ทอมัส อินเซล (Thomas Insel): สู่ความเข้าใจแบบใหม่เรื่องของการป่วยทางจิต
-
0:01 - 0:03เอาละ เรามาเริ่มต้นด้วยข่าวดีนะครับ
-
0:03 - 0:06และข่าวดีนั้นก็เกี่ยวกับว่า เรารู้อะไรบ้าง
-
0:06 - 0:08จากงานวิจัยด้านชีวแพทย์ (biomedical research)
-
0:08 - 0:12ซึ่งจริงๆได้เปลี่ยนผลลัพธ์
-
0:12 - 0:15ของโรคที่ร้ายแรงมากๆหลายๆโรค
-
0:15 - 0:17เรามาเริ่มกันที่โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia)
-
0:17 - 0:19มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟบลาสติก (lymphoblastic) หรือ เอแอลแอล (ALL)
-
0:19 - 0:22ซึ่งเป็นมะเร็งที่ปกติเกิดในเด็กมากที่สุด
-
0:22 - 0:24เมื่อตอนที่ผมเป็นนักศึกษา
-
0:24 - 0:28อัตราการตายราวร้อยละ 95
-
0:28 - 0:31ในวันนี้ ประมาณ 25, 30 ปีต่อมา เรากำลังพูดถึง
-
0:31 - 0:34อัตราการตายที่ลดลงมาเกือบร้อยละ 85
-
0:34 - 0:37เด็กหกพันคนต่อปี
-
0:37 - 0:41ซึ่งแต่ก่อนนี้จะต้องตายจากโรคนี้
ได้รับการรักษาจนหาย -
0:41 - 0:43ถ้าคุณต้องการตัวเลขที่มากๆจริงๆ
-
0:43 - 0:46ก็ไปดูที่ตัวเลขของโรคหัวใจ
-
0:46 - 0:48โรคหัวใจเคยเป็นฆาตกรที่ใหญ่ยิ่งที่สุด
-
0:48 - 0:49โดยเฉพาะกับผู้ชายช่วงอายุสี่สิบถึงห้าสิบปี
-
0:49 - 0:53ในวันนี้ เราได้เห็นการลดลงร้อยละ 63 ของอัตราการตาย
-
0:53 - 0:55จากโรคหัวใจ--
-
0:55 - 1:00น่าทึ่งนะครับ ทุกๆปีจำนวน 1.1 ล้านของการเสียชีวิต
ถูกเบี่ยงเบนออกไป -
1:00 - 1:02โรคเอดส์ ก็น่าทึ่ง เพิ่งจะถูกนิยามใหม่
-
1:02 - 1:05ในเดือนที่แล้วว่าเป็น โรคเรื้อรัง (chronic disease)
-
1:05 - 1:08ซึ่งหมายความว่า คนที่อายุ 20 ที่ติดเชื้อ HIV
-
1:08 - 1:12จะไม่ถูกคาดหมายว่า จะมีชีวิตอยู่แค่เป็นสัปดาห์,
เป็นเดือน หรือเป็นแค่สองปี -
1:12 - 1:14ตามที่เราเคยพูดกัน ในแค่เพียงสิบปีที่ผ่านมานี่เอง
-
1:14 - 1:16แต่เข้าใจได้ว่า จะมีชีวิตอยู่อีกหลายสิบปี
-
1:16 - 1:21บางที่อาจจะเสียชีวิตในช่วงอายุ 60 หรือ 70 ปี
จากสาเหตุอื่นก็ได้ -
1:21 - 1:24สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เพียงการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง น่าทึ่ง
-
1:24 - 1:26ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับโรคบางโรคที่คร่าชีวิตคนไปมากที่สุด -
1:26 - 1:28และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหนึ่ง
-
1:28 - 1:30ที่บางทีคุณอาจจะไม่ทราบก็ได้ ก็คือ
โรคสมองขาดเลือด (stroke) -
1:30 - 1:32ซึ่งเคยเป็นโรค ที่เหมือนกับโรคหัวใจ
-
1:32 - 1:34คือเป็นโรคหนึ่งที่ได้คร่าชีวิตคนไป
มากที่สุดในประเทศนี้ -
1:34 - 1:36เป็นโรคที่ในปัจจุบันเรารู้ว่า
-
1:36 - 1:39ถ้าคุณสามารถพาคนไข้มาที่ห้องฉุกเฉินได้
-
1:39 - 1:41ภายในสามชั่วโมงเมื่อเริ่มเกิดอาการแล้ว
-
1:41 - 1:44ประมาณร้อยละ 30 ของพวกเขา
ก็จะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ -
1:44 - 1:47โดยไม่เกิดอาการทุพพลภาพอย่างใดเลย
-
1:47 - 1:49นี่เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่ง
-
1:49 - 1:51เรื่องราวของข่าวดี
-
1:51 - 1:54ซึ่งทุกเรื่องสรุปลงที่ ความรู้ความเข้าใจ
-
1:54 - 1:58บางอย่างเกี่ยวกับโรคนั้น ที่ได้ทำให้เรา
-
1:58 - 2:01สามารถตรวจพบได้แต่ต้นๆ
และเข้าไปแทรกแซงเสียแต่เนิ่นๆ -
2:01 - 2:03การตรวจพบตั้งแต่ต้น การเข้าไปแทรกแซงแต่เนิ่นๆ
-
2:03 - 2:06นั่นเป็นเรื่องราวของความสำเร็จเหล่านี้
-
2:06 - 2:09แต่โชคร้าย ข่าวนั้นไม่ดีเสียทั้งหมด
-
2:09 - 2:11เราจะมาคุยกันถึงเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่ง
-
2:11 - 2:13ซึ่งเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
-
2:13 - 2:16เอาละสิ่งนี้ แน่นอน โดยตัวของมันเอง ไม่ใช่โรค
-
2:16 - 2:19มันเป็นเงื่อนไข หรือ มันเป็นสถานการณ์
-
2:19 - 2:20ที่นำไปสู่การเสียชีวิต
-
2:20 - 2:23แต่สิ่งที่คุณอาจจะไม่ได้ตระหนักถึง ก็คือ
มันมีอยู่มากมายแค่ไหน -
2:23 - 2:28มีการฆ่าตัวตาย 38,000 รายต่อปี ในสหรัฐอเมริกา
-
2:28 - 2:30นั่นก็หมายความว่า ประมาณทุกๆ 15 นาที
-
2:30 - 2:33การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุของการตาย
สูงที่สุดเป็นอันดับสาม ในหมู่ประชากร -
2:33 - 2:36ระหว่างอายุ 15 ถึง 25 ปี
-
2:36 - 2:38มันเป็นเรื่องราวที่พิเศษ เมื่อคุณตระหนัก
-
2:38 - 2:41ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา
เกิดขึ้นเป็นสองเท่าของการฆาตกรรม -
2:41 - 2:43และจริงๆแล้ว สิ่งที่ธรรมดายิ่งกว่า คือสาเหตุการตาย
-
2:43 - 2:47จากการเสียชีวิตทางการจราจรในประเทศนี้
-
2:47 - 2:49เอาล่ะ เมื่อเราคุยกันถึงเรื่องการฆ่าตัวตาย
-
2:49 - 2:53การฆ่าตัวตาย ยังประกอบด้วยสาเหตุทางการแพทย์ด้วย
-
2:53 - 2:55เพราะว่า ร้อยละ 90 ของการฆ่าตัวตาย
-
2:55 - 2:57เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยทางจิต
-
2:57 - 3:00เช่น โรคซึมเศร้า โรคอารมณ์สองขั้ว (bipolar disorder)
หรือ โรคจิตเภท (schizophrenia) -
3:00 - 3:03โรค anorexia, โรคจิตแบบ borderline personality
ยังมีรายชื่ออีกยาว -
3:03 - 3:05อาการผิดปกติทางจิต ที่มีส่วนทำให้คนฆ่าตัวตาย
-
3:05 - 3:09และตามที่ผมได้กล่าวมาแล้ว
มักจะเกิดขึ้นในช่วงต้นๆของชิวิต -
3:09 - 3:12แต่ไม่ใช่แค่การเสียชีวิต
จากอาการผิดปกติเหล่านี้เท่านั้น -
3:12 - 3:14มันคือ การเป็นโรคด้วย
-
3:14 - 3:16ถ้าคุณดูที่ความพิการ
-
3:16 - 3:18ซึ่งตรวจวัดโดยองค์การอนามัยโลก
-
3:18 - 3:22โดยใช้สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ปีสุขภาวะที่ปรับด้วยความพิการ
(Disability Adjusted Life Years) -
3:22 - 3:24ซึ่งคล้ายๆกับระบบเมตริกหนึ่ง ที่ไม่มีใครคิดถึง
-
3:24 - 3:25ยกเว้นนักเศรษฐศาสตร์
-
3:25 - 3:29ยกเว้นว่า มันเป็นวิธีการหนึ่งของความพยายาม
ที่จะวัดความสูญเสียอย่างจับต้องได้ -
3:29 - 3:32ทั้งที่เกี่ยวกับความพิการ และจากโรคต่างๆ
-
3:32 - 3:35และคุณจะเห็นได้ว่า เกือบร้อยละ 30
-
3:35 - 3:37ของความพิการ จากจำนวนสาเหตุทางการแพทย์ทั้งหมด
-
3:37 - 3:39มาจากความผิดปกติทางจิต
-
3:39 - 3:42หรือกลุ่มอาการประสาทจิต (neuropsychiatric syndrome)
-
3:42 - 3:44คุณอาจจะกำลังคิดว่า มันไม่สมเหตุสมผล
-
3:44 - 3:47ผมหมายความว่า โรคมะเร็งดูจะรุนแรงมากกว่ามาก
-
3:47 - 3:50โรคหัวใจก็ดูจะยิ่งรุนแรงมากกว่า
-
3:50 - 3:53แต่คุณก็จะเห็นได้ว่า จริงๆแล้วพวกมันอยู่ระดับต่ำกว่า
-
3:53 - 3:55และ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า
เรากำลังพูดถึงเรื่องความพิการ -
3:55 - 3:58อะไรผลักดันให้เกิดความพิการ
และความผิดปกติเหล่านี้ -
3:58 - 4:02ตัวอย่างเช่น โรคจิตเภท และ โรคอารมณ์สองขั้ว
และโรคซึมเศร้า -
4:02 - 4:05ทำไมโรคพวกนี้จึงจัดเป็นอันดับหนึ่งของสาเหตุการเสียชีวิต
-
4:05 - 4:06เอาละ น่าจะมีสามสาเหตุ
-
4:06 - 4:08สาเหตุที่หนึ่งก็คือ โรคพวกนี้มีอยู่ทั่วไปในระดับสูง
-
4:08 - 4:11ประมาณหนึ่งในห้าคน จะมีอาการใดอาการหนึ่ง
ของความผิดปกติเหล่านี้ -
4:11 - 4:14ในช่วงชีวิตของพวกเขา
-
4:14 - 4:16ประการที่สอง แน่นอน คือ สำหรับคนบางคน
-
4:16 - 4:18อาการพวกนี้เป็นความพิการโดยแท้จริง
-
4:18 - 4:21และมันเป็นประมาณร้อยละ สี่ถึงห้า
บางทีอาจเป็นหนึ่งใน 20 ก็ได้ -
4:21 - 4:25แต่ตัวผลักดันแท้จริงให้เกิดตัวเลขนี้
หรือการเป็นโรคนี้ในระดับที่สูง -
4:25 - 4:28ก็มีโอกาสที่จะนำไปสู่การเสียชีวิตในจำนวนที่สูงเช่นกัน
-
4:28 - 4:32ข้อเท็จจริงที่ว่า
โรคพวกนี้จะเริ่มตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิต -
4:32 - 4:35ร้อยละห้าสิบจะเริ่มเป็น ตอนประมาณก่อนอายุ 14 ปี
-
4:35 - 4:38ร้อยละ 75 ก่อนอายุ 24 ปี
-
4:38 - 4:41เป็นภาพที่ต่างไปจากสิ่งที่เราอาจจะเห็น อย่างมาก
-
4:41 - 4:44ถ้าคุณกำลังพูดถึงโรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ
-
4:44 - 4:47เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง-- โรคสำคัญๆทั้งหลายส่วนมาก
-
4:47 - 4:51ที่เราคิดว่าเป็นที่มาของการเกิดโรค
และการเสียชีวิต -
4:51 - 4:57แท้จริง โรคเหล่านี้เป็นความผิดปกติที่เรื้อรัง
ของคนหนุ่มสาว -
4:57 - 5:00เอาละ ผมเริ่มต้นด้วยการบอกคุณว่า
มีเรื่องราวที่เป็นข่าวดีอยู่บ้าง -
5:00 - 5:02เห็นได้ชัดว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ส่วนหนึ่ง
ของสาเหตุการเสียชีวิตเหล่านั้น -
5:02 - 5:05เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่ง
ซึ่งบางทีอาจจะยากที่สุด -
5:05 - 5:07และตามหลักแล้ว
สำหรับผมเป็นการสารภาพผิดแบบหนึ่ง -
5:07 - 5:13งานของผมก็คือ ทำให้แน่ใจจริงๆได้ว่า
เราได้ก้าวหน้าไป -
5:13 - 5:15ในเรื่องของความผิดปกติเหล่านี้ทั้งหมด
-
5:15 - 5:17ผมทำงานให้กับรัฐบาลกลาง
-
5:17 - 5:19จริงๆแล้ว ผมทำงานให้คุณ คุณจ่ายเงินเดือนให้ผม
-
5:19 - 5:21และบางที ณ จุดนี้ เมื่อคุณทราบว่าผมทำอะไรบ้าง
-
5:21 - 5:23หรือบางทีอาจทราบว่า ผมทำอะไรล้มเหลวไป
-
5:23 - 5:25คุณอาจจะคิดว่า บางทีผมควรจะถูกไล่ออก
-
5:25 - 5:28และแน่นอน ผมก็เข้าใจ
-
5:28 - 5:30แต่สิ่งที่ผมต้องการจะเสนอแนะ
และสาเหตุที่ผมมาที่นี่ -
5:30 - 5:33ก็คือ มาบอกคุณว่า ผมคิดว่าเราเกือบจะอยู่กัน
-
5:33 - 5:38คนละโลก เมื่อเราคิดถึงเรื่องการเจ็บป่วยเหล่านี้
-
5:38 - 5:41สิ่งที่ผมกำลังพูดกับคุณจนถึงขณะนี้ ก็คือ
ความผิดปกติทางจิต -
5:41 - 5:43หรือโรคของจิตใจ
-
5:43 - 5:46จริงๆแล้ว ในปัจจุบัน กำลังกลายเป็น
คำศัพท์ที่ค่อนข้างจะไม่เป็นที่นิยมนัก -
5:46 - 5:48และผู้คนจะรู้สึกว่า จะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
-
5:48 - 5:52ในทางการเมืองแล้วจะดีกว่า
ที่จะใช้คำว่า การผิดปกติทางพฤติกรรม -
5:52 - 5:56และที่จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้ว่า
เป็นการผิดปกติของพฤติกรรม -
5:56 - 5:58ก็ยุติธรรมดีนะครับ มันเป็นการผิดปกติของพฤติกรรม
-
5:58 - 6:00และมันเป็นการผิดปกติของจิต
-
6:00 - 6:02แต่สิ่งที่ผมอยากจะเสนอแนะกับท่าน
-
6:02 - 6:04ก็คือ คำทั้งสองนั้น
-
6:04 - 6:07ซึ่งถูกนำมาใช้กันอยู่ หนึ่งศตวรรษหรือมากกว่าแล้ว
-
6:07 - 6:10จริงๆแล้วในปัจจุบัน เป็นอุปสรรคของความก้าวหน้า
-
6:10 - 6:14และสิ่งที่เราต้องการในเชิงแนวความคิด
ที่จะทำให้เกิดความก้าวหน้าตรงนี้ -
6:14 - 6:19ก็คือ คิดเสียใหม่ในเรื่องความผิดปกติเหล่านี้
ว่าเป็นความผิดปกติของสมอง -
6:19 - 6:21ทีนี้ สำหรับพวกคุณบางคน คุณก็จะพูดว่า
-
6:21 - 6:23"โอ้ อะไรกันเนี้ย เอาอีกแล้ว
-
6:23 - 6:26เรากำลังจะได้ฟัง เรื่องความไม่สมดุลทางชีวเคมี
-
6:26 - 6:28หรือ เรากำลังจะได้ฟังเรื่องยาเสพติด
-
6:28 - 6:33หรือเรากำลังจะได้ฟัง เรื่องแนวคิดที่ง่ายมากๆบางอย่าง
-
6:33 - 6:36ซึ่งจะใช้ประสบการณ์ความคิดส่วนตัวของเรา
-
6:36 - 6:42และเปลี่ยนมันไปเป็นโมเลกุล หรือไม่ก็เปลี่ยนมันไปเป็น
-
6:42 - 6:45ความเข้าใจเชิงมาตรวัดมิติเดียวแบบราบเรียบ
-
6:45 - 6:49ในเรื่องของโรคซึมเศร้า หรือโรคจิตเภท ว่าเป็นอย่างไร
-
6:49 - 6:53เมื่อเราพูดเรื่องเกี่ยวกับสมอง มันจะเป็นอะไรก็ได้
-
6:53 - 6:57แต่ไม่ใช่มาตรวัดมิติเดียว หรือ เรื่องง่ายๆ
หรือ การอธิบายส่วนย่อยๆของสิ่งที่ซับซ้อน -
6:57 - 7:00แน่นอนว่า มันขึ้นอยู่กับว่า ระดับไหน
-
7:00 - 7:02หรือขนาดไหน ที่คุณต้องการจะคิดถึง
-
7:02 - 7:08แต่นี่เป็นอวัยวะที่ซับซ้อนเกินกว่าจะนึกฝันถึง
-
7:08 - 7:12และเราเพียงกำลังเริ่มที่จะเข้าใจ
-
7:12 - 7:14แม้กระทั่งศึกษามันอย่างไร
หรือไม่ว่าคุณจะกำลังคิดถึง -
7:14 - 7:16เซลล์ประสาท 100 พันล้านตัว ที่อยู่ในเยื่อหุ้มสมอง
-
7:16 - 7:19หรือ ช่องระหว่างเซลล์ประสาท (synapses) 100 พันพันล้านตัว
-
7:19 - 7:21ที่ทำให้เกิดการเชื่อมต่อกันทั้งหมดนั้น
-
7:21 - 7:25เราเพียงแค่เริ่มที่จะพยายามคิดให้ออกว่า
-
7:25 - 7:28เราจะเอาเครื่องจักรกลที่ซับซ้อนมากเหลือเกินนี้
-
7:28 - 7:31ซึ่งกระทำการประมวลข้อมูลแบบที่พิเศษยิ่ง
-
7:31 - 7:34และใช้ความนึกคิดของเราเอง เพื่อทำความเข้าใจกับ
-
7:34 - 7:37สมองที่ซับซ้อนอย่างยิ่งนี้
ซึ่งสนับสนุนคํ้าจุนความนึกคิดของเราเอง -
7:37 - 7:40จริงๆแล้ว มันเป็นกลวิธีแบบหนึ่งของวิวัฒนาการ
-
7:40 - 7:43เป็นความจริงที่ว่า เราไม่มีสมอง
-
7:43 - 7:46ที่ถูกเชื่อมต่อไว้อย่างดีพอ
ที่จะเข้าใจตัวของมันเองได้ -
7:46 - 7:49ตามหลักแล้ว ตามความเป็นจริง
มันทำให้คุณรู้สึกว่า -
7:49 - 7:51เมื่อคุณอยู่ในพื้นที่ๆปลอดภัยของการศึกษา
พฤติกรรม หรือความรู้ความเข้าใจ -
7:51 - 7:53หรือบางสิ่งที่คุณสามารถสังเกตเห็นได้
-
7:53 - 7:56ซึ่ง อย่างไรก็ตาม รู้สึกได้ว่า ง่ายกว่า
และอธิบายโดยแยกส่วนได้ดีกว่า -
7:56 - 8:01ความพยายามที่จะเข้าไปสู้รบปรบมือ
กับอวัยวะที่ลึกลับและซับซ้อนอย่างยิ่งนี้ -
8:01 - 8:03ที่เรากำลังเริ่มที่จะพยายามเข้าใจมัน
-
8:03 - 8:07เอาละ อยู่ในกรณีความผิดปกติของสมองแล้วนี้
-
8:07 - 8:09นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังพยายามบอกกับพวกคุณ
-
8:09 - 8:11การซึมเศร้า, ความผิดปกติที่ครอบงำและบีบบังคับ
-
8:11 - 8:13ความผิดปกติจากความตึงเครียดหลังการบอบชํ้า
-
8:13 - 8:16ในขณะที่เรายังไม่มีความเข้าใจที่ลึกลงไป
-
8:16 - 8:20ว่ามันผ่านกระบวนการอย่างผิดปกติอย่างไร
-
8:20 - 8:22ว่า สมองกำลังทำอะไรอยู่ ในการเจ็บป่วยเหล่านี้
-
8:22 - 8:25แต่เราก็สามารถระบุได้เรียบร้อยแล้ว
-
8:25 - 8:27เรื่องความแตกต่างของการเชื่อมต่อบางอย่าง
หรือ วิธีการบางอย่าง -
8:27 - 8:30ซึ่งทำให้บางสิ่งที่คล้ายกับวงจรไฟฟ้านั้นแตกต่างไป
-
8:30 - 8:32ในคนที่มีความผิดปกติเหล่านี้
-
8:32 - 8:34เราเรียกสิ่งนี้ว่า คอนเน็กโทมของมนุษย์ (human connectome)
-
8:34 - 8:36คุณสามารถคิดถึงคอนเน็กโทมได้ว่า
-
8:36 - 8:38คล้ายกับแผนภาพของการวางระบบสายไฟของสมอง
-
8:38 - 8:40ในอีกสองสามนาทีต่อไปนี้
คุณจะได้ยินเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น -
8:40 - 8:43ชิ้นส่วนที่สำคัญตรงนี้ก็คือ ในเมื่อคุณเริ่มมองดู
-
8:43 - 8:47คนทีมีความผิดปกติเหล่านี้
ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าคนในพวกเรา -
8:47 - 8:49ซึ่งต่อสู้ดิ้นรนอย่างใดอย่างหนึ่งกับโรคนี้อยู่
-
8:49 - 8:51คุณจะพบว่ามีการผันแปรมากมาย
-
8:51 - 8:54ในวิธีการที่สมองถูกวางระบบสายไฟไว้
-
8:54 - 8:57แต่มีบางรูปแบบที่สามารถคาดเดาได้
และรูปแบบเหล่านั้น -
8:57 - 9:01เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่พัฒนาให้เกิด
ความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งเหล่านี้ขึ้น -
9:01 - 9:04มันต่างกันมากกว่าเล็กน้อยกับวิธีการที่เราคิด
เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง -
9:04 - 9:06ของโรคเช่น โรคฮันติงตัน หรือโรคพาร์กินสัน
หรือโรคอัลไซเมอร์ -
9:06 - 9:09ซึ่งคุณมีส่วนของเยื่อสมองที่ถูกระเบิดทำลายไป
-
9:09 - 9:12แต่ตรงนี้เรากำลังพูดถึง การจราจรที่ติดขัด
หรือบางที การไปทางอ้อม -
9:12 - 9:15หรือบางที เป็นปัญหาเพียงแค่
วิธีที่สิ่งต่างๆถูกเชื่อมต่อกันไว้ -
9:15 - 9:16และวิธีที่สมองทำงาน
-
9:16 - 9:19ถ้าคุณต้องการ คุณก็สามารถเปรียบเทียบสิ่งนี้กับ
-
9:19 - 9:22อาดารอย่างอื่น เข่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย
(myocardial infarction) หรือ หัวใจวาย -
9:22 - 9:24ซึ่งคุณมีเนื้อเยื่อในหัวใจที่ตายไป
-
9:24 - 9:28กับอีกอย่างหนึ่งคือ หัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia)
เมื่ออวัยวะนั้นเพียงไม่ทำงานอย่างถูกต้อง -
9:28 - 9:30เนื่องจากปัญหาด้านการสื่อสารภายในตัวมัน
-
9:30 - 9:32ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
-
9:32 - 9:34คุณก็จะพบแผลใหญ่
-
9:34 - 9:37เมื่อเราคิดถึงเรื่องนี้แล้ว บางทีอาจจะดีกว่า ถ้าจะเข้าไป
-
9:37 - 9:40ให้ลึกกว่านี้อีกสักหน่อย เข้าไปถึงความผิดปกติเฉพาะอย่าง
และนั่นคือโรคจิตเภท -
9:40 - 9:43เพราะว่าผมคิดว่า นั่นเป็นโรคที่เหมาะสม
-
9:43 - 9:46ที่จะช่วยให้เข้าใจได้ว่า ทำไมการคิดว่า
โรคนี้เป็นความผิดปกติทางสมองที่สำคัญ -
9:46 - 9:50พวกนี้เป็นภาพสแกน จากจูดี้ แรโพพอร์ท (Judy Rapoport)
และผู้ร่วมงานของเธอ -
9:50 - 9:52ที่สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ
-
9:52 - 9:56ที่ๆพวกเขาได้ศึกษาเด็กในระยะเริ่มต้น
ของโรคจิตเภท -
9:56 - 9:57และคุณสามารถเห็นได้แล้วว่า ด้านบนสุด
-
9:57 - 10:00มีพื้นที่ที่เป็นสีแดง หรือสีส้ม สีเหลือง
-
10:00 - 10:02เป็นที่ๆมีสารสีเทามีน้อยกว่า
-
10:02 - 10:04และเมื่อพวกเขาติดตามเด็กๆเหล่านั้น
เป็นเวลานานกว่าห้าปี -
10:04 - 10:06โดยการเปรียบเทียบอายุพวกเขา
กับกลุ่มควบคุมจับคู่กันตามอายุ -
10:06 - 10:08คุณจะเห็นได้ว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณ เช่น
-
10:08 - 10:10เยื่อหุ้มสมองฝั่งซ้ายส่วนปัญญา
(dorsolateral prefrontal cortex) -
10:10 - 10:14หรือรอยหยักของสมองใกล้ขมับบนสุด
(superior temporal gyrus)
จะมีการสูญเสียสารสีเทาไปอย่างถ้วนทั่ว -
10:14 - 10:16และมันสำคัญนะ ถ้าคุณพยายามจะสร้างแบบจำลองนี้
-
10:16 - 10:18คุณสามารถคิดถึงการพัฒนาการตามปกติ
-
10:18 - 10:21ว่าเหมือนกับการสูญเสียส่วนของเยื่อหุ้มสมอง (cortical),
หรือสูญเสียส่วนที่เป็นสิเทาไป -
10:21 - 10:25และสิ่งที่เกิดขึ้นในโรคจิตเภท ก็คือ
คุณไปเลยจุดนั้นไป -
10:25 - 10:26และที่บางจุด เมื่อคุณเลยไป
-
10:26 - 10:29คุณก็ข้ามเข้าไป และจุดที่ข้ามเข้าไปนั้นคือ
-
10:29 - 10:33ที่ๆเรากล่าวได้ว่า บุคคลนี้เป็นโรคนี้
-
10:33 - 10:35เพราะว่าพวกเขามีอาการออกทางพฤติกรรม
-
10:35 - 10:37อาการประสาทหลอน และ อาการหลงผิด
-
10:37 - 10:39นั่นคือบางสิ่งที่เราสามารถสังเกตเห็นได้
-
10:39 - 10:44แต่เมื่อมองเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดแล้วคุณจะเห็นว่า
จริงๆแล้วพวกเขาได้ข้ามเข้าไป ณ ที่ๆต่างออกไป -
10:44 - 10:47พวกเขาได้ข้ามผ่านจุดเริ่มต้นในสมอง
มานานมากแล้วก่อนหน้านี้ -
10:47 - 10:50ซึ่งบางทีไม่ใช่ที่อายุ 22 หรือ 20 ปี
-
10:50 - 10:53แม้กระทั่งก่อนอายุ 15 หรือ 16 ปี
คุณก็จะสามารถเริ่มเห็นได้ว่า -
10:53 - 10:56วิถีทางของพัฒนาการนั้น แตกต่างกันพอสมควรทีเดียว
-
10:56 - 10:59ที่ระดับสมอง ไม่ใช่ที่ระดับของพฤติกรรม
-
10:59 - 11:01ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ
เอาละ อันดับแรกก็เพราะว่า -
11:01 - 11:04สำหรับความผิดปกติทางสมอง
พฤติกรรมเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเปลี่ยน -
11:04 - 11:07เรารู้ว่าเป็นอย่างนั้น สำหรับโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน
และโรคฮันติงตัน -
11:07 - 11:10มีการเปลี่ยนแปลงในสมอง นานสิบปีหรือมากกว่านั้น
-
11:10 - 11:15ก่อนที่คุณจะเห็นอาการแรก ของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
-
11:15 - 11:18เครื่องไม้เครื่องมือที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน
ทำให้เราสามารถตรวจพบ -
11:18 - 11:22ความเปลี่ยนแปลงทางสมองเหล่านี้ได้แต่เนิ่นๆ
เป็นเวลานานก่อนอาการจะปรากฎออกมา -
11:22 - 11:25แต่ที่สำคัญที่สุด เราจะกลับไปที่ๆเราได้เริ่มต้นมาแล้ว
-
11:25 - 11:29เรื่องราวของข่าวดีในทางการแพทย์
-
11:29 - 11:32คือ การพบโรคแต่เนิ่นๆ หรือการเข้าไปแทรกแซงแต่เนิ่นๆ
-
11:32 - 11:35ถ้าคุณรอจนกระทั่งหัวใจวาย
-
11:35 - 11:39เราอาจจะต้องสังเวย 1.1 ล้านชีวิต
-
11:39 - 11:42ให้กับโรคหัวใจ ทุกๆปีในประเทศนี้
-
11:42 - 11:44นั่นเป็นสิ่งที่เราทำอยู่พอดี
-
11:44 - 11:49เมื่อเราตัดสินใจว่า ทุกคนที่มีความผิดปกติทางสมอง
อย่างใดอย่างหนึ่ง -
11:49 - 11:52หรือความผิดปกติของระบบวงจรของสมอง
ก็จะมีความผิดปกติทางพฤติกรรมด้วย -
11:52 - 11:55ถ้าเราคอยจนกระทั่งพฤติกรรมนั้นเห็นเด่นชัดออกมา
-
11:55 - 12:00นั่นไม่ใช่การค้นพบแต่เนิ่นๆ
นั่นไม่ใช่การแทรกแซงแต่เนิ่นๆ -
12:00 - 12:01ทีนี้ เพื่อให้ชัดเจน เรายังไม่พร้อมเสียทีเดียว
ที่จะทำสิ่งนี้ได้ -
12:01 - 12:04เราไม่มีข้อเท็จจริงทั้งหมด จริงๆแล้วเราไม่รู้เสียด้วยซํ้า
-
12:04 - 12:07ว่าเครื่องไม้เครื่องมือที่ว่านั้นจะเป็นอะไร
-
12:07 - 12:11และยังไม่รู้ว่าจะมองหาอะไรที่แน่นอนได้บ้าง
ในผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อว่าจะได้สามารถ -
12:11 - 12:15ไปให้ถึงที่นั่น ก่อนที่พฤติกรรมนั้นจะปรากฎออกมา
ว่ามันแตกต่างไปจากเดิม -
12:15 - 12:18แต่สิ่งนี้บอกเราว่า เราจำเป็นต้องคิดถึงเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
-
12:18 - 12:20และเราจำเป็นต้องไปทางไหน
-
12:20 - 12:21เรากำลังจะไปถึงที่นั่นในไม่ช้านี้ ใช่หรือไม่
-
12:21 - 12:24ผมคิดว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น
-
12:24 - 12:27ในช่วงเวลาอีกสองสามปีข้างหน้า แต่ผมอยากจะจบ
-
12:27 - 12:29ด้วยการอ้างอิงถึงความพยายามที่จะคาดเดาว่า
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร -
12:29 - 12:32โดยคนบางคนที่ได้ใช้ความคิดไปแล้วอย่างมาก
เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง -
12:32 - 12:34ด้านความรู้ความเข้าใจ และการเปลี่ยนแปลง
ด้านเทคโนโลยี -
12:34 - 12:36บิลล์ เกทส์ กล่าวว่า "เรามักจะประเมินความเปลี่ยนแปลง
สูงไปเสมอสำหรับเรื่องที่จะเกิดขึ้น -
12:36 - 12:38ในอีกสองปีข้างหน้า และ เราประเมินตํ่าเกินไปเสมอ
-
12:38 - 12:42ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า"
-
12:42 - 12:44ขอบคุณมากครับ
-
12:44 - 12:46(เสียงปรบมือ)
- Title:
- ทอมัส อินเซล (Thomas Insel): สู่ความเข้าใจแบบใหม่เรื่องของการป่วยทางจิต
- Speaker:
- Thomas Insel
- Description:
-
ปัจจุบันนี้ ต้องขอบคุณการค้นพบโรคตั้งแต่เริ่มเป็นซึ่งดีกว่าแต่ก่อน แค่เพียงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา การเสียชิวิตจากโรคหัวใจจึงมีน้อยลงร้อยละ 63
ทอมัส อินเซล ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ ตั้งข้อสงสัยว่า: เราจะสามารถทำให้เกิดเรื่องแบบเดียวกันนี้ กับโรคซึมเศร้าและโรคจิตเภทได้หรือไม่ เขากล่าวว่า ขั้นตอนแรกบนเส้นทางใหม่ของงานวิจัยด้านนี้ คือ การวางกรอบแนวคิดใหม่ที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้เราเลิกคิดเรื่อง "ความผิดปกติทางจิต" และเริ่มต้นเข้าใจมันว่าเป็น "ความผิดปกติทางสมอง" (ถ่ายทำที่ TEDxCaltech.) - Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 13:03
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for Toward a new understanding of mental illness | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut commented on Thai subtitles for Toward a new understanding of mental illness | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Toward a new understanding of mental illness | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Toward a new understanding of mental illness | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Toward a new understanding of mental illness | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Toward a new understanding of mental illness | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Toward a new understanding of mental illness | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Toward a new understanding of mental illness |