WEBVTT 00:00:08.019 --> 00:00:10.377 มันมีสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงโลกของเรา 00:00:10.377 --> 00:00:13.678 มันทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งแรก ในประวัติศาสตร์โลก 00:00:13.678 --> 00:00:16.547 และยังกรุยทางให้ส่งมีชีวิตที่ซับซ้อนกว่า 00:00:16.547 --> 00:00:17.518 มันเป็นไปได้อย่างไร 00:00:17.518 --> 00:00:21.670 โดยการปล่อยโมเลกุลออกซิเจนโมเลกุลแรก เข้าสู่บรรยากาศของเรา 00:00:21.670 --> 00:00:25.139 และพวกมันก็ทำได้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว 00:00:25.139 --> 00:00:26.779 พวกมันคือไซยาโนแบคทีเรีย 00:00:26.779 --> 00:00:28.676 และเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตที่เรียบง่ายนี้ 00:00:28.676 --> 00:00:31.553 ที่ไม่มีแม้แต่นิวคลิไอ หรือแม้แต่ออกาเนลอื่น ๆ 00:00:31.553 --> 00:00:34.859 เป็นหน้าสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของเรื่องราวชีวิตบนโลก 00:00:34.859 --> 00:00:39.489 บรรยากาศของโลกไม่ได้มีส่วนผสมที่เต็มไปด้วย ออกซิเจนอย่างที่เราหายใจในตอนนี้ 00:00:39.489 --> 00:00:43.079 3.5 พันล้านปีก่อน บรรยากาศของเรา ส่วนใหญ่ประกอบด้วยไนโตรเจน 00:00:43.079 --> 00:00:44.211 คาร์บอนไดออกไซด์ 00:00:44.211 --> 00:00:45.510 และมีเธน 00:00:45.510 --> 00:00:48.662 ออกซิเจนเกือบทั้งหมดถูกกักเอาไว้ ในโมเลกุลอย่างเช่นน้ำ 00:00:48.662 --> 00:00:50.599 ไม่ได้ล่องลอยอยู่ในอากาศ 00:00:50.599 --> 00:00:53.460 มหาสมุทรนั้นก็เต็มไปด้วยจุลชีพแอนาโรบิก 00:00:53.460 --> 00:00:57.501 พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่เรียบง่าย ที่ไม่ต้องการออกซิเจน 00:00:57.501 --> 00:01:00.630 และได้พลังงานจากการย่อยสลาย โมเลกุลที่พวกมันหามาได้ 00:01:00.630 --> 00:01:04.472 แต่ในช่วงเวลาระหว่าง 2.5 และ 3.5 พันล้านปีก่อน 00:01:04.472 --> 00:01:06.510 หนึ่งในจุลชีพเหล่านี้ 00:01:06.510 --> 00:01:08.830 ที่อาจล่องลอยอยู่บนพื้นผิวมหาสมุทร 00:01:08.830 --> 00:01:12.011 มีวิวัฒนาการความสามารถใหม่ ซึ่งก็คือการสังเคราะห์แสง 00:01:12.011 --> 00:01:15.592 โครงสร้างในเยื่อหุ้มเซลล์ของพวกมัน สามารถที่จะเก็บเกี่ยวพลังงานจากแสงอาทิตย์ 00:01:15.592 --> 00:01:20.301 เพื่อเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์และนำ้ ไปเป็นก๊าซออกซิเจนและน้ำตาล 00:01:20.301 --> 00:01:21.992 ซึ่งพวกมันสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ 00:01:21.992 --> 00:01:26.881 สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นบรรพบุรุษ ของสิ่งที่ตอนนี้เราเรียกว่า ไซยาโนแบคทีเรีย 00:01:26.881 --> 00:01:29.413 สีออกฟ้าของพวกมันมาจากเม็ดสี ที่มีสีฟ้าเขียว 00:01:29.413 --> 00:01:31.594 ที่เก็บพลังงานแสงแดดที่พวกมันต้องการ 00:01:31.594 --> 00:01:36.092 การสังเคราะห์แสงทำให้แบคทีเรียโบราณนี้ มีข้อได้เปรียบเหนือสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น 00:01:36.092 --> 00:01:37.992 พวกมันสามารถสร้างพลังงานให้กับตัวเองได้ 00:01:37.992 --> 00:01:40.991 จากแหล่งวัตถุดิบที่แทบจะไม่มีทางหมดไป 00:01:40.991 --> 00:01:43.182 ฉะนั้นประชากรของพวกมันจึงเพิ่มอย่างรวดเร็ว 00:01:43.182 --> 00:01:47.552 และพวกมันก็สร้างมลพิษให้กับบรรยากาศ ด้วยของเสียจากพวกมัน ซึ่งก็คือ ออกซิเจน 00:01:47.552 --> 00:01:52.087 ตอนแรก ออกซิเจนที่มากขึ้นถูกดูดซับไป ด้วยปฏิกิริยาเคมีกับเหล็ก 00:01:52.087 --> 00:01:53.914 หรือเซลล์ที่กำลังถูกย่อยสลาย 00:01:53.914 --> 00:01:55.722 แต่หลังจากเวลาสองสามร้อยล้านปี 00:01:55.722 --> 00:01:59.672 ไซยาโนแบคทีเรียผลิตออกซิเจน ได้รวดเร็วกว่าที่มันจะดูดซับไปได้ 00:01:59.672 --> 00:02:02.033 และก๊าซเริ่มที่จะก่อตัวขึ้นในบรรยากาศ 00:02:02.033 --> 00:02:04.979 มันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลก 00:02:04.979 --> 00:02:07.743 อากาศที่มีออกซิเจนมาก เป็นพิษต่อพวกมัน 00:02:07.743 --> 00:02:08.631 แล้วผลน่ะหรือ 00:02:08.631 --> 00:02:13.971 ประมาณ 2.5 พันล้านปีก่อน เกิดการสูญพันธ์ุครั้งใหญ่ของชีวิตบนโลก 00:02:13.971 --> 00:02:16.273 ซึ่งก็ไม่เว้นแม้กระทั่งไซยาโนแบคทีเรีย 00:02:16.273 --> 00:02:19.353 นักธรณีวิทยาเรียกมันว่า เหตุการณ์ผลิตออกซิเจนครั้งใหญ่ 00:02:19.353 --> 00:02:21.862 หรือเปลี่ยนแปลงของออกซิเจนครั้งใหญ่ 00:02:21.862 --> 00:02:23.314 นั่นไม่ใช่เพียงปัญหาเดียว 00:02:23.314 --> 00:02:26.914 มีเธนได้เคยทำหน้าที่เป็นก๊าซเรือนกระจก ที่ทำให้โลกอบอุ่น 00:02:26.914 --> 00:02:32.925 แต่ตอนนี้ ออกซิเจนที่มากขึ้นทำปฏิกิริยา กับมีเธนเพื่อเกิดเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ 00:02:32.925 --> 00:02:34.665 ซึ่งไม่เก็บกักความร้อน 00:02:34.665 --> 00:02:36.294 ชั้นบรรยากาศที่บางลง 00:02:36.294 --> 00:02:39.944 ทำให้โลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็งครั้งแรก และอาจเป็นครั้งที่ยาวนานที่สุด 00:02:39.944 --> 00:02:41.765 ฮูโรเนียน เกลซิเอชัน 00:02:41.765 --> 00:02:43.896 ชั้นบรรยายกาศที่เป็นเหมือนบอลหิมะขนาดใหญ่ 00:02:43.896 --> 00:02:46.123 เป็นเวลาสองสามร้อยล้านปี 00:02:46.123 --> 00:02:48.045 ในที่สุด ชีวิตก็ปรับตัว 00:02:48.045 --> 00:02:51.365 สิ่งมีชีวิตแอโรบิกซึ่งใช้ออกซิเจน ในการสร้างพลังงาน 00:02:51.365 --> 00:02:54.897 เริ่มที่จะดูดซับก๊าซที่มากเกินไป ในชั้นบรรยากาศ 00:02:54.897 --> 00:02:57.015 ความเข้มข้นของออกซิเจนเพิ่มสูงขึ้นและลดลง 00:02:57.015 --> 00:03:01.095 จนกระทั่งมันอยู่ที่ประมาณ 21% อย่างที่มันเป็นในปัจจุบัน 00:03:01.095 --> 00:03:03.875 และการที่มันสามารถใช้พลังงานเคมีในออกซิเจน 00:03:03.875 --> 00:03:06.826 ทำให้สิ่งมีชีวิตมีความหลากหลาย อย่างที่มันต้องการได้มากขึ้น 00:03:06.826 --> 00:03:09.215 และมีวิวัฒนาการไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อน 00:03:09.215 --> 00:03:12.417 ไซยาโนแบคทีเรียมีส่วนสำคัญ ในเรื่องราวนี้เช่นกัน 00:03:12.417 --> 00:03:14.195 หลายร้อยล้านปีกอ่น 00:03:14.195 --> 00:03:18.738 จุลชีพก่อนประวัติศาสตร์บางชนิด กินไซยาโนแบคทีเรียเข้าไปทั้งตัว 00:03:18.738 --> 00:03:21.556 ในกระบวนการที่เรียกว่า เอนโดไซโตซิส 00:03:21.556 --> 00:03:26.036 เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น จุลชีพได้มา ซึ่งโรงงานสังเคราะห์แสงของตัวเอง 00:03:26.036 --> 00:03:29.006 มันเป็นบรรพบุรุษของเซลล์พืช 00:03:29.006 --> 00:03:32.136 และไซยาโนแบคทีเรียกลายเป็นคลอโรพลาส 00:03:32.136 --> 00:03:35.328 ออกาเนลที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการสังเคราะห์แสง ในปัจจุบันนี้ 00:03:35.328 --> 00:03:39.467 ไซยาโนแบคทีเรียยังคงมีอยู่ ทุกที่ในสิ่งแวดล้อมบนโลก 00:03:39.467 --> 00:03:40.307 มหาสมุทร 00:03:40.307 --> 00:03:41.205 แหล่งน้ำจืด 00:03:41.205 --> 00:03:42.016 ดิน 00:03:42.016 --> 00:03:43.167 หินที่บริเวณขั้วโลกใต้ 00:03:43.167 --> 00:03:44.359 ขนตัวสลอต 00:03:44.359 --> 00:03:46.398 พวกมันยังคงปล่อยออกซิเจน เข้าไปในบรรยากาศ 00:03:46.398 --> 00:03:51.037 และพวกมันยังดึงไนโตรเจนออกมา เพื่อเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ทีพวกมันช่วยสร้างขึ้น 00:03:51.037 --> 00:03:53.217 พวกเราคงจะจดจำชีวิตบนโลก ที่ปราศจากพวกมันไม่ได้ 00:03:53.217 --> 00:03:54.437 แต่ก็ต้องขอบคุณพวกมัน 00:03:54.437 --> 00:03:56.598 ที่เราเกือบจะไม่มีชีวิตบนโลกใบนี้