ราคาของความอับอาย
-
0:01 - 0:06คุณกำลังมองมาที่ผู้หญิง
ที่ปิดปากเงียบมาเป็นศตวรรษ -
0:06 - 0:09แต่เห็นได้ชัด ว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว
-
0:09 - 0:10เมื่อไม่นานมานี้เอง
-
0:11 - 0:12สองสามเดือนที่แล้ว
-
0:12 - 0:16ฉันได้กล่าวปาฐกถาสำคัญ
ต่อหน้าสาธารณะเป็นครั้งแรก -
0:16 - 0:18ที่การประชุม 30 Under 30 ของนิตยสาร Forbes
-
0:18 - 0:22ซึ่งรวมหนุ่มสาวผู้เก่งกาจ 1,500 คน
ทุกคนล้วนอายุต่ำกว่า 30 -
0:23 - 0:26นั่นหมายความว่า ในปีค.ศ. 1998
-
0:26 - 0:29คนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มนี้
ตอนนั้นอายุแค่ 14 เท่านั้น -
0:29 - 0:32และคนที่เด็กที่สุด
ตอนนั้นก็อายุแค่ 4 ขวบ -
0:33 - 0:37ฉันปล่อยมุขไปว่า
พวกเขาบางคนอาจเคยได้ยินชื่อฉัน -
0:37 - 0:39จากเพลงแร็พ
-
0:39 - 0:42ใช่ ชื่อฉันอยู่ในเพลงแร็พ
-
0:42 - 0:45ตั้งเกือบ 40 เพลงเลยนะ (เสียงหัวเราะ)
-
0:47 - 0:50แต่คืนที่ฉันปล่าวปาฐกถา
มีสิ่งน่าประหลาดใจอย่างหนึ่งเกิดขึ้น -
0:50 - 0:56ฉัน ซึ่งอายุ 41
มีหนุ่ม 27 เข้ามาจีบ -
0:57 - 0:59ฉันรู้ ประหลาดใช่มั้ยล่ะ
-
1:00 - 1:03เขามีเสน่ห์ และฉันก็รู้สึกปลื้ม
-
1:03 - 1:05แต่ฉันปฏิเสธเขา
-
1:05 - 1:08คุณรู้ไหม มุขจีบสาวที่ไม่ได้ผลของเขา
คืออะไร -
1:09 - 1:12เขาบอกว่า เขาจะทำให้ฉัน
รู้สึกเหมือนสาวอายุ 22 อีกครั้ง -
1:12 - 1:17(เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ)
-
1:19 - 1:24ต่อมาในคืนนั้น ฉันจึงรู้ตัวว่า
ฉันอาจจะเป็นคนอายุเกิน 40 เพียงคนเดียว -
1:24 - 1:27ที่ไม่อยากอายุ 22 อีกครั้ง
-
1:27 - 1:29(เสียงหัวเราะ)
-
1:29 - 1:33(เสียงปรบมือ)
-
1:35 - 1:40ตอนอายุ 22
ฉันตกหลุมรักกับเจ้านายของฉัน -
1:40 - 1:43และตอนอายุ 24
-
1:43 - 1:47ฉันก็ได้เรียนรู้ผลกรรมร้ายแรงที่ตามมา
-
1:48 - 1:51ฉันขอดูมือหน่อยได้ไหม ว่ามีใครในที่นี้บ้าง
-
1:51 - 1:55ที่ตอนอายุ 22 ไม่เคยทำอะไรผิด
หรือไม่เคยทำสิ่งที่ต้องมาเสียใจภายหลัง -
1:57 - 2:00ใช่ ฉันว่าแล้ว
-
2:01 - 2:06ดังนั้น คุณคงเหมือนฉันตอนอายุ 22
บางคนอาจเลือกเส้นทางที่ผิด -
2:06 - 2:09และตกหลุมรักคนที่ไม่ควรรัก
-
2:09 - 2:11ซึ่งอาจเป็นเจ้านายของคุณเอง
-
2:12 - 2:15แต่ที่ต่างไปคือ เจ้านายของคุณ
-
2:15 - 2:19คงไม่ใช่ประธานาธิบดี
ของสหรัฐอเมริกา -
2:20 - 2:24แน่นอนล่ะ
ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องน่าประหลาดใจ -
2:24 - 2:29นับจากนั้น ไม่มีแม้สักวันเดียว
ที่ฉันไม่ถูกเตือนให้นึกถึงความผิดพลาดนั้น -
2:29 - 2:31และฉันเสียใจอย่างสุดซึ้ง
กับความผิดพลาดครั้งนั้น -
2:33 - 2:40ในปีค.ศ. 1998 หลังจากล่องลอยไปกับ
ความรักที่ไม่ควรเกิดขึ้น -
2:40 - 2:45ฉันก็ถูกเหวี่ยงเข้าสู่พายุการเมือง กฎหมาย
และสื่อมวลชนที่รุนแรง -
2:45 - 2:49อย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
-
2:49 - 2:52จำได้ไหมคะ เมื่อก่อนนี้
-
2:52 - 2:55เราบริโภคข่าวสารผ่านแค่สามช่องทาง
-
2:55 - 2:58อ่านหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร
-
2:58 - 2:59ฟังวิทยุ
-
2:59 - 3:01หรือดูโทรทัศน์
-
3:01 - 3:02แค่นั้น
-
3:02 - 3:06แต่ชะตาชีวิตฉันไม่เป็นอย่างนั้น
-
3:06 - 3:10ข่าวฉาวนี้ส่งมาถึงคุณ
-
3:10 - 3:12โดยการปฏิวัติยุคดิจิทัล
-
3:12 - 3:16นั่นหมายความว่า เราสามารถเข้าถึง
ข้อมูลทั้งหมดที่เราต้องการ -
3:16 - 3:20เมื่อเราต้องการ เมื่อไหร่ ที่ไหนก็ได้
-
3:20 - 3:25และเมื่อเรื่องของฉันถูกเปิดเผย
ในเดือนมกราคม ปีค.ศ. 1998 -
3:25 - 3:28มันถูกเปิดเผยออนไลน์
-
3:28 - 3:31เป็นครั้งแรกที่ช่องทางสื่อสารดั้งเดิม
-
3:31 - 3:35ถูกอินเทอร์เน็ตแซงหน้า
ในการเสนอข่าวสำคัญๆ -
3:35 - 3:40เป็นคลิกเดียวที่ส่งผล
สะท้อนสะเทือนไปทั่วโลก -
3:40 - 3:43สำหรับตัวฉัน สิ่งนี้มันหมายความว่า
-
3:43 - 3:48ในชั่วข้ามคืน ฉันเปลี่ยนจาก
คนที่ไม่มีใครรู้จัก มีความเป็นส่วนตัวเต็มที่ -
3:48 - 3:53เป็นคนที่ถูกเหยียดหยามโดยสาธารณชนทั่วโลก
-
3:53 - 3:58ฉันเป็นเหมือนคนไข้คนแรก
ของการเสื่อมเสียชื่อเสียงส่วนบุคคล -
3:58 - 4:02ในวงกว้างระดับโลกแทบจะฉับพลันทันที
-
4:03 - 4:06การด่วนตัดสิน
ที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวสนับสนุน -
4:06 - 4:10นำไปสู่ฝูงชนผู้ขว้างปาก้อนหินใส่ฉัน
ในโลกเสมือน -
4:10 - 4:13ถึงแม้ว่ามันจะเป็นยุคก่อนโซเชียลมีเดีย
-
4:13 - 4:17แต่ผู้คนก็สามารถแสดงความเห็นออนไลน์
-
4:17 - 4:23อีเมล์เรื่องราวหากัน และแน่นอน
อีเมล์มุขตลกที่โหดร้ายถึงกัน -
4:23 - 4:26แหล่งข่าวทั้งหลายลงรูปถ่ายของฉันไปทั่ว
-
4:26 - 4:30เพื่อขายหนังสือพิมพ์ แถบโฆษณาออนไลน์
-
4:30 - 4:32และดึงดูดให้คนเปิดดูทีวี
-
4:34 - 4:37คุณจำภาพของฉันได้ไหมคะ
-
4:37 - 4:40เช่น ภาพที่ฉันใส่หมวกแบเร่
-
4:41 - 4:44ตอนนี้ ฉันยอมรับว่าฉันทำผิดพลาดไป
-
4:44 - 4:47โดยเฉพาะการใส่หมวดแบเร่ใบนั้น
-
4:48 - 4:53แต่ความสนใจและการตัดสินที่ฉันได้รับ
-
4:53 - 4:57ผลที่เกิดกับฉัน
มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน -
4:57 - 5:00ฉันถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงมั่วโลกีย์
-
5:00 - 5:07เป็นอีตัว ผู้หญิงสำส่อน โสเภณี สาวไร้สมอง
-
5:07 - 5:09และแน่นอน เป็น "นังผู้หญิงคนนั้น"
-
5:10 - 5:13มีคนเห็นฉันมากมาย
-
5:13 - 5:17แต่มีคนรู้จักฉันจริงไม่กี่คน
-
5:17 - 5:20และฉันเข้าใจ มันง่ายที่จะลืมไปว่า
-
5:20 - 5:23ผู้หญิงคนนั้นมีตัวตน
-
5:23 - 5:27มีจิตวิญญาณ และเคยเป็นผู้เป็นคน
-
5:30 - 5:34เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นกับฉัน 17 ปีก่อน
มันยังไม่มีชื่อเรียก -
5:34 - 5:39เดี๋ยวนี้เราเรียกมันว่าการกลั่นแกล้งในโลกไซเบอร์
หรือการล่วงละเมิดออนไลน์ -
5:40 - 5:44วันนี้ ฉันอยากเล่าประสบการณ์บางส่วนของฉัน
ให้คุณฟัง -
5:44 - 5:48ว่าประสบการณ์นั้นส่งผลต่อการมอง
และทำความเข้าใจวัฒนธรรมของฉันอย่างไร -
5:48 - 5:53และฉันหวังว่าประสบการณ์ในอดีตของฉัน
จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง -
5:53 - 5:56ที่ทำให้มีคนต้องทุกข์ทรมานน้อยลง
-
5:58 - 6:03ในปีค.ศ. 1998
ฉันสูญเสียชื่อเสียงและศักดิ์ศรี -
6:03 - 6:07ฉันสูญเสียหมดแทบทุกอย่าง
-
6:07 - 6:10และเกือบสูญเสียชีวิต
-
6:13 - 6:15ฉันขอวาดภาพให้คุณเห็นอย่างนี้นะคะ
-
6:17 - 6:21ในเดือนกันยายน ปีค.ศ. 1998
-
6:21 - 6:24ฉันนั่งอยู่ในห้องทำงานที่ไม่มีหน้าต่าง
-
6:24 - 6:27ในสำนักงานอัยการอิสระ
-
6:27 - 6:31ใต้แสงไฟฟลูออเรสเซนต์
ที่ส่งเสียงฮึมๆ ตลอดเวลา -
6:31 - 6:35ฉันฟังเสียงพูดของตัวเอง
-
6:35 - 6:39เสียงของฉันที่พูดโทรศัพท์กับเพื่อน
-
6:39 - 6:42คนที่ฉันคิดว่าเป็นเพื่อน
ได้บันทึกไว้เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น -
6:42 - 6:45ฉันอยู่ตรงนั้นเพราะฉันได้รับคำสั่งศาล
-
6:45 - 6:51ให้มารับรองว่าบทสนทนา
ทั้ง 20 ชั่วโมงในเทปนั้นเป็นของจริง -
6:53 - 6:57ตลอดแปดเดือนที่ผ่านมา
เนื้อหาที่ลึกลับในเทปพวกนั้น -
6:57 - 7:01แขวนอยู่เหนือหัวฉันเหมือนดาบของเดโมคลีส
(ในนิยายเทพปกรณัมของกรีก) -
7:01 - 7:05คือ ใครจะไปจำสิ่งที่พูดไป
เมื่อหนึ่งปีที่แล้วได้ -
7:05 - 7:09ฉันฟังเทปนั้น ทั้งกลัวและทั้งอับอาย
-
7:11 - 7:16ฟังเสียงตัวเองที่บ่นเพ้อเจ้อ
เรื่องไร้สาระในแต่ละวัน -
7:16 - 7:19ฟังเสียงตัวเอง สารภาพว่า
หลงรักท่านประธานาธิบดี -
7:19 - 7:23และแน่นอน เรื่องที่ฉันอกหัก
-
7:23 - 7:28ฟังตัวเองที่บางทีก็ร้ายกาจ
หยาบคาย บางทีก็งี่เง่า -
7:28 - 7:32โหดร้าย ไม่รู้จักให้อภัย
และไร้มารยาท -
7:33 - 7:36ฟังด้วยความละอายอย่างที่สุด
-
7:36 - 7:39กับตัวตนภาคที่แย่ที่สุดของฉัน
-
7:39 - 7:42ตัวตนที่ฉันเองยังจำแทบไม่ได้
-
7:45 - 7:49ไม่กี่วันต่อมา รายงานการสอบสวนดังกล่าว
ก็ถูกส่งให้รัฐสภา -
7:49 - 7:54เทปเสียงและบทถอดเทปทั้งหมด
ถ้อยคำที่ถูกขโมยไปเหล่านั้นอยู่ในรายงานด้วย -
7:55 - 7:59การที่มีคนอ่านบทถอดเทปได้นั้น
มันก็น่ากลัวพอแล้ว -
7:59 - 8:02แต่สองสามสัปดาห์ต่อมา
-
8:02 - 8:05เทปเสียงก็ถูกนำมาออกอากาศทางทีวี
-
8:05 - 8:08และส่วนใหญ่ยังหาฟังได้ออนไลน์ด้วย
-
8:10 - 8:15การถูกทำให้อับอายขายหน้าต่อสาธารณะ
มันเจ็บปวดทรมานมาก -
8:15 - 8:19แทบทนมีชีวิตต่อไปไม่ไหว
-
8:21 - 8:26นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติในปีค.ศ. 1998
-
8:26 - 8:32หมายถึงการขโมยถ้อยคำ การกระทำ
-
8:32 - 8:34บทสนทนา หรือรูปภาพของผู้อื่น
-
8:34 - 8:37แล้วเอาไปเปิดเผยต่อสาธารณะ
-
8:37 - 8:39โดยไม่ได้รับอนุญาต
-
8:39 - 8:42โดยไม่มีการบอกบริบท
-
8:42 - 8:45โดยไร้ซึ่งเมตตา
-
8:46 - 8:49ข้ามเวลามา 12 ปี ในปีค.ศ. 2010
-
8:49 - 8:52ซึ่งมีโซเชียลมีเดียเกิดขึ้นแล้ว
-
8:53 - 8:58น่าเศร้าที่มีกรณีอย่างฉันเกิดขึ้นมากมาย
-
8:58 - 9:01ไม่ว่าใครบางคนจะได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดหรือไม่
-
9:01 - 9:07ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสาธารณะ หรือบุคคลธรรมดา
-
9:07 - 9:12ผลที่ตามมาในบางกรณีมันเลวร้าย
เลวร้ายมากๆ -
9:14 - 9:16ฉันคุยโทรศัพท์กับแม่
-
9:16 - 9:19ในเดือนกันยายน ปีค.ศ. 2010
-
9:19 - 9:21เราคุยกันเกี่ยวกับข่าว
-
9:21 - 9:24นักศึกษาหนุ่มปีหนึ่ง
ที่มหาวิทยาลัยรัทเกอร์ -
9:24 - 9:26ชื่อไทเลอร์ คลีเมนทิ
-
9:27 - 9:30ไทเลอร์ผู้อ่อนหวาน อ่อนโยน
และมีความคิดสร้างสรรค์ -
9:30 - 9:32ถูกรูมเมทแอบถ่ายเว็บแคม
-
9:32 - 9:35ขณะอยู่บนเตียงกับผู้ชายอีกคน
-
9:37 - 9:39เมื่อคนในโลกออนไลน์รู้เรื่องนี้
-
9:39 - 9:42การล้อเลียนและกลั่นแกล้งในโลกไซเบอร์
ก็เริ่มขึ้น -
9:44 - 9:46ไม่กี่วันต่อมา
-
9:46 - 9:50ไทเลอร์กระโดดจากสะพานจอร์จ วอชิงตัน
-
9:50 - 9:51สู่ความตาย
-
9:51 - 9:53เขาอายุ 18 ปี
-
9:55 - 10:00แม่ของฉันเอาเรื่องที่เกิดขึ้นกับไทเลอร์
และครอบครัวมาเปรียบกับตัวเอง -
10:00 - 10:03แม่โกรธและเจ็บปวดมาก
-
10:03 - 10:07ซึ่งฉันไม่ค่อยเข้าใจนัก
-
10:07 - 10:09แต่สุดท้ายฉันก็นึกได้ว่า
-
10:09 - 10:12แม่คงนึกถึงปีค.ศ. 1998
-
10:12 - 10:16นึกถึงตอนที่ต้องนั่งข้างเตียงฉันทุกคืน
-
10:19 - 10:25ตอนที่บังคับให้ฉันอาบน้ำ
โดยเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ -
10:25 - 10:29และตอนที่ทั้งพ่อและแม่ของฉันกลัวว่า
-
10:29 - 10:32ฉันจะถูกล้อเลียนให้อับอายขายหน้าจนตาย
-
10:32 - 10:34ไม่ได้เล่นคำ คือตายจริงๆ
-
10:36 - 10:39ทุกวันนี้ มีพ่อแม่มากมาย
-
10:39 - 10:43ที่ไม่มีโอกาสได้ก้าวเข้ามา
ช่วยเหลือคนที่เขารัก -
10:43 - 10:47หลายคนได้รู้เรื่องราวที่ลูกต้องทุกข์ทรมาน
และถูกดูถูกเหยียดหยาม -
10:47 - 10:49หลังจากที่มันสายเกินไปแล้ว
-
10:50 - 10:55ความตายอันน่าเศร้าที่ไม่ควรเกิดขึ้น
ของไทเลอร์ เป็นจุดเปลี่ยนสำหรับฉัน -
10:55 - 10:59มันทำให้ฉันเอาประสบการณ์ของตัวเอง
มาพิจารณาในบริบทใหม่ -
10:59 - 11:03ฉันเริ่มมองโลกของการดูถูกเหยียดหยาม
และการกลั่นแกล้งที่อยู่รอบตัวฉัน -
11:03 - 11:06และเห็นบางอย่างที่แตกต่างออกไป
-
11:06 - 11:12ในปีค.ศ. 1998 เราไม่มีทางรู้เลยว่า
เทคโนโลยีใหม่มาแรง -
11:12 - 11:14ที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ต
จะพาเราไปทางไหน -
11:14 - 11:18นับแต่นั้นมา มันก็เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน
อย่างที่เราไม่อาจจินตนาการได้มาก่อน -
11:18 - 11:20พาพี่น้องที่พลัดพรากมาพบกัน
-
11:20 - 11:24ช่วยชีวิตผู้คน ก่อกำเนิดการปฏิวัติ
-
11:24 - 11:29แต่ด้านมืด การกลั่นแกล้งในโลกไซเบอร์
การเหยียดหยามว่าเป็นโสเภณี อย่างที่ฉันเจอ -
11:29 - 11:32ก็ผุดขึ้นราวดอกเห็ด
-
11:33 - 11:37ทุกๆ วันในโลกออนไลน์ ผู้คน
โดยเฉพาะเด็กหนุ่มสาว -
11:37 - 11:41ที่มีพัฒนาการที่ยังไม่พร้อม
สำหรับรับมือกับเรื่องพวกนี้ -
11:41 - 11:43ถูกข่มเหงรังแกและดูถูกเหยียดหยาม
-
11:43 - 11:46จนไม่อาจจินตนาการว่า
จะมีชีวิตอยู่ถึงพรุ่งนี้ได้อย่างไร -
11:46 - 11:49และน่าเศร้าอย่างยิ่ง
ที่บางคนก็อยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้จริงๆ -
11:49 - 11:52ซึ่งผลนั้นไม่ได้เกิดในโลกเสมือนแล้ว
-
11:53 - 12:00องค์กร ChildLine ของอังกฤษ
ที่มุ่งช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาด้านต่างๆ -
12:00 - 12:03รายงานสถิติที่น่าตกใจเมื่อปีที่แล้ว
-
12:03 - 12:07ว่าจากปีค.ศ. 2012 ถึง 2013
-
12:07 - 12:10จำนวนโทรศัพท์และอีเมล์ที่เข้ามา
-
12:10 - 12:15ปรึกษาเรื่องการถูกกลั่นแกล้งในโลกไซเบอร์
เพิ่มขึ้น 87 เปอร์เซ็นต์ -
12:15 - 12:17การวิเคราะห์รวบรวมงานวิจัย
ในประเทศเนเธอร์แลนด์ -
12:17 - 12:19แสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกว่า
-
12:19 - 12:24การกลั่นแกล้งในโลกไซเบอร์
นำไปสู่การคิดฆ่าตัวตาย -
12:24 - 12:28มากกว่าการกลั่นแกล้งในโลกออฟไลน์
-
12:28 - 12:32คุณรู้ไหม สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจ
แม้ว่าจริงๆ ฉันไม่ควรตกใจแล้ว -
12:32 - 12:36ก็คือ งานวิจัยอีกงานในปีที่แล้ว
ที่พบว่า การดูถูกเหยียดหยาม -
12:36 - 12:39เป็นอารมณ์ที่คนมีความรู้สึกเข้มข้นรุนแรง
-
12:39 - 12:43กว่าความสุข หรือแม้แต่ความโกรธ
-
12:44 - 12:47ความโหดร้ายต่อผู้อื่นนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่
-
12:47 - 12:54แต่ในโลกออนไลน์ ความอับอายขายหน้า
ถูกขยายให้รุนแรงขึ้นด้วยเทคโนโลยี -
12:54 - 12:59จนไร้ขอบเขต ใครๆ ก็เข้าถึงข้อมูลได้ตลอดไป
-
12:59 - 13:05เสียงสะท้อนของความอับอายเคยจำกัดวง
อยู่เพียงแค่ในครอบครัว ในหมู่บ้าน -
13:05 - 13:07ในโรงเรียน ในชุมชนของคุณ
-
13:07 - 13:11แต่เดี๋ยวนี้ มันรวมชุมชนออนไลน์ด้วย
-
13:11 - 13:14คนนับล้านๆ ซึ่งไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ
-
13:14 - 13:18สามารถทิ่มแทงคุณด้วยคำพูดของเขา
และมันเจ็บปวดแสนสาหัส -
13:18 - 13:21และมันไม่มีขอบเขตด้วยว่า
มีคนกี่คน -
13:21 - 13:23ที่สามารถมองเห็นคุณได้อย่างเปิดเผย
-
13:23 - 13:27และจับคุณขังไว้ในคุกสาธารณะ
-
13:27 - 13:30การดูถูกเหยียดหยามโดยสาธารณชน
-
13:30 - 13:32มีราคาแสนแพงสำหรับตัวบุคคล
-
13:33 - 13:39และการเติบโตของอินเทอร์เน็ต
ก็ทำให้ราคานั้นมันพุ่งสูงลิ่ว -
13:40 - 13:42เกือบสองทศวรรษมาแล้ว
-
13:42 - 13:46ที่เราค่อยๆ หว่านเม็ดพันธุ์ของความอับอาย
และการดูถูกเหยียดหยามโดยสาธารณชน -
13:46 - 13:52ในผืนดินแห่งวัฒนธรรมของเรา
ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ -
13:52 - 13:57เว็บไซต์นินทา ปาปารัสซี่
รายการเรียลลิตี้โชว์ การเมือง -
13:57 - 14:03บรรดาช่องทางเสนอข่าวและแฮกเกอร์
ล้วนลักลอบค้าขายความอับอาย -
14:03 - 14:07มันนำไปสู่การชินชาไร้ความรู้สึก
และสิ่งแวดล้อมออนไลน์ที่ยอมให้มันเกิดขึ้น -
14:07 - 14:13ซึ่งเอื้อต่อการโพสต์ข้อความโจมตี การรุกล้ำ
ความเป็นส่วนตัว และการกลั่นแกล้งในโลกไซเบอร์ -
14:13 - 14:17การเปลี่ยนแปลงนี้ได้สร้างสิ่งที่
โปรเฟสเซอร์นิโคลัส มิลส์เรียกว่า -
14:17 - 14:21วัฒนธรรมของการดูถูกเหยียดหยาม
-
14:21 - 14:26ลองคิดถึงตัวอย่างชัดๆ สักสองสามเรื่อง
แค่ในหกเดือนที่ผ่านมา -
14:26 - 14:31สแนปแชต ซึ่งเป็นบริการที่
เด็กรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ใช้กัน -
14:31 - 14:34ได้อ้างว่าข้อความที่ส่งไปมีอายุ
-
14:34 - 14:36เพียงสองสามวินาที
-
14:36 - 14:39คุณคงจินตนาการได้ว่า
สองสามวินาทีนั้นจะมีเนื้อหาได้มากแค่ไหน -
14:39 - 14:43ปรากฏว่าแอพลิเคชั่นที่สแนปแชต
ใช้เก็บข้อความ -
14:43 - 14:46ที่ผู้ใช้ต้องการเก็บไว้ได้ถูกแฮ็ก
-
14:46 - 14:53บทสนทนา รูปภาพ และวิดีโอส่วนตัว
นับแสนชิ้น รั่วไหลสู่โลกออนไลน์ -
14:53 - 14:57และต่อไปนี้จะมีอายุเป็นนิรันดร์
-
14:57 - 15:01เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์และนักแสดงคนอื่นๆ
ถูกแฮกบัญชี iCloud -
15:01 - 15:05ภาพส่วนตัว ภาพกับคนรัก ภาพเปลือย
ถูกเอาไปเผยแพร่ทั่วอินเทอร์เน็ต -
15:05 - 15:07โดยไม่ได้รับอนุญาต
-
15:07 - 15:11เว็บไซต์นินทาดาราแห่งหนึ่ง
มีคนกดเข้ามาชมมากกว่าห้าล้านครั้ง -
15:11 - 15:14ต่อข่าวนินทาดาราหนึ่งเรื่อง
-
15:15 - 15:19แล้วการแฮกข้อมูลของบริษัท
โซนี่ พิคเจอร์ล่ะ -
15:19 - 15:22เอกสารที่ได้รับความสนใจมากที่สุด
-
15:22 - 15:28ก็คืออีเมล์ส่วนตัวที่มีคุณค่า
ในการสร้างความอับอายต่อสาธารณชนมากที่สุด -
15:28 - 15:31แต่ในวัฒนธรรมของการดูถูกเหยียดหยาม
-
15:31 - 15:35ยังมีป้ายราคาอีกแบบหนึ่ง
ที่ติดอยู่กับการทำให้อับอายต่อหน้าสาธารณชน -
15:36 - 15:39ราคาที่ไม่ได้วัดจากต้นทุนของเหยื่อ
-
15:39 - 15:41เช่นที่ไทเลอร์และคนอื่นๆ อีกมากมาย
-
15:41 - 15:43ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ชนกลุ่มน้อย
-
15:43 - 15:47และชาวรักร่วมเพศต้องจ่ายหรือสูญเสียไป
-
15:47 - 15:52แต่เป็นราคาที่วัดจากกำไร
ของคนที่ใช้คนพวกนี้เป็นเหยื่อ -
15:53 - 15:57การรุกล้ำข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่น
ซึ่งเป็นวัตถุดิบ -
15:57 - 16:03ถูกรวบรวม จัดบรรจุ และขายเพื่อกำไร
อย่างมีประสิทธิภาพและเลือดเย็น -
16:03 - 16:09เกิดตลาดที่มีการดูถูกเหยียดหยาม
ต่อหน้าสาธารณชนเป็นสินค้า -
16:09 - 16:12และความอับอายเป็นอุตสาหกรรม
-
16:12 - 16:16แล้วมันทำเงินได้อย่างไร
-
16:16 - 16:18การคลิกไงคะ
-
16:18 - 16:20ยิ่งน่าอับอาย ก็ยิ่งมีคนคลิกเข้าไปดู
-
16:20 - 16:24ยิ่งมีคนคลิกมาก ก็ยิ่งได้ค่าโฆษณามาก
-
16:25 - 16:28เราอยู่ในวงจรอันตราย
-
16:28 - 16:31ยิ่งเราคลิกเข้าไปอ่านข่าวนินทาพวกนี้
-
16:31 - 16:34เรายิ่งชินชา ไร้ความรู้สึกต่อมนุษย์
ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวนั้น -
16:34 - 16:40และยิ่งเราชินชา เราก็ยิ่งคลิกเข้าไปดู
-
16:40 - 16:43ตลอดเวลาเหล่านั้น
ก็มีใครบางคนทำเงิน -
16:43 - 16:46จากความทุกข์ทรมานของคนอื่น
-
16:47 - 16:50ทุกๆ ครั้งที่เราคลิก เราได้ตัดสินใจเลือก
-
16:50 - 16:53ยิ่งเราทำให้วัฒนธรรมของเราเต็มไปด้วย
การทำให้อับอายต่อหน้าสาธารณชน -
16:53 - 16:55มันก็ยิ่งเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
-
16:55 - 16:58เราก็จะยิ่งเห็นพฤติกรรม
การกลั่นแกล้งในโลกไซเบอร์ -
16:58 - 17:01การโพสต์โจมตี ส่อเสียด การแฮกข้อมูลต่างๆ
-
17:01 - 17:04และการล่วงละเมิดออนไลน์
-
17:04 - 17:11ทำไมน่ะหรือ เพราะมันมีการดูถูดเหยียดหยาม
เป็นแกนกลางเหมือนกัน -
17:11 - 17:16พฤติกรรมเหล่านี้เป็นอาการของ
วัฒนธรรมที่เราสร้างขึ้นมา -
17:16 - 17:18ลองคิดดูสิคะ
-
17:19 - 17:23การเปลี่ยนพฤติกรรม
เริ่มจากการเปลี่ยนความเชื่อ -
17:23 - 17:26เราเห็นหลักฐานมาแล้วจากประเด็น
การเหยียดเชื้อชาติและคนรักร่วมเพศ -
17:26 - 17:30และอคติอื่นๆ อีกมากมาย
ทั้งในวันนี้และในอดีต -
17:31 - 17:34เมื่อเราเปลี่ยนความเชื่อเกี่ยวกับ
การแต่งงานของคนเพศเดียวกัน -
17:34 - 17:38คนจำนวนมากขึ้นได้รับเสรีภาพที่เท่าเทียม
-
17:38 - 17:41เมื่อเราเริ่มให้คุณค่ากับความยั่งยืน
-
17:41 - 17:44ก็มีคนเริ่มรีไซเคิลมากขึ้น
-
17:44 - 17:47สำหรับวัฒนธรรมการดูถูกเหยียดหยาม
-
17:47 - 17:51สิ่งที่เราต้องการคือการปฏิวัติวัฒนธรรม
-
17:51 - 17:55การทำให้อับอายต่อหน้าสาธารณชน
ในฐานะกีฬาที่โหดร้ายต้องยุติลง -
17:55 - 17:59ถึงเวลาแล้วที่ต้องทำอะไรสักอย่าง
เพื่อเปลี่ยนโลกอินเทอร์เน็ตและวัฒนธรรม -
17:59 - 18:03การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากอะไรบางอย่าง
ที่เรียบง่าย แต่ทำได้ไม่ง่าย -
18:04 - 18:11เราต้องย้อนกลับไปสู่ค่านิยมเรื่อง
ความเมตตา และการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น -
18:11 - 18:14ในโลกออนไลน์ เราขาดแคลนเมตตา
-
18:14 - 18:16และเกิดวิกฤตความเห็นอกเห็นใจ
-
18:17 - 18:21นักวิจัยชื่อเบรเน่ บราวน์กล่าวไว้ว่า
-
18:21 - 18:25"ความอับอายไม่อาจรอดพ้น
ความเห็นอกเห็นใจไปได้" -
18:25 - 18:29ความอับอายไม่อาจรอดพ้น
ความเห็นอกเห็นใจไปได้ -
18:31 - 18:34ฉันเคยเจอวันที่มืดมนสุดๆ ในชีวิต
-
18:34 - 18:40แต่ความเมตตาและเห็นอกเห็นใจจากครอบครัว
เพื่อน มืออาชีพที่ให้คำปรึกษาฉัน -
18:40 - 18:44และบางที แม้แต่คนแปลกหน้า
ได้ช่วยฉันไว้ -
18:46 - 18:49ความเห็นอกเห็นใจ แม้จากคนเพียงคนเดียว
ก็สร้างความแตกต่างได้ -
18:50 - 18:53ทฤษฎีอิทธิพลของเสียงส่วนน้อย
-
18:53 - 18:56เสนอโดยนักจิตวิทยาสังคม
ชื่อเซอร์เก้ มอสโควิชี -
18:56 - 18:59กล่าวว่า แม้จะมีจำนวนน้อย
-
18:59 - 19:01แต่ถ้ายืนหยัดคงเส้นคงวาอย่างต่อเนื่อง
-
19:01 - 19:04ความเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นได้
-
19:04 - 19:07ในโลกออนไลน์
เราช่วยบ่มเพาะอิทธิพลของเสียงส่วนน้อย -
19:07 - 19:09และเป็นผู้ที่ลุกยืนขึ้นสู้
-
19:09 - 19:13การเป็นผู้ลุกยืนขึ้นสู้ คือ
แทนที่จะยืนมองดูอย่างไม่รู้สึกรู้สม -
19:13 - 19:18เราสามารถโพสต์ความเห็นเชิงบวกให้ใครสักคน
หรือรายงานเมื่อพบการกลั่นแกล้งในโลกไซเบอร์ -
19:18 - 19:23เชื่อฉันเถอะค่ะ ความเห็นที่มีเมตตา
ช่วยลดภาวะทางลบได้ -
19:23 - 19:27เรายังสามารถต่อต้านวัฒนธรรมนี้ได้
โดยสนับสนุนองค์กร -
19:27 - 19:29ที่ช่วยจัดการกับปัญหาพวกนี้
-
19:29 - 19:32เช่น มูลนิธิไทเลอร์ คลีเมนทิ
ในสหรัฐอเมริกา -
19:32 - 19:35ในอังกฤษก็มีองค์กร Anti-Bullying Pro
-
19:35 - 19:39และในออสเตรเลียก็มี Project Rockit
-
19:40 - 19:46เราพูดกันมามากแล้ว
เรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก -
19:46 - 19:48เราควรจะต้องพูดกันมากขึ้น
-
19:48 - 19:52เรื่องความรับผิดชอบที่เรามี
ต่อเสรีภาพในการแสดงออก -
19:52 - 19:54เราล้วนต้องการให้คนอื่นฟังเรา
-
19:54 - 19:59แต่เรามาแยกแยะระหว่าง
การพูดที่มีเจตนาดี -
19:59 - 20:02กับการพูดเพื่อเรียกร้องความสนใจกันเถอะค่ะ
-
20:04 - 20:07อินเทอร์เน็ตนั้นเป็นทางด่วนของอัตตา
-
20:07 - 20:10แต่ในโลกออนไลน์
การแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น -
20:10 - 20:16มีประโยชน์ต่อพวกเราทุกคน
และช่วยสร้างโลกที่ดีและปลอดภัยกว่า -
20:16 - 20:19เราต้องสื่อสารกันในโลกออนไลน์ด้วยเมตตา
-
20:19 - 20:22บริโภคข่าวสารด้วยเมตตา
-
20:22 - 20:24และคลิกไปยังเว็บต่างๆ ด้วยเมตตา
-
20:24 - 20:29ลองจินตนาการว่าข่าวนั้นเป็นเรื่องของคุณ
แล้วคุณต้องเดินออกไปไหนสักหนึ่งไมล์ -
20:31 - 20:34ฉันอยากปิดท้ายด้วยความเห็นส่วนตัวข้อหนึ่ง
-
20:36 - 20:38ในเก้าเดือนที่ผ่านมา
-
20:38 - 20:41คำถามที่มีคนถามฉันมากที่สุดคือ ทำไม
-
20:41 - 20:45ทำไมออกมาพูดตอนนี้
ทำไมจึงโผล่หัวออกมาเหนือกำแพง -
20:45 - 20:48คุณคงฟังออกว่าคำถามนี้มีความหมายแฝงยังไง
-
20:48 - 20:52แต่คำตอบของฉันไม่มีอะไรเกี่ยวกับการเมือง
-
20:52 - 20:57คำตอบของฉันคือ มันถึงเวลาแล้ว
-
20:57 - 21:00ถึงเวลาที่จะหยุดหลบเลี่ยงอดีตของตัวเอง
-
21:00 - 21:03ถึงเวลาที่จะหยุดใช้ชีวิต
อย่างคนที่เต็มไปด้วยความอัปยศ -
21:03 - 21:06ถึงเวลาที่จะกู้เรื่องราวชีวิตของฉันกลับคืนมา
-
21:06 - 21:11มันไม่ใช่แค่เพื่อปกป้องตัวฉันเอง
-
21:11 - 21:15ใครก็ตามที่กำลังทุกข์ทรมานจากความอับอาย
และการดูถูกเหยียดหยามต่อหน้าสาธารณชน -
21:15 - 21:17ขอให้รู้ไว้อย่างหนึ่งว่า
-
21:17 - 21:20คุณผ่านมันไปได้
-
21:20 - 21:23ฉันรู้ว่ามันยาก
-
21:23 - 21:26มันคงไม่ไร้ซึ่งความเจ็บปวด
รวดเร็ว หรือง่ายดาย -
21:26 - 21:31แต่คุณยืนยันที่จะเขียนตอนจบ
ของเรื่องราวชีวิตตัวเองได้ -
21:31 - 21:35ขอให้มีเมตตาต่อตัวเอง
-
21:35 - 21:38เราทุกคนคู่ควรที่จะได้รับเมตตา
-
21:38 - 21:44และใช้ชีวิตทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ในโลกที่มีเมตตามากขึ้น -
21:44 - 21:46ขอบคุณที่รับฟังค่ะ
-
21:46 - 21:57(เสียงปรบมือ)
- Title:
- ราคาของความอับอาย
- Speaker:
- โมนิกา ลูวินสกี้ (Monica Lewinsky)
- Description:
-
โมนิกา ลูวินสกี้กล่าวว่า ในปีค.ศ. 1998 "ฉันเป็นเหมือนคนไข้คนแรกของการเสื่อมเสียชื่อเสียงส่วนบุคคลในวงกว้างระดับโลกแทบจะฉับพลันทันที" วันนี้ การทำให้อับอายต่อหน้าสาธารณชนแบบออนไลน์ที่เธอเคยผ่านมา ได้กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ในปาฐกถาที่กล้าหาญนี้ เธอพิจารณา "วัฒนธรรมของการดูถูกเหยียดหยาม" ที่ความอับอายมีค่าเป็นเงิน และเธอได้เสนอแนวทางที่แตกต่างเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 22:26
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for The price of shame | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut accepted Thai subtitles for The price of shame | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The price of shame | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The price of shame | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The price of shame | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The price of shame | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The price of shame | ||
Thipnapa Huansuriya edited Thai subtitles for The price of shame |