สวัสดีครับ ผมชื่อ จาเรต โครซอสก้า ผมทำอาชีพนักเขียนและวาดภาพประกอบในหนังสือสำหรับเด็ก งานประจำของผมก็คือการใช้จินตนาการ แต่ก่อนที่จินตนาการของผมจะกลายมาเป็นอาชีพหลัก จินตนาการเคยช่วยชีวิตผมไว้ เมื่อครั้งยังเด็ก ผมชอบวาดรูป และศิลปินที่เก่งที่สุดที่ผมเคยรู้จัก คือคุณแม่ของผมเอง แต่แม่ของผมติดเฮโรอีน และเมื่อพ่อแม่ของคุณเป็นผู้ติดสารเสพติด ชีวิตคุณก็จะเหมือนกับเวลาที่ชาร์ลี บราวน์พยายามจะเตะลูกฟุตบอล เพราะยิ่งคุณพยายามจะรักพวกเขามากเท่าไร ยิ่งคุณต้องการได้รับความรักจากพวกเขามากเท่าไร ทุกครั้งที่คุณเปิดใจ คุณจะล้มไม่เป็นท่า ดังนั้น ตลอดช่วงวัยเด็กของผม แม่ถูกจับ และผมไม่มีพ่อ เพราะ ผมไม่เคยรู้จักชื่อของพ่อเลยจนกระทั่งผมอยู่เกรด 6 แต่ผมมีคุณตาคุณยาย คุณตาคุณยายของผม โจเซฟและเชอร์ลี่ รับอุปการะผมก่อนวันเกิดครบรอบสามขวบ และรับผมไปดูแลเหมือนลูกของท่านเอง หลังจากที่ท่านได้เลี้ยงดูเด็กๆมาแล้ว 5 คน คนสองคนที่โตมาในช่วงมหาวิกฤติเศรษฐกิจโลก ในช่วงต้นๆยุคปี 80 รับอุปการะเด็กใหม่ ผมเป็นเหมือนโอลิเวอร์ (ตัวละครในซีรีส์ ครอบครัวเบรดี้ บันช์) ในละครเรื่องครอบครัวโครซอสก้า เด็กหน้าใหม่ที่จู่ๆก็โผล่เข้ามา ผมพูดได้ว่าชีวิตเป็นเรื่องง่ายมากเมื่ออยู่กับพวกเขา คุณตาคุณยายสูบบุหรี่คนละสองซองต่อวัน แบบไม่มีก้นกรอง และเมื่อผมอายุ 6 ขวบ ผมสามารถสั่งคอกเทล เซาเทิร์น คอมฟอร์ท แมนฮัตตัน ดราย เสิร์ฟพร้อมทวิสต์ แยกน้ำแข็งเพื่อให้สามารถใส่เหล้าได้มากขึ้น แต่พวกเขาก็รักผมสุดๆ รักผมมาก และสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ของผม เพราะคุณตาเป็นคนที่สร้างตัวขึ้นมาเอง เขาบริหารและทำงานในโรงงาน คุณยายเป็นแม่บ้าน แต่นี่คือ เด็กที่ชอบทรานส์ฟอร์เมอร์ และสนูปปี้ และขบวนการนินจาเต่า และตัวละครอื่นๆ ที่ผมได้อ่าน ผมหลงรักพวกมัน และ พวกมันก็กลายมาเป็นเพื่อนของผม ดังนั้นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของผมคือตัวละคร ที่ผมอ่านจากหนังสือ ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนประถม เกท เลน ในวอรเซสเตอร์ แมสซาชูเซทส์ และที่นั่นผมมีครูที่ยอดเยี่ยมมาก ที่โดดเด่นที่สุดคือในเกรด 1 ครูอลิช และผมจำได้ดีถึงความรักที่ครูมอบให้ พวกเราในฐานะนักเรียนของครู เมื่อผมอยู่เกรด 3 เหตุการณ์สำคัญในชีวิตก็เกิดขึ้น นักเขียนท่านนึงมาเยี่ยมโรงเรียนของเรา เขาคือ แจ็ค แกนโทส นักเขียนทีมีงานตีพิมพ์เข้ามาคุยกับพวกเรา เกี่ยวกับงานของเขา และหลังจากนั้น เราทุกคนกลับเข้าห้องเรียน พวกเราวาดรูปตัวละครของแจ็ค ตามการตีความของพวกเรา ตัวละครนั้นคือ รอทเท่น ราล์ฟ แล้วทันใดนั้น เจ้าของงานเขียนนี้ก็ปรากฏตัวที่ประตู และผมจำได้ว่าเขาค่อยๆเดินสบายๆมาตามทางเดิน ผ่านเด็กคนแล้วคนเล่า มองไปที่โต๊ะเรียนแต่ละตัว ไม่พูดอะไรสักคำ แต่เขาหยุดข้างๆโต๊ะของผม แล้วเคาะโต๊ะผม พร้อมกับพูดว่า "แมวสวยนะ" (หัวเราะ) แล้วเขาก็เดินจากไป เป็นคำสองคำที่เปลี่ยนชีวิตผมครั้งใหญ่ ตอนที่ผมอยู่เกรด 3 ผมเขียนหนังสือเป็นครั้งแรก "นกฮูกผู้คิดว่าตนเป็นนักบินผู้ยิ่งใหญ่" (เสียงหัวเราะ) เราต้องเขียนเรื่องลึกลับของกรีก เรื่องที่เราสร้างสรรค์ขึ้นเอง ผมเขียนเรื่องเกี่ยวกับนกฮูก ผู้ท้าแข่งบินกับเฮอร์เมส และนกฮูกก็โกง และเฮอร์เมส เทพเจ้าของกรีก ก็โกรธแค้นมาก จึงสาปให้นกฮูกกลายเป็นพระจันทร์ นกฮูกจึงต้องใช้ชีวิตที่เหลือเป็นพระจันทร์ ในขณะที่มันเฝ้าดูครอบครัวและเพื่อนๆเล่นกันในเวลากลางคืน เยี่ยม (เสียงหัวเราะ) หนังสือของผมมีหน้าไตเติ้ล ผมกังวลมากเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาของผม ตอนนั้นผมอายุ 8 ขวบ (เสียงหัวเราะ) นั่นเป็นเรื่องที่เล่าด้วยข้อความและรูปภาพ แบบเดียวกับที่ผมทำเป็นอาชีพในตอนนี้ และบางครั้งผมก็ปล่อยให้ข้อความแสดงบทบาทของมัน บางครั้งผมก็ปล่อยให้รูปภาพทำงานไปด้วยตัวมันเอง ในการเล่าเรื่อง หน้าโปรดของผม คือ หน้า "เกี่ยวกับผู้เขียน" (เสียงหัวเราะ) ผมจึงเรียนรู้การเขียนเล่าเรื่องตัวเองเป็นบุคคลที่สาม ตั้งแต่ผมยังอายุน้อยๆ และผมชอบประโยคสุดท้ายที่ว่า : "เขาชอบการทำหนังสือเล่มนี้" และผมชอบการทำหนังสือนั้นเพราะผมรักการใช้จินตนาการของผม และนั่นคือ การเขียน การเขียนคือการใช้จินตนาการของคุณบนกระดาษ และผมเคยกลัวเพราะผมเดินทางไปตามโรงเรียนมากมาย และดูเหมือนนี่เป็นความคิดที่แปลกประหลาดสำหรับเด็กๆ ที่ว่าการเขียน คือ การใช้จินตนาการบนกระดาษ ถ้าเด็กๆได้รับอนุญาตให้เขียนในชั่วโมงเรียนนะครับ ผมรักการเขียนมาก จนเมื่อผมกลับจากโรงเรียน ผมจะดึงกระดาษออกมา แล้วเย็บติดกันไว้ แล้วเติมกระดาษเปล่านั้นด้วยข้อความและรูปภาพ เพราะผมรักการใช้จินตนาการ และตัวละครเหล่านั้นก็กลายมาเป็นเพื่อนๆของผม มีทั้งไข่ มะเขือเทศ กะหล่ำปลีและฟักทอง พวกมันอาศัยอยู่ในเมืองตู้เย็น มีการผจญภัยครั้งหนึ่งที่พวกมันไปบ้านผีสิง ซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย เช่นปีศาจเครื่องปั่นที่พยายามจะสับพวกมันเป็นชิ้นๆ ปีศาจเตาอบที่พยายามจะลักพาตัวคู่สามีภรรยาขนมปัง และปีศาจไมโครเวฟที่พยายามจะละลายเพื่อนๆของพวกมัน ที่เป็น เนยแท่ง (เสียงหัวเราะ) และผมก็เขียนการ์ตูนของผมเองด้วย นี่ก็เป็นอีกช่องทางที่ผมใช้เล่าเรื่อง ผ่านตัวหนังสือและรูปภาพ และเมื่อผมอยู่เกรด 6 ชุมชนได้ให้ทุนกับทุกๆสิ่ง แต่ตัดงบประมาณด้านศิลปะออก จากระบบโรงเรียนของชุมชนวอร์เซสเตอร์ จากเดิมผมได้เรียนศิลปะอาทิตย์ละครั้ง กลายเป็นเดือนละสองครั้ง และเดือนละครั้ง จนไม่ได้เรียนเลย คุณตาของผม ท่านเป็นคนฉลาดมาก ท่านเห็นว่านี่คือปัญหา เพราะท่านรู้ ว่านั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมมี ผมไม่เล่นกีฬา ผมมีแต่ศิลปะ ท่านเดินเข้ามาในห้องผมเย็นวันหนึ่ง นั่งที่ขอบเตียง และพูดว่า "จาเร็ต มันขึ้นอยู่กับเธอ ถ้าเธออยาก เราจะส่งเธอไปเรียนศิลปะที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะวอร์เซสเตอร์" ผมตื่นเต้นมาก ตั้งแต่เกรด 6 จนถึงเกรด 12 หนึ่งครั้ง สองครั้ง บางทีก็สามครั้งต่อสัปดาห์ ผมจะไปเข้าห้องเรียนที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ ผมถูกรายล้อมด้วยเด็กคนอื่นๆที่รักการวาดรูป เด็กคนอื่นๆที่มีความปรารถนาเหมือนๆกัน ตอนนั้นเองอาชีพการตีพิมพ์ของผมก็เริ่มเมื่อผมออกแบบปก สำหรับหนังสือรุ่นเกรด 8 ของผม และถ้าคุณสงสัยว่าสไตล์เสื้อผ้าที่ผมใส่ในตัวแมสคอทของเรา คือผมคลั่งไคล้ เบล บิพ ดีโว และ เอ็มซี แฮมเมอร์ และวานิลลา ไอซ์ในช่วงนั้น (เสียงหัวเราะ) ถังวันนี้ผมยังร้องคาราโอเกะ "ไอซ์ ไอซ์ เบบี้"ได้ โดยไม่ต้องดูจอเลย อย่ายุนะครับ เพราะผมทำแน่ จากนั้นผมย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชน อนุบาลถึงเกรด 8 ในโรงเรียนรัฐ แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง คุณตาผมไม่ค่อยสบายใจที่มีคน ในโรงเรียนมัธยมท้องถิ่นถูกแทงและเสียชีวิต ท่านจึงไม่อยากให้ผมไปที่นั่น ท่านอยากให้ผมเข้าโรงเรียนเอกชน และให้ผมเลือก จะไป โฮลี่เนม โรงเรียนสหศึกษา หรือเซนต์ จอห์น ซึ่งเป็นรร.ชายล้วน ท่านฉลาดครับเพราะท่านรู้ว่าผมจะเลือกอะไร ผมรู้สึกเหมือนต้องตัดสินใจเอง และท่านรู้ว่าผมไม่เลือกเซนต์ จอห์นหรอก ผมจึงได้เข้ารร.มัธยมโฮลี่ เนม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ลำบากมากเพราะ อย่างที่ผมบอก ว่าผมไม่เล่นกีฬา และที่นี่มุ่งไปทางกีฬามาก แต่ผมปลอบใจตัวเองด้วยการเข้าชั้นเรียนศิลปะกับครูชิเลล์ และผมก็รุ่งเรืองกับที่นี่ ผมตั้งตารอเข้าห้องเรียนนี้ทุกๆวัน ผมผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ยังไง? ผมวาดรูปล้อเลียนครูครับ (เสียงหัวเราะ) แล้วก็ส่งต่อๆ แล้วในห้องเรียนภาษาอังกฤษตอนเกรด 9 จอห์นเพื่อนที่นั่งข้างๆผม ก็หัวเราะเยอะไปหน่อย ครูกรีนวูดไม่ค่อยพอใจเท่าไร (เสียงหัวเราะ) ครูเห็นในทันทีว่าผมคือตัวการของความวุ่นวาย และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมถูกเรียกออกไปที่ทางเดิน ผมคิดว่า "โอ๊ยไม่นะ จบเห่แล้ว คุณตาฆ่าผมตายแน่" ครูมาถึงที่โถงแล้วพูดว่า "ขอดูกระดาษหน่อย" ผมคิดว่า "โอ๊ยไม่นะ ครูต้องคิดว่าเป็นข้อความแน่เลย" และผมก็ยื่นรูปวาดนั้นให้ครู เรายืนนิ่งเงียบกันอยู่ซักพัก ครูพูดว่า "เธอมีพรสวรรค์นะเนี่ย" (เสียงหัวเราะ) "เธอเก่งมาก รู้ไหม หนังสือพิมพ์ของโรงเรียน ต้องการนักวาดการ์ตูนคนใหม่ และเธอน่าจะเป็นนักเขียนการ์ตูนนะ แค่อย่าวาดรูปในชั้นเรียนของผมก็แล้วกัน" ผู้ปกครองของผมจึงไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย ผมไม่เจอปัญหาอะไร ผมถูกแนะนำให้รู้จักกับคุณเคซี่ ผู้ดูแลหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน ผมอยู่ที่นั่นสามปีครึ่ง เป็นนักเขียนการ์ตูนให้หนังสือพิมพ์โรงเรียน รับมือกับเรื่องหนักๆเช่น รุ่นพี่ขี้งก รุ่นน้องเอาแต่เรียน รายจ่ายงานพรอมแพงเกินไป ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าไปงานพรอมต้องใช้เงินขนาดนั้น ผมเขียนเรื่องงานของอาจารย์ใหญ่ และผมก็เขียนเรื่องของเด็กชายที่ชื่อเวสลีย์ ผู้ผิดหวังในความรัก และผมสาบานได้เลยว่า มันไม่ใช่เรื่องของตัวผมเอง แต่ตลอดสามปีนับจากนั้น มันก็เป็นเรื่องของผมล้วนๆ แต่มันก็เยี่ยมมากครับเพราะผมสามารถเขียนเรื่องพวกนี้ ผมมีไอเดียผุดขึ้นในหัว และพวกเขาก็ตีพิมพ์ลงในหนังสือโรงเรียน คนที่ผมไม่รู้จักก็ได้อ่านเรื่องพวกนั้น และผมชอบความรู้สึกนั้นมาก การได้แบ่งปันความคิด ผ่านเรื่องที่ตีพิมพ์บนกระดาษ วันเกิดอายุ 14 ปีของผม คุณตาและคุณยาย ให้ของขวัญที่พิเศษที่สุดในชีวิตผม คือโต๊ะเขียนแบบซึ่งผมใช้มาถึงทุกวันนี้ นี่แหล่ะครับ ตัวผมใน 20 ปีถัดมา และผมยังทำงานที่โต๊ะนี้ทุกๆวัน เย็นของวันเกิดอายุ 14 ปี ผมได้รับโต๊ะตัวนี้ แล้วเราก็ทานอาหารจีนกัน และนี่คือ สิ่งนำโชค ของผม : "คุณจะประสบความสำเร็จในงานของคุณ" ผมติดกระดาษนี้ไว้ที่มุมบนซ้ายของโต๊ะ และอย่างที่คุณเห็น มันยังอยู่ครับ ผมไม่เคยขออะไรจากตากับยายเลยครับ จริงๆแล้วก็..สองอย่างละกันครับ : รัสตี้ หนูแฮมสเตอร์ผู้ยิ่งใหญ่ และอายุยืนมาก ที่ผมได้ตอนเกรด 4 (เสียงหัวเราะ) และกล้องวิดีโอ ผมอยากได้กล้องถ่ายวิดีโอ และหลังจากอ้อนวอนขอช่วงคริสต์มาส ผมก็ได้กล้องวิดีโอมือสอง และผมก็เริ่มทำเอนิเมชั่นของผม ด้วยตัวผมเอง และตลอดช่วงมัธยมผมก็ทำเอนิเมชั่นของผมหลายชิ้น ผมหว่านล้อมให้ครูวิชาภาษาอังกฤษตอนเกรด 10 ของผมให้อนุญาต ให้ผมทำรายงานหนังสือเรื่องมิซรี่ (Misery) ของสตีเฟน คิง ในรูปแบบเอนิเมชั่นสั้นๆ (เสียงหัวเราะ) ผมก็ยังทำการ์ตูนต่อไป ผมทำการ์ตูนเรื่อยๆ และที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะวอร์เซสเตอร์ ผมได้รับคำแนะนำที่ยอดเยี่ยมมากจากผู้ให้ความรู้แบบที่ไม่เคยได้มาก่อน มาร์ค ลินช์ เป็นครูที่ยอดเยี่ยมมากๆ และเขายังคงเป็นเพื่อนรักของผมถึงตอนนี้ เมื่อผมอายุประมาณ 14 หรือ 15 ปี ผมเดินเข้าไปในชั้นเรียนการ์ตูนของเขา ผมตื่นเต้น ร่าเริงมาก ผมได้หนังสือเล่มนี้ ที่สอนวิธีวาดการ์ตูนในแบบของมาร์เวล เป็นหนังสือที่สอนวิธีวาดยอดมนุษย์ วิธีวาดผู้หญิง วิธีวาดกล้ามเนื้อ และวิธีวาดตามที่มันควรจะเป็น ถ้าผมต้องการวาดเอ็กซ์เมน หรือ สไปเดอร์แมน เขาดูงานของผม แล้วหน้าซีดเผือด เขามองมาที่ผม แล้วพูดว่า "ลืมทุกอย่างที่เธอเคยเรียนมา" ผมไม่เข้าใจเท่าไร เขาพูดว่า"เธอมีสไตล์ที่เยี่ยมมาก จงชื่นชมสไตล์ของเธอเอง อย่าวาดตามแบบที่คนบอกให้เธอวาด วาดแบบที่เธอกำลังวาดอยู่และอยู่กับแบบนั้น เพราะเธอเยี่ยมจริงๆนะ" เมื่อผมเป็นวัยรุ่น ผมมีความกังวลเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป แต่หลังจาก 17 ปีของการมีแม่ ที่ผลุบๆโผล่ๆมาในชีวิตผมเหมือนลูกดิ่งโยโย่ และพ่อที่ไร้หน้าตา ผมรู้สึกโกรธ และเมื่อผมอายุ 17 ผมได้พบพ่อผมเป็นครั้งแรก และก็ได้รู้ว่าผมมีพี่น้องที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน และในวันที่ผมพบพ่อเป็นครั้งแรก ผมถูกปฏิเสธ การเข้าเรียนโรงเรียนออกแบบโร้ดไอแลนด์ ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวที่ผมเลือกและอยากเข้าเรียน แต่ช่วงเวลานั้นผมไปร่วมค่ายซันไชน์ เป็นอาสาสมัครหนึ่งอาทิตย์และได้ทำงานกับเด็กๆที่ยอดเยี่ยมที่สุด เด็กๆที่เป็นลูคีเมีย และอีริค เด็กคนนี้ได้เปลี่ยนชีวิตผม อีริคอยู่ได้ไม่ถึงงานวันเกิดครบ 6 ขวบของเขา อีริคอยู่กับผมในทุกๆวัน หลังจากผ่านประสบการณ์นี้ ครูศิลปะของผม ครูชิเลล์ นำหนังสือภาพเหล่านี้มา และผมคิดในใจว่า "หนังสือภาพสำหรับเด็ก !" และผมก็เริ่มเขียนหนังสือสำหรับนักอ่านรุ่นเยาว์ ในช่วงที่ผมเป็นรุ่นพี่ในโรงเรียนมัธยม และ ในที่สุดผมก็ได้เข้าโรงเรียนออกแบบโร้ดไอแลนด์ ผมย้ายไปโรงเรียนโร้ดไอแลนด์ (RISD) ตอนปีสอง ที่โรงเรียนนี้ ผมลงเรียนวิชาที่เกี่ยวกับการเขียนทุกวิชาที่ผมลงได้ และที่นี่ ผมได้เขียนเรื่องทากยักษ์สีส้ม ที่อยากจะเป็นเพื่อนกับเด็กคนนี้ แต่เด็กไม่อยากทนเจ้าทากตัวนี้ ผมส่งหนังสือเล่มนี้ไปสำนักพิมพ์หลายสิบแห่ง และก็โดนปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผมก็ได้มีส่วนร่วมกับค่ายของกลุ่มช่องว่างในกำแพง (Hole in the Wall Gang) เป็นค่ายสุดพิเศษของเด็กๆที่ป่วยหนักด้วยโรคต่างๆ และเด็กที่ค่ายนี้แหล่ะที่อ่านเรื่องของผม และผมก็อ่านให้พวกเขาผม และผมก็ได้เห็นเด็กๆตอบสนองต่องานของผม ผมจบการศึกษาจาก RISD คุณตาคุณยายภูมิใจมาก จากนั้นผมย้ายไปบอสตัส ตั้งร้านของผม ผมทำสตูดิโอและพยายามส่งงานเพื่อตีพิมพ์ ผมส่งหนังสือไปหลายเล่ม ส่งไปรษณียบัตรไปหลายร้อยฉบับ ถึงบรรณาธิการและบรรณาธิการฝ่ายศิลป์หลายคน แต่ไม่มีใครตอบกลับมาเลย คุณตาโทรหาผมทุกสัปดาห์ และพูดว่า "จาร์เรตต์ เป็นยังไงบ้าง เธอได้งานหรือยัง" เพราะท่านได้ลงทุนไปเป็นเงินไม่น้อยเลย กับการเรียนของผม ผมตอบว่า "ครับ ผมมีงานแล้ว ผมเขียนเรื่องและวาดภาพประกอบในหนังสือสำหรับเด็ก" ท่านถามว่า "แล้วใครจ่ายเงินให้กับงานของเธอ" ผมตอบว่า "ไม่มีครับ ยังไม่มีใครจ่ายให้ตอนนี้ แต่ผมรู้ว่าสักวันจะต้องมีแน่ๆ" ผมเคยทำงานช่วงสุดสัปดาห์ที่โครงการช่องว่างในกำแพงในช่วงที่ว่างๆ เพื่อหาเงินพิเศษในช่วงที่ผมกำลังตั้งตัว เด็กเหล่านี้ ซึ่งค่อนข้างจะกระตือรือล้นมาก เริ่มเรียกผมว่า "เจ้าลิง" เมื่อผมกลับบ้าน ผมเขียนหนังสือชื่อ "ราตรีสวัสดิ์ เจ้าลิง" และผมส่งไปรษณียบัตรออกไปเป็นชุดสุดท้าย ผมได้รับอีเมลตตอบกลับจากบรรณาธิการของ แรนดอม เฮาส์ ด้วยชื่อหัวข้อว่า "งานยอดเยี่ยมมาก ! " "เรียน คุณจาร์เรตต์ เราได้รับโปสการ์ดของคุณ และชอบงานศิลปะของคุณ เราเข้าไปดูเวบไซต์ของคุณ เราอยากรู้ว่าคุณเคยเขียนนิทานของคุณเองหรือไม่ เพราะเราชอบงานวาดของคุณมาก และน่าจะมีนิทานที่เหมาะกับงานวาดนั้น กรุณาแจ้งเราด้วยหากคุณได้มาที่นิวยอร์ค" นี่คืออีเมลจากบรรณาธิการของบริษัทหนังสือเด็ก แรนดอม เฮาส์ สัปดาห์ถัดมา ผมก็"บังเอิญ"ไปอยู่ที่นิวยอร์คในทันที (เสียงหัวเราะ) ผมได้พบบรรณาธิการ และจากนิวยอร์คมาพร้อมกับหนังสือสัญญาสำหรับหนังสือเล่มแรกของผม "ราตรีสวัสดิ์ เจ้าลิง" ซึ่งตีพิมพ์ในวันที่ 12 มิถุนายน 2544 หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของผมลงข่าวแสดงความยินดี ร้านหนังสือในชุมชนให้ความสนใจมาก พวกเขาขายหนังสือในร้านได้ทั้งหมด เพื่อนผมพูดถึงเรื่องนี้ว่าเหมือนการตื่นนอน แต่มีความสุข เพราะทุกคนที่ผมเคยรู้จักเข้าแถวมากันเพื่อพบผม แต่ไม่ใช่เพราะว่าผมตาย เขามาเพื่อให้ผมเซนต์หนังสือให้ คุณตาคุณยายของผมอยู่ในช่วงเวลานั้นด้วย พวกเขามีความสุขมาก ภูมิใจมากที่สุด ครูอลิชก็มา ครูชิเลล์ก็มา ครูเคซี่ก็มา ครูอลิชแซงมาอยู่หน้าสุดของแถว "ฉันเป็นคนสอนเขาอ่านหนังสือนะ" (เสียงหัวเราะ) จากนั้นก็มีบางอย่างเกิดขึ้นและเปลี่ยนชีวิตผม ผมได้รับจดหมายจากแฟนคลับเป็นฉบับแรก เด็กคนนี้รักเจ้าลิงมาก และเขาอยากได้เค้กวันเกิดเจ้าลิง สำหรับเด็กอายุสองขวบ สิ่งนี้คงเหมือนการไปสักนะครับ (เสียงหัวเราะ) คุณคิดดู คุณได้เค้กวันเกิดแค่ปีละครั้ง สำหรับเด็กคนนี้ นี่เพิ่งเป็นครั้งที่สอง ผมได้รับรูปนี้ และผมคิดว่า "รูปนี้จะต้องติดอยู่ในความทรงจำ ของเขาไปตลอดชีวิตแน่ๆ เขาต้องเก็บรูปนี้ไว้ไปตลอดชีวิต ในอัลบั้มรูปครอบครัวแน่นอน" รูปนั้น ในเวลานั้น อยู่ตรงหน้าผมตลอดเวลาที่ผมทำงานเขียนหนังสือของผม ผมมีหนังสือภาพออกวางขาย 10 เล่ม "พังค์ ฟาร์ม" "เจ้าหัวถุง" "ออลลี่ ช้างสีม่วง" ผมเพิ่งทำหนังสือเล่มที่ 9 เป็นหนังสือในชุด "แม่ครัว (Lunch Lady)" ซึ่งเป็นหนังสือชุดนิยายภาพ เกี่ยวกับแม่ครัวในโรงเรียนผู้ต่อสู้กับอาชญากรรม ผมกะไว้ว่าจะออกหนังสือ ชื่อว่า "หน่วยตำรวจตุ่นปากเป็ด : เจ้ากบจอมบ่น" ผมท่องเที่ยวทั่วประเทศแวะไปตามโรงเรียนนับไม่ถ้วน บอกเด็กๆมากมายให้รู้ว่าเขาวาดรูปแมวได้ยอดเยี่ยมมาก และผมก็ได้เจอเจ้าหัวถุง เหล่าแม่ครัวที่ดูแลผมเป็นอย่างดี ผมได้มีชื่อเสียงเช่นนี้ ก็เพราะเด็กๆเสนอชื่อผม เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่หนังสือชุด"แม่ครัว"ชนะ รางวัลหนังสือขวัญใจเด็กๆแห่งปีในกลุ่มเด็กเกรด 3-4 และผู้ชนะทั้งหลายได้แสดง ขึ้นบนจอยักษ์ที่ไทม์สแควร์ "พังค์ ฟาร์ม" และ "แม่ครัว" อยู่ระหว่างการทำเป็นภาพยนตร์ ผมจึงได้เป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ ผมรู้สึกขอบคุณจริงๆ ขอบคุณกล้องวิดีโอ ที่ผมได้ตอนเกรด 9 ผมได้เห็นผู้คนจัดปาร์ตี้วันเกิดแบบ "พังค์ ฟาร์ม" ผู้คนแต่งตัวเหมือน "พังค์ ฟาร์ม" ในวันฮาโลวีน ห้องเด็กสไตล์ "พังค์ ฟาร์ม" ซึ่งผมก็หวั่นๆเล็กน้อยถึงสวัสดิภาพชีวิตของเด็กคนนั้นในระยะยาว และผมได้รับจดหมายจากแฟนๆที่ยอดเยี่ยมมากๆ ผมได้ทำโปรเจคหลายชิ้นที่ยอดเยี่ยมมาก เวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตผมเกิดขึ้นเมื่อฮาโลวีนที่ผ่านมา กริ่งประตูดังขึ้น และเป็นคนเล่นหลอกหรือเลี้ยง ( trick-or-treat) แต่งตัวเป็นตัวการ์ตูนของผม มันเจ๋งมากครับ ตอนนี้คุณตาคุณยายผมไม่อยู่แล้ว เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน ผมตัั้งทุนการศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะวอร์เซสเตอร์ สำหรับเด็กๆที่มีชีวิตลำบาก แต่ผู้ดูแลเด็กไม่สามารถจ่ายค่าเรียนให้เด็กๆได้ ที่นั่นจัดแสดงผลงานของผมในช่วง 10ปีแรกของการตีพิมพ์ และคุณรู้ไหมว่าใครมาแสดงความยินดีในวันนัั้น คุณครูอลิชครับ ผมพูดว่า "ครูอลิช เป็นอย่างไรบ้างครับ" ครูตอบมาว่า "ฉันอยู่ที่นี่ไง" (เสียงหัวเราะ) จริงครับ คุณยังมีชีวิตอยู่ และสบายดีตอนนี้ ดังนั้นเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของผม งานที่สำคัญที่สุดของผมตอนนี้คือ ผมเป็นพ่อคนแล้ว ผมมีลูกสาวที่น่ารักสองคน และเป้าหมายของผมคือสร้างแรงบันดาลใจ ให้มันอยู่รอบๆตัวพวกเขา ด้วยหนังสือที่มีอยู่ในห้องทุกห้องในบ้านของเรา ด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่ผมวาดในห้องของพวกเขา ด้วยเวลาแห่งการสร้างสรรค์ที่คุณพบได้ในช่วงเวลาเงียบๆ ด้วยการสร้างใบหน้าตามชานบ้าน ให้เธอได้นั่งบนโต๊ะ ที่ผมนั่งมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)