WEBVTT 00:00:00.000 --> 00:00:02.000 ความปลอดภัยแบ่งเป็นสองประเภทนะครับ 00:00:02.000 --> 00:00:04.000 คือความรู้สึก และความเป็นจริง 00:00:04.000 --> 00:00:06.000 และมันไม่เหมือนกัน 00:00:06.000 --> 00:00:08.000 คุณรู้สึกถึงความปลอดภัยได้ 00:00:08.000 --> 00:00:10.000 แม้ว่าจริงๆไม่ได้เป็นเช่นนั้น 00:00:10.000 --> 00:00:12.000 และคุณก็ปลอดภัยได้ 00:00:12.000 --> 00:00:14.000 โดยไม่รู้สึกถึงมัน 00:00:14.000 --> 00:00:16.000 จริงๆแล้ว มันเป็นสองแนวคิดที่แยกออกจากกัน 00:00:16.000 --> 00:00:18.000 แต่ผนวกอยู่ในคำๆเดียว 00:00:18.000 --> 00:00:20.000 และสิ่งที่ผมอยากนำเสนอในวันนี้ 00:00:20.000 --> 00:00:22.000 ก็คือแยกมันออกจากกัน 00:00:22.000 --> 00:00:24.000 เพื่อดูว่าสองอย่างนี้แยกออก 00:00:24.000 --> 00:00:26.000 และรวมกันเมื่อไหร่ อย่างไร 00:00:26.000 --> 00:00:28.000 โดยในส่วนนี้ภาษาเองเป็นที่ปัญหา 00:00:28.000 --> 00:00:30.000 เพราะเรายังไม่มีคำที่สามารถสื่อความหมาย 00:00:30.000 --> 00:00:33.000 สำหรับสิ่งที่เรากำลังจะกล่าวถึงได้ดีนัก NOTE Paragraph 00:00:33.000 --> 00:00:35.000 หากเราพูดถึงความปลอดภัย 00:00:35.000 --> 00:00:37.000 ในทางเศรษฐศาสตร์ 00:00:37.000 --> 00:00:39.000 มันคือการได้อย่างเสียอย่าง (trade-off) 00:00:39.000 --> 00:00:41.000 ทุกครั้งที่คุณได้มาซึ่งความปลอดภัย 00:00:41.000 --> 00:00:43.000 คุณมักจะแลกมาด้วยสิ่งที่คุณมี 00:00:43.000 --> 00:00:45.000 ตั้งแต่เรื่องการตัดสินใจส่วนตัว 00:00:45.000 --> 00:00:47.000 เช่น การที่คุณจะติดตั้งสัญญาณกันขโมยในบ้าน 00:00:47.000 --> 00:00:50.000 หรือจะเป็นการตัดสินระดับชาติ ว่าคุณจะรุกรานประเทศใด 00:00:50.000 --> 00:00:52.000 ล้วนต้องยอมเสียบางอย่างไปเพื่อแลกมาเสมอ 00:00:52.000 --> 00:00:55.000 เงินบ้างล่ะ เวลาบ้างล่ะ ความสะดวกสบาย สมรรถภาพ 00:00:55.000 --> 00:00:58.000 หรือเสรีภาพขั้นพื้นฐาน 00:00:58.000 --> 00:01:01.000 และคำถามที่จะเกิดขึ้นในประเด็นด้านความปลอดภัย 00:01:01.000 --> 00:01:04.000 ไม่ใช่คำถามว่ามันทำให้เราปลอดภัยขึ้นหรือไม่ 00:01:04.000 --> 00:01:07.000 แต่กลับเป็นว่า คุ้มไหมที่ยอมเสียไปเพื่อให้ได้มา 00:01:07.000 --> 00:01:09.000 คุณคงเคยได้ยินว่าหลายๆปีที่ผ่านมา 00:01:09.000 --> 00:01:11.000 โลกของเราปลอดภัยขึ้น เพราะซัดดัม ฮุสเซ็นไม่ได้กุมอำนาจไว้แล้ว 00:01:11.000 --> 00:01:14.000 นั่นอาจจะจริง แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวโยงกันถึงขั้นนั้น 00:01:14.000 --> 00:01:17.000 คำถามคือ คุ้มค่าหรือเปล่า 00:01:17.000 --> 00:01:20.000 และคุณสามารถตัดสินใจด้วยตัวเอง 00:01:20.000 --> 00:01:22.000 และคุณก็จะตัดสินว่ามันคุ้มกับการรุกรานหรือเปล่า 00:01:22.000 --> 00:01:24.000 นั่นคือวิธีคิดเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัย 00:01:24.000 --> 00:01:26.000 ในบริบทของการได้อย่างเสียอย่าง NOTE Paragraph 00:01:26.000 --> 00:01:29.000 เอาล่ะ มันไม่ได้มีอะไรถูกหรือผิด 00:01:29.000 --> 00:01:31.000 บางท่านในที่นี้ติดตั้งสัญญาณกันขโมยในบ้าน 00:01:31.000 --> 00:01:33.000 บางท่านไม่ติด 00:01:33.000 --> 00:01:35.000 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบ้านคุณตั้งอยู่ที่ไหน 00:01:35.000 --> 00:01:37.000 อยู่ตัวคนเดียว หรืออยู่กับครอบครัว 00:01:37.000 --> 00:01:39.000 มีของใช้ราคาแพงจำนวนมากน้อยขนาดไหน 00:01:39.000 --> 00:01:41.000 จะยอมรับกับความเสี่ยงที่โจรจะขึ้นบ้าน 00:01:41.000 --> 00:01:43.000 ได้มากน้อยขนาดไหน 00:01:43.000 --> 00:01:45.000 ทางการเมืองก็เช่นกัน 00:01:45.000 --> 00:01:47.000 มีความคิดเห็นหลากหลาย 00:01:47.000 --> 00:01:49.000 และบ่อยครั้งที่การได้อย่างเสียอย่าง 00:01:49.000 --> 00:01:51.000 เป็นมากกว่าแค่ความปลอดภัย 00:01:51.000 --> 00:01:53.000 และผมเชื่อว่ามันสำคัญมาก 00:01:53.000 --> 00:01:55.000 ทุกคนมีสัญชาตญาณ 00:01:55.000 --> 00:01:57.000 ในเรื่องการได้อย่างเสียอย่าง 00:01:57.000 --> 00:01:59.000 เพราะเราทำกันทุกวัน 00:01:59.000 --> 00:02:01.000 เช่น ตอนผมออกจากโรงแรมเมื่อคืน 00:02:01.000 --> 00:02:03.000 การที่ผมล็อกประตูสองชั้น 00:02:03.000 --> 00:02:05.000 การที่คุณขับรถมาที่นี่ 00:02:05.000 --> 00:02:07.000 หรือตอนที่เราไปกินอาหารเที่ยง 00:02:07.000 --> 00:02:10.000 เราเชื่อว่าอาหารไม่ได้เป็นพิษ เลยทานมันเข้าไป 00:02:10.000 --> 00:02:12.000 พวกเราแลกบางอย่างมาด้วยการเสียบางอย่างไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า 00:02:12.000 --> 00:02:14.000 หลายๆครั้งในหนึ่งวัน 00:02:14.000 --> 00:02:16.000 เราไม่ค่อยรู้ตัวกันหรอก 00:02:16.000 --> 00:02:18.000 เพราะมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด NOTE Paragraph 00:02:18.000 --> 00:02:21.000 รวมไปถึงสัตว์ทุกสายพันธุ์ด้วย 00:02:21.000 --> 00:02:23.000 ลองนึกภาพกระต่ายน้อยกำลังกินหญ้าอยู่ในสวน 00:02:23.000 --> 00:02:26.000 และมันต้องเจอสุนัขจิ้งจอก 00:02:26.000 --> 00:02:28.000 ตอนนั้นแหละที่กระต่ายจำต้องสละบางอย่างเพื่อแลกกับความปลอดภัย 00:02:28.000 --> 00:02:30.000 ถามตัวเองว่า "จะกินต่อดี หรือ จะหนีดี?" 00:02:30.000 --> 00:02:32.000 และหากคุณลองคิดดูดีๆ 00:02:32.000 --> 00:02:35.000 กระต่ายที่ถ่วงดุลแล้วตัดสินใจเลือกทางที่ถูกต้อง 00:02:35.000 --> 00:02:37.000 มีแนวโน้มอยู่รอดและสืบพันธุ์ต่อไป 00:02:37.000 --> 00:02:39.000 ในขณะที่กระต่ายที่ตัดสินใจผิด 00:02:39.000 --> 00:02:41.000 จะถูกกินหรือไม่ก็หิวโซ 00:02:41.000 --> 00:02:43.000 ทีนี้ คุณอาจจะคิดว่า 00:02:43.000 --> 00:02:46.000 สายพันธุ์มนุษย์ประเสริฐอย่างพวกเรา 00:02:46.000 --> 00:02:48.000 คุณ ผม และคนเราทุกคน 00:02:48.000 --> 00:02:51.000 คงเก่งเรื่องถ่วงดุลการได้อย่างเสียอย่างแบบนี้แน่ๆ 00:02:51.000 --> 00:02:53.000 ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า 00:02:53.000 --> 00:02:56.000 ที่เราทำได้ไม่เข้าท่าเอามากๆ 00:02:56.000 --> 00:02:59.000 และผมคิดว่านั่นเป็นปัญหาพื้นฐานที่น่าสนใจทีเดียว NOTE Paragraph 00:02:59.000 --> 00:03:01.000 ผมจะตอบสั้นๆนะครับ 00:03:01.000 --> 00:03:03.000 จริงๆแล้ว มนุษย์เราตอบสนองกับการรับรู้ถึงความปลอดภัย 00:03:03.000 --> 00:03:06.000 ไม่ใช่กับความเป็นจริง 00:03:06.000 --> 00:03:09.000 ทั้งนี้ โดยมากแล้วจะไม่เป็นปัญหา 00:03:10.000 --> 00:03:12.000 เพราะส่วนใหญ่ 00:03:12.000 --> 00:03:15.000 ความรู้สึกกับความเป็นจริงมันเป็นไปในทางเดียวกัน 00:03:15.000 --> 00:03:17.000 มันเป็นแบบนั้นจริงๆ 00:03:17.000 --> 00:03:20.000 สมัยก่อนประวัติศาสตร์มนุษยชาติ 00:03:20.000 --> 00:03:23.000 พวกเราล้วนได้พัฒนาศักยภาพนี้ 00:03:23.000 --> 00:03:25.000 เพราะมันเป็นผลดีกับวิวัฒนาการ 00:03:25.000 --> 00:03:27.000 คิดอีกแบบหนึ่ง 00:03:27.000 --> 00:03:29.000 ได้ว่า การที่เรามีความสามารถตัดสินใจในสถานการณ์เสี่ยงๆ 00:03:29.000 --> 00:03:31.000 ก็เพื่อเอื้อกับการดำรงชีวิต 00:03:31.000 --> 00:03:34.000 ในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ชีวิตเป็นกลุ่มชนเล็กๆบนที่ราบสูง 00:03:34.000 --> 00:03:37.000 ในทวีปอัฟริกาฝั่งตะวันออกใน 100,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช 00:03:37.000 --> 00:03:40.000 ซึ่งต่างจากการชีวิตในนครนิวยอร์กในปี 2010 (พ.ศ.2553) NOTE Paragraph 00:03:41.000 --> 00:03:44.000 ทีนี้ หลายๆครั้งที่การรับรู้ถึงภัยอันตรายเป็นไปแบบไม่สมเหตุสมผลนัก 00:03:44.000 --> 00:03:46.000 จากการทดลองหลายๆครั้ง 00:03:46.000 --> 00:03:49.000 แสดงให้เห็นว่าความไม่สมเหตุสมผลเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า 00:03:49.000 --> 00:03:51.000 ทีนี้ผมจะลองยกความไม่สมเหตุสมผลให้ฟังสัก 4 อย่างนะครับ 00:03:51.000 --> 00:03:54.000 พวกเรามักจะมีปฏิกิริยาเกินจริงกับภัยอันตรายที่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและไม่ค่อยเกิดขึ้น 00:03:54.000 --> 00:03:56.000 และลดความสำคัญของภัยอันตรายที่เกิดทุกวัน 00:03:56.000 --> 00:03:59.000 เช่นเลือกที่จะบินหรือขับรถ 00:03:59.000 --> 00:04:01.000 คนเรามักจะติดภาพว่าสิ่งแปลกปลอม 00:04:01.000 --> 00:04:04.000 ทำให้เกิดภัยมากกว่าสิ่งที่คุ้นเคย 00:04:05.000 --> 00:04:07.000 ตัวอย่างเช่น 00:04:07.000 --> 00:04:10.000 คนเรากลัวโดนคนแปลกหน้าลักพาตัวเด็กๆ 00:04:10.000 --> 00:04:13.000 ทั้งที่สถิติแสดงให้เห็นว่่าอัตราการลักพาตัวจากคนใกล้ชิดนั้นสูงกว่าเสียอีก 00:04:13.000 --> 00:04:15.000 ส่วนนี้หมายถึงเด็กๆนะครับ 00:04:15.000 --> 00:04:18.000 สาม เราจะรับรู้ภัยที่เกิดจาก 00:04:18.000 --> 00:04:21.000 บุคคลที่เป็นรูปธรรมได้มากกว่าภัยอื่นๆที่เกิดจากบุคคลนิรนาม 00:04:21.000 --> 00:04:24.000 ฉะนั้นบิน ลาเด็นก็น่ากลัวกว่าใครๆเพราะมีชื่อเสียงเรียงนาม 00:04:24.000 --> 00:04:26.000 และอย่างที่สี่ 00:04:26.000 --> 00:04:28.000 ผู้คนมักจะไม่ระวัง 00:04:28.000 --> 00:04:30.000 สถานการณ์ที่พวกเขามีอำนาจควบคุม 00:04:30.000 --> 00:04:34.000 และประเมินสถานการณ์ที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนควบคุมสูงกว่าที่ควรจะเป็น 00:04:34.000 --> 00:04:37.000 เช่น การโดดร่มหรือการสูบบุหรี่ 00:04:37.000 --> 00:04:39.000 พวกเขาประเมินความเสี่ยงต่ำไป 00:04:39.000 --> 00:04:42.000 หากภัยพุ่งเข้าหาคุณ เช่น กรณีก่อการร้าย 00:04:42.000 --> 00:04:45.000 คุณจะตอบสนองมากเกินกว่าที่ควร เพราะคุณรู้สึกว่ามันไม่ไ้ด้อยู่ในการควบคุมของคุณ NOTE Paragraph 00:04:47.000 --> 00:04:50.000 มีอคติอื่นๆอีกนับไม่ถ้วนที่เป็น อคติทางการคิด (cognitive bias) 00:04:50.000 --> 00:04:53.000 ซึ่งมีผลกับการตัดสินใจของเรา 00:04:53.000 --> 00:04:55.000 ซึ่งก็มีวิทยการศึกษาสำนึก (heuristic) ที่ใช้ในเรื่องนี้ได้ 00:04:55.000 --> 00:04:57.000 หมายความว่า 00:04:57.000 --> 00:05:00.000 เราประเมินความเป็นไปได้ของสถานการณ์ใดๆ 00:05:00.000 --> 00:05:04.000 โดยการเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เรานึกได้ 00:05:04.000 --> 00:05:06.000 ลองคิดดูว่ามันเป็นเช่นนั้นไหม 00:05:06.000 --> 00:05:09.000 ถ้าวันหนึ่ง คุณได้ยินเรื่องเสือทำร้ายใครเข้าบ่อยๆ คุณย่อมคิดว่ามีเสือหลายตัวป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ 00:05:09.000 --> 00:05:12.000 ในขณะที่หากไม่มีข่าวสิงโตทำร้ายใครเข้าหูคุณ คุณก็จะคิดว่าไม่มีสิงโตในแถบที่คุณอยู่ 00:05:12.000 --> 00:05:15.000 วิธีนี้ใช้การได้จนกระทั่งวันที่เราประดิษฐ์หนังสือพิมพ์ขึ้นมา 00:05:15.000 --> 00:05:17.000 เพราะหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ 00:05:17.000 --> 00:05:19.000 คือการบอกเล่าเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น 00:05:19.000 --> 00:05:21.000 ซ้ำแล้วซ้ำอีก 00:05:21.000 --> 00:05:23.000 ผมบอกได้เลยครับ ถ้าเรื่องใดๆเป็นข่าวได้ 00:05:23.000 --> 00:05:25.000 ก็หมายความว่า 00:05:25.000 --> 00:05:28.000 เหตุการณ์นั้นไม่ค่อยได้เกิดขึ้นหรอกครับ ถึงได้เป็นที่พูดถึง 00:05:28.000 --> 00:05:30.000 (เสียงหัวเราะ) 00:05:30.000 --> 00:05:33.000 เพราะถ้าเหตุการณ์ไหนธรรมดาไป ก็จะไม่ถูกจัดว่าเป็นข่าว 00:05:33.000 --> 00:05:35.000 รถชน ความรุนแรงในประเทศ 00:05:35.000 --> 00:05:38.000 เป็นสิ่งที่มักเป็นที่กังวล NOTE Paragraph 00:05:38.000 --> 00:05:40.000 อีกทั้งพวกเราเป็นสายพันธุ์ที่อยู่กับการบอกเล่าเรื่องราว 00:05:40.000 --> 00:05:43.000 พวกเราตอบสนองกับเรื่องราวมากกว่าข้อมูล 00:05:43.000 --> 00:05:45.000 รวมถึงเรื่องของจำนวนตัวเลข 00:05:45.000 --> 00:05:48.000 ผมว่ามุขตลกนับเลขที่ว่า "หนึ่ง" "สอง" "สาม" "เยอะแยะ" นั่นน่าจะถูกต้อง 00:05:48.000 --> 00:05:51.000 พวกเราตอบสนองกับตัวเลขแค่ไม่กี่หลัก 00:05:51.000 --> 00:05:53.000 เช่นมะม่วงหนึ่งลูก มะม่วงสองลูก สามลูก 00:05:53.000 --> 00:05:55.000 มะม่วง 10,000 ลูก 100,000 ลูก 00:05:55.000 --> 00:05:58.000 ยังมีมะม่วงเหลือไว้ทานอีกเยอะหากมันเน่าไปแล้ว 00:05:58.000 --> 00:06:01.000 ไหนจะครึ่งหนึ่ง หนึ่งส่วนสี่ หนึ่งส่วนห้า พวกเราเก่งเรื่องนั้น 00:06:01.000 --> 00:06:03.000 แต่หากเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในพันล้าน 00:06:03.000 --> 00:06:06.000 จำนวนนั้นจะแทบไม่มีตัวตนเลย 00:06:06.000 --> 00:06:08.000 ฉะนั้นเรามีปัญหากับภัยอันตราย 00:06:08.000 --> 00:06:10.000 ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นเป็นประจำ NOTE Paragraph 00:06:10.000 --> 00:06:12.000 อคติทางการคิดพวกนี้ 00:06:12.000 --> 00:06:15.000 ทำหน้าที่กรองข้อมูลระหว่างเรากับความเป็นจริง 00:06:15.000 --> 00:06:17.000 ผลก็คือ 00:06:17.000 --> 00:06:19.000 ความรู้สึกกับความเป็นจริงก็แยกออก 00:06:19.000 --> 00:06:22.000 กลายเป็นคนละเรื่องกัน 00:06:22.000 --> 00:06:25.000 เราอาจจะรู้สึกถึงความปลอดภัยมากกว่าที่เป็นอยู่ 00:06:25.000 --> 00:06:27.000 สัมผัสถึงความปลอดภัยที่ไม่ได้มีอยู่จริง 00:06:27.000 --> 00:06:29.000 หรืออีกอย่าง 00:06:29.000 --> 00:06:31.000 สัมผัสไม่ถึงอันตรายที่มีอยู่จริง 00:06:31.000 --> 00:06:34.000 ผมเขียนเรื่องราวของ "โรงละครความปลอดภัย" มานับไม่ถ้วน 00:06:34.000 --> 00:06:37.000 มันคือผลิดภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัย 00:06:37.000 --> 00:06:39.000 ในขณะที่สิ่งเหล่านั้นแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย 00:06:39.000 --> 00:06:41.000 ไม่มีคำใดๆที่จะสื่อถึงสิ่งที่ทำให้เราปลอดภัย 00:06:41.000 --> 00:06:43.000 โดยที่ไม่ได้้ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น 00:06:43.000 --> 00:06:46.000 มันอาจจะเป็นสิ่งที่ซีไอเอ (CIA) ควรจะช่วยพวกเรา NOTE Paragraph 00:06:48.000 --> 00:06:50.000 ทีนี้ เรากลับมาพูดถึงประเด็นเศรษฐศาสตร์ 00:06:50.000 --> 00:06:54.000 ถ้าเศรษฐศาสตร์ ถ้าระบบตลาดเป็นตัวกลางผลักดันความปลอดภัย 00:06:54.000 --> 00:06:56.000 หากผู้คนยอมแลกอย่างหนึ่งไปเพื่อให้ได้อีกอย่างมา 00:06:56.000 --> 00:06:59.000 โดยใช้ความรู้สึกปลอดภัยเป็นฐาน 00:06:59.000 --> 00:07:01.000 พวกบริษัทหัวใสก็จะสร้าง 00:07:01.000 --> 00:07:03.000 แรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ 00:07:03.000 --> 00:07:06.000 ด้วยการทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความปลอดภัย 00:07:06.000 --> 00:07:09.000 ส่วนแนวทางนั้นมีอยู่สองทาง 00:07:09.000 --> 00:07:11.000 อย่างแรก คุณทำให้ลูกค้าปลอดจากภัยอันตรายจริงๆ 00:07:11.000 --> 00:07:13.000 และหวังว่าพวกเขาจะรับรู้ได้เอง 00:07:13.000 --> 00:07:16.000 หรือสอง คุณเพียงให้ลูกค้าวางใจว่าปลอดภัย 00:07:16.000 --> 00:07:19.000 และหวังว่าพวกเขาจะจับไม่ได้ 00:07:20.000 --> 00:07:23.000 ฉะนั้น ปัจจัยที่จะำให้พวกเขาจับได้ 00:07:23.000 --> 00:07:25.000 ก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง 00:07:25.000 --> 00:07:27.000 ความรู้ความเข้าใจในเรื่องความมั่นคงปลอดภัย 00:07:27.000 --> 00:07:29.000 ในเรื่องความเสี่ยง ในเรื่องภัยคุกคาม 00:07:29.000 --> 00:07:32.000 ในเรื่องวิธีการรับมือ ว่าเป็นอย่างไร 00:07:32.000 --> 00:07:34.000 หากเราเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว 00:07:34.000 --> 00:07:37.000 ความรู้สึกที่ปลอดจากภัยนั้นๆก็จะค่อยๆมาควบคู่กับความเป็นจริง 00:07:37.000 --> 00:07:40.000 ตัวอย่างเหตุการณ์จริงจำนวนมากพอจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจให้ถูกต้อง NOTE Paragraph 00:07:40.000 --> 00:07:43.000 ปัจจุบันเราต่างมีข้อมูลอัตราอาชญากรรมในท้องถิ่นที่เราอาศัย 00:07:43.000 --> 00:07:46.000 เพราะเราใช้ชีวิตแถวนั้น และเรารับรู้เรื่องต่างๆมากพอควร 00:07:46.000 --> 00:07:49.000 ฉะนั้นความรู้สึกกับความเป็นจริงก็ไปในแนวทางเดียวกัน 00:07:49.000 --> 00:07:52.000 โรงละครความปลอดภัยแสดงให้เห็น 00:07:52.000 --> 00:07:55.000 ถึงความชัดเจนของเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามที่ึควรจะเป็น 00:07:55.000 --> 00:07:59.000 เอาล่ะ แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้ผู้คนจับไม่ได้? 00:07:59.000 --> 00:08:01.000 ครับ ก็คือความไม่รู้ 00:08:01.000 --> 00:08:04.000 หากคุณไม่เข้าใจเรื่องความเสี่ยงภัย คุณก็ย่อมประเมินต้นทุนความเสี่ยงไม่ได้ 00:08:04.000 --> 00:08:06.000 เลยอาจทำให้คุณยอมเสียไปมากกว่าที่ได้มา 00:08:06.000 --> 00:08:09.000 และความรู้สึกกับความเป็นจริงไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน 00:08:09.000 --> 00:08:11.000 ไม่ค่อยมีตัวอย่างเหตุการณ์ 00:08:11.000 --> 00:08:13.000 มีปัญหาที่เป็นธรรมชาติของ 00:08:13.000 --> 00:08:15.000 เหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย 00:08:15.000 --> 00:08:17.000 อย่างเช่น ถ้าหากว่า 00:08:17.000 --> 00:08:19.000 การก่อการร้ายแทบไม่เกิดขึ้นเลย 00:08:19.000 --> 00:08:21.000 ฉะนั้นการประเมิน 00:08:21.000 --> 00:08:24.000 วิธีรับมือที่ได้ผลก็เป็นไปได้ยาก 00:08:25.000 --> 00:08:28.000 เราจึงต้องเสียผู้บริสุทธิ์ไปนับต่อนับ 00:08:28.000 --> 00:08:31.000 และเป็นสาเหตุที่การโทษผีสางเทวดาใช้ได้ผล 00:08:31.000 --> 00:08:34.000 เพราะไม่ค่อยมีกรณีที่ใช้ไม่ได้ผลให้เห็นมากนัก 00:08:35.000 --> 00:08:38.000 บวกกับความรู้สึกที่บดบังความเป็นจริง 00:08:38.000 --> 00:08:40.000 อคติทางการคิดที่ผมพูดไปแล้วก่อนหน้านี้ 00:08:40.000 --> 00:08:43.000 ความกลัว ตำนานความเชื่อต่างๆ 00:08:43.000 --> 00:08:46.000 เป็นแบบจำลองที่สะท้อนความเป็นจริงไม่ได้ดีนัก NOTE Paragraph 00:08:47.000 --> 00:08:50.000 ทีนี้ผมขออธิบายเพิ่มเติม 00:08:50.000 --> 00:08:52.000 จากที่พูดไปมีเรื่องของความรู้สึกและความเป็นจริง 00:08:52.000 --> 00:08:55.000 ทีนี้ผมอยากจะเพิ่มส่วนที่สามเข้าไป เป็นส่วนของ "แบบจำลอง (model)" 00:08:55.000 --> 00:08:57.000 ความรู้สึกและแบบจำลองจะติดอยู่ในสมองเรา 00:08:57.000 --> 00:08:59.000 สภาพความเป็นจริงจะอยู่รอบๆตัวเรา 00:08:59.000 --> 00:09:02.000 ส่วนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะมันเป็นของจริง 00:09:02.000 --> 00:09:04.000 ฉะนั้นความรู้สึกจะยึดเอาสัญชาติญาณเป็นหลัก 00:09:04.000 --> 00:09:06.000 แบบจำลองจะขึ้นอยู่กับเหตุผลเป็นหลัก 00:09:06.000 --> 00:09:09.000 ซึ่งค่อนข้างต่างกัน 00:09:09.000 --> 00:09:11.000 ในโลกสมัยบรรพกาลที่เรียบง่าย 00:09:11.000 --> 00:09:14.000 ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องสร้างแบบจำลอง 00:09:14.000 --> 00:09:17.000 เพราะความรู้สึกใกล้เคียงกับความเป็นจริงอยู่แล้ว 00:09:17.000 --> 00:09:19.000 จึงไม่ต้องใช้แบบจำลองใดๆ 00:09:19.000 --> 00:09:21.000 แต่สำหรับโลกสมัยใหม่ที่ซับซ้อนอย่างที่เราอยู่กันนี้ 00:09:21.000 --> 00:09:23.000 แบบจำลองเป็นสิ่งจำเป็น 00:09:23.000 --> 00:09:26.000 ในการเข้าใจความเสี่ยงภัยที่จะพบเจอ 00:09:27.000 --> 00:09:29.000 ลองนึกดูก่อนหน้านี้เราไม่เคยหยั่งรู้ึถึงภัยจากเชื้อโรค 00:09:29.000 --> 00:09:32.000 เราจะเข้าใจก็ต่อเมื่อมีแบบจำลอง 00:09:32.000 --> 00:09:34.000 ฉะนั้น แบบจำลองที่ว่า 00:09:34.000 --> 00:09:37.000 ถือเป็นสื่อนำเสนอความเป็นจริงที่ชาญฉลาด 00:09:37.000 --> 00:09:40.000 ทั้งนี้ จะต้องจำกัดอยู่ในกรอบของวิทยาศาสตร์ 00:09:40.000 --> 00:09:42.000 และเทคโนโลยี 00:09:42.000 --> 00:09:45.000 พวกเราคงไม่รู้จักทฤษฏีการติดเชื้อทำให้เกิดโรค 00:09:45.000 --> 00:09:48.000 จนถึงวันที่กล้องจุลทรรศน์ถูกประดิษฐ์ขึ้น 00:09:49.000 --> 00:09:52.000 มันถูกจำกัดโดยอคติทางการคิด 00:09:52.000 --> 00:09:54.000 แต่มันมีความสามารถ 00:09:54.000 --> 00:09:56.000 เข้าครอบงำความรู้สึก NOTE Paragraph 00:09:56.000 --> 00:09:59.000 แล้วเราได้แบบจำลองเหล่านี้มาได้ยังไงน่ะหรือครับ? เราได้จากคนอื่น 00:09:59.000 --> 00:10:02.000 จากศาสนา วัฒนธรรม 00:10:02.000 --> 00:10:04.000 คุณครู ผู้อาวุโส 00:10:04.000 --> 00:10:06.000 เมื่อสองสามปีก่อน 00:10:06.000 --> 00:10:08.000 ผมไปท่องซาฟารีดูสัตว์ที่อัฟริกาใต้ 00:10:08.000 --> 00:10:11.000 คนแกะรอยที่ไปกับผมเกิดที่อุทยานแห่งชาติครูเกอร์ (Kruger) 00:10:11.000 --> 00:10:14.000 เขามีแบบจำลองการเอาตัวรอดที่ซับซ้อนมาก 00:10:14.000 --> 00:10:16.000 ขึ้นอยู่กับว่าคุณโดนสัตว์ชนิดไหนจู่โจม 00:10:16.000 --> 00:10:18.000 เป็นสิงโต เสือดาว แรด หรือช้าง 00:10:18.000 --> 00:10:21.000 และเมื่อไหร่ที่คุณรู้ตัวว่าต้องวิ่งหนี ต้องปีนต้นไม้ 00:10:21.000 --> 00:10:23.000 หรือเมื่อไหร่ที่ไม่ควรปีน 00:10:23.000 --> 00:10:26.000 ถ้าเป็นผมคงไม่รอดชีวิตกลับมา 00:10:26.000 --> 00:10:28.000 แต่เขาเกิดที่นั่น 00:10:28.000 --> 00:10:30.000 เขารู้ว่าจะอยู่รอดได้ด้วยวิธีไหน 00:10:30.000 --> 00:10:32.000 ส่วนผมเกิดในนครนิวยอร์ก 00:10:32.000 --> 00:10:35.000 ถ้าผมพาเขาไปนิวยอร์กบ้าง เชื่อว่าเขาคงจะตายตั้งแต่วันแรก 00:10:35.000 --> 00:10:37.000 (เสียงหัวเราะ) 00:10:37.000 --> 00:10:39.000 นั่นเป็นเพราะเราโตมาด้วยแบบจำลองที่ต่างกัน 00:10:39.000 --> 00:10:42.000 พื้นฐานประสบการณ์ที่ต่างกัน NOTE Paragraph 00:10:43.000 --> 00:10:45.000 เราได้รับแบบจำลองมาจากสื่อต่างๆ 00:10:45.000 --> 00:10:48.000 จากรัฐบาลที่เราเลือกมา 00:10:48.000 --> 00:10:51.000 กลับไปที่แบบจำลองการก่อการร้าย 00:10:51.000 --> 00:10:54.000 การลักพาตัวเด็ก 00:10:54.000 --> 00:10:56.000 ความปลอดภัยจากการใช้เครื่องบิน ใช้รถ 00:10:56.000 --> 00:10:59.000 แบบจำลองอาจมาจากวงการอุตสาหกรรม 00:10:59.000 --> 00:11:01.000 สองอย่างที่ผมติดตามคือ วิธีการทำงานของกล้องวงจรปิด 00:11:01.000 --> 00:11:03.000 และบัตรประจำตัว 00:11:03.000 --> 00:11:06.000 แบบจำลองความปลอดภัยจากการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ข้องเกี่ยวกับสองสิ่งนี้ 00:11:06.000 --> 00:11:09.000 แบบจำลองส่วนมากมาจากวิทยาศาสตร์ 00:11:09.000 --> 00:11:11.000 ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ แบบจำลองด้านสุขภาพ 00:11:11.000 --> 00:11:14.000 เช่นมะเร็ง ไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู ซาร์ส 00:11:14.000 --> 00:11:17.000 ความรู้สึกถึงความปลอดภัย 00:11:17.000 --> 00:11:19.000 ของโรคพวกนี้ 00:11:19.000 --> 00:11:21.000 ล้วนมาจากแบบจำลองทั้งนั้น 00:11:21.000 --> 00:11:24.000 ผลงานทางวิทยาศาสตร์ส่งสาห์นมาถึงพวกเราผ่านสื่อ 00:11:25.000 --> 00:11:28.000 ทั้งนี้แบบจำลองสามารถเปลี่ยนแปลงได้ 00:11:28.000 --> 00:11:30.000 ไม่จำเป็นต้องตายตัว 00:11:30.000 --> 00:11:33.000 เมื่อเราเริ่มคุ้นชินกับสภาพแวดล้อม 00:11:33.000 --> 00:11:37.000 แบบจำลองก็จะยิ่งใกล้เคียงกับสิ่งที่เรารู้สึก NOTE Paragraph 00:11:38.000 --> 00:11:40.000 อย่างเช่น 00:11:40.000 --> 00:11:42.000 ลองย้อนกลับมาไป 100 ปีที่แล้ว 00:11:42.000 --> 00:11:45.000 ช่วงที่เริ่มมีไฟฟ้าใช้แรกๆ 00:11:45.000 --> 00:11:47.000 ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้มันหรอก 00:11:47.000 --> 00:11:49.000 ต่างคนต่างกลัวการกดปุ่มกริ่งหน้าบ้าน 00:11:49.000 --> 00:11:52.000 กลัวว่าไฟฟ้าที่ฝังอยู่ในนั้นจะทำร้ายตัวเอง 00:11:52.000 --> 00:11:55.000 แต่สำหรับคนยุคนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอะไรที่ใครๆก็ใช้คล่อง 00:11:55.000 --> 00:11:57.000 เราเปลี่ยนหลอดไฟเอง 00:11:57.000 --> 00:11:59.000 โดยไม่เกรงกลัวใดๆ 00:11:59.000 --> 00:12:03.000 แบบจำลองความปลอดภัยจากการใช้ไฟฟ้า 00:12:03.000 --> 00:12:06.000 เป็นสิ่งที่เกิดมาพร้อมๆเรา 00:12:06.000 --> 00:12:09.000 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆตลอดช่วงชีวิตเรา 00:12:09.000 --> 00:12:12.000 และพวกเราก็คุ้นเคยกับมัน 00:12:12.000 --> 00:12:14.000 ส่วนเรื่องความเสี่ยง 00:12:14.000 --> 00:12:16.000 บนอินเทอร์เน็ตของชนแต่ละรุ่นก็เช่นกัน 00:12:16.000 --> 00:12:18.000 ลองเปรียบเทียบมุมมองด้านความปลอดภัยในอินเทอร์เน็ตของรุ่นพ่อแม่ 00:12:18.000 --> 00:12:20.000 เทียบกับของรุ่นคุณ 00:12:20.000 --> 00:12:23.000 เทียบกับที่รุ่นลูกจะมอง 00:12:23.000 --> 00:12:26.000 แบบจำลองของคนแต่ละรุ่นเข้าครอบงำโดยไม่รู้ตัว 00:12:27.000 --> 00:12:30.000 กลายเป็นสัญชาตญาณ เป็นความคุ้นชิน NOTE Paragraph 00:12:30.000 --> 00:12:32.000 จึงทำให้แบบจำลองเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น 00:12:32.000 --> 00:12:34.000 แล้วท้ายสุดมาบรรจบกับความรู้สึก 00:12:34.000 --> 00:12:37.000 โดยที่พวกคุณไม่รู้ตัวกัน 00:12:37.000 --> 00:12:39.000 ฉะนั้นผมขอลองยกตัวอย่าง 00:12:39.000 --> 00:12:42.000 กรณีไข้หวัดหมูเมื่อปีที่แล้ว 00:12:42.000 --> 00:12:44.000 ณ ตอนที่โรคนี้ปรากฏครั้งแรก 00:12:44.000 --> 00:12:48.000 ข่าวแรกๆที่ออกจากสื่อทำให้ผู้คนเกิดปฏิกิริยาเกินจริง 00:12:48.000 --> 00:12:50.000 พอมีชื่อเรียกโรคนี้เฉพาะ 00:12:50.000 --> 00:12:52.000 เลยเป็นเหตุให้มันน่ากลัวกว่าไข้หวัดทั่วๆไป 00:12:52.000 --> 00:12:54.000 แม้ว่ามันจะอันตรายกว่าจริงๆก็ตาม 00:12:54.000 --> 00:12:58.000 และทุกคนคิดว่าทำไมหมอถึงไม่มีวิธีต่อกรกับมัน 00:12:58.000 --> 00:13:00.000 เลยยิ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นมันสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ 00:13:00.000 --> 00:13:02.000 และสองสิ่งนั้น 00:13:02.000 --> 00:13:04.000 ทำให้มันดูอันตรายมากกว่าที่เป็นจริง 00:13:04.000 --> 00:13:07.000 พอความแปลกใหม่เริ่มซาลง ผ่านไปเดือนหนึ่ง 00:13:07.000 --> 00:13:09.000 ผู้คนเริ่มยอมรับ 00:13:09.000 --> 00:13:11.000 และคุ้นเคยกับโรคนี้ 00:13:11.000 --> 00:13:14.000 เมื่อไม่มีการประโคมข่่าว ความกลัวก็ค่อยๆลดลง 00:13:14.000 --> 00:13:16.000 พอถึงฤดูใบไม้ร่วง 00:13:16.000 --> 00:13:18.000 ผู้คนก็คิดว่า 00:13:18.000 --> 00:13:20.000 หมอน่าจะมีวิธีรับมือกับโรคนี้แล้ว 00:13:20.000 --> 00:13:22.000 ณ ตอนนั้นเราอยู่บนทางแยก 00:13:22.000 --> 00:13:24.000 เราต้องเลือก 00:13:24.000 --> 00:13:28.000 ระหว่างกลัวต่อไปหรือยอมรับมัน 00:13:28.000 --> 00:13:30.000 จริงๆแล้วคือกลัวต่อไปหรือเพิกเฉย 00:13:30.000 --> 00:13:33.000 แต่สุดท้ายพวกเขาเลือกที่จะสงสัย 00:13:33.000 --> 00:13:36.000 และเมื่อวัคซีนปรากฏเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว 00:13:36.000 --> 00:13:39.000 คนจำนวนไม่น้อย จำนวนที่คาดไม่ถึงเลยล่ะ 00:13:39.000 --> 00:13:42.000 ปฏิเสธที่จะใช้มัน 00:13:43.000 --> 00:13:45.000 เป็นตัวอย่างที่ดี 00:13:45.000 --> 00:13:48.000 ที่ความรู้สึกปลอดภัยของผู้คนเปลี่ยนไปได้อย่างไร แบบจำลองเปลี่ยนไปได้อย่างไร 00:13:48.000 --> 00:13:50.000 ราวหน้ามือเป็นหลังมือ 00:13:50.000 --> 00:13:52.000 ทั้งๆที่ไม่มีข้อมูลอะไรใหม่ๆเลย 00:13:52.000 --> 00:13:54.000 และไม่มีอะไรใหม่ๆเพิ่มเข้ามาด้วย 00:13:54.000 --> 00:13:57.000 เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก NOTE Paragraph 00:13:57.000 --> 00:14:00.000 ผมอยากจะบวกปัจจัยเพิ่มอีกอย่าง 00:14:00.000 --> 00:14:03.000 พวกเรามีความรู้สึก แบบจำลอง และสภาพความเป็นจริง 00:14:03.000 --> 00:14:05.000 ผมคิดว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ 00:14:05.000 --> 00:14:08.000 ขึ้นอยู่กับผู้ที่สังเกตการณ์ 00:14:08.000 --> 00:14:10.000 การตัดสินใจว่าด้วยความปลอดภัยส่วนใหญ่ 00:14:10.000 --> 00:14:14.000 มาจากกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย 00:14:14.000 --> 00:14:16.000 ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 00:14:16.000 --> 00:14:19.000 ที่คิดไว้แล้วว่าจะยอมได้ยอมเสียอะไรบ้าง 00:14:19.000 --> 00:14:21.000 จะพยายามโน้มน้าวผลักดันการตัดสิน 00:14:21.000 --> 00:14:23.000 และผมขอเรียกว่า "ระเบียบวาระ" ของพวกเขาก็แล้วกัน 00:14:23.000 --> 00:14:25.000 และคุณจะเห็นว่าระเบียบวาระ 00:14:25.000 --> 00:14:28.000 จะมาในรูปแบบการตลาดบ้างล่ะ การเมืองบ้างล่ะ 00:14:28.000 --> 00:14:31.000 พยายามโน้มน้าวคุณให้เลือกแบบจำลองหนึ่งแทนอีกแบบหนึ่ง 00:14:31.000 --> 00:14:33.000 พยายามโน้มน้าวให้คุณเลิกใส่ใจกับแบบจำลอง 00:14:33.000 --> 00:14:36.000 และให้คุณเชื่อความรู้สึกของคุณแทน 00:14:36.000 --> 00:14:39.000 ทำให้ผู้คนหันมาเห็นด้วยกับแบบจำลองที่คุณไม่ชอบ 00:14:39.000 --> 00:14:42.000 ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกนะครับ 00:14:42.000 --> 00:14:45.000 ตัวอย่าง เป็นตัวอย่างที่ดีมากครับ คือความเสี่ยงภัยจากการสูบบุหรี่ 00:14:46.000 --> 00:14:49.000 50 ปีที่ผ่านมา ความเสี่ยงภัยจากการสูบบุหรี่ 00:14:49.000 --> 00:14:51.000 แสดงให้เห็นว่าแบบจำลองได้เปลี่ยนไปอย่างไร 00:14:51.000 --> 00:14:54.000 และแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมมีวิธีต่อสู้กับ 00:14:54.000 --> 00:14:56.000 แบบจำลองที่ไม่เอื้อประโยชน์พวกเขาอย่างไร 00:14:56.000 --> 00:14:59.000 เปรียบเทียบกับการโต้ประเด็นผู้สูบบุหรี่มือสอง 00:14:59.000 --> 00:15:02.000 ซึ่งน่าจะตามหลังมาจากนั้นอีก 20 ปี 00:15:02.000 --> 00:15:04.000 เรื่องเข็มขัดนิรภัยก็เช่นกัน 00:15:04.000 --> 00:15:06.000 ตอนผมเด็กๆ ไม่มีใครคาดเข็มขัดนิรภัยหรอกครับ 00:15:06.000 --> 00:15:08.000 แต่ทุกวันนี้ ไม่มีเด็กคนไหนที่ยอมให้คุณออกรถ 00:15:08.000 --> 00:15:10.000 ถ้าคุณไม่คาดเข็มขัดนิรภัยก่อน 00:15:11.000 --> 00:15:13.000 ลองเปรียบเทียบกับการโต้ประเด็นถุงลมนิรภัย 00:15:13.000 --> 00:15:16.000 ซึ่งน่าจะตามหลังมาจากนั้นอีก 30 ปี NOTE Paragraph 00:15:16.000 --> 00:15:19.000 ตัวอย่างแบบจำลองทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงไป 00:15:21.000 --> 00:15:24.000 ทีนี้เราสรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงแบบจำลองเป็นเรื่องยากทีเดียว 00:15:24.000 --> 00:15:26.000 เพราะแบบจำลองจะตรึงอยู่ในความคิด 00:15:26.000 --> 00:15:28.000 ถ้ามันเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับความรู้สึก 00:15:28.000 --> 00:15:31.000 คุณจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณถูกแบบจำลองครอบงำอยู่ 00:15:31.000 --> 00:15:33.000 และอคติทางการคิดอีกรูปแบบหนึ่ง 00:15:33.000 --> 00:15:35.000 คือสิ่งที่ผมเรียกว่า อคติแบบยืนยันความเชื่อ (confirmation bias) 00:15:35.000 --> 00:15:38.000 พวกเรามักจะเลือกรับข้อมูล 00:15:38.000 --> 00:15:40.000 ที่ตรงกับความเชื่อของเราเอง 00:15:40.000 --> 00:15:43.000 และปฏิเสธรับข้อมูลที่ขัดกับความเชื่อ 00:15:44.000 --> 00:15:46.000 ดังนั้นแม้ว่าหลักฐานที่มีจะขัดแย้งกับแบบจำลองของเรา 00:15:46.000 --> 00:15:49.000 พวกเราก็มักจะเพิกเฉย แม้ว่าหลักฐานนั้นจะแจ่มแจ้ง 00:15:49.000 --> 00:15:52.000 ฉะนั้นหลักฐานจะต้องแจ่มแจ้งน่าเชื่อถือมากถึงมากที่สุด พวกเราถึงจะยอมสนใจ 00:15:53.000 --> 00:15:55.000 แบบจำลองใหม่ๆที่กินเวลานานก็จะยิ่งยาก 00:15:55.000 --> 00:15:57.000 โลกร้อนเป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว 00:15:57.000 --> 00:15:59.000 เราไม่ตอบรับกันเลย 00:15:59.000 --> 00:16:01.000 กับแบบจำลองที่ครอบคลุมช่วงเวลา 80 ปี 00:16:01.000 --> 00:16:03.000 เราไม่มีปัญหาเลยกับระยะเวลานานเท่ากับการรอเก็บเกี่ยวงวดหน้า 00:16:03.000 --> 00:16:06.000 เราไม่ค่อยมีปัญหากับระยะเวลานานเท่ากับที่รอลูกๆเราโต 00:16:06.000 --> 00:16:09.000 แต่ทว่า 80 ปีนั้นยาวนานเกินไปสำหรับเรา 00:16:09.000 --> 00:16:12.000 เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นแบบจำลองที่ยอมรับได้ยากมาก 00:16:12.000 --> 00:16:16.000 เราก็ยังสามารถยอมรับแบบจำลองสองแบบในเวลาเดียวกันได้ด้วย 00:16:16.000 --> 00:16:19.000 เป็นปัญหาประเภทเดียวกับ 00:16:19.000 --> 00:16:22.000 ที่เราเห็นด้วยกับสองมุมมองที่ขัดแย้ง 00:16:22.000 --> 00:16:24.000 หรือ ความไม่ลงรอยกันของการรู้ (cognitive dissonance) 00:16:24.000 --> 00:16:26.000 และท้ายที่สุด 00:16:26.000 --> 00:16:29.000 แบบจำลองใหม่ก็จะแทนที่แบบจำลองที่มีอยู่เดิม NOTE Paragraph 00:16:29.000 --> 00:16:32.000 และความรู้สึกที่แรงกล้าก็ทำให้เกิดเป็นแบบจำลองได้ 00:16:32.000 --> 00:16:35.000 เหตุการณ์ 11 กันยาก็ทำให้เกิดแบบจำลองเรื่องความปลอดภัย 00:16:35.000 --> 00:16:37.000 ในหัวของคนมากมาย 00:16:37.000 --> 00:16:40.000 อาชญากรรมที่เจอกับตัวเองก็เช่นกัน 00:16:40.000 --> 00:16:42.000 ความกลัวเรื่องสุขภาพ 00:16:42.000 --> 00:16:44.000 หรือเรื่องโรคต่างๆที่ตกเป็นข่าว 00:16:44.000 --> 00:16:46.000 จิตแพทย์เรียกเหตุการณ์แบบนั้นว่า 00:16:46.000 --> 00:16:48.000 อุบัติการณ์ภาพความทรงจำเสมือน (flashbulb event) 00:16:48.000 --> 00:16:51.000 มันสามารถสร้างภาพจำลองขึ้นมาได้ทันที 00:16:51.000 --> 00:16:54.000 เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เร่งเร้าสะเทือนอารมณ์อย่างยิ่ง NOTE Paragraph 00:16:54.000 --> 00:16:56.000 ฉะนั้นในโลกแห่งเทคโนโลยีแบบนี้ 00:16:56.000 --> 00:16:58.000 พวกเราไม่มีประสบการณ์ 00:16:58.000 --> 00:17:00.000 ไปประเมินแบบจำลองใดๆได้ 00:17:00.000 --> 00:17:02.000 เราพึ่งพาผู้อื่น พึ่งพาตัวแทน 00:17:02.000 --> 00:17:06.000 เพียงแค่ตัวแทนระบุสิ่งที่ถูกหรือไม่ถูกต้องได้ก็ใช้ได้แล้ว 00:17:06.000 --> 00:17:08.000 พวกเราพึ่งพาหน่วยงานของรัฐ 00:17:08.000 --> 00:17:13.000 เพื่อรับรองว่ายาประเภทไหนปลอดภัย 00:17:13.000 --> 00:17:15.000 ที่ผมบินมาที่นี่เมื่อวานนี้ 00:17:15.000 --> 00:17:17.000 ผมไม่ได้เป็นคนตรวจเครื่องบินเอง 00:17:17.000 --> 00:17:19.000 ผมพึ่งคนอื่นๆ 00:17:19.000 --> 00:17:22.000 ในการตรวจสอบเครื่องบินว่าปลอดภัย 00:17:22.000 --> 00:17:25.000 หรือที่พวกเราไม่ได้ระแวงว่าหลังคาจะถล่มใส่หัวเราเมื่อไหร่ 00:17:25.000 --> 00:17:28.000 ไม่ได้เป็นเพราะพวกเราตรวจสอบเอง 00:17:28.000 --> 00:17:30.000 แต่พวกเราค่อนข้างมั่นใจ 00:17:30.000 --> 00:17:33.000 ว่าโครงสร้างอาคารได้มาตรฐาน 00:17:33.000 --> 00:17:35.000 มันเป็นแบบจำลองที่เรายอมรับ 00:17:35.000 --> 00:17:37.000 และเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ 00:17:37.000 --> 00:17:40.000 และค่อนข้างดีทีเดียว NOTE Paragraph 00:17:42.000 --> 00:17:44.000 ตอนนี้ สิ่งที่พวกเราต้องการคือ 00:17:44.000 --> 00:17:46.000 ให้ผู้คนทำความคุ้นเคยกับแบบจำลองที่ดีกว่า 00:17:46.000 --> 00:17:48.000 ให้มากกว่านี้ 00:17:48.000 --> 00:17:50.000 ทำให้มันสะท้อนอยู่ในความรู้สึกพวกเขา 00:17:50.000 --> 00:17:54.000 ให้พวกเขาใช้เพื่อตัดสินใจยอมเสียบางอย่างเพื่อแลกกับความปลอดภัย 00:17:54.000 --> 00:17:56.000 และเมื่ออะไรไม่เป็นไปอย่างที่ควรเป็น 00:17:56.000 --> 00:17:58.000 จะมี 2 ทางให้คุณเลือก 00:17:58.000 --> 00:18:00.000 ตัวเลือกแรก คือ แก้ที่ความรู้สึกผู้คน 00:18:00.000 --> 00:18:02.000 แก้ที่ความรู้สึกโดยตรง 00:18:02.000 --> 00:18:05.000 มันเป็นการปรับเปลี่ยนยักย้าย แต่ก็อาจจะเห็นผลสักวันหนึ่ง 00:18:05.000 --> 00:18:07.000 ตัวเลือกที่สอง เอาตรงๆนะ 00:18:07.000 --> 00:18:10.000 ก็คือแก้ที่ตัวแบบจำลอง 00:18:11.000 --> 00:18:13.000 การเปลี่ยนแปลงค่อยๆเกิดขึ้น 00:18:13.000 --> 00:18:16.000 ประเด็นสูบบุหรี่ใช้เวลา 40 ปี 00:18:16.000 --> 00:18:19.000 และนั่นไม่ได้ยากเท่าไหร่ 00:18:19.000 --> 00:18:21.000 ในขณะที่บางสิ่งในที่นี้แก้ยาก 00:18:21.000 --> 00:18:23.000 แก้ลำบากมาก 00:18:23.000 --> 00:18:25.000 ข้อมูลดูเหมือนจะเป็นความหวังที่ดีที่สุดของเรา NOTE Paragraph 00:18:25.000 --> 00:18:27.000 และผมโกหก 00:18:27.000 --> 00:18:29.000 ที่ผมพูดไว้ว่า "ความรู้สึก" "แบบจำลอง" และ"สภาพความเป็นจริง" 00:18:29.000 --> 00:18:32.000 ที่ว่าสภาพความเป็นจริงจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่จริงๆมันเปลี่ยนได้ 00:18:32.000 --> 00:18:34.000 พวกเราอยู่ในโลกของเทคโนโลยี 00:18:34.000 --> 00:18:37.000 ความเป็นจริงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 00:18:37.000 --> 00:18:40.000 ฉะนั้น อาจจะมีครั้งแรกในสายพันธุ์มนุษย์ของเรา 00:18:40.000 --> 00:18:43.000 ที่ความรู้สึกไล่ตามแบบจำลอง แบบจำลองไล่ตามสภาพความเป็นจริง และความเป็นจริงก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ 00:18:43.000 --> 00:18:46.000 แม้อาจจะตามกันไม่ทัน 00:18:47.000 --> 00:18:49.000 แต่ใครจะรู้ล่ะ? 00:18:49.000 --> 00:18:51.000 แต่ในระยะยาว 00:18:51.000 --> 00:18:54.000 ความรู้สึกและสภาพความเป็นจริงเป็นสิ่งสำคัญ 00:18:54.000 --> 00:18:57.000 และผมอยากจบการอภิปรายครั้งนี้ด้วยสองเรื่องสั้นๆเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น NOTE Paragraph 00:18:57.000 --> 00:18:59.000 ปี 1982 (พ.ศ.2525) ผมไม่แน่ใจว่าใครจำเรื่องนี้ได้หรือเปล่า 00:18:59.000 --> 00:19:02.000 มีเหตุโรคระบาดที่เกิดขึ้นในช่วงสั้น 00:19:02.000 --> 00:19:04.000 ของไทลินอลเป็นพิษในสหรัฐฯ 00:19:04.000 --> 00:19:07.000 เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวทีเดียว ซึ่งเกิดจากใครสักคน 00:19:07.000 --> 00:19:10.000 ใส่ยาพิษลงในขวดยาแล้วปิดฝาวางไว้ที่เดิม 00:19:10.000 --> 00:19:12.000 ไม่นานก็มีคนซื้อไป 00:19:12.000 --> 00:19:14.000 คนๆนี้ทำให้ 00:19:14.000 --> 00:19:16.000 เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในสังคมตามมาอีกหลายๆครั้ง 00:19:16.000 --> 00:19:19.000 ทั้งที่อาจไม่มีภัยนั้นจริง แต่ผู้คนก็ยังกลัวกันอยู่ดี 00:19:19.000 --> 00:19:21.000 และนี่เป็นแหล่งกำเนิด 00:19:21.000 --> 00:19:23.000 นวัตกรรมผนึกขวดในอุตสาหกรรมยา 00:19:23.000 --> 00:19:25.000 ฝาผนึกขวดที่เห็นทุกวันนี้มาจากเหตุการณ์นั้นเอง 00:19:25.000 --> 00:19:27.000 นับว่าเข้ากับโรงละครความปลอดภัยเต็มรูปแบบ 00:19:27.000 --> 00:19:29.000 ผบขอให้ทุกท่านลองไปคิดดูเป็นการบ้านนะครับ ว่าถ้าเป็นคุณจะแก้ไขอย่างไร ซัก 10 วิธีนะครับ 00:19:29.000 --> 00:19:32.000 สำหรับผม ใช้หลอดฉีดยาก็ไม่เลวนะ 00:19:32.000 --> 00:19:35.000 น่าจะทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น 00:19:35.000 --> 00:19:37.000 มันทำให้พวกเขาวางใจว่าปลอดภัย 00:19:37.000 --> 00:19:39.000 ใช้ได้ในสภาพความเป็นจริง NOTE Paragraph 00:19:39.000 --> 00:19:42.000 และเรื่องสุดท้าย เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อนผมเพิ่งคลอดลูก 00:19:42.000 --> 00:19:44.000 ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล 00:19:44.000 --> 00:19:46.000 ผมสังเกตเห็นว่า ทุกวันนี้เด็กที่คลอด 00:19:46.000 --> 00:19:48.000 ต้องใส่กำไลข้อมือประจำตัวแบบเทคโนโลยีคลื่นความถี่ (RFID) 00:19:48.000 --> 00:19:50.000 พร้อมทั้งใส่อีกอันหนึ่งให้คุณแม่ 00:19:50.000 --> 00:19:52.000 ทั้งนี้ ถ้ามีใครสักคนที่ไม่ใช่คุณแม่ของเด็กอุ้มตัวเด็กออกจากเขตที่ตั้งไว้ 00:19:52.000 --> 00:19:54.000 เสียงเตือนจะดังขึ้นทันที 00:19:54.000 --> 00:19:56.000 ผมขอบอกว่า "มันดูเหมือนจะใช้ได้นะ 00:19:56.000 --> 00:19:58.000 แต่ผมสงสัยว่า พวกลักพาตัวเด็ก 00:19:58.000 --> 00:20:00.000 หนีออกจากโรงพยาบาลได้อย่างไร?" 00:20:00.000 --> 00:20:02.000 ผมลองมาสืบค้นข้อมูล 00:20:02.000 --> 00:20:04.000 ได้ความว่า เหตุการณ์แบบนี้แทบไม่เกิดขึ้นเลย 00:20:04.000 --> 00:20:06.000 แต่คุณลองคิดดู 00:20:06.000 --> 00:20:08.000 ถ้าคุณเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล 00:20:08.000 --> 00:20:10.000 แล้วเกิดต้องพาตัวเด็กไปจากแม่ 00:20:10.000 --> 00:20:12.000 เพื่อไปตรวจอะไรซักอย่าง 00:20:12.000 --> 00:20:14.000 คุณควรจะมี "โรงละครปลอดภัย" ที่ดี 00:20:14.000 --> 00:20:16.000 มิฉะนั้นแม่ของเด็กคนนั้นคงเอาคุณตายแน่ๆ NOTE Paragraph 00:20:16.000 --> 00:20:18.000 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:20:18.000 --> 00:20:20.000 ฉะนั้นมันสำคัญกับพวกเรา 00:20:20.000 --> 00:20:22.000 กับกลุ่มคนที่ออกแบบวิธีรักษาความปลอดภัยทั้งหลาย 00:20:22.000 --> 00:20:25.000 กลุ่มคนที่วางนโยบายความปลอดภัย 00:20:25.000 --> 00:20:27.000 หรือกระทั่งกลุ่มคนที่วางนโยบายสาธารณะ 00:20:27.000 --> 00:20:29.000 ที่จะมีผลกระทบกับความปลอดภัย 00:20:29.000 --> 00:20:32.000 ไม่ใช่เพียงสภาพความเป็นจริง แต่เป็นความรู้สึกและความเป็นจริงผนวกเข้าด้วยกัน 00:20:32.000 --> 00:20:34.000 สิ่งที่สำคัญคือ 00:20:34.000 --> 00:20:36.000 สองอย่างนี้คล้ายๆกัน 00:20:36.000 --> 00:20:38.000 และเมื่อความรู้สึกและความเป็นจริงไปในแนวทางเดียวแล้ว 00:20:38.000 --> 00:20:40.000 ก็จะทำให้เราเลือกที่จะเสียบางอย่างไปเพื่อแลกกับความปลอดภัยได้ดีขึ้น NOTE Paragraph 00:20:40.000 --> 00:20:42.000 ขอบคุณมากครับ NOTE Paragraph 00:20:42.000 --> 00:20:44.000 (เสียงปรบมือ)