ฉันตื่นเต้นจริง ๆ ค่ะที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ฉันอยากจะเล่าให้พวกคุณฟัง อีกสักนิดเกี่ยวกับ... ฉันไม่อยากใช้คำว่าอาการเบื้องต้น เพราะจริง ๆ เราก็ไม่ทราบอะไรเลย เกี่ยวกับโรคที่ฉันเป็นอยู่ ฉันเกิดมาพร้อบกับโรคที่พบได้ยากมาก เท่าที่เราทราบมีแค่ 2 คนในโลกนี้ รวมตัวฉันด้วย ที่เป็นโรคนี้ อาการของโรคนี้ หลัก ๆ ก็คือ ฉัน ไม่สามารถเพิ่มน้ำหนักตัวให้มากขี้นได้ ค่ะ ฟังดูน่าจะดีใช่มั้ยคะ (เสียงหัวเราะ) ฉันกินอะไรก็ได้ที่อยากกิน กินได้ทุกเมื่อที่ต้องการ โดยที่น้ำหนักตัวจะไม่เพิ่มขึ้นเลย ฉันจะอายุครบ 25 ในเดือนมีนาคมนี้ และตลอดชีวิตที่ผ่านมา ฉันไม่เคยหนักเกิน 64 ปอนด์เลย ตอนที่เรียนในวิทยาลัย ฉันซ่อน ที่จริงก็ไม่เชิงว่าซ่อนหรอกค่ะ ใคร ๆ ก็รู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น มันคือถังใบใหญ่ที่เต็มไปด้วย ทวิงกี โดนัท มันฝรั่งทอด สกิตเติล แล้วรูมเมทของดิฉันก็จะบอกว่า "ตอนเที่ยงคืนครึ่งชั้นได้ยินนะ เสียงเธอหาขนมใต้เตียงเธอกินน่ะ" แต่ดิฉันก็จะตอบว่า "เธอรู้มั้ย มันไม่เป็นไรหรอก ชั้นทำแบบนี้ได้" เพราะมันมีข้อดีของโรคนี้ เพราะมันมีข้อดีของการที่ ไม่สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ เพราะมันมีข้อดีที่การมองเห็นบกพร่อง เพราะมันมีข้อดีที่เป็นคนตัวเล็กมาก ๆ หลายคนคิดว่า "ลิซซี เธอพูดออกมาได้ยังไงน่ะว่ามีข้อดี เมื่อดวงตาของเธอ มองเห็นได้เพียงข้างเดียว ฉันจะบอกให้นะคะว่า มันมีข้อดีอะไรบ้าง เพราะมันดีจริง ๆ นะ ดิฉันใส่คอนแทกส์ คอน-แทก เพียงข้างเดียวก็พอแล้ว (เสียงหัวเราะ) เวลาใช้แว่นอ่านหนังสือ ก็ตัดแว่นแค่ข้างเดียวเท่านั้น ถ้าใครมากวนฉัน มาหยาบคายใส่ ก็ให้ยืนอยู่ทางขวาของฉันซะ (เสียงหัวเราะ) ก็จะเหมือนคุณไม่อยู่ตรงนั้น ฉันจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าคุณยืนอยู่ ตอนนี้ ที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้ ฉันไม่ทราบเลยว่า ยังมีอีกครึ่งของห้องนี้อยู่ด้วย และเพราะว่าฉันผอมมาก ฉันยินดีอย่างยิ่งค่ะที่จะอาสา ไปที่ศูนย์ควบคุมน้ำหนัก หรือไม่ก็ยิม แล้วบอกว่า สวัสดีค่ะ ฉันชื่อลิซซี ฉันจะเป็นพรีเซนเตอร์ให้นะคะ ให้ฉันไปโชว์ตัวที่ไหนก็ได้ค่ะ แล้วฉันจะพูดว่า สวัสดีค่ะ ฉันใช้โปรแกรมนี้ค่ะ ดูสิคะว่ามันได้ผลขนาดไหน (เสียงหัวเราะ) ถึงแม้จะมีเรื่องดี ๆ หลายเรื่อง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะป่วยเป็นโรคนี้ มันก็ยังมีเรื่องที่ยากลำบากมาก ๆ ลำบากมาก พวกคุณคงจะพอนึกออก ฉันได้รับการเลี้ยงดูเหมือนเด็กธรรมดาจนโต ฉันเป็นลูกคนโต ตอนที่ฉันเกิดมา หมอบอกคุณแม่ฉันว่า "ลูกสาวคุณไม่มีน้ำคร่ำ หล่อเลี้ยงอยู่รอบ ๆ เลย ไม่มีเลย" ดังนั้นตอนที่ฉันเกิดมา แล้วร้องไห้จ้า ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ พวกหมอ ๆ บอกพ่อแม่ฉันว่า "เราจำเป็นต้องบอกพวกคุณว่า ลูกสาวคุณคงไม่สามารถจะ พูด เดิน คลาน คิด หรือทำอะไรด้วยตัวเองได้" เอาล่ะ คุณคิดว่าคนเป็น พ่อแม่มือใหม่ จะพูดว่ายังไงคะ "ไม่นะ ทำไมล่ะ ทำไมลูกคนแรกของเรา ถึงต้องมีโรคที่หาสาเหตุไม่ได้แบบนี้ด้วย" คุณพ่อคุณแม่ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้น สิ่งแรกที่ท่านบอกหมอก็คือ "พวกเราอยากเห็นลูกของเรา เราจะพาลูกกลับบ้าน และรักเขา เลี้ยงเขา ให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้" และนั่นคือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ฉันทำ แทบทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันได้ทำมาในชีวิต ฉันต้องให้เครดิตคุณพ่อคุณแม่ของฉันค่ะ ตอนนี้คุณพ่อของฉันอยู่ ณ ที่นี้ด้วย ส่วนคุณแม่ดูรายการอยู่ที่บ้านค่ะ สวัสดีค่ะคุณแม่ (เสียงหัวเราะ) ท่านกำลังพักฟื้นจากการผ่าตัดน่ะค่ะ คุณแม่เป็นเหมือนกาว ที่เชื่อมครอบครัวของเราเข้าด้วยกัน และท่านก็ให้ความเข้มแข็งแก่ฉันอย่างมาก ที่ได้เห็นท่านผจญสิ่งต่าง ๆ หลายอย่าง แต่ก็ยังมีจิตวิญญาณของนักสู้ ที่ท่านได้ปลูกฝังให้ฉันมี ทำให้ฉันสามารถยืนต่อหน้าผู้คน อย่างภาคภูมิใจ และบอกว่า "คุณรู้ไหมคะ ดิฉัน มีชิวิตที่ยากลำบากมาก แต่ก็ไม่เป็นไรนะ" ไม่เป็นไรนะ เรื่องน่ากลัว เรื่องยาก ๆ ที่เคยเกิดขึ้น เรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง ที่ฉันต้องรับมือเมื่อโตขึ้น เป็นเรื่องที่ฉันคิดว่า ทุก ๆ คนในห้องนี้จะต้อง เคยเผชิญมาแล้ว เดาได้ไหมคะว่าอะไร ขึ้นต้นด้วยตัว B ค่ะ เดาได้ไหมคะ (คนดู) หนุ่ม ๆ (Boys) (ลิซซี) เรื่องหนุ่มๆ เหรอคะ (เสียงหัวเราะ) การถูกแกล้งค่ะ! (Bullying) (เสียงหัวเราะ) ดิฉันรู้นะว่าพวกคุณคิดอะไรกัน (เสียงหัวเราะ) ทำไมถึงนั่งที่นี่กับหนุ่ม ๆ บ้างไม่ได้นะ (เสียงหัวเราะ) ฉันต้องผจญกับการถูกแกล้งมากมาย อย่างที่บอก ฉันถูกเลี้ยงมาอย่างธรรมดามาก ดังนั้นพอเริ่มเข้าเรียนอนุบาล ฉันไม่รู้เลยว่า ฉันดูต่างจากคนอื่น ไม่รู้เลย ฉันไม่เห็นว่าฉันไม่เหมือน เด็กคนอื่น ๆ ฉันคิดว่านั่นเป็นการเผชิญความจริง ที่โหดร้ายมากสำหรับเด็ก 5 ขวบ เพราะตอนที่ไปโรงเรียนวันแรก ฉันแต่งชุดโพคาฮอนตัสไปเลย พร้อมเต็มที่ (เสียงหัวเราะ) ฉันสะพายกระเป๋าเป้ ซึ่งดูเหมือนกระดองเต่า เพราะใหญ่กว่าตัวดิฉันอีก ฉันเดินเข้าไปหาเด็กหญิง เล็ก ๆ คนหนึ่งแล้วยิ้มให้ แต่เขามองฉันเหมือนกับ ฉันเป็นปีศาจ เหมือนกับฉันเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ที่เคยพานพบมาในชีวิต ปฏิกิริยาของฉันครั้งแรกคือ "คนนี้หยาบคายจริง ๆ" (เสียงหัวเราะ) ฉันเป็นคนสนุกสนาน เขาพลาดไปซะละ ฉันเลยไปทางโน้นไปเล่น กับบล็อกหรือไม่ก็เด็กผู้ชายแทน (เสียงหัวเราะ) (ลิซซีหัวเราะ) ฉันคิดเอาเองว่าวันต่อ ๆ ไปคงดีขึ้น แต่โชคร้ายหน่อยที่ไม่เป็นอย่างนั้น มันแย่ลงทุกวัน ๆ เด็กหลาย ๆ คนก็ไม่อยากจะ ข้องแวะกับฉันแม้แต่น้อย ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจว่าทำไม ทำไม ฉันทำอะไรหรือ ฉันไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลยนะ ฉันยังเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนที่เท่มากอยู่ ฉันเลยต้องกลับไปบ้าน ถามคุณพ่อคุณแม่ว่า "หนูไม่ดีตรงไหนคะ" "หนูทำอะไร ทำไมพวกเขาไม่ชอบหนูล่ะ" คุณพ่อคุณแม่บอกให้ฉันนั่งลง แล้วบอกว่า "ลิซซี สิ่งเดียวที่หนู แตกต่างจากคนอื่นก็คือ "หนูตัวเล็กกว่า เด็กคนอื่น ๆ" "หนูเป็นโรคนี้ แต่มันก็ไม่ได้ กำหนดตัวตนที่หนูเป็นนะ" พวกท่านบอกว่า "ไปโรงเรียน เชิดหน้าขึ้น แล้วยิ้มจ้ะ" "เป็นอย่างที่หนูเป็น แล้วคนอื่นจะเห็นเอง" "ว่าหนูก็เหมือนพวกเขานั่นแหละ" และฉันก็ทำตามนั้น ฉันอยากให้คุณคิด ถามตัวเอง ในหัวของคุณ ตอนนี้ อะไรกำหนดความเป็น "ตัวคุณ" ว่าคุณเป็นใคร ถิ่นฐานคุณใช่มั้ย หรือภูมิหลังคุณ อะไรกำหนด อะไรกำหนดความเป็นตัวตนของคุณ ฉันต้องใช้เวลานานมาก กว่าจะรู้ ว่าอะไรกำหนดตัวตนฉัน ฉันเชื่ออยู่เป็นเวลานานว่าสิ่งนั้นคือ รูปลักษณ์ภายนอก ฉันคิดว่าขาเล็ก ๆ นี้ และแขนเล็ก ๆ นี้ และใบหน้าเล็ก ๆ นี้อัปลักษณ์ ฉันคิดว่าตัวเองน่ารังเกียจ ฉันเกลียดที่จะตื่นขึ้นมาตอนเช้า ตอนที่ต้องไปโรงเรียนมัธยม ฉันจะมองตัวเองในกระจก เตรียมตัวไป พลางคิดว่า "กำจัดโรคนี้ทิ้ง ๆ ไปได้ไหมนี่" ถ้าทำแบบนั้นได้ ชีวิตฉันคงง่ายกว่านี้มาก ฉันจะได้ดูเหมือนคนอื่น ๆ จะได้ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้า ที่มีรูปดอรา สาวน้อยนักผจญภัย ฉันจะได้ไม่ต้องซื้อของ ที่ดู "เวอร์ ๆ" เพราะฉันพยายาม จะทำตัวให้เหมือนคนที่เท่ ๆ ฉันปรารถนา สวดอ้อนวอน และหวัง และทำทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จะทำให้ฉันตื่นมา แล้วกลายเป็นคนละคน เพื่อที่ฉันจะไม่ต้อง เผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ฉันปรารถนาแบบนี้อยู่ทุกวัน และก็ต้องผิดหวังอยู่ทุกวัน ฉันมีฝ่ายสนับสนุน ที่เยี่ยมยอดอยู่รอบตัว พวกเขาไม่เคยสมเพชฉัน เป็นผู้ที่ อยู่เคียงข้างคอยปลอบใจเมื่อเศร้า เป็นผู้ที่ร่วมหัวเราะไปกับฉัน ในยามที่ฉันมีความสุข เป็นผู้ที่สอนฉันว่า แม้ฉันจะป่วยเป็นโรคนี้ แม้สิ่งต่าง ๆ จะยากลำบาก ฉันต้อง ไม่ยอมให้มันกำหนดสิ่งที่ฉันเป็น ชีวิตของฉันขึ้นอยู่กับสองมือของฉันเอง เหมือนกับที่ชีวิตคุณขึ้นอยู่กับสองมือคุณ คุณคือคนที่นั่งที่คนขับ ในรถของคุณเอง คุณคือคนที่จะตัดสินใจ ว่ารถของคุณจะไปทางที่แย่ หรือว่าจะไปทางที่ดี คุณเป็นคนที่จะตัดสินใจ ว่าอะไรที่จะกำหนดความเป็นคุณ ดิฉันอยากจะบอกว่า อาจจะยากมาก ที่จะค้นพบว่า อะไรที่กำหนดตัวตนของคุณ เพราะมีบางช่วงเวลา ที่ฉันหงุดหงิดและ สับสนมาก ๆ จนพูดว่า "ชั้นไม่สนแล้วว่าอะไรกำหนดความเป็นชั้น" ตอนอยู่มัธยมปลาย โรคร้ายที่ดิฉันไปเจอ วีดีโอที่มีคนโพสต์เกี่ยวกับฉัน บอกว่าเป็นผู้หญิงที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก วีดีโอนี้ยาว 8 วินาที มึคนดูมากกว่า 4 ล้านครั้ง ไม่มีเสียงประกอบ คนนับพันคอมเมนท์ว่า "ลิซซี ได้โปรดเถอะ ช่วยทำเพื่อโลกนี้หน่อย เอาปืนจ่อหัว แล้วยิงตัวเองตายเถอะ" ลองคิดดูสิคะ ถ้ามีคนบอกคุณแบบนั้น ถ้ามีคนแปลกหน้าบอกคุณแบบนั้น แน่นอนว่าฉันร้องไห้จะเป็นจะตาย และพร้อมที่จะโต้ตอบกลับ แต่ทันใดนั้น ความคิด บางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว ฉันคิดว่า "ชั้นจะไม่สนใจเรื่องนั้น" ฉันเริ่มตระหนักว่า ชีวิตอยู่ในมือดิฉันเอง ฉันจะเลือก ทำให้มันดีมาก ๆ ก็ได้ หรือจะเลือก ทำให้มันแย่มาก ๆ ก็ได้ ฉันควรจะรู้สึกขอบคุณ และลืมตาขึ้นมา เพื่อตระหนักถึงสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และใช้สิ่งที่มีสร้างคุณค่าความเป็นตัวเอง ฉันมองไม่เห็นด้วยตาข้างหนึ่ง แต่ฉันก็ยังมองเห็นจากอีกข้าง ฉันอาจจะป่วยบ่อย แต่ฉันก็มีผมงามสลวยจริง ๆ นะ (เสียงหัวเราะ) (เสียงคนดู) ใช่เลย ๆ ขอบคุณค่ะ พวกคุณนี่เหมือนกับ สิ่งดี ๆ ทางด้านนี้เลยค่ะ (เสียงหัวเราะ) (ลิซซีหัวเราะ) คุณทำให้ฉันลืมวิธีคิดไปเลย (เสียงหัวเราะ) โอเค ถึงไหนแล้วคะ (เสียงคนดู) ผมคุณ ผม ผม โอ้ โอเค ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะ ๆ ๆ ดังนั้นฉันก็เลือกได้ ว่าจะมีความสุข หรือว่า เลือกที่จะทุกข์กับสิ่งที่ฉันมี แล้วก็เอาแต่บ่นก็ได้ แต่ตอนนั้นฉันเริ่มตระหนักว่า ฉันจะยอมปล่อยให้คนที่เรียกดิฉันว่า ปีศาจ กำหนดตัวตนของฉันหรือ ฉันจะยอมปล่อยให้คนพูดว่า "ยิงมันให้ตายซะ" กำหนดตัวตนของฉันหรือ ไม่ล่ะค่ะ ฉันจะให้เป้าหมาย ความสำเร็จ และสิ่งทีฉันทำได้สำเร็จ เป็นสิ่งที่สร้างตัวตนของฉัน ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก ไม่ใช่เรื่องที่ฉันมีการมองเห็นบกพร่อง ไม่ใช่เรื่องที่ฉันเป็นโรคนี้ ที่ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ฉันบอกกับตัวเองว่า ฉันจะพยายามสุดชีวิต และทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อทำให้ตัวเองดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะในความคิดฉัน ทางที่ดีที่สุด ที่จะโต้ตอบกับคนพวกนั้น คนที่ล้อฉัน แกล้งฉัน คนที่เรียกฉันว่าคนอัปลักษณ์ คนที่เรียกฉันว่าปีศาจ ก็คือการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อให้พวกเขาได้เห็น คุณรู้ไหมคะ ลองพูดว่าร้ายฉันสิ ฉันจะเปลี่ยนคำพูดพวกนั้น และจะใช้มันเป็นบันได เพื่อปีนขึ้นไปยังจุดหมายของฉัน นั่นคือสิ่งที่ฉันได้ทำ ฉันบอกตัวเองว่าอยากเป็น นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ อยากจะเขียนหนังสือ เรียนจบ มีครอบครัว มีอาชีพ 8 ปีให้หลัง ฉันมายืนอยู่ตรงหน้าพวกคุณนี้ กำลังพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจอยู่ นี่เป็นอย่างแรกที่ฉันทำสำเร็จ ฉันอยากเขียนหนังสือ ในอีกภายในไม่กี่สัปดาห์ ฉันก็จะส่งต้นฉบับ ของหนังสือเล่มที่ 3 ของฉัน (เสียงปรบมือ) ฉันอยากเรียนจบปริญญา นี่ฉันก็เพิ่งจะจบ (เสียงเชียร์และปรบมือ) ฉันได้รับปริญญา ด้านการสื่อสาร จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเท็กซัสในซานมาร์คอส ส่วนวิชาโทคือภาษาอังกฤษ ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะ ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมา เมื่อตอนทีฉันทำปริญญา ขณะที่อาจารย์ไม่มีปริญญา ท้ายที่สุด ฉันอยากมี ครอบครัวของตัวเอง มีอาชีพ ด้านครอบครัวนั้นไม่ค่อยเป็น ตามที่หวัง ส่วนด้านอาชีพ ฉันรู้สึกว่าฉันทำได้ดีทีเดียว เมื่อนึกถึงว่า ตอนที่ฉันตัดสินใจจะเป็นนักพูด สร้างแรงบันดาลใจ ฉันกลับบ้าน นั่งลงหน้าแลปท็อป เปิดกูเกิล และพิมพ์ค้นหาว่า "ทำอย่างไรจึงจะเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ" (เสียงหัวเราะ) ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ ฉันพยายามเต็มที่ ฉันใช้ผู้คนที่บอกว่า ฉันไม่มีทางทำได้แน่ เป็นแรงผลักดัน ใช้ความเห็นแง่ลบของพวกเขา จุดไฟให้ฉันพยายามต่อไป ใช้สิ่งนั้น สิ่งนั้น ใช้เรื่องร้าย ๆ ที่คุณพบในชีวิต เพื่อทำให้คุณพัฒนาขึ้น เพราะฉันรับรองได้เลยว่า รับรองได้เลย คุณจะชนะ ฉันจะจบรายการนี้ด้วยการถามคุณอีกครั้ง ฉันอยากให้เมื่อคุณออกไปแล้ว คุณถามตัวเองว่า อะไรกำหนดตัวตนคุณ แต่จำไว้นะคะว่า ความกล้าหาญเริ่มที่นี่ ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ)