ผมไม่สามารถที่จะลืมพวกเขาได้ พวกเขาชื่อ อาสลาน อาลีค อังเดรย์ เฟอร์นันดา เฟร็ด เยลีน่า กูนีลด์ ฮานส์ อิงเกบอร์ก แมททิ นาทาเลีย แนนซี่ เชอร์ริล อุสแมน ซารีม่า และยังมีอีกมาก สำหรับหลายคน การมีตัวตน และความเป็นมนุษย์ของพวกเขา กลับกลายเป็นแค่ข้อมูล ที่ถูกบันทึกอย่างเลือดเย็นว่า อุบัติเหตุด้านความปลอดภัย สำหรับผม พวกเขาคือเพื่อนร่วมงาน ในสังกัดของกลุ่ม ผู้ให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม ที่ได้พยายามนำความสุขแม้เพียงเล็กน้อย ไปมอบให้เหยื่อของสงคราม ที่เชชเนีย ในช่วงปี 90 พวกเขาคือ พยาบาล นักตรรกวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านการลี้ภัย นักกฏหมาย และล่าม และในการไปให้การช่วยเหลือครั้งนี้ พวกเขาก็ถูกสังหาร ครอบครัวพวกเขาต้องแตกสลาย และเรื่องราวของพวกเขาก็ถูกลืม ไม่เคยมีอาชญากรแม้แต่คนเดียว ที่ถูกพิพากษาในอาชญากรรมครั้งนี้ ผมไม่สามารถที่จะลืมพวกเขาได้ พวกเขายังมีชีวิตอยู่ในตัวผม ความทรงจำพวกเขา มอบความหมายให้กับผมทุกวัน แต่พวกเขาก็หลอกหลอนผม อยู่ในส่วนที่มืดมนของจิตใจผม ในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม พวกเขาได้เลือกที่จะอยู่ เคียงข้างผู้ประสบภัย เพื่อให้ความช่วยเหลือ ปลอบใจ และให้การคุ้มครอง แต่เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องการการคุ้มครอง พวกเขากับไม่ได้รับอะไรเลย เมื่อคุณเห็นพาดหัวข่าว ในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ เกี่ยวกับสงครามใน อิรัก หรือใน ซีเรีย อาสาสมัครถูกลักพาตัว หรือตัวประกันถูกประหาร พวกเขาคือใคร? ทำไมพวกเขาถึงอยู่ที่นั่น? อะไรคือสาเหตุ? ทำไมเราถึงไม่รู้สึกอะไรเลบ กับอาชญากรรมเหล่านี้ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมมาหาพวกคุณที่นี่ เราต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้ ที่จะจดจำพวกเขา เราต้องอธิบายถึงเรื่องสำคัญ ที่ทำให้พวกเขายอมเสี่ยงชีวิต และเราต้องเรียกร้องความยุติธรรม ในปี 96 ผมถูกส่งไป โดยกรรมาธิการใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ เพื่อผู้ลี้ภัยทางเหนือของเทือกเขาคอเคซัส ผมรู้ดีถึงความเสี่ยง เพื่อนร่วมงานถูกฆ่าตายไป 5 คนแล้ว 3 คนบาดเจ็บสาหัส 7 คนถูกจับเป็นตัวประกัน เราจึงต้องระมัดระวัง เราใช้รถหุ้มเกราะ รถนำขบวน เปลี่ยนแผนการเดินทาง เปลี่ยนบ้านพัก ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยทุกอย่าง แต่แล้วในคืนหนาวของเดือนมกราคม ปี 98 มันก็ถึงเวลาของผม เมื่อผมเข้าไปที่แฟลตผมในเมืองวาดิคาฟคัส พร้อมกับผู้คุ้มกันของผม เราก็ถูกล้อมด้วยกองกำลังติดอาวุธ พวกเขาจับผู้คุ้มกันผมกดเขาลงกับพื้น กระทืบเขาต่อหน้าต่อตาผม มัดเขา และลากตัวเขาออกไป ผมถูกมัดข้อมือ ผูกผ้าปิดตา และถูกบังคับให้คุกเข่าลง ในขณะที่ปากกระบอกปืนเก็บเสียง จ่ออยู่ที่คอของผม ถ้าเมื่อมันเกิดขึ้นกับคุณ มันไม่มีเวลาให้คิด ไม่มีเวลาให้ภาวนา สมองของผมทำงานโดยอัตโนมัติ กรอกลับเรื่องราวชีวิตของผม ที่ผ่านมาอย่างรวดเร็ว ผมใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะเข้าใจ ว่าผู้ชายพวกนั้นไม่ได้มาเพื่อฆ่าผม แต่ใครสักคน ที่ไหนสักแห่ง ได้ออกคำสั่งให้มาลักพาตัวผม กระบวนการลดทอนความเป็นมนุษย์ ได้เริ่มต้นขึ้นในวันนั้น ผมเป็นอะไรไม่มากไปกว่าตัวสินค้า โดยปกติแล้วผมมักจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่ผมอยากให้พวกคุณได้รู้บ้างสักเล็กน้อย ถึงเรื่อง 317 วัน ที่ผมถูกคุมขัง ผมถูกขังอยู่ในห้องใต้ดิน ห้องที่มืดสนิท เป็นเวลา 23 ชั่วโมง 45 นาที ทุกวัน แล้วยามจะเข้ามา โดยปกติมากันสองคน พวกเขาเอาขนมปังมาให้ 1 ชิ้น ซุป 1 ชาม และเทียน 1 เล่ม เทียนเล่มนั้นจุดได้ประมาน 15 นาที 15 นาทีของแสงสว่างอันล้ำค่า จากนั้นพวกเขาก็เอาเทียนออกไป แล้วปล่อยให้ผมกลับสู่ความมืดมิด ผมถูกล่ามด้วยโซ่ติดกับเตียงนอน ผมเดินได้แค่ 4 ก้าวเล็กๆ ฝันถึงก้าวที่ 5 ตลอดเวลา ไม่มีทีวี ไม่มีวิทยุ ไม่มีหนังสือพิมพ์ ไม่มีใครให้คุยด้วย ไม่มีผ้าเช็ดตัว ไม่มีสบู่ ไม่มีกระดาษชำระ มีแค่ถังโลหะ 2 ถัง ถังหนึ่งสำหรับใส่น้ำ ถังหนึ่งสำหรับใส่ของเสีย คุณลองจินตนาการดูได้ไหม การจำลองการฆ่าคน คือเรื่องที่ยามชอบทำเพื่อฆ่าเวลา ในเวลาที่พวกเขามีอารมณ์ซาดิสต์ หรือเวลาที่พวกเขารู้สึกเบื่อ หรือ เมา มันทำให้ผมประสาทเสียอย่างช้าๆ ความเหงา และความมืด มันช่างยากที่จะอธิบาย คุณจะอธิบายความว่างเปล่าได้อย่างไร ไม่มีคำที่จะมาแทนความเหงาที่ผมรู้สึกได้ มีเส้นขั้นบางๆกั้นระหว่าง ความปกติกับความบ้าคลั่ง ในความมืดมิด บางครั้ง ผมก็เล่นหมากฮอสในสมอง(จินตนาการ) เริ่มจากตัวสีดำ เล่นกับตัวสีขาว กลับมาที่ตัวสีดำ พยายามหลอกล่อฝ่ายตรงข้าม ผมไม่เล่นหมากฮอสอีกแล้ว ผมถูกทรมานทางใจเกี่ยวกับครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และผู้คุ้มกันของผมที่ชื่อ อีดิก ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ผมพยายามที่จะไม่คิด ผมพยายามทำตัวให้ไม่ว่าง ด้วยการออกกำลังกายแบบต่างๆ ผมพยายามที่จะสวดมนต์ พยามยามเล่นเกมท่องจำต่างๆ แต่ความมืดก็ได้สร้างภาพ และความคิดที่ไม่ปกติ ส่วนหนึ่งของสมองต้องการให้คุณ ต่อต้าน ตะโกน ร้องไห้ อีกส่วนต้องการให้คุณหุบปาก และก้าวผ่านมันไป มันคือการอภิปรายถกเถียงกันภายในใจ ตลอดเวลาและไม่มีใครจะมาตัดสิน ครั้งหนึ่ง ยามเข้ามาหาผมอย่างไม่เป็นมิตรมากๆ และบอกผมว่า วันนี้แกต้องคุกเข่าและร้องขออาหารของแก วันนั้นผมอารมณ์ไม่ดี ผมก็เลยด่าเขาไป ผมด่าแม่มัน ผมด่าบรรพบุรุษมัน ผลลัพธ์ออกมาอย่างพอประมาณ เขาโยนอาหารผมลงในถังใส่ของเสีย วันถัดมาเขากลับมาอีก พร้อมกับความต้องการแบบเดิม เขาได้รับคำตอบ ที่มีผลลัพธ์เหมือนเดิม 4 วันหลังจากนั้น ร่างกายของผมเจ็บปวดมาก ผมไม่เคยรู้เลยว่าความหิวมันช่างเจ็บปวด เวลาที่คุณแทบไม่มีอะไรเลย ดังนั้น เมื่อยามกลับลงมา ผมคุกเข่า ผมร้องขออาหารของผม การยอมแพ้คือหนทางเดียวที่ทำให้ผม ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง หลังจากผมถูกลักพาตัวไป ผมถูกย้ายจากทางเหนือของโอสเซเทีย ไปยังเชชเนีย 3 วันของการเดินอย่างเชื่องช้า ผ่านการขึ้นลงนั่งในรถหลายคัน เมื่อผมมาถึง ผมถูกสอบปากคำ เป็นเวลา 11 วัน โดยชายที่ชื่อ รัสลัน กิจวัตรประจำวันก็เหมือนเดิม แสงสว่างมากกว่าเดิมหน่อย คราวนี้ 45 นาที เขาจะลงมาที่ห้องใต้ดิน เขาจะบอกให้ยามมัดผมกับเก้าอี้ แล้วเขาก็จะเปิดเพลงเสียงดัง จากนั้นก็ตะโกนถามเรื่องต่างๆ เขาจะกรีดร้อง เขาจะกระทืบผม ผมจะไม่เล่าถึงรายละเอียดเรื่องนี้ มีหลายคำถามที่ผมไม่เข้าใจ และมีอีกหลายคำถามที่ผมไม่อยากเข้าใจ ความยาวของการสอบสวนเท่ากับความยาวของเทป 15 เพลง ก็ 45 นาที ผมอยากให้ถึงเพลงสุดท้ายเร็วๆ เสมอ วันหนึ่ง หรือคืนหนึ่งในห้องใต้ดิน ผมไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ผมได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ ด้านบนเหนือหัวของผม เด็กผู้ชาย อาจจะ 2 หรือ 3 ขวบ เสียงฝีเท้า เสียงสับสน ผู้คนวิ่งไปมา เมื่อ รัสลัน มาหาผมในวันถัดมา ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไรผม ผมถามว่า วันนี้ลูกของคุณเป็นอย่างไรบ้าง เขาดีขึ้นไหม รัสลัน ตกใจ เขากราดเกรี้ยวที่ยามอาจทำให้ข้อมูลรั่วไหล ข้อมูลชีวิตส่วนตัวของเขา ผมคุยกับเขาเกี่ยวกับ องค์กรพัฒนาเอกชน ที่จัดส่งยารักษาโรคให้กับคลินิกท้องถิ่น ยาที่อาจทำให้ลูกของเขาดีขึ้น จากนั้นเราคุยเกี่ยวกับเรื่องการศึกษา เราคุยเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว เขาพูดถึงลูกๆของเขา ผมคุยเรื่องลูกสาวผมกับเขา จากนั้นเขาคุยเรื่องปืน เรื่องรถ และผู้หญิง และผมก็ต้องคุยกับเขา เรื่องปืน เรื่องรถ และผู้หญิง เราคุยกันจนเทปจบ รัสลัน เป็นผู้ชายที่เหี้ยมโหดมากที่สุด ที่ผมเคยพบเจอ แล้วเขาก็ไม่มายุ่งกับผมอีก เขาไม่ถามอะไรผมอีก ผมไม่ได้เป็นแค่ตัวสินค้าอีกต่อไป 2 วันหลังจากนั้น ผมถูกย้ายไปอีกที่หนึ่ง ที่นั่น ยามคนหนึ่งเข้ามาหาผม ใกล้มากจนค่อนข้างผิดปกติ และเขาพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า ผมอยากจะขอบคุณ สำหรับความเชื่อเหลือที่องค์กรของคุณ ได้มอบให้กับครอบครัวผม ในตอนที่เราพลัดถิ่นใกล้กับดาเกสตาน มีอะไรที่ผมจะตอบเขาได้ มันช่างเจ็บปวด มันเหมือนมีมีดอยู่ในท้องผม ผมใช้เวลาหลายอาทิตย์คิดในใจ พยายามที่จะทำความเข้าใจ เหตผลดีๆที่ทำให้เราช่วยเหลือครอบครัวนั้น และการที่เขาเป็นทหารรับจ้าง เขายังเยาว์วัย และเขาก็เขินอาย ผมไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน เขาอาจจะมีเจตนาที่ดี แต่ในช่วง 15 วินาทีนั้น เขาทำให้ผมต้องตั้งคำถาม เกี่ยวกับเรื่องทุกอย่างที่เราทำ การเสียสละทั้งปวง เขาทำให้ผมคิดว่าพวกเขามองเราอย่างไร ถึงตอนนั้น ผมเข้าใจเลยว่า พวกเขารู้ว่าเราไปที่นั่นทำไม และพวกเรากำลังทำอะไร ไม่มีใครสามารถสมมติเรื่องเหล่านี้ได้ จะให้อธิบายว่าเราทำเรื่องหล่านี้ไปทำไม ไม่ใช่ง่าย ๆ แม้แต่กับญาติที่สนิทที่สุด เราอาจไม่สมบูรณ์แบบ เราอาจไม่ได้เหนือกว่า เราไม่ใช่หน่วยดับเพลิงโลก เราไม่ใช่ยอดมนุษย์ เราหยุดสงครามไม่ได้ เรารู้ว่าการตอบสนองด้านมนุษยธรรม ไม่อาจแทนที่ของทางออกทางการเมืองได้ เราทำสิ่งนี้เพราะ 1 ชีวิตก็มีความสำคัญ บางทีมันคือความแตกต่าง อย่างเดียวที่คุณทำได้ คน 1 คน ครอบครัว 1 ครอบครัว หรือ กลุ่มปัจเจกชนเล็ก 1 กลุ่ม และมันมีความสำคัญ เมื่อเกิดเหตุซึนามิ แผ่นดินไหว หรือ พายุไต้ฝุ่น คุณจะเห็นทีมนักกู้ภัยมาจากทั่วโลก มองหาผู้รอดชีวิตเป็นอาทิตย์ๆ ทำไม ไม่มีใครตั้งคำถาม ทุกชีวิตมีความสำคัญ หรือทุกชีวิตควรมีความสำคัญ เช่นเดียวกับพวกเรา เมื่อเราช่วยผู้ลี้ภัย ผู้คนที่ผลัดถิ่นภายในประเทศตนเอง จากความขัดแย้ง หรือคนไร้สัญชาติ ผมรู้จักคนมากมาย เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับ ความทุกข์ทรมานอันเหลือล้น พวกเขาจะรู้สึกอ่อนแอ และหยุดอยู่แค่นั้น เรื่องมันน่าสงสาร เพราะมีหนทางอีกมากมาย ที่หลายคนสามารถช่วยเหลือได้ เราไม่หยุดกับความรู้สึกแบบนั้น เราพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ความช่วยเหลือ ความคุ้มครอง ความสบายใจ เราจำเป็นต้องทำ เราไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ มันทำให้เรารู้สึก ผมไม่รู้ เป็นมนุษย์ธรรมดา นั่นคือภาพผมวันที่ถูกปล่อยตัว หลายเดือนหลังจากที่ผมถูกปล่อยตัว ผมได้พบกับนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสในตอนนั้น มีสองเรื่องที่เขาได้บอกผมคือ คุณไร้ความรับผิดชอบมาก ที่ไปตอนเหนือของคอเคซัส คุณไม่รู้เลยหรือว่า คุณได้สร้างปัญหามากมายให้กับพวกเรา มันเป็นการพบปะช่วงสั้น ๆ (เสียงหัวเราะ) ผมคิดว่าการช่วยเหลือผู้คน ที่ตกอยู่ในอันตราย คือหน้าที่ ในสงครามที่ไม่มีใครจริงใจที่จะทำให้มันจบลง และในวันนี้เราก็มีสงครามแบบนั้นมากมาย การให้ความช่วยเหลือและความปลอดภัย ให้กับคนที่ต้องการ ไม่ใช่แค่การแสดงออกของความเป็นมนุษย์ มันคือการสร้างความแตกต่างสำหรับผู้คน ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้เลย เรามีความรับผิดชอบที่จะพยายาม คุณก็เคยได้ยินเกี่ยวกับแนวคิดนั้น ความรับผิดชอบที่จะปกป้อง ผลลัพท์อาจขึ้นอยู่กับตัวแปรต่างๆ ไม่แน่เราอาจล้มเหลว แต่มันมีสิ่งที่แย่กว่าความล้มเหลว มันคือ การไม่พยายามทำ ในขณะที่เราทำได้ อา ถ้าคุณพบหนทางนี้ ถ้าคุณสมัครจะทำงานแบบนี้ ชีวิตของคุณจะเต็มไปด้วย ความสุข และความเศร้า เพราะมีผู้คนอีกมากมาย ที่เราไม่สามารถช่วยได้ ผู้คนอีกมากมายที่เราปกป้องไม่ได้ ผู้คนอีกมากมายที่เราช่วยชีวิตไม่ได้ ผมเรียกพวกเขาว่า ปีศาจของผม และการได้พบเห็นความทุกข์ ของผู้คนอย่างใกล้ชิด เท่ากับคุณเอาความทุกข์ เล็กน้อยเหล่านั้นมาใส่ตัวเอง นักมนุษยธรรมรุ่นเยาว์หลายคน ผ่านประสบการณ์ครั้งแรกของพวกเขา ด้วยความขมชื่น/ตรอมตรม พวกเขาถูกจับโยนเข้าไปยัง สถานการณ์ที่พวกเขาเป็นประจักษ์พยาน แต่ก็อ่อนแอเกินไปที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน และค่อยๆเปลี่ยนให้มันเป็นพลังงานเชิงบวก มันเป็นเรื่องยาก หลายคนไม่ประสบความสำเร็จ แต่สำหรับคนที่ทำงานนี้ ไม่มีงานไหนเหมือนงานนี้ คุณเห็นความแตกต่างงานที่คุณทำทุกวัน นักมนุษยธรรมรู้ดีถึงอันตรายที่จะต้องเจอ ในสถานที่ที่มีความขัดแย้ง ในสภาพแวดล้อมหลังความขัดแย้ง แน่นอนชีวิตพวกเรา งานพวกเรา ก็อันตรายขึ้นเรื่อยๆ และศีลธรรมชีวิตคนเราก็จางหายไปเรื่อยๆ คุณรู้รึปล่าวว่า ตั้งแต่สหัสวรรษเป็นต้นมา จำนวนครั้งที่นักมนุษยธรรมถูกโจมตี เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า มีสถิติใหม่ในปี 2013 เพื่อนร่วมงานถูกฆ่า 115 คน 171 คน บาดเจ็บสาหัส 134 คน ถูกลักพาตัว ชีวิตหลายชีวิตต้องแหลกสลาย แม้กระทั่งตอนเริ่มต้นสงครามกลางเมือง ในโซมาเลีย ในช่วงปี 80 นักมนุษยธรรม บางครั้งถูกนับว่าเป็นเหยื่อ กับเรื่องอะไรที่เราเรียกว่า ความเสียหายคู่กัน หากแต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว พวกเราไม่ใช่เป้าหมายการโจมตี แต่มันเปลี่ยนไปแล้ว ดูภาพนี้ แบกแดด เดือนสิงหาคม ปี 2003 เพื่อนร่วมงานถูกฆ่า 24 คน มันผ่านไปแล้ว เรื่องของธงน้ำเงินของ องค์กรสหประชาชาติ หรือ ของกาชาด ที่เคยปกป้องเราอย่างอัตโนมัติ อาชญากร และนักการเมืองบางกลุ่ม ได้เพาะพันธ์ุข้ามสายพันธ์มายาวนานกว่า 20 ปี และพวกเขาได้สร้างพันธ์ุผสมพวกนี้ ที่เราไม่มีทางที่จะสื่อสารด้วยได้ หลักการทางมนุษยธรรมถูกทดสอบ ถูกตั้งคำถาม และหลายครั้งถูกละเลย แต่บางที สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เราละเลยที่จะค้นหาความยุติธรรม ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีผลกระทบอะไรเลย กับการโจมตีนักมนุษยธรรม หลังจากการผมถูกปล่อยตัว มีคนบอกกับผมว่าไม่ต้องมองหาความยุติธรรมใดๆ มันจะไม่เกิดประโยชน์อะไรกับผม อีกอย่าง มันจะทำให้ผมเอาชีวิต เพื่อนร่วมงานคนอื่นไปเสี่ยงด้วย หลายปีกว่าที่ผมจะได้เห็นการตัดสินคดี คนที่เกี่ยวข้องกับการลักพาตัวผม แต่นี่คือข้อยกเว้น ยังมีความอยุติธรรมกับนักมนุษยธรรมรายอื่น ถูกฆ่าหรือถูกลักพาตัว ในเชชเนียระหว่างปี 95 และ 99 และมันเป็นแบบนี้ทั่วโลก นี่มันไม่ดีพอ ให้อภัยไม่ได้ การโจมตีนักมนุษยธรรมคืออาชญากรรมสงคราม ตามกฏหมายระหว่างประเทศ อาชญากรรมเหล่านี้ไม่ควรถูกมองข้าม เราต้องหยุดวงจรอุบาทก์ เรื่องการยกเว้นโทษประเภทนี้ เราต้องคำนึงว่าการโจมตีนักมนุษยธรรม ก็คือการโจมตีมนุษยชาติ มันทำให้ผมโกรธ ผมรู้ดีว่าผมโชคดีมาก เมื่อเทียบกับผู้ลี้ภัยที่ผมให้การช่วยเหลือ ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง เวลาที่เห็นเมืองทั้งเมืองของผมถูกทำลายลง ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง เวลาที่ญาติผมถูกยิงต่อหน้าต่อตาผม ผมไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง ตอนที่ประเทศคุ้มครองผมไม่ได้ และผมยังรู้ว่าผมโชคดีมาก เมื่อเทียบกับตัวประกันคนอื่นๆ 4 วันก่อนที่ผมจะถูกปล่อยตัว ตัวประกัน 4 คน ถูกตัดหัว ห่างไปจากที่ผมถูกคุมขังไปไม่กี่ไมล์ ทำไมถึงต้องเป็นพวกเขา ทำไมผมถึงอยู่ที่นี่ในวันนี้ ไม่มีคำตอบที่ง่ายเลย ผมได้รับการช่วยเหลือมากมาย จากญาติๆผม จากเพื่อนร่วมงาน จากเพื่อน จากคนที่ผมไม่รู้จัก พวกเขาช่วยเหลือผมตลอดหลายปีที่ผ่านมา ให้ผมออกมาจากคุกที่มืดมิด ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับความสนใจแบบนี้ เพื่อนร่วมงานของผมกี่คนแล้ว หลังเหตุการณ์ที่ทำร้าย/ทำลายจิตใจ ที่ฆ่าตัวตาย ผมนับได้ 9 คนคนที่ผมรู้จักเป็นการส่วนตัว เพื่อนร่วมงานของผมกี่คน ที่ต้องหย่าร้างอย่างยากลำบากใจ หลังจากผ่านประสบการณ์ ที่ทำร้ายทำลายจิตใจ เพราะพวกเขาไม่สามารถอธิบาย เรื่องราวอะไรที่เกิดขึ้นกับคู่สมรสได้อีกเลย ผมนับไม่ไหวแล้ว มีรางวัลสำหรับการใช้ชีวิตแบบนี้ ในรัสเซีย อนุเสาวรีย์สงครามทุกอนุเสาวรีย์ จะมีข้อความที่งดงามนี้อยู่ด้านบน มันเขียนว่า (ในภาษารัสเซีย) "ไม่มีใครถูกลืม ไม่มีอะไรถูกลืม" ผมไม่ลืมเพื่อนร่วมงานที่ผมสูญเสียไป ผมไม่สามารถลืมอะไรได้ ผมเรียกร้องให้พวกคุณจดจำ การเสียสละของพวกเขา และเรียกร้องให้นักมนุษยธรรมทั่วโลก ได้รับการคุ้มครองที่ดีขึ้น เราไม่ควรปล่อยให้แสงสว่างของความหวัง ที่พวกเขาได้มอบความช่วยเหลือให้ต้องดับลง หลังจากผมผ่านพ้นเรื่องทารุณโหดร้าย เพื่อนร่วมงานหลายคนถามว่า ทำไมยังทำงานต่อ ทำไมถึงทำงานแบบนี้อีก ทำไมถึงกลับไปทำงานนี้อีก คำตอบของผมนั้นง่ายมาก ถ้าผมเลิกทำ นั่นหมายความว่าคนที่ลักพาตัวผมชนะ พวกเขาได้ดูดจิตวิญญาณผมไป และความเป็นมนุษย์ผมไปด้วย ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)