1 00:00:00,000 --> 00:00:02,000 ความปลอดภัยแบ่งเป็นสองประเภทนะครับ 2 00:00:02,000 --> 00:00:04,000 คือความรู้สึก และความเป็นจริง 3 00:00:04,000 --> 00:00:06,000 และมันไม่เหมือนกัน 4 00:00:06,000 --> 00:00:08,000 คุณรู้สึกถึงความปลอดภัยได้ 5 00:00:08,000 --> 00:00:10,000 แม้ว่าจริงๆไม่ได้เป็นเช่นนั้น 6 00:00:10,000 --> 00:00:12,000 และคุณก็ปลอดภัยได้ 7 00:00:12,000 --> 00:00:14,000 โดยไม่รู้สึกถึงมัน 8 00:00:14,000 --> 00:00:16,000 จริงๆแล้ว มันเป็นสองแนวคิดที่แยกออกจากกัน 9 00:00:16,000 --> 00:00:18,000 แต่ผนวกอยู่ในคำๆเดียว 10 00:00:18,000 --> 00:00:20,000 และสิ่งที่ผมอยากนำเสนอในวันนี้ 11 00:00:20,000 --> 00:00:22,000 ก็คือแยกมันออกจากกัน 12 00:00:22,000 --> 00:00:24,000 เพื่อดูว่าสองอย่างนี้แยกออก 13 00:00:24,000 --> 00:00:26,000 และรวมกันเมื่อไหร่ อย่างไร 14 00:00:26,000 --> 00:00:28,000 โดยในส่วนนี้ภาษาเองเป็นที่ปัญหา 15 00:00:28,000 --> 00:00:30,000 เพราะเรายังไม่มีคำที่สามารถสื่อความหมาย 16 00:00:30,000 --> 00:00:33,000 สำหรับสิ่งที่เรากำลังจะกล่าวถึงได้ดีนัก 17 00:00:33,000 --> 00:00:35,000 หากเราพูดถึงความปลอดภัย 18 00:00:35,000 --> 00:00:37,000 ในทางเศรษฐศาสตร์ 19 00:00:37,000 --> 00:00:39,000 มันคือการได้อย่างเสียอย่าง (trade-off) 20 00:00:39,000 --> 00:00:41,000 ทุกครั้งที่คุณได้มาซึ่งความปลอดภัย 21 00:00:41,000 --> 00:00:43,000 คุณมักจะแลกมาด้วยสิ่งที่คุณมี 22 00:00:43,000 --> 00:00:45,000 ตั้งแต่เรื่องการตัดสินใจส่วนตัว 23 00:00:45,000 --> 00:00:47,000 เช่น การที่คุณจะติดตั้งสัญญาณกันขโมยในบ้าน 24 00:00:47,000 --> 00:00:50,000 หรือจะเป็นการตัดสินระดับชาติ ว่าคุณจะรุกรานประเทศใด 25 00:00:50,000 --> 00:00:52,000 ล้วนต้องยอมเสียบางอย่างไปเพื่อแลกมาเสมอ 26 00:00:52,000 --> 00:00:55,000 เงินบ้างล่ะ เวลาบ้างล่ะ ความสะดวกสบาย สมรรถภาพ 27 00:00:55,000 --> 00:00:58,000 หรือเสรีภาพขั้นพื้นฐาน 28 00:00:58,000 --> 00:01:01,000 และคำถามที่จะเกิดขึ้นในประเด็นด้านความปลอดภัย 29 00:01:01,000 --> 00:01:04,000 ไม่ใช่คำถามว่ามันทำให้เราปลอดภัยขึ้นหรือไม่ 30 00:01:04,000 --> 00:01:07,000 แต่กลับเป็นว่า คุ้มไหมที่ยอมเสียไปเพื่อให้ได้มา 31 00:01:07,000 --> 00:01:09,000 คุณคงเคยได้ยินว่าหลายๆปีที่ผ่านมา 32 00:01:09,000 --> 00:01:11,000 โลกของเราปลอดภัยขึ้น เพราะซัดดัม ฮุสเซ็นไม่ได้กุมอำนาจไว้แล้ว 33 00:01:11,000 --> 00:01:14,000 นั่นอาจจะจริง แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวโยงกันถึงขั้นนั้น 34 00:01:14,000 --> 00:01:17,000 คำถามคือ คุ้มค่าหรือเปล่า 35 00:01:17,000 --> 00:01:20,000 และคุณสามารถตัดสินใจด้วยตัวเอง 36 00:01:20,000 --> 00:01:22,000 และคุณก็จะตัดสินว่ามันคุ้มกับการรุกรานหรือเปล่า 37 00:01:22,000 --> 00:01:24,000 นั่นคือวิธีคิดเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัย 38 00:01:24,000 --> 00:01:26,000 ในบริบทของการได้อย่างเสียอย่าง 39 00:01:26,000 --> 00:01:29,000 เอาล่ะ มันไม่ได้มีอะไรถูกหรือผิด 40 00:01:29,000 --> 00:01:31,000 บางท่านในที่นี้ติดตั้งสัญญาณกันขโมยในบ้าน 41 00:01:31,000 --> 00:01:33,000 บางท่านไม่ติด 42 00:01:33,000 --> 00:01:35,000 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบ้านคุณตั้งอยู่ที่ไหน 43 00:01:35,000 --> 00:01:37,000 อยู่ตัวคนเดียว หรืออยู่กับครอบครัว 44 00:01:37,000 --> 00:01:39,000 มีของใช้ราคาแพงจำนวนมากน้อยขนาดไหน 45 00:01:39,000 --> 00:01:41,000 จะยอมรับกับความเสี่ยงที่โจรจะขึ้นบ้าน 46 00:01:41,000 --> 00:01:43,000 ได้มากน้อยขนาดไหน 47 00:01:43,000 --> 00:01:45,000 ทางการเมืองก็เช่นกัน 48 00:01:45,000 --> 00:01:47,000 มีความคิดเห็นหลากหลาย 49 00:01:47,000 --> 00:01:49,000 และบ่อยครั้งที่การได้อย่างเสียอย่าง 50 00:01:49,000 --> 00:01:51,000 เป็นมากกว่าแค่ความปลอดภัย 51 00:01:51,000 --> 00:01:53,000 และผมเชื่อว่ามันสำคัญมาก 52 00:01:53,000 --> 00:01:55,000 ทุกคนมีสัญชาตญาณ 53 00:01:55,000 --> 00:01:57,000 ในเรื่องการได้อย่างเสียอย่าง 54 00:01:57,000 --> 00:01:59,000 เพราะเราทำกันทุกวัน 55 00:01:59,000 --> 00:02:01,000 เช่น ตอนผมออกจากโรงแรมเมื่อคืน 56 00:02:01,000 --> 00:02:03,000 การที่ผมล็อกประตูสองชั้น 57 00:02:03,000 --> 00:02:05,000 การที่คุณขับรถมาที่นี่ 58 00:02:05,000 --> 00:02:07,000 หรือตอนที่เราไปกินอาหารเที่ยง 59 00:02:07,000 --> 00:02:10,000 เราเชื่อว่าอาหารไม่ได้เป็นพิษ เลยทานมันเข้าไป 60 00:02:10,000 --> 00:02:12,000 พวกเราแลกบางอย่างมาด้วยการเสียบางอย่างไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า 61 00:02:12,000 --> 00:02:14,000 หลายๆครั้งในหนึ่งวัน 62 00:02:14,000 --> 00:02:16,000 เราไม่ค่อยรู้ตัวกันหรอก 63 00:02:16,000 --> 00:02:18,000 เพราะมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด 64 00:02:18,000 --> 00:02:21,000 รวมไปถึงสัตว์ทุกสายพันธุ์ด้วย 65 00:02:21,000 --> 00:02:23,000 ลองนึกภาพกระต่ายน้อยกำลังกินหญ้าอยู่ในสวน 66 00:02:23,000 --> 00:02:26,000 และมันต้องเจอสุนัขจิ้งจอก 67 00:02:26,000 --> 00:02:28,000 ตอนนั้นแหละที่กระต่ายจำต้องสละบางอย่างเพื่อแลกกับความปลอดภัย 68 00:02:28,000 --> 00:02:30,000 ถามตัวเองว่า "จะกินต่อดี หรือ จะหนีดี?" 69 00:02:30,000 --> 00:02:32,000 และหากคุณลองคิดดูดีๆ 70 00:02:32,000 --> 00:02:35,000 กระต่ายที่ถ่วงดุลแล้วตัดสินใจเลือกทางที่ถูกต้อง 71 00:02:35,000 --> 00:02:37,000 มีแนวโน้มอยู่รอดและสืบพันธุ์ต่อไป 72 00:02:37,000 --> 00:02:39,000 ในขณะที่กระต่ายที่ตัดสินใจผิด 73 00:02:39,000 --> 00:02:41,000 จะถูกกินหรือไม่ก็หิวโซ 74 00:02:41,000 --> 00:02:43,000 ทีนี้ คุณอาจจะคิดว่า 75 00:02:43,000 --> 00:02:46,000 สายพันธุ์มนุษย์ประเสริฐอย่างพวกเรา 76 00:02:46,000 --> 00:02:48,000 คุณ ผม และคนเราทุกคน 77 00:02:48,000 --> 00:02:51,000 คงเก่งเรื่องถ่วงดุลการได้อย่างเสียอย่างแบบนี้แน่ๆ 78 00:02:51,000 --> 00:02:53,000 ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า 79 00:02:53,000 --> 00:02:56,000 ที่เราทำได้ไม่เข้าท่าเอามากๆ 80 00:02:56,000 --> 00:02:59,000 และผมคิดว่านั่นเป็นปัญหาพื้นฐานที่น่าสนใจทีเดียว 81 00:02:59,000 --> 00:03:01,000 ผมจะตอบสั้นๆนะครับ 82 00:03:01,000 --> 00:03:03,000 จริงๆแล้ว มนุษย์เราตอบสนองกับการรับรู้ถึงความปลอดภัย 83 00:03:03,000 --> 00:03:06,000 ไม่ใช่กับความเป็นจริง 84 00:03:06,000 --> 00:03:09,000 ทั้งนี้ โดยมากแล้วจะไม่เป็นปัญหา 85 00:03:10,000 --> 00:03:12,000 เพราะส่วนใหญ่ 86 00:03:12,000 --> 00:03:15,000 ความรู้สึกกับความเป็นจริงมันเป็นไปในทางเดียวกัน 87 00:03:15,000 --> 00:03:17,000 มันเป็นแบบนั้นจริงๆ 88 00:03:17,000 --> 00:03:20,000 สมัยก่อนประวัติศาสตร์มนุษยชาติ 89 00:03:20,000 --> 00:03:23,000 พวกเราล้วนได้พัฒนาศักยภาพนี้ 90 00:03:23,000 --> 00:03:25,000 เพราะมันเป็นผลดีกับวิวัฒนาการ 91 00:03:25,000 --> 00:03:27,000 คิดอีกแบบหนึ่ง 92 00:03:27,000 --> 00:03:29,000 ได้ว่า การที่เรามีความสามารถตัดสินใจในสถานการณ์เสี่ยงๆ 93 00:03:29,000 --> 00:03:31,000 ก็เพื่อเอื้อกับการดำรงชีวิต 94 00:03:31,000 --> 00:03:34,000 ในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ชีวิตเป็นกลุ่มชนเล็กๆบนที่ราบสูง 95 00:03:34,000 --> 00:03:37,000 ในทวีปอัฟริกาฝั่งตะวันออกใน 100,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช 96 00:03:37,000 --> 00:03:40,000 ซึ่งต่างจากการชีวิตในนครนิวยอร์กในปี 2010 (พ.ศ.2553) 97 00:03:41,000 --> 00:03:44,000 ทีนี้ หลายๆครั้งที่การรับรู้ถึงภัยอันตรายเป็นไปแบบไม่สมเหตุสมผลนัก 98 00:03:44,000 --> 00:03:46,000 จากการทดลองหลายๆครั้ง 99 00:03:46,000 --> 00:03:49,000 แสดงให้เห็นว่าความไม่สมเหตุสมผลเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า 100 00:03:49,000 --> 00:03:51,000 ทีนี้ผมจะลองยกความไม่สมเหตุสมผลให้ฟังสัก 4 อย่างนะครับ 101 00:03:51,000 --> 00:03:54,000 พวกเรามักจะมีปฏิกิริยาเกินจริงกับภัยอันตรายที่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและไม่ค่อยเกิดขึ้น 102 00:03:54,000 --> 00:03:56,000 และลดความสำคัญของภัยอันตรายที่เกิดทุกวัน 103 00:03:56,000 --> 00:03:59,000 เช่นเลือกที่จะบินหรือขับรถ 104 00:03:59,000 --> 00:04:01,000 คนเรามักจะติดภาพว่าสิ่งแปลกปลอม 105 00:04:01,000 --> 00:04:04,000 ทำให้เกิดภัยมากกว่าสิ่งที่คุ้นเคย 106 00:04:05,000 --> 00:04:07,000 ตัวอย่างเช่น 107 00:04:07,000 --> 00:04:10,000 คนเรากลัวโดนคนแปลกหน้าลักพาตัวเด็กๆ 108 00:04:10,000 --> 00:04:13,000 ทั้งที่สถิติแสดงให้เห็นว่่าอัตราการลักพาตัวจากคนใกล้ชิดนั้นสูงกว่าเสียอีก 109 00:04:13,000 --> 00:04:15,000 ส่วนนี้หมายถึงเด็กๆนะครับ 110 00:04:15,000 --> 00:04:18,000 สาม เราจะรับรู้ภัยที่เกิดจาก 111 00:04:18,000 --> 00:04:21,000 บุคคลที่เป็นรูปธรรมได้มากกว่าภัยอื่นๆที่เกิดจากบุคคลนิรนาม 112 00:04:21,000 --> 00:04:24,000 ฉะนั้นบิน ลาเด็นก็น่ากลัวกว่าใครๆเพราะมีชื่อเสียงเรียงนาม 113 00:04:24,000 --> 00:04:26,000 และอย่างที่สี่ 114 00:04:26,000 --> 00:04:28,000 ผู้คนมักจะไม่ระวัง 115 00:04:28,000 --> 00:04:30,000 สถานการณ์ที่พวกเขามีอำนาจควบคุม 116 00:04:30,000 --> 00:04:34,000 และประเมินสถานการณ์ที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนควบคุมสูงกว่าที่ควรจะเป็น 117 00:04:34,000 --> 00:04:37,000 เช่น การโดดร่มหรือการสูบบุหรี่ 118 00:04:37,000 --> 00:04:39,000 พวกเขาประเมินความเสี่ยงต่ำไป 119 00:04:39,000 --> 00:04:42,000 หากภัยพุ่งเข้าหาคุณ เช่น กรณีก่อการร้าย 120 00:04:42,000 --> 00:04:45,000 คุณจะตอบสนองมากเกินกว่าที่ควร เพราะคุณรู้สึกว่ามันไม่ไ้ด้อยู่ในการควบคุมของคุณ 121 00:04:47,000 --> 00:04:50,000 มีอคติอื่นๆอีกนับไม่ถ้วนที่เป็น อคติทางการคิด (cognitive bias) 122 00:04:50,000 --> 00:04:53,000 ซึ่งมีผลกับการตัดสินใจของเรา 123 00:04:53,000 --> 00:04:55,000 ซึ่งก็มีวิทยการศึกษาสำนึก (heuristic) ที่ใช้ในเรื่องนี้ได้ 124 00:04:55,000 --> 00:04:57,000 หมายความว่า 125 00:04:57,000 --> 00:05:00,000 เราประเมินความเป็นไปได้ของสถานการณ์ใดๆ 126 00:05:00,000 --> 00:05:04,000 โดยการเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เรานึกได้ 127 00:05:04,000 --> 00:05:06,000 ลองคิดดูว่ามันเป็นเช่นนั้นไหม 128 00:05:06,000 --> 00:05:09,000 ถ้าวันหนึ่ง คุณได้ยินเรื่องเสือทำร้ายใครเข้าบ่อยๆ คุณย่อมคิดว่ามีเสือหลายตัวป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ 129 00:05:09,000 --> 00:05:12,000 ในขณะที่หากไม่มีข่าวสิงโตทำร้ายใครเข้าหูคุณ คุณก็จะคิดว่าไม่มีสิงโตในแถบที่คุณอยู่ 130 00:05:12,000 --> 00:05:15,000 วิธีนี้ใช้การได้จนกระทั่งวันที่เราประดิษฐ์หนังสือพิมพ์ขึ้นมา 131 00:05:15,000 --> 00:05:17,000 เพราะหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ 132 00:05:17,000 --> 00:05:19,000 คือการบอกเล่าเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น 133 00:05:19,000 --> 00:05:21,000 ซ้ำแล้วซ้ำอีก 134 00:05:21,000 --> 00:05:23,000 ผมบอกได้เลยครับ ถ้าเรื่องใดๆเป็นข่าวได้ 135 00:05:23,000 --> 00:05:25,000 ก็หมายความว่า 136 00:05:25,000 --> 00:05:28,000 เหตุการณ์นั้นไม่ค่อยได้เกิดขึ้นหรอกครับ ถึงได้เป็นที่พูดถึง 137 00:05:28,000 --> 00:05:30,000 (เสียงหัวเราะ) 138 00:05:30,000 --> 00:05:33,000 เพราะถ้าเหตุการณ์ไหนธรรมดาไป ก็จะไม่ถูกจัดว่าเป็นข่าว 139 00:05:33,000 --> 00:05:35,000 รถชน ความรุนแรงในประเทศ 140 00:05:35,000 --> 00:05:38,000 เป็นสิ่งที่มักเป็นที่กังวล 141 00:05:38,000 --> 00:05:40,000 อีกทั้งพวกเราเป็นสายพันธุ์ที่อยู่กับการบอกเล่าเรื่องราว 142 00:05:40,000 --> 00:05:43,000 พวกเราตอบสนองกับเรื่องราวมากกว่าข้อมูล 143 00:05:43,000 --> 00:05:45,000 รวมถึงเรื่องของจำนวนตัวเลข 144 00:05:45,000 --> 00:05:48,000 ผมว่ามุขตลกนับเลขที่ว่า "หนึ่ง" "สอง" "สาม" "เยอะแยะ" นั่นน่าจะถูกต้อง 145 00:05:48,000 --> 00:05:51,000 พวกเราตอบสนองกับตัวเลขแค่ไม่กี่หลัก 146 00:05:51,000 --> 00:05:53,000 เช่นมะม่วงหนึ่งลูก มะม่วงสองลูก สามลูก 147 00:05:53,000 --> 00:05:55,000 มะม่วง 10,000 ลูก 100,000 ลูก 148 00:05:55,000 --> 00:05:58,000 ยังมีมะม่วงเหลือไว้ทานอีกเยอะหากมันเน่าไปแล้ว 149 00:05:58,000 --> 00:06:01,000 ไหนจะครึ่งหนึ่ง หนึ่งส่วนสี่ หนึ่งส่วนห้า พวกเราเก่งเรื่องนั้น 150 00:06:01,000 --> 00:06:03,000 แต่หากเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในพันล้าน 151 00:06:03,000 --> 00:06:06,000 จำนวนนั้นจะแทบไม่มีตัวตนเลย 152 00:06:06,000 --> 00:06:08,000 ฉะนั้นเรามีปัญหากับภัยอันตราย 153 00:06:08,000 --> 00:06:10,000 ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นเป็นประจำ 154 00:06:10,000 --> 00:06:12,000 อคติทางการคิดพวกนี้ 155 00:06:12,000 --> 00:06:15,000 ทำหน้าที่กรองข้อมูลระหว่างเรากับความเป็นจริง 156 00:06:15,000 --> 00:06:17,000 ผลก็คือ 157 00:06:17,000 --> 00:06:19,000 ความรู้สึกกับความเป็นจริงก็แยกออก 158 00:06:19,000 --> 00:06:22,000 กลายเป็นคนละเรื่องกัน 159 00:06:22,000 --> 00:06:25,000 เราอาจจะรู้สึกถึงความปลอดภัยมากกว่าที่เป็นอยู่ 160 00:06:25,000 --> 00:06:27,000 สัมผัสถึงความปลอดภัยที่ไม่ได้มีอยู่จริง 161 00:06:27,000 --> 00:06:29,000 หรืออีกอย่าง 162 00:06:29,000 --> 00:06:31,000 สัมผัสไม่ถึงอันตรายที่มีอยู่จริง 163 00:06:31,000 --> 00:06:34,000 ผมเขียนเรื่องราวของ "โรงละครความปลอดภัย" มานับไม่ถ้วน 164 00:06:34,000 --> 00:06:37,000 มันคือผลิดภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัย 165 00:06:37,000 --> 00:06:39,000 ในขณะที่สิ่งเหล่านั้นแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย 166 00:06:39,000 --> 00:06:41,000 ไม่มีคำใดๆที่จะสื่อถึงสิ่งที่ทำให้เราปลอดภัย 167 00:06:41,000 --> 00:06:43,000 โดยที่ไม่ได้้ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น 168 00:06:43,000 --> 00:06:46,000 มันอาจจะเป็นสิ่งที่ซีไอเอ (CIA) ควรจะช่วยพวกเรา 169 00:06:48,000 --> 00:06:50,000 ทีนี้ เรากลับมาพูดถึงประเด็นเศรษฐศาสตร์ 170 00:06:50,000 --> 00:06:54,000 ถ้าเศรษฐศาสตร์ ถ้าระบบตลาดเป็นตัวกลางผลักดันความปลอดภัย 171 00:06:54,000 --> 00:06:56,000 หากผู้คนยอมแลกอย่างหนึ่งไปเพื่อให้ได้อีกอย่างมา 172 00:06:56,000 --> 00:06:59,000 โดยใช้ความรู้สึกปลอดภัยเป็นฐาน 173 00:06:59,000 --> 00:07:01,000 พวกบริษัทหัวใสก็จะสร้าง 174 00:07:01,000 --> 00:07:03,000 แรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ 175 00:07:03,000 --> 00:07:06,000 ด้วยการทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความปลอดภัย 176 00:07:06,000 --> 00:07:09,000 ส่วนแนวทางนั้นมีอยู่สองทาง 177 00:07:09,000 --> 00:07:11,000 อย่างแรก คุณทำให้ลูกค้าปลอดจากภัยอันตรายจริงๆ 178 00:07:11,000 --> 00:07:13,000 และหวังว่าพวกเขาจะรับรู้ได้เอง 179 00:07:13,000 --> 00:07:16,000 หรือสอง คุณเพียงให้ลูกค้าวางใจว่าปลอดภัย 180 00:07:16,000 --> 00:07:19,000 และหวังว่าพวกเขาจะจับไม่ได้ 181 00:07:20,000 --> 00:07:23,000 ฉะนั้น ปัจจัยที่จะำให้พวกเขาจับได้ 182 00:07:23,000 --> 00:07:25,000 ก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง 183 00:07:25,000 --> 00:07:27,000 ความรู้ความเข้าใจในเรื่องความมั่นคงปลอดภัย 184 00:07:27,000 --> 00:07:29,000 ในเรื่องความเสี่ยง ในเรื่องภัยคุกคาม 185 00:07:29,000 --> 00:07:32,000 ในเรื่องวิธีการรับมือ ว่าเป็นอย่างไร 186 00:07:32,000 --> 00:07:34,000 หากเราเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว 187 00:07:34,000 --> 00:07:37,000 ความรู้สึกที่ปลอดจากภัยนั้นๆก็จะค่อยๆมาควบคู่กับความเป็นจริง 188 00:07:37,000 --> 00:07:40,000 ตัวอย่างเหตุการณ์จริงจำนวนมากพอจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจให้ถูกต้อง 189 00:07:40,000 --> 00:07:43,000 ปัจจุบันเราต่างมีข้อมูลอัตราอาชญากรรมในท้องถิ่นที่เราอาศัย 190 00:07:43,000 --> 00:07:46,000 เพราะเราใช้ชีวิตแถวนั้น และเรารับรู้เรื่องต่างๆมากพอควร 191 00:07:46,000 --> 00:07:49,000 ฉะนั้นความรู้สึกกับความเป็นจริงก็ไปในแนวทางเดียวกัน 192 00:07:49,000 --> 00:07:52,000 โรงละครความปลอดภัยแสดงให้เห็น 193 00:07:52,000 --> 00:07:55,000 ถึงความชัดเจนของเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามที่ึควรจะเป็น 194 00:07:55,000 --> 00:07:59,000 เอาล่ะ แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้ผู้คนจับไม่ได้? 195 00:07:59,000 --> 00:08:01,000 ครับ ก็คือความไม่รู้ 196 00:08:01,000 --> 00:08:04,000 หากคุณไม่เข้าใจเรื่องความเสี่ยงภัย คุณก็ย่อมประเมินต้นทุนความเสี่ยงไม่ได้ 197 00:08:04,000 --> 00:08:06,000 เลยอาจทำให้คุณยอมเสียไปมากกว่าที่ได้มา 198 00:08:06,000 --> 00:08:09,000 และความรู้สึกกับความเป็นจริงไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน 199 00:08:09,000 --> 00:08:11,000 ไม่ค่อยมีตัวอย่างเหตุการณ์ 200 00:08:11,000 --> 00:08:13,000 มีปัญหาที่เป็นธรรมชาติของ 201 00:08:13,000 --> 00:08:15,000 เหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย 202 00:08:15,000 --> 00:08:17,000 อย่างเช่น ถ้าหากว่า 203 00:08:17,000 --> 00:08:19,000 การก่อการร้ายแทบไม่เกิดขึ้นเลย 204 00:08:19,000 --> 00:08:21,000 ฉะนั้นการประเมิน 205 00:08:21,000 --> 00:08:24,000 วิธีรับมือที่ได้ผลก็เป็นไปได้ยาก 206 00:08:25,000 --> 00:08:28,000 เราจึงต้องเสียผู้บริสุทธิ์ไปนับต่อนับ 207 00:08:28,000 --> 00:08:31,000 และเป็นสาเหตุที่การโทษผีสางเทวดาใช้ได้ผล 208 00:08:31,000 --> 00:08:34,000 เพราะไม่ค่อยมีกรณีที่ใช้ไม่ได้ผลให้เห็นมากนัก 209 00:08:35,000 --> 00:08:38,000 บวกกับความรู้สึกที่บดบังความเป็นจริง 210 00:08:38,000 --> 00:08:40,000 อคติทางการคิดที่ผมพูดไปแล้วก่อนหน้านี้ 211 00:08:40,000 --> 00:08:43,000 ความกลัว ตำนานความเชื่อต่างๆ 212 00:08:43,000 --> 00:08:46,000 เป็นแบบจำลองที่สะท้อนความเป็นจริงไม่ได้ดีนัก 213 00:08:47,000 --> 00:08:50,000 ทีนี้ผมขออธิบายเพิ่มเติม 214 00:08:50,000 --> 00:08:52,000 จากที่พูดไปมีเรื่องของความรู้สึกและความเป็นจริง 215 00:08:52,000 --> 00:08:55,000 ทีนี้ผมอยากจะเพิ่มส่วนที่สามเข้าไป เป็นส่วนของ "แบบจำลอง (model)" 216 00:08:55,000 --> 00:08:57,000 ความรู้สึกและแบบจำลองจะติดอยู่ในสมองเรา 217 00:08:57,000 --> 00:08:59,000 สภาพความเป็นจริงจะอยู่รอบๆตัวเรา 218 00:08:59,000 --> 00:09:02,000 ส่วนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะมันเป็นของจริง 219 00:09:02,000 --> 00:09:04,000 ฉะนั้นความรู้สึกจะยึดเอาสัญชาติญาณเป็นหลัก 220 00:09:04,000 --> 00:09:06,000 แบบจำลองจะขึ้นอยู่กับเหตุผลเป็นหลัก 221 00:09:06,000 --> 00:09:09,000 ซึ่งค่อนข้างต่างกัน 222 00:09:09,000 --> 00:09:11,000 ในโลกสมัยบรรพกาลที่เรียบง่าย 223 00:09:11,000 --> 00:09:14,000 ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องสร้างแบบจำลอง 224 00:09:14,000 --> 00:09:17,000 เพราะความรู้สึกใกล้เคียงกับความเป็นจริงอยู่แล้ว 225 00:09:17,000 --> 00:09:19,000 จึงไม่ต้องใช้แบบจำลองใดๆ 226 00:09:19,000 --> 00:09:21,000 แต่สำหรับโลกสมัยใหม่ที่ซับซ้อนอย่างที่เราอยู่กันนี้ 227 00:09:21,000 --> 00:09:23,000 แบบจำลองเป็นสิ่งจำเป็น 228 00:09:23,000 --> 00:09:26,000 ในการเข้าใจความเสี่ยงภัยที่จะพบเจอ 229 00:09:27,000 --> 00:09:29,000 ลองนึกดูก่อนหน้านี้เราไม่เคยหยั่งรู้ึถึงภัยจากเชื้อโรค 230 00:09:29,000 --> 00:09:32,000 เราจะเข้าใจก็ต่อเมื่อมีแบบจำลอง 231 00:09:32,000 --> 00:09:34,000 ฉะนั้น แบบจำลองที่ว่า 232 00:09:34,000 --> 00:09:37,000 ถือเป็นสื่อนำเสนอความเป็นจริงที่ชาญฉลาด 233 00:09:37,000 --> 00:09:40,000 ทั้งนี้ จะต้องจำกัดอยู่ในกรอบของวิทยาศาสตร์ 234 00:09:40,000 --> 00:09:42,000 และเทคโนโลยี 235 00:09:42,000 --> 00:09:45,000 พวกเราคงไม่รู้จักทฤษฏีการติดเชื้อทำให้เกิดโรค 236 00:09:45,000 --> 00:09:48,000 จนถึงวันที่กล้องจุลทรรศน์ถูกประดิษฐ์ขึ้น 237 00:09:49,000 --> 00:09:52,000 มันถูกจำกัดโดยอคติทางการคิด 238 00:09:52,000 --> 00:09:54,000 แต่มันมีความสามารถ 239 00:09:54,000 --> 00:09:56,000 เข้าครอบงำความรู้สึก 240 00:09:56,000 --> 00:09:59,000 แล้วเราได้แบบจำลองเหล่านี้มาได้ยังไงน่ะหรือครับ? เราได้จากคนอื่น 241 00:09:59,000 --> 00:10:02,000 จากศาสนา วัฒนธรรม 242 00:10:02,000 --> 00:10:04,000 คุณครู ผู้อาวุโส 243 00:10:04,000 --> 00:10:06,000 เมื่อสองสามปีก่อน 244 00:10:06,000 --> 00:10:08,000 ผมไปท่องซาฟารีดูสัตว์ที่อัฟริกาใต้ 245 00:10:08,000 --> 00:10:11,000 คนแกะรอยที่ไปกับผมเกิดที่อุทยานแห่งชาติครูเกอร์ (Kruger) 246 00:10:11,000 --> 00:10:14,000 เขามีแบบจำลองการเอาตัวรอดที่ซับซ้อนมาก 247 00:10:14,000 --> 00:10:16,000 ขึ้นอยู่กับว่าคุณโดนสัตว์ชนิดไหนจู่โจม 248 00:10:16,000 --> 00:10:18,000 เป็นสิงโต เสือดาว แรด หรือช้าง 249 00:10:18,000 --> 00:10:21,000 และเมื่อไหร่ที่คุณรู้ตัวว่าต้องวิ่งหนี ต้องปีนต้นไม้ 250 00:10:21,000 --> 00:10:23,000 หรือเมื่อไหร่ที่ไม่ควรปีน 251 00:10:23,000 --> 00:10:26,000 ถ้าเป็นผมคงไม่รอดชีวิตกลับมา 252 00:10:26,000 --> 00:10:28,000 แต่เขาเกิดที่นั่น 253 00:10:28,000 --> 00:10:30,000 เขารู้ว่าจะอยู่รอดได้ด้วยวิธีไหน 254 00:10:30,000 --> 00:10:32,000 ส่วนผมเกิดในนครนิวยอร์ก 255 00:10:32,000 --> 00:10:35,000 ถ้าผมพาเขาไปนิวยอร์กบ้าง เชื่อว่าเขาคงจะตายตั้งแต่วันแรก 256 00:10:35,000 --> 00:10:37,000 (เสียงหัวเราะ) 257 00:10:37,000 --> 00:10:39,000 นั่นเป็นเพราะเราโตมาด้วยแบบจำลองที่ต่างกัน 258 00:10:39,000 --> 00:10:42,000 พื้นฐานประสบการณ์ที่ต่างกัน 259 00:10:43,000 --> 00:10:45,000 เราได้รับแบบจำลองมาจากสื่อต่างๆ 260 00:10:45,000 --> 00:10:48,000 จากรัฐบาลที่เราเลือกมา 261 00:10:48,000 --> 00:10:51,000 กลับไปที่แบบจำลองการก่อการร้าย 262 00:10:51,000 --> 00:10:54,000 การลักพาตัวเด็ก 263 00:10:54,000 --> 00:10:56,000 ความปลอดภัยจากการใช้เครื่องบิน ใช้รถ 264 00:10:56,000 --> 00:10:59,000 แบบจำลองอาจมาจากวงการอุตสาหกรรม 265 00:10:59,000 --> 00:11:01,000 สองอย่างที่ผมติดตามคือ วิธีการทำงานของกล้องวงจรปิด 266 00:11:01,000 --> 00:11:03,000 และบัตรประจำตัว 267 00:11:03,000 --> 00:11:06,000 แบบจำลองความปลอดภัยจากการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ข้องเกี่ยวกับสองสิ่งนี้ 268 00:11:06,000 --> 00:11:09,000 แบบจำลองส่วนมากมาจากวิทยาศาสตร์ 269 00:11:09,000 --> 00:11:11,000 ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ แบบจำลองด้านสุขภาพ 270 00:11:11,000 --> 00:11:14,000 เช่นมะเร็ง ไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู ซาร์ส 271 00:11:14,000 --> 00:11:17,000 ความรู้สึกถึงความปลอดภัย 272 00:11:17,000 --> 00:11:19,000 ของโรคพวกนี้ 273 00:11:19,000 --> 00:11:21,000 ล้วนมาจากแบบจำลองทั้งนั้น 274 00:11:21,000 --> 00:11:24,000 ผลงานทางวิทยาศาสตร์ส่งสาห์นมาถึงพวกเราผ่านสื่อ 275 00:11:25,000 --> 00:11:28,000 ทั้งนี้แบบจำลองสามารถเปลี่ยนแปลงได้ 276 00:11:28,000 --> 00:11:30,000 ไม่จำเป็นต้องตายตัว 277 00:11:30,000 --> 00:11:33,000 เมื่อเราเริ่มคุ้นชินกับสภาพแวดล้อม 278 00:11:33,000 --> 00:11:37,000 แบบจำลองก็จะยิ่งใกล้เคียงกับสิ่งที่เรารู้สึก 279 00:11:38,000 --> 00:11:40,000 อย่างเช่น 280 00:11:40,000 --> 00:11:42,000 ลองย้อนกลับมาไป 100 ปีที่แล้ว 281 00:11:42,000 --> 00:11:45,000 ช่วงที่เริ่มมีไฟฟ้าใช้แรกๆ 282 00:11:45,000 --> 00:11:47,000 ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้มันหรอก 283 00:11:47,000 --> 00:11:49,000 ต่างคนต่างกลัวการกดปุ่มกริ่งหน้าบ้าน 284 00:11:49,000 --> 00:11:52,000 กลัวว่าไฟฟ้าที่ฝังอยู่ในนั้นจะทำร้ายตัวเอง 285 00:11:52,000 --> 00:11:55,000 แต่สำหรับคนยุคนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอะไรที่ใครๆก็ใช้คล่อง 286 00:11:55,000 --> 00:11:57,000 เราเปลี่ยนหลอดไฟเอง 287 00:11:57,000 --> 00:11:59,000 โดยไม่เกรงกลัวใดๆ 288 00:11:59,000 --> 00:12:03,000 แบบจำลองความปลอดภัยจากการใช้ไฟฟ้า 289 00:12:03,000 --> 00:12:06,000 เป็นสิ่งที่เกิดมาพร้อมๆเรา 290 00:12:06,000 --> 00:12:09,000 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆตลอดช่วงชีวิตเรา 291 00:12:09,000 --> 00:12:12,000 และพวกเราก็คุ้นเคยกับมัน 292 00:12:12,000 --> 00:12:14,000 ส่วนเรื่องความเสี่ยง 293 00:12:14,000 --> 00:12:16,000 บนอินเทอร์เน็ตของชนแต่ละรุ่นก็เช่นกัน 294 00:12:16,000 --> 00:12:18,000 ลองเปรียบเทียบมุมมองด้านความปลอดภัยในอินเทอร์เน็ตของรุ่นพ่อแม่ 295 00:12:18,000 --> 00:12:20,000 เทียบกับของรุ่นคุณ 296 00:12:20,000 --> 00:12:23,000 เทียบกับที่รุ่นลูกจะมอง 297 00:12:23,000 --> 00:12:26,000 แบบจำลองของคนแต่ละรุ่นเข้าครอบงำโดยไม่รู้ตัว 298 00:12:27,000 --> 00:12:30,000 กลายเป็นสัญชาตญาณ เป็นความคุ้นชิน 299 00:12:30,000 --> 00:12:32,000 จึงทำให้แบบจำลองเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น 300 00:12:32,000 --> 00:12:34,000 แล้วท้ายสุดมาบรรจบกับความรู้สึก 301 00:12:34,000 --> 00:12:37,000 โดยที่พวกคุณไม่รู้ตัวกัน 302 00:12:37,000 --> 00:12:39,000 ฉะนั้นผมขอลองยกตัวอย่าง 303 00:12:39,000 --> 00:12:42,000 กรณีไข้หวัดหมูเมื่อปีที่แล้ว 304 00:12:42,000 --> 00:12:44,000 ณ ตอนที่โรคนี้ปรากฏครั้งแรก 305 00:12:44,000 --> 00:12:48,000 ข่าวแรกๆที่ออกจากสื่อทำให้ผู้คนเกิดปฏิกิริยาเกินจริง 306 00:12:48,000 --> 00:12:50,000 พอมีชื่อเรียกโรคนี้เฉพาะ 307 00:12:50,000 --> 00:12:52,000 เลยเป็นเหตุให้มันน่ากลัวกว่าไข้หวัดทั่วๆไป 308 00:12:52,000 --> 00:12:54,000 แม้ว่ามันจะอันตรายกว่าจริงๆก็ตาม 309 00:12:54,000 --> 00:12:58,000 และทุกคนคิดว่าทำไมหมอถึงไม่มีวิธีต่อกรกับมัน 310 00:12:58,000 --> 00:13:00,000 เลยยิ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นมันสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ 311 00:13:00,000 --> 00:13:02,000 และสองสิ่งนั้น 312 00:13:02,000 --> 00:13:04,000 ทำให้มันดูอันตรายมากกว่าที่เป็นจริง 313 00:13:04,000 --> 00:13:07,000 พอความแปลกใหม่เริ่มซาลง ผ่านไปเดือนหนึ่ง 314 00:13:07,000 --> 00:13:09,000 ผู้คนเริ่มยอมรับ 315 00:13:09,000 --> 00:13:11,000 และคุ้นเคยกับโรคนี้ 316 00:13:11,000 --> 00:13:14,000 เมื่อไม่มีการประโคมข่่าว ความกลัวก็ค่อยๆลดลง 317 00:13:14,000 --> 00:13:16,000 พอถึงฤดูใบไม้ร่วง 318 00:13:16,000 --> 00:13:18,000 ผู้คนก็คิดว่า 319 00:13:18,000 --> 00:13:20,000 หมอน่าจะมีวิธีรับมือกับโรคนี้แล้ว 320 00:13:20,000 --> 00:13:22,000 ณ ตอนนั้นเราอยู่บนทางแยก 321 00:13:22,000 --> 00:13:24,000 เราต้องเลือก 322 00:13:24,000 --> 00:13:28,000 ระหว่างกลัวต่อไปหรือยอมรับมัน 323 00:13:28,000 --> 00:13:30,000 จริงๆแล้วคือกลัวต่อไปหรือเพิกเฉย 324 00:13:30,000 --> 00:13:33,000 แต่สุดท้ายพวกเขาเลือกที่จะสงสัย 325 00:13:33,000 --> 00:13:36,000 และเมื่อวัคซีนปรากฏเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว 326 00:13:36,000 --> 00:13:39,000 คนจำนวนไม่น้อย จำนวนที่คาดไม่ถึงเลยล่ะ 327 00:13:39,000 --> 00:13:42,000 ปฏิเสธที่จะใช้มัน 328 00:13:43,000 --> 00:13:45,000 เป็นตัวอย่างที่ดี 329 00:13:45,000 --> 00:13:48,000 ที่ความรู้สึกปลอดภัยของผู้คนเปลี่ยนไปได้อย่างไร แบบจำลองเปลี่ยนไปได้อย่างไร 330 00:13:48,000 --> 00:13:50,000 ราวหน้ามือเป็นหลังมือ 331 00:13:50,000 --> 00:13:52,000 ทั้งๆที่ไม่มีข้อมูลอะไรใหม่ๆเลย 332 00:13:52,000 --> 00:13:54,000 และไม่มีอะไรใหม่ๆเพิ่มเข้ามาด้วย 333 00:13:54,000 --> 00:13:57,000 เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก 334 00:13:57,000 --> 00:14:00,000 ผมอยากจะบวกปัจจัยเพิ่มอีกอย่าง 335 00:14:00,000 --> 00:14:03,000 พวกเรามีความรู้สึก แบบจำลอง และสภาพความเป็นจริง 336 00:14:03,000 --> 00:14:05,000 ผมคิดว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ 337 00:14:05,000 --> 00:14:08,000 ขึ้นอยู่กับผู้ที่สังเกตการณ์ 338 00:14:08,000 --> 00:14:10,000 การตัดสินใจว่าด้วยความปลอดภัยส่วนใหญ่ 339 00:14:10,000 --> 00:14:14,000 มาจากกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย 340 00:14:14,000 --> 00:14:16,000 ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 341 00:14:16,000 --> 00:14:19,000 ที่คิดไว้แล้วว่าจะยอมได้ยอมเสียอะไรบ้าง 342 00:14:19,000 --> 00:14:21,000 จะพยายามโน้มน้าวผลักดันการตัดสิน 343 00:14:21,000 --> 00:14:23,000 และผมขอเรียกว่า "ระเบียบวาระ" ของพวกเขาก็แล้วกัน 344 00:14:23,000 --> 00:14:25,000 และคุณจะเห็นว่าระเบียบวาระ 345 00:14:25,000 --> 00:14:28,000 จะมาในรูปแบบการตลาดบ้างล่ะ การเมืองบ้างล่ะ 346 00:14:28,000 --> 00:14:31,000 พยายามโน้มน้าวคุณให้เลือกแบบจำลองหนึ่งแทนอีกแบบหนึ่ง 347 00:14:31,000 --> 00:14:33,000 พยายามโน้มน้าวให้คุณเลิกใส่ใจกับแบบจำลอง 348 00:14:33,000 --> 00:14:36,000 และให้คุณเชื่อความรู้สึกของคุณแทน 349 00:14:36,000 --> 00:14:39,000 ทำให้ผู้คนหันมาเห็นด้วยกับแบบจำลองที่คุณไม่ชอบ 350 00:14:39,000 --> 00:14:42,000 ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกนะครับ 351 00:14:42,000 --> 00:14:45,000 ตัวอย่าง เป็นตัวอย่างที่ดีมากครับ คือความเสี่ยงภัยจากการสูบบุหรี่ 352 00:14:46,000 --> 00:14:49,000 50 ปีที่ผ่านมา ความเสี่ยงภัยจากการสูบบุหรี่ 353 00:14:49,000 --> 00:14:51,000 แสดงให้เห็นว่าแบบจำลองได้เปลี่ยนไปอย่างไร 354 00:14:51,000 --> 00:14:54,000 และแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมมีวิธีต่อสู้กับ 355 00:14:54,000 --> 00:14:56,000 แบบจำลองที่ไม่เอื้อประโยชน์พวกเขาอย่างไร 356 00:14:56,000 --> 00:14:59,000 เปรียบเทียบกับการโต้ประเด็นผู้สูบบุหรี่มือสอง 357 00:14:59,000 --> 00:15:02,000 ซึ่งน่าจะตามหลังมาจากนั้นอีก 20 ปี 358 00:15:02,000 --> 00:15:04,000 เรื่องเข็มขัดนิรภัยก็เช่นกัน 359 00:15:04,000 --> 00:15:06,000 ตอนผมเด็กๆ ไม่มีใครคาดเข็มขัดนิรภัยหรอกครับ 360 00:15:06,000 --> 00:15:08,000 แต่ทุกวันนี้ ไม่มีเด็กคนไหนที่ยอมให้คุณออกรถ 361 00:15:08,000 --> 00:15:10,000 ถ้าคุณไม่คาดเข็มขัดนิรภัยก่อน 362 00:15:11,000 --> 00:15:13,000 ลองเปรียบเทียบกับการโต้ประเด็นถุงลมนิรภัย 363 00:15:13,000 --> 00:15:16,000 ซึ่งน่าจะตามหลังมาจากนั้นอีก 30 ปี 364 00:15:16,000 --> 00:15:19,000 ตัวอย่างแบบจำลองทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงไป 365 00:15:21,000 --> 00:15:24,000 ทีนี้เราสรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงแบบจำลองเป็นเรื่องยากทีเดียว 366 00:15:24,000 --> 00:15:26,000 เพราะแบบจำลองจะตรึงอยู่ในความคิด 367 00:15:26,000 --> 00:15:28,000 ถ้ามันเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับความรู้สึก 368 00:15:28,000 --> 00:15:31,000 คุณจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณถูกแบบจำลองครอบงำอยู่ 369 00:15:31,000 --> 00:15:33,000 และอคติทางการคิดอีกรูปแบบหนึ่ง 370 00:15:33,000 --> 00:15:35,000 คือสิ่งที่ผมเรียกว่า อคติแบบยืนยันความเชื่อ (confirmation bias) 371 00:15:35,000 --> 00:15:38,000 พวกเรามักจะเลือกรับข้อมูล 372 00:15:38,000 --> 00:15:40,000 ที่ตรงกับความเชื่อของเราเอง 373 00:15:40,000 --> 00:15:43,000 และปฏิเสธรับข้อมูลที่ขัดกับความเชื่อ 374 00:15:44,000 --> 00:15:46,000 ดังนั้นแม้ว่าหลักฐานที่มีจะขัดแย้งกับแบบจำลองของเรา 375 00:15:46,000 --> 00:15:49,000 พวกเราก็มักจะเพิกเฉย แม้ว่าหลักฐานนั้นจะแจ่มแจ้ง 376 00:15:49,000 --> 00:15:52,000 ฉะนั้นหลักฐานจะต้องแจ่มแจ้งน่าเชื่อถือมากถึงมากที่สุด พวกเราถึงจะยอมสนใจ 377 00:15:53,000 --> 00:15:55,000 แบบจำลองใหม่ๆที่กินเวลานานก็จะยิ่งยาก 378 00:15:55,000 --> 00:15:57,000 โลกร้อนเป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว 379 00:15:57,000 --> 00:15:59,000 เราไม่ตอบรับกันเลย 380 00:15:59,000 --> 00:16:01,000 กับแบบจำลองที่ครอบคลุมช่วงเวลา 80 ปี 381 00:16:01,000 --> 00:16:03,000 เราไม่มีปัญหาเลยกับระยะเวลานานเท่ากับการรอเก็บเกี่ยวงวดหน้า 382 00:16:03,000 --> 00:16:06,000 เราไม่ค่อยมีปัญหากับระยะเวลานานเท่ากับที่รอลูกๆเราโต 383 00:16:06,000 --> 00:16:09,000 แต่ทว่า 80 ปีนั้นยาวนานเกินไปสำหรับเรา 384 00:16:09,000 --> 00:16:12,000 เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นแบบจำลองที่ยอมรับได้ยากมาก 385 00:16:12,000 --> 00:16:16,000 เราก็ยังสามารถยอมรับแบบจำลองสองแบบในเวลาเดียวกันได้ด้วย 386 00:16:16,000 --> 00:16:19,000 เป็นปัญหาประเภทเดียวกับ 387 00:16:19,000 --> 00:16:22,000 ที่เราเห็นด้วยกับสองมุมมองที่ขัดแย้ง 388 00:16:22,000 --> 00:16:24,000 หรือ ความไม่ลงรอยกันของการรู้ (cognitive dissonance) 389 00:16:24,000 --> 00:16:26,000 และท้ายที่สุด 390 00:16:26,000 --> 00:16:29,000 แบบจำลองใหม่ก็จะแทนที่แบบจำลองที่มีอยู่เดิม 391 00:16:29,000 --> 00:16:32,000 และความรู้สึกที่แรงกล้าก็ทำให้เกิดเป็นแบบจำลองได้ 392 00:16:32,000 --> 00:16:35,000 เหตุการณ์ 11 กันยาก็ทำให้เกิดแบบจำลองเรื่องความปลอดภัย 393 00:16:35,000 --> 00:16:37,000 ในหัวของคนมากมาย 394 00:16:37,000 --> 00:16:40,000 อาชญากรรมที่เจอกับตัวเองก็เช่นกัน 395 00:16:40,000 --> 00:16:42,000 ความกลัวเรื่องสุขภาพ 396 00:16:42,000 --> 00:16:44,000 หรือเรื่องโรคต่างๆที่ตกเป็นข่าว 397 00:16:44,000 --> 00:16:46,000 จิตแพทย์เรียกเหตุการณ์แบบนั้นว่า 398 00:16:46,000 --> 00:16:48,000 อุบัติการณ์ภาพความทรงจำเสมือน (flashbulb event) 399 00:16:48,000 --> 00:16:51,000 มันสามารถสร้างภาพจำลองขึ้นมาได้ทันที 400 00:16:51,000 --> 00:16:54,000 เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เร่งเร้าสะเทือนอารมณ์อย่างยิ่ง 401 00:16:54,000 --> 00:16:56,000 ฉะนั้นในโลกแห่งเทคโนโลยีแบบนี้ 402 00:16:56,000 --> 00:16:58,000 พวกเราไม่มีประสบการณ์ 403 00:16:58,000 --> 00:17:00,000 ไปประเมินแบบจำลองใดๆได้ 404 00:17:00,000 --> 00:17:02,000 เราพึ่งพาผู้อื่น พึ่งพาตัวแทน 405 00:17:02,000 --> 00:17:06,000 เพียงแค่ตัวแทนระบุสิ่งที่ถูกหรือไม่ถูกต้องได้ก็ใช้ได้แล้ว 406 00:17:06,000 --> 00:17:08,000 พวกเราพึ่งพาหน่วยงานของรัฐ 407 00:17:08,000 --> 00:17:13,000 เพื่อรับรองว่ายาประเภทไหนปลอดภัย 408 00:17:13,000 --> 00:17:15,000 ที่ผมบินมาที่นี่เมื่อวานนี้ 409 00:17:15,000 --> 00:17:17,000 ผมไม่ได้เป็นคนตรวจเครื่องบินเอง 410 00:17:17,000 --> 00:17:19,000 ผมพึ่งคนอื่นๆ 411 00:17:19,000 --> 00:17:22,000 ในการตรวจสอบเครื่องบินว่าปลอดภัย 412 00:17:22,000 --> 00:17:25,000 หรือที่พวกเราไม่ได้ระแวงว่าหลังคาจะถล่มใส่หัวเราเมื่อไหร่ 413 00:17:25,000 --> 00:17:28,000 ไม่ได้เป็นเพราะพวกเราตรวจสอบเอง 414 00:17:28,000 --> 00:17:30,000 แต่พวกเราค่อนข้างมั่นใจ 415 00:17:30,000 --> 00:17:33,000 ว่าโครงสร้างอาคารได้มาตรฐาน 416 00:17:33,000 --> 00:17:35,000 มันเป็นแบบจำลองที่เรายอมรับ 417 00:17:35,000 --> 00:17:37,000 และเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ 418 00:17:37,000 --> 00:17:40,000 และค่อนข้างดีทีเดียว 419 00:17:42,000 --> 00:17:44,000 ตอนนี้ สิ่งที่พวกเราต้องการคือ 420 00:17:44,000 --> 00:17:46,000 ให้ผู้คนทำความคุ้นเคยกับแบบจำลองที่ดีกว่า 421 00:17:46,000 --> 00:17:48,000 ให้มากกว่านี้ 422 00:17:48,000 --> 00:17:50,000 ทำให้มันสะท้อนอยู่ในความรู้สึกพวกเขา 423 00:17:50,000 --> 00:17:54,000 ให้พวกเขาใช้เพื่อตัดสินใจยอมเสียบางอย่างเพื่อแลกกับความปลอดภัย 424 00:17:54,000 --> 00:17:56,000 และเมื่ออะไรไม่เป็นไปอย่างที่ควรเป็น 425 00:17:56,000 --> 00:17:58,000 จะมี 2 ทางให้คุณเลือก 426 00:17:58,000 --> 00:18:00,000 ตัวเลือกแรก คือ แก้ที่ความรู้สึกผู้คน 427 00:18:00,000 --> 00:18:02,000 แก้ที่ความรู้สึกโดยตรง 428 00:18:02,000 --> 00:18:05,000 มันเป็นการปรับเปลี่ยนยักย้าย แต่ก็อาจจะเห็นผลสักวันหนึ่ง 429 00:18:05,000 --> 00:18:07,000 ตัวเลือกที่สอง เอาตรงๆนะ 430 00:18:07,000 --> 00:18:10,000 ก็คือแก้ที่ตัวแบบจำลอง 431 00:18:11,000 --> 00:18:13,000 การเปลี่ยนแปลงค่อยๆเกิดขึ้น 432 00:18:13,000 --> 00:18:16,000 ประเด็นสูบบุหรี่ใช้เวลา 40 ปี 433 00:18:16,000 --> 00:18:19,000 และนั่นไม่ได้ยากเท่าไหร่ 434 00:18:19,000 --> 00:18:21,000 ในขณะที่บางสิ่งในที่นี้แก้ยาก 435 00:18:21,000 --> 00:18:23,000 แก้ลำบากมาก 436 00:18:23,000 --> 00:18:25,000 ข้อมูลดูเหมือนจะเป็นความหวังที่ดีที่สุดของเรา 437 00:18:25,000 --> 00:18:27,000 และผมโกหก 438 00:18:27,000 --> 00:18:29,000 ที่ผมพูดไว้ว่า "ความรู้สึก" "แบบจำลอง" และ"สภาพความเป็นจริง" 439 00:18:29,000 --> 00:18:32,000 ที่ว่าสภาพความเป็นจริงจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่จริงๆมันเปลี่ยนได้ 440 00:18:32,000 --> 00:18:34,000 พวกเราอยู่ในโลกของเทคโนโลยี 441 00:18:34,000 --> 00:18:37,000 ความเป็นจริงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 442 00:18:37,000 --> 00:18:40,000 ฉะนั้น อาจจะมีครั้งแรกในสายพันธุ์มนุษย์ของเรา 443 00:18:40,000 --> 00:18:43,000 ที่ความรู้สึกไล่ตามแบบจำลอง แบบจำลองไล่ตามสภาพความเป็นจริง และความเป็นจริงก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ 444 00:18:43,000 --> 00:18:46,000 แม้อาจจะตามกันไม่ทัน 445 00:18:47,000 --> 00:18:49,000 แต่ใครจะรู้ล่ะ? 446 00:18:49,000 --> 00:18:51,000 แต่ในระยะยาว 447 00:18:51,000 --> 00:18:54,000 ความรู้สึกและสภาพความเป็นจริงเป็นสิ่งสำคัญ 448 00:18:54,000 --> 00:18:57,000 และผมอยากจบการอภิปรายครั้งนี้ด้วยสองเรื่องสั้นๆเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น 449 00:18:57,000 --> 00:18:59,000 ปี 1982 (พ.ศ.2525) ผมไม่แน่ใจว่าใครจำเรื่องนี้ได้หรือเปล่า 450 00:18:59,000 --> 00:19:02,000 มีเหตุโรคระบาดที่เกิดขึ้นในช่วงสั้น 451 00:19:02,000 --> 00:19:04,000 ของไทลินอลเป็นพิษในสหรัฐฯ 452 00:19:04,000 --> 00:19:07,000 เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวทีเดียว ซึ่งเกิดจากใครสักคน 453 00:19:07,000 --> 00:19:10,000 ใส่ยาพิษลงในขวดยาแล้วปิดฝาวางไว้ที่เดิม 454 00:19:10,000 --> 00:19:12,000 ไม่นานก็มีคนซื้อไป 455 00:19:12,000 --> 00:19:14,000 คนๆนี้ทำให้ 456 00:19:14,000 --> 00:19:16,000 เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในสังคมตามมาอีกหลายๆครั้ง 457 00:19:16,000 --> 00:19:19,000 ทั้งที่อาจไม่มีภัยนั้นจริง แต่ผู้คนก็ยังกลัวกันอยู่ดี 458 00:19:19,000 --> 00:19:21,000 และนี่เป็นแหล่งกำเนิด 459 00:19:21,000 --> 00:19:23,000 นวัตกรรมผนึกขวดในอุตสาหกรรมยา 460 00:19:23,000 --> 00:19:25,000 ฝาผนึกขวดที่เห็นทุกวันนี้มาจากเหตุการณ์นั้นเอง 461 00:19:25,000 --> 00:19:27,000 นับว่าเข้ากับโรงละครความปลอดภัยเต็มรูปแบบ 462 00:19:27,000 --> 00:19:29,000 ผบขอให้ทุกท่านลองไปคิดดูเป็นการบ้านนะครับ ว่าถ้าเป็นคุณจะแก้ไขอย่างไร ซัก 10 วิธีนะครับ 463 00:19:29,000 --> 00:19:32,000 สำหรับผม ใช้หลอดฉีดยาก็ไม่เลวนะ 464 00:19:32,000 --> 00:19:35,000 น่าจะทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น 465 00:19:35,000 --> 00:19:37,000 มันทำให้พวกเขาวางใจว่าปลอดภัย 466 00:19:37,000 --> 00:19:39,000 ใช้ได้ในสภาพความเป็นจริง 467 00:19:39,000 --> 00:19:42,000 และเรื่องสุดท้าย เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อนผมเพิ่งคลอดลูก 468 00:19:42,000 --> 00:19:44,000 ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล 469 00:19:44,000 --> 00:19:46,000 ผมสังเกตเห็นว่า ทุกวันนี้เด็กที่คลอด 470 00:19:46,000 --> 00:19:48,000 ต้องใส่กำไลข้อมือประจำตัวแบบเทคโนโลยีคลื่นความถี่ (RFID) 471 00:19:48,000 --> 00:19:50,000 พร้อมทั้งใส่อีกอันหนึ่งให้คุณแม่ 472 00:19:50,000 --> 00:19:52,000 ทั้งนี้ ถ้ามีใครสักคนที่ไม่ใช่คุณแม่ของเด็กอุ้มตัวเด็กออกจากเขตที่ตั้งไว้ 473 00:19:52,000 --> 00:19:54,000 เสียงเตือนจะดังขึ้นทันที 474 00:19:54,000 --> 00:19:56,000 ผมขอบอกว่า "มันดูเหมือนจะใช้ได้นะ 475 00:19:56,000 --> 00:19:58,000 แต่ผมสงสัยว่า พวกลักพาตัวเด็ก 476 00:19:58,000 --> 00:20:00,000 หนีออกจากโรงพยาบาลได้อย่างไร?" 477 00:20:00,000 --> 00:20:02,000 ผมลองมาสืบค้นข้อมูล 478 00:20:02,000 --> 00:20:04,000 ได้ความว่า เหตุการณ์แบบนี้แทบไม่เกิดขึ้นเลย 479 00:20:04,000 --> 00:20:06,000 แต่คุณลองคิดดู 480 00:20:06,000 --> 00:20:08,000 ถ้าคุณเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล 481 00:20:08,000 --> 00:20:10,000 แล้วเกิดต้องพาตัวเด็กไปจากแม่ 482 00:20:10,000 --> 00:20:12,000 เพื่อไปตรวจอะไรซักอย่าง 483 00:20:12,000 --> 00:20:14,000 คุณควรจะมี "โรงละครปลอดภัย" ที่ดี 484 00:20:14,000 --> 00:20:16,000 มิฉะนั้นแม่ของเด็กคนนั้นคงเอาคุณตายแน่ๆ 485 00:20:16,000 --> 00:20:18,000 (เสียงหัวเราะ) 486 00:20:18,000 --> 00:20:20,000 ฉะนั้นมันสำคัญกับพวกเรา 487 00:20:20,000 --> 00:20:22,000 กับกลุ่มคนที่ออกแบบวิธีรักษาความปลอดภัยทั้งหลาย 488 00:20:22,000 --> 00:20:25,000 กลุ่มคนที่วางนโยบายความปลอดภัย 489 00:20:25,000 --> 00:20:27,000 หรือกระทั่งกลุ่มคนที่วางนโยบายสาธารณะ 490 00:20:27,000 --> 00:20:29,000 ที่จะมีผลกระทบกับความปลอดภัย 491 00:20:29,000 --> 00:20:32,000 ไม่ใช่เพียงสภาพความเป็นจริง แต่เป็นความรู้สึกและความเป็นจริงผนวกเข้าด้วยกัน 492 00:20:32,000 --> 00:20:34,000 สิ่งที่สำคัญคือ 493 00:20:34,000 --> 00:20:36,000 สองอย่างนี้คล้ายๆกัน 494 00:20:36,000 --> 00:20:38,000 และเมื่อความรู้สึกและความเป็นจริงไปในแนวทางเดียวแล้ว 495 00:20:38,000 --> 00:20:40,000 ก็จะทำให้เราเลือกที่จะเสียบางอย่างไปเพื่อแลกกับความปลอดภัยได้ดีขึ้น 496 00:20:40,000 --> 00:20:42,000 ขอบคุณมากครับ 497 00:20:42,000 --> 00:20:44,000 (เสียงปรบมือ)