตเรา
-
ซึ่งมันมีมากมายนับไม่ถ้วนเลยครับ
-
เราอยากที่จะไปสัมผัส
-
อยากจะไปรู้ว่าที่ไหนเป็นที่น่าสนใจ
-
เหมือนกับเป้าหมายชีวิตเรา
-
ที่เราอยากจะไปรู้ว่า เป้าหมายต่อไป
-
หรือความฝัน passion ของเรา
-
มันคืออะไรกันแน่
-
และเราคาดหวังว่า ท้ายที่สุดแล้ว
-
เราจะไปเจอที่สักที่หนึ่ง
-
ที่มันเป็นที่สุดท้ายที่มีความหมายสำหรับเรา
-
ผมอยากจะบอกว่า ส่วนตัวผม
-
ความฝันและ passion สิ่งที่ชอบ
-
มันเปลี่ยนไปตามเวลาอยู่แล้วครับ
-
เพราะจากตอนแรกที่ผมมีความฝัน
-
ความตั้งใจว่าจะเป็นนักดนตรี
-
มันก็ได้ล่วงเลยมา และผมค้นหาตัวเองใหม่
-
จากการที่ผมลงมือทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมตั้งใจไว้
-
สุดท้าย แม้ความฝัน passion จะเปลี่ยนไป
-
แต่สิ่งเดียวที่จะยังคงอยู่กับผม
-
และผมเชื่อว่ามันต้องคงอยู่กับทุกคน
-
คือการลงมือทำครับ
-
เป็นสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
-
ไม่ว่าความฝันคุณจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม
-
การลงมือทำยังต้องคงอยู่
-
ถามว่าอยู่ไปทำไม
-
อยู่เพื่อเป็นเข็มทิศชีวิตครับ
-
คอยบอกทางต่อไปของคุณว่า
-
อันไหนที่จะเป็นเส้นทาง
-
เป็นจุดมุ่งหมายต่อไปของคุณ
-
เพราะฉะนั้นพลังแห่งการลงมือทำ
-
ท้ายที่สุดแล้ว หากคุณใช้มัน
-
มันจะเป็นเข็มทิศชีวิตชั้นดี
-
ให้กับชีวิตของพวกคุณทุกคนครับ
-
หลังจากนั้นสุดท้ายผมก็ตกผลึก
-
จากที่ผมไปล้มลุกคลุกคลาน
-
ตะลุมบอนกับสิ่งที่อยากทำมา
-
ผมก็ได้ไอเดีย
-
เป็นเว็บไซต์แพลตฟอร์มจองวงดนตรี
-
ง่ายเหมือนจองโรงแรมครับ
-
ผมใช้ความรู้ที่สั่งสมมาจาก
-
การเรียนคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
-
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผนวกกับ
-
ความบ้าดนตรีที่ไหลวนอยู่ในกระแสเลือดของผม
-
ผสมกันออกมา เป็นการทำสิ่งที่ผมรัก
-
และผมตั้งใจหมายมั่น
-
ว่าผมจะทำมันให้สำเร็จให้ได้
-
แต่โชคชะตาก็กลับเล่นตลกครับ
-
เพราะในเวลานั้น
-
ผมดันต้องไปเริ่มฝึกงานเสียแล้ว
-
ผมอยากจะบอกว่า
-
ผมได้มีโอกาสเข้าไปฝึกงาน
-
อยู่ที่บริษัทบัญชีแห่งนั้นครับ
-
อยู่ทั้งหมด 2 วันถ้วนครับ
-
ผมนั่งทำงานอยู่ที่บริษัทบัญชี
-
ทั้งหมด 2 วันถ้วนครับ
-
และเป็น 2 วันถ้วนที่ผมคิด
-
ครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีกว่า
-
ผมจะต้องตัดสินใจอย่างไรกับชีวิตผมต่อไป
-
ผมจะเลือกที่จะนั่งทำงานต่อ
-
หรือเลือกที่จะออกไปตามความฝัน
-
ในธุรกิจไอเดียที่ผมคิดขึ้นมาได้
-
นี่เป็นอีเมลครับ
-
ที่ผมเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ปีที่แล้วนะครับ
-
ส่งมาคุยกับตัวผมในอนาคตนะฮะ
-
โดยมีการแนบจดหมายลาออกมาด้วยฉบับหนึ่งครับ
-
และก็มีการเขียนว่า Good luck ครับ
-
ผมอยากจะขอบคุณตัวผมในวันนั้นมากเลยครับ
-
เพราะว่าอีเมลฉบับนี้
-
เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาลครับ
-
ผมตัดสินใจ
-
นำจดหมายขออนุญาตลาออกจากการฝึกงาน
-
ขึ้นไปคุยกับพี่ ๆ ที่ดูแลนิสิตที่มาฝึกงานที่บริษัท
-
ผมขึ้นไปด้วยความคิดที่ว่า
-
ผมจะต้องโดนตำหนิอย่างแน่นอนเลย
-
เพราะว่าผมเข้ามาฝึกงานได้เป็นเวลา
-
แค่ 2 วันเท่านั้น
-
ผมเชื่อว่าการที่ผมตัดสินใจอย่างนี้
-
มันอาจจะสร้างผลกระทบต่อกับทั้งตัวผมเอง
-
และกับทางบริษัท ไม่มากก็น้อย
-
แต่ผมมีเรื่องราวเรื่องหนึ่งที่จะมาเล่าให้ฟังครับ
-
คือผมขึ้นไปคุยกับพี่เขา
-
ด้วยการแชร์เรื่องราวเรื่องหนึ่งให้พี่เขาฟัง
-
ผมเล่าว่าการที่ผมตัดสินใจ
-
ตัดสินใจลาออกได้
-
ไม่ใช่เพราะว่าผมใช้อารมณ์เป็นตัวตั้ง
-
หรือผมตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น
-
หรือผมตัดสินใจไปโดยที่ไม่มีเหตุมีผล
-
แต่ผมตัดสินใจได้
-
เนื่องจากความเชื่อเพียงความเชื่อชุดเดียวเท่านั้นครับ
-
ผมเชื่อว่าชีวิตคนเราครับ
-
ล้วนมีเป้าหมาย
-
แต่สำหรับผมเป้าหมายของชีวิต
-
แบ่งเป็น 2 ประเภทด้วยกัน
-
ประเภทแรก คือการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย
-
การที่จะมีชีวิตอยู่ได้ ที่จะดูแลตัวเองได้
-
คนทุกคนสามารถทำได้ครับ
-
และผมเชื่อว่าทุกคนในที่นี้ทำมันได้แล้ว
-
และกำลังทำมันอยู่
-
คือการที่ทำงาน ทำหน้าที่
-
ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบให้สำเร็จลุล่วง
-
การที่เราดูแลตัวเองได้ ดูแลคนที่เรารักได้
-
นั่นคือเป้าหมายชีวิตแรก
-
แต่สำหรับผม ผมมีเป้าหมายอีกชนิดหนึ่งครับ
-
เป็นเป้าหมายที่ลึกลงไปในระดับในใจของผม
-
เป้าหมายที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่า
-
เป้าหมายที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย
-
ไม่ใช่แค่สุขสบาย แต่คือการกล้าที่จะออกไป
-
ตามหาความฝันของตัวเอง
-
กล้าที่จะลุกขึ้นมาทำสิ่งที่แตกต่าง
-
กล้าที่จะทำตามเสียงหัวใจที่เรียกร้องของตัวเอง
-
และที่สำคัญ กล้าที่จะสร้างสิ่งที่มีคุณค่า
-
และมีประโยชน์แก่คนอื่น ๆ
-
นึกภาพนะครับ ผมเล่าแบบนี้เลยนะครับ
-
แต่ผมเล่ากับพี่เขาสองคน
-
พี่เขาก็ “เอ๊อะ น้อง
-
ทำไมน้องเล่นใหญ่ใส่พี่ขนาดนี้ พี่ตกใจ”
-
ผมก็ สุดท้ายเรื่องราวมันกลายเป็นว่า
-
กลับกลายเป็นเหมือนละครอย่างไรอย่างนั้นเลยครับ
-
พี่สองท่านเขาบอกกับผมว่า
-
“น้อง ถ้าที่นี่จะเป็นกรงขังน้อง
-
ไม่ให้น้องโบยบินออกไป
-
พี่จะปล่อยน้องให้บินไปตามเส้นทางความฝันน้องเอง
-
พี่ขอบคุณน้องมากที่น้องขึ้นมาเจอพี่วันนี้
-
พี่ก็มีความฝันเล็ก ๆ หลาย ๆ อย่างที่พี่อยากทำ
-
พี่ยังไม่ได้ทำมันเสียที
-
พี่คิดว่า พี่จะไปเริ่มทำมันแล้ว
-
ขอบคุณน้องมาก”
-
ผมจำได้โมเม้นต์นั้นผมเดินออกมาจากตึก
-
สวนกับคนที่เดินเข้าไปหลังจากกินข้าวครับ
-
ผมเดินออกมา น่าจะมีไม่กี่คนเดินออกมา
-
อีกคนหนึ่งเป็นวินมอเตอร์ไซค์
-
เมสเซนเจอร์มาส่งเอกสารครับ
-
และเป็นโมเม้นต์ที่ผมรู้สึกแล้วว่า
-
ต่อไปนี้ชีวิตต่อให้มันจะเลวจะร้ายแค่ไหน
-
แต่มันเป็นชีวิตที่มีความหมายอย่างแน่นอน
-
หลังจากนั้นครับ ผมก็กระโจนเข้าสู่โลก
-
แห่งการทำแอพพลิเคชั่นและสตาร์ทอัพ
-
อย่างเต็มตัวครับ
-
ด้วยความรู้ 0% ครับ
-
ผมเริ่มต้นใหม่ set zero
-
แต่ผมใช้วิชาเดิมที่ผมใช้มาตลอดครับ
-
คือผมวิ่งเข้าทุกโอกาส
-
เรียกง่าย ๆ ว่าผมหน้าด้านนั่นแหละครับ
-
ผมก็ทักทุกคนเพื่อที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้
-
ไปตามหาความรู้เพื่อมาทำในสิ่งที่เราอยากทำ
-
ผมก็ได้มีโอกาสไปฝึกงาน
-
และไปทำงานร่วมกับรุ่นพี่คนหนึ่งที่บริษัทหนึ่ง
-
และผมได้ความรู้ทั้งหลายทั้งแหล่
-
เริ่มต้นทุกอย่าง ทำทั้งโค้ด ทำทั้งกราฟฟิก
-
ทำทุกอย่าง จนสุดท้าย
-
ผมก็พร้อมที่จะมาทำของตัวเอง
-
และผมทุ่มสุดตัว
-
จนแพลตฟอร์มที่ผมพูดถึงนะครับ
-
ก็ได้มีโอกาสเป็นตัวแทนประเทศไทย
-
ไปแข่งในโครงการสตาร์ทอัพระดับโลก
-
ที่ Silicon Valley สหรัฐอเมริกาครับ
-
เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่ง
-
เป็น 20 ทีมจาก 50 ทีมที่ไปแข่งที่นั่น
-
ผมจะบอกให้ว่า นี่เป็นรูปภาพ
-
ตอนที่ผมไปอยู่ที่ Silicon Valley แล้วครับ
-
ผมจะบอกตรง ๆ ว่าผมเป็นเด็กไทยตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งครับ
-
ที่ยังเรียนอยู่ชั้นปี 3 ภาษาก็ไม่ได้ดี
-
ความรู้ก็ไม่ได้มีมาก ไอ้เทคโนโลยีนี่ไม่ต้องนับเลย
-
ไม่มีเลย นะครับ แต่สิ่งเดียวที่ผมมี
-
และผมมั่นใจว่ามันดี คือใจผม มันดีแน่นอน
-
ผมมีใจที่แข็งแรงพอที่จะไปทำให้
-
ทุกวินาทีที่ผมอยู่ที่นั่นมันมีความหมาย
-
วินาทีแรกที่ผมไปถึงที่นั่นนะครับ
-
ผมไปนำเสนอผลงานของผม
-
ผมตกเป็นทีมที่มีคะแนนต่ำที่สุดในรอบทันทีครับ
-
จนพี่ ๆ ฝรั่งที่เขาดูแลงานอยู่เขาเดินมาบอกว่า
-
“เฮ้ ยู ยูไหวไหม ยูโอเคไหม
-
ยูจะกลับบ้านไหม จะเอายังไง”
-
ผมก็บอกว่า ไม่ ผมไม่กลับ ผมทำได้
-
แล้วผมก็ทำให้ดูด้วย
-
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือ
-
ผมใช้ทุกพลังงานที่ผมมีครับ
-
ถามทุกทีม ถามว่าคุณดีอย่างไร
-
คุณคิดว่าของผมไม่ดีอย่างไร
-
คุณวิจารณ์ผมหน่อย
-
ผมวิ่งหาทุกทีมครับ ผมคุยกับทุกคน
-
เพื่อจะได้รู้ว่าผมต้องปรับปรุงผลงานของผมอย่างไร
-
และผมทำมันข้ามวันข้ามคืนครับ
-
ไม่มีหยุดพัก ไม่มีเบี่ยงเบน ไม่มีอ่อนข้อ
-
จนสุดท้ายผมก็กลับมาเป็นทีม
-
ที่มีคะแนนอยู่ในระดับที่ใช้ได้ ในระดับที่สูง
-
และก็ได้เป็นตัวแทนประเทศไทย
-
ไปนำเสนอผลงานต่อหน้าฝรั่งจำนวนมาก
-
ที่สหรัฐอเมริกาครับ Silicon Valley
-
ถามว่าจุดนั้นผมเรียนรู้อะไร
-
ผมเรียนรู้ว่าพลังแห่งการลงมือทำ
-
มันจะฉายแสงเปล่งประกายได้มากที่สุด
-
ก็ตอนที่คุณใช้มันอย่างสุดกำลังครับ
-
พลังชนิดนี้ไม่มีไว้ใช้เล่น ๆ นะครับ
-
มีไว้ใช้อย่างเดียวเท่านั้นคือ
-
คุณต้องใช้มันให้สุดเท่าที่คุณจะทำได้
-
และมากไปกว่านั้นนะครับ ผมไปอยู่ที่นั่น
-
ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวผมเองคนเดียว
-
ผมทำเพื่อให้เกิดชื่อเสียงแก่ประเทศชาติ
-
เป็นตัวแทนคนไทยว่าเราคนไทยก็ทำได้
-
เด็กไทยคนหนึ่งก็ทำได้
-
ผมไม่ได้วิ่งตามหาความสำเร็จอย่างเดียว
-
แต่ผมพยายามอย่างหนักเพื่อให้เกิดประโยชน์และคุณค่า
-
ซึ่งเป็นคำพูดของคนนี้ครับ ไอน์สไตน์
-
เพราะฉะนั้นพลังแห่งการลงมือทำ
-
นอกเหนือจากคุณจะใช้เพื่อตัวคุณเอง
-
ในการตามหาเป้าหมาย
-
ในการตามหาความหมายของชีวิต
-
คุณยังใช้มันเพื่อคนอื่นได้ด้วย
-
สุดท้ายนะครับ
-
จากที่ผมได้เล่าไปทั้งหมด
-
พลังแห่งการลงมือทำ
-
เป็นอิสระกับทุกข้ออ้างและทุกข้อจำกัด
-
ต่าง ๆ นานาทั้งหลายทั้งปวง
-
เป็นเสมือนกับเข็มทิศชีวิตชั้นดีที่นำพาคุณ
-
ไปเจอเป้าหมายที่คุณตั้งใจไว้
-
เป็นพลังที่คุณต้องใช้มันอย่างสุดแรง
-
มันถึงจะใช้แสดงพลังออกมาได้มากที่สุด
-
และเป็นพลังที่สามารถนำพาคุณ
-
ไปเจอความหมายของชีวิตได้
-
แต่ท้ายที่สุด
-
คุณต้องใช้พลังนี้เพื่อคนอื่นด้วย
-
(เสียงปรบมือ)