ผมอยากจะนำคุณไปกับการเดินทางที่สุดยอด
ของยานอวกาศ โรเซตตา (Rosetta spacecraft)
เพื่อที่จะขนส่ง
และนำยานสำรวจลงจอดบนดาวหาง
มันเป็นความปรารถนาของผม
มาตลอดสองปี
เพื่อที่จะทำอย่างนั้น
ผมต้องอธิบายให้คุณทราบถึงจุดเริ่มต้น
ของระบบสุริยจักรวาล
เมื่อเราย้อนกลับไป 4.5 พันล้านปีก่อน
มันมีเมฆก๊าซและฝุ่น
และศูนย์กลางของเมฆนี้
ดวงอาทิตย์ของเราก็เกิดขึ้นและเปล่งแสง
สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกันก็คือดาวเคราะห์
ดาวหาง และดาวเคราะห์น้อยที่เรารู้จัก
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น ตามทฤษฎี
ก็คือเมื่อโลกเย็นตัวลง
ดาวหางมากมายก็เข้าชนโลก
และนำน้ำมายังโลก
มันอาจจะนำสารอินทรีย์ที่ซับซ้อน
มายังโลกด้วย
และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้น
การเกิดของสิ่งมีชีวิต
คุณสามารถเปรียบเทียบสิ่งนี้
กับการที่จะต้องต่อจิ๊กซอว์ 250 ชิ้น
แทนที่จะเป็น 2,000 ชิ้น
หลังจากนั้น ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่
อย่างดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์
พวกมันไม่ได้อยู่ในที่ของมันอย่างที่เป็นในตอนนี้
และพวกมันก็มีปฏิสัมพันธ์กันทางแรงโน้มถ่วง
และพวกมันก็เก็บกวาดส่วนใน
ของระบบสุริยจักรวาลซะราบ
และสิ่งที่เรารู้ เมื่อดาวหาง
เข้าไปอยู่ในอะไรบางอย่างที่เรียกว่า
ไคเปอร์ เบลท์ (Kuiper Belt)
ซึ่งเป็นทางของวัตถุนอกวงโคจรของดาวเนปจูน
และบางครั้ง สิ่งต่างๆ เหล่านี้เข้าชนกัน
และพวกมันเบนไปด้วยแรงโน้มถ่วง
และจากนั้นแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสฯ
ก็ดึงพวกมันกลับเข้ามายังระบบสุริยจักรวาล
และพวกมันก็กลายเป็นดาวหาง
อย่างที่พวกเราเห็นบนฟากฟ้า
สิ่งสำคัญก็คือว่า ในช่วงนี้
ในสี่จุดห้าพันล้านปี
ดาวหางเหล่านี้ได้อยู่ในส่วนนอก
ของระบบสุริยจักรวาล
และไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ประหนึ่งเป็นระบบสุริยจักรวาลแบบที่แช่แข็งไว้
ในท้องฟ้า เรามองสิ่งเหล่านี้
เรารู้จักพวกมันจากหาง
จริงๆ แล้วพวกมันมีสองหาง
หางหนึ่งเป็นฝุ่น
ซึ่งถูกเป่าออกมาโดยลมสุริยะ
อีกหางหนึ่งคือ หางไอออน
ซึ่งเป็นอนุภาคที่มีประจุ
และพวกมันเคลื่อนตามสนามแม่เหล็ก
ในระบบสุริยจักรวาล
มันมีโคม่า
และจากนั้นก็มีนิวเคลียส ซึ่งตรงนี้
มันเล็กเกินกว่าจะเห็นได้
และคุณจะต้องจำไว้ว่า ในกรณีของโรเซตตา
(Rosetta)
ยานอวกาศอยู่ตรงใจกลางพิกเซลนั้น
เราอยู่ห่างไป 20, 30, 40 กิโลเมตร
จากดาวหางนั้น
แล้วมีอะไรที่สำคัญอีก
ดาวหางมีสสารดั้งเดิม
ที่ให้กำเนิดระบบสุริยจักรวาลของเรา
ดังนั้น พวกมันน่าศึกษา ถึงองค์ประกอบ
ที่มีอยู่ในเวลานั้น
เมื่อโลก และชีวิต เริ่มต้นขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ยังตั้งสมมติฐานว่า
ดาวหางได้นำสารตั้งต้นที่เริ่มต้นกระบวนการ
กำเนิดสิ่งมีชีวิตมาสู่โลก
ในปีค.ศ. 1983 ESA จัดตั้งโครงการระยะยาว
ชื่อ ฮอไรซอน 2000 (Horizon 2000)
ซึ่งมีก้าวสำคัญขั้นหนึ่ง
นั่นคือปฏิบัติการไปดาวหาง
ในขณะเดียวกัน ปฏิบัติการเล็กๆ ไปยังดาวหาง
นี่คือ จิออตโต (Giotto) ก็ถูกปล่อยออกไป
และในปี ค.ศ. 1986 มันบินผ่านดาวหางฮัลเลย์
พร้อมกับขบวนยานอวกาศอื่นๆ
จากผลของปฏิบัติการ
มันเป็นที่ชัดเจนในทันทีว่า
ดาวหางนั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับการศึกษา
เพื่อทำความเข้าใจระบบสุริยจักรวาลของเรา
และดังนั้น ปฏิบัติการณ์โรเซตตา
ได้รับการอนุมัติในปี ค.ศ. 1993
เดิมที มันควรจะถูกปล่อยตัว
ในปี ค.ศ. 2003
แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นกับ
จรวดอาเรียน (Ariane)
อย่างไรก็ดี ด้วยความกระตือรือล้นจัด
หน่วยประชาสัมพันธ์ของเรา
ได้ผลิตจานกระเบื้องที่ระลึก 1,000 ชิ้น
ที่มีชื่อดาวหางผิดดวง
ผมเลยไม่เคยต้องซื้อเครื่องกระเบื้องอีกเลย
นั่นเป็นข้อดีนะครับ
(เสียงหัวเราะ)
เมื่อปัญหาทั้งหมดได้รับการแก้ไข
เราออกจากโลกในปี ค.ศ. 2004
ไปยังดาวหางที่ถูกเลือกใหม่
เชอยูมอฟ-เจราซิเมนโค
(Churyumov-Gerasimenko)
ดาวหางดวงนี้ถูกเลือกอย่างพิถีพิถัน
เพราะว่า หนึ่ง คุณจะต้องสามารถไปถึงมันได้
และสอง มันไม่ควรจะอยู่ในระบบสุริยจักรวาลมานานเกินไป
ดาวหางนี้อยู่ในระบบสุริยจักรวาลมาตั้งแต่
ปี ค.ศ. 1959
นั่นเป็นครั้งแรก
ที่มันถูกเบนออกโดยดาวพฤหัสฯ
และมันเข้าใกล้ดวงอาทิตย์พอที่จะเริ่มเปสี่ยนแปลง
มันเป็นดาวหางใหม่
โรเซตตาได้สร้างประวัติศาสตร์
ในการทำหลายๆ สิ่งเป็นครั้งแรก
มันเป็นดาวเทียมแรกที่โคจรรอบดาวหาง
และติดตามมันไปตลอดทั้งการเดินทาง
ข้ามระบบสุริยจักรวาล --
เข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด
อย่างที่เราจะได้เห็นในเดือนสิงหาคม
และจากนั้นออกห่างไป
สู่ระบบสุริยจักรวาลส่วนนอกอีกครั้ง
มันเป็นยานลำแรกที่ลงจอดบนดาวหาง
เราโคจรรอบดาวหาง
โดยใช้อะไรบางอย่าง
ที่ปกติเขาไม่ใช้กันในยานอวกาศ
ปกติแล้วคุณมองไปบนท้องฟ้า
และคุณจะรู้ว่าคุณมองไปทางไหน คุณอยู่ตรงไหน
ในกรณีนี้ นั่นไม่พอครับ
เรานำร่อง
โดยใช้จุดสังเกตบนดาวหาง
เราจดจำรูปร่าง --
หินก้อนใหญ่ แอ่ง
และนั่นทำให้เรารู้ว่าอยู่ตรงไหน
เมื่อเทียบกับดาวหาง
และ แน่นอน มันเป็นดาวเทียมดวงแรก
ที่ไปไกลกว่าวงโคจรของดาวพฤหัสฯ
ด้วยพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์
ทีนี้ มันฟังดูยิ่งใหญ่กว่าที่มันเป็น
เพราะว่าเทคโนโลยีที่ใช้
ตัวก่อกำเนิดความร้อนรังสีไอโซโทป
ไม่ได้มีอยู่ในยุโรปในตอนนั้น
ฉะนั้น เราไม่มีทางเลือกอื่น
แต่แผงโซลาร์เซลล์มีขนาดใหญ่
นี่คือปีกหนึ่ง และนี่คือคน
ที่ไม่ใช่คนแคระ
พวกเขาก็เหมือนผมกับคุณนี่แหละครับ
(เสียงหัวเราะ)
เรามีสองปีกที่มีขนาด 65 ตารางเมตร
ต่อมา แน่ล่ะว่า เมื่อเราเข้าใกล้ดาวหาง
เราพบว่าปีกโซลาเซลล์ขนาด 65 ตารางเมตร
เมื่อเข้าใกล้กับดาวหางที่ปล่อยก๊าซออกมา
ไม่ได้เป็นตัวเลือกที่ดีเสมอไป
ทีนี้ เราจะไปถึงดาวหางได้อย่างไร
เพราะว่าเราจะต้องไปตรงนั้น
เพื่อเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์ของโรเซตตา
ห่างไกลออกไป สี่เท่าของระยะทาง
จากโลกไปดวงอาทิตย์
และยังใช้ความเร็วสูงกว่าอีกด้วย
เพราะว่าเราต้องใช้พลังงานมากเป็นหกเท่า
ของน้ำหนักยานอวกาศ
แล้วเราทำอย่างไรน่ะหรือครับ
เราใช้การบินเฉียดแรงโน้มถ่วง
เหมือนใช้หนังสติ๊ก
บินเฉียดดาวเคราะห์ที่ระดับต่ำๆ
ห่างจากดาวเคราะห์ไม่กี่พันกิโลเมตร
และจากนั้นคุณได้ความเร็วจากดาวเคราะห์นั้น
ช่วยส่งให้เคลื่อนไปรอบดวงอาทิตย์ได้ฟรีๆ
เราทำอย่างนั้นสองสามหน
เราเคลื่อนไปรอบโลก ดาวอังคาร
และอีกสองหนรอบโลก
และเราบินผ่านอุกาบาตสองดวง
ลูเทเชีย (Lutetia) และ สไตนส์ (Steins)
จากนั้นในปี ค.ศ. 2011 เราออกไปห่างดวงอาทิตย์
จนถ้าหากยานมีปัญหา
เราจะไม่สามารถรักษายานไว้ได้อีกแล้ว
ฉะนั้น เราเลยให้มันจำศีล
ทุกอย่างดับหมดยกเว้นนาฬิกาเรือนเดียว
คุณจะเห็นเส้นโคจรสีขาวว่ามันเป็นไปอย่างไร
คุณเห็นมันจากวงกลมที่เราเริ่ม
เส้นสีขาว
ที่จริงแล้วมันเป็นวงรีมากขึ้นมากขึ้น
และสุดท้ายแล้ว เราเข้าใกล้ดาวหาง
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 เราต้องเริ่ม
ควบคุมยานเพื่อลงจอด ณ จุดนัดพบ
ระหว่างทาง เราบินผ่านโลก
และเราถ่ายภาพไว้บ้างเพื่อทดสอบกล้อง
นี่คือดวงจันทร์ที่ขึ้นเหนือโลก
และนี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า เซลฟี่
ซึ่งในเวลานั้น คำนี้คงยังไม่เกิดขึ้น
(เสียงหัวเราะ)
มันอยู่ที่ดาวอังคาร
มันถูกถ่ายด้วยกล้อง CIVA
นั่นคือกล้องตัวหนึ่งบนตัวลงจอด
ที่มองลงไปใต้แผงโซลาร์เซลล์
และคุณเห็นดาวเคราะห์ซึ่งคือดาวอังคาร
และแผงโซลาร์เซลล์ในระยะไกล
ทีนี้ เมื่อเราออกจากจำศีล
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014
เราเริ่มเข้าใกล้ ในระยะ
สองพันกิโลเมตร จากดาวหาง
ในเดือนพฤษภาคม
อย่างไรก็ดี
ความเร็วของยานอวกาศนั้นเร็วเกินไปมาก
เราบินด้วยความเร็วกว่าดาวหาง
2,800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ฉะนั้นเราต้องเบรก
เราต้องทำการเบรกหกครั้ง
และตามที่คุณเห็น
บางครั้งเป็นการเบรกครั้งใหญ่
เราเบรกครั้งแรก โดยลดความเร็วลง
สองสามร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง
และอันที่จริง
ระยะเวลาของช่วงนั้นคือเจ็ดชั่วโมง
และใช้เชื้อเพลิง 218 กิโลกรัม
และนั่นเป็นเจ็ดชั่วโมงที่ชวนเขย่าขวัญ
เพราะในปี ค.ศ. 2007
มีการรั่วไหลในระบบการขับเคลื่อนของโรเซตต้า
และเราก็ต้องปิดส่วนหนึ่งของมันไป
ฉะนั้น จริงๆ แล้วระบบทำงานที่ความดัน
ซึ่งมันไม่เคยถูกออกแบบหรือผ่านการรับรองมาเลย
จากนั้นเราเข้าไปยังบริเวณใกล้ๆ ดาวหาง
และนี่คือภาพแรกๆ ที่เราได้เห็น
รอบการหมุนของดาวหางจริงๆ
คือ 12 ชั่วโมงครึ่ง
นี่คือภาพเร่งเวลา
แต่คุณจะเข้าใจ
เช่นเดียวกับที่ วิศวกรด้านการบินของเราคิด
ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะลงจอดบนสิ่งนั้น
เราหวังเอาไว้ว่ามันจะเป็นอะไรที่แบนๆ
จะได้ลงจอดได้ง่ายๆ
แต่เรายังมีอีกความหวัง บางทีมันอาจจะเรียบก็ได้
ไม่เลยครับ นั่นก็ไม่จริงอีกเช่นกัน
(เสียงหัวเราะ)
ฉะนั้น ณ ตอนนั้น มันชัดเจนว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราต้องทำแผนที่พื้นผิวของเจ้าสิ่งนี้
ในทุกรายละเอียดเท่าที่เราทำได้
เพราะว่าเราต้องหาบริเวณ
ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 500 เมตร และแบน
ทำไม 500 เมตรน่ะหรือครับ มันคือ
ค่าความคลาดเคลื่อนของตัวโพรบการลงจอด
ฉะนั้นเราทำตามกระบวนการเหล่านี้
และติดตามดาวหางนี้
เราใช้เทคนิคที่เรียกว่า โฟโตคลิโนเมทรี
(photoclinometry)
คุณใช้เงาที่ทอดมาจากดวงอาทิตย์
ที่คุณเห็นตรงนี้คือหิน ที่ตั้งอยู่บนผิวของดาวหาง
และดวงอาทิตย์ส่องแสงมาจากข้างบน
จากเงา และด้วยสมองของเรา
เราสามารถบ่งชี้ได้อย่างคร่าวๆ ในทันที
ว่ารูปร่างของหินเป็นอย่างไร
คุณสามารถใส่ข้อมูลนั่นในคอมพิวเตอร์
จากนั้นทำทั้งดาวหาง
และคุณก็จะได้แผนที่ดาวหาง
เพื่อการนี้ เราบินในเส้นวงโคจรพิเศษ
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม
เส้นการโคจรแรก เป็นสามเหลี่ยม
ด้านกว้าง 100 กิโลเมตร
ห่างจากดาวหาง 100 กิโลเมตร
และเราทำซ้ำทั้งหมดนั่นที่ 50 กิโลเมตร
ในเวลานั้น เราได้เห็นดาวหางในทุกมุม
และเราสามารถใช้เทคนิคนี้
เพื่อทำแผนที่พื้นผิวของดาวหางทั้งดวงได้
ทีนี้ ขั้นต่อไปคือการเลือกพื้นที่ลงจอด
กระบวนการทั้งหมดที่เราต้องทำ
จากการทำแผนที่ดาวหาง
ไปถึงการหาพื้นที่ลงจอดสุดท้ายจริงๆ
กินเวลา 60 วัน
เราไม่มีเวลามากกว่านั้น
เพื่อที่จะให้คุณเห็นภาพ
ปฏิบัติการไปดาวอังคารส่วนใหญ่
นักวิทยาศาสตร์เป็นร้อยๆ
ต้องใช้เวลาประชุมกันหลายปี
เพื่อตกลงว่าเราจะไปลงตรงจุดไหน
แต่เรามีแค่ 60 วัน เท่านั้นแหละครับ
ในที่สุดเราเลือกที่ลงจอดสุดท้าย
และชุดคำสั่งก็ได้ถูกตระเตรียมไว้
ให้โรเซตตาปล่อยยานฟิเลย์ (Philae)
แผนก็คือ โรเซตตาจะต้องอยู่
ณ จุดที่ถูกต้องในอวกาศ
และหันเข้าหาดาวหาง
เพราะว่ายานลงจอดนั้นขยับเองไม่ได้
จากนั้นยานลงจอดก็ถูกดันออกมา
และเคลื่อนไปหาดาวหาง
โรเซตต้าจะต้องหมุนตัว
ให้กล้องของมัน จับไปยังฟิเลย์
ในขณะที่มันแยกออกจากกัน
และเพื่อที่จะสื่อสารกับมันได้
ทีนี้ ช่วงการลงจอด
ของวิถีโคจรทั้งหมดคือเจ็ดชั่วโมง
ตอนนี้ลองมาคิดเลขง่ายๆ กันนะครับ
ถ้าความเร็วของโรเซตตาคลาดไป
หนึ่งเซนติเมตรต่อวินาที
เจ็ดชั่วโมงมี 25,000 วินาที
นั่นหมายถึงการลงจอดจะ
ผิดไป 252 เมตร บนดาวหาง
ฉะนั้น เราต้องรู้ระดับความเร็วของโรเซตต้า
ละเอียดมากกว่าหนึ่งเซนติเมตรต่อวินาที
และรู้ตำแหน่งในอวกาศละเอียดกว่า 100 เมตร
ณ 500 ล้านกิโลเมตรจากโลก
นั่นไม่ง่ายเลยนะครับ
ผมจะแสดงให้คุณเห็นคร่าวๆ
ถึงศาสตร์เบื้องหลังและเครื่องมือบางส่วน
ผมจะไม่ทำให้คุณเบื่อด้วยรายละเอียด
ของเครื่องมือทั้งหมดหรอกนะครับ
แต่มันมีทุกอย่างเลย
มีเครื่องมือที่ดมกลิ่นก๊าซได้
สามารถวัดอนุภาคฝุ่นได้
วิเคราะห์รูปทรง และองค์ประกอบของมัน
มีเครื่องวัดแม่เหล็ก ทุกอย่างเลยครับ
นี่เป็นหนึ่งในผลที่ได้จากเครื่องมือ
ซึ่งวัดความหนาแน่นก๊าซ
ในตำแหน่งของโรเซตตา
ดังนั้น มันคือก๊าซซี่งออกมาจากดาวหาง
กราฟล่างคือเดือนกันยายนปีที่แล้ว
มันมีความแตกต่างในระยะยาว
ซึ่งโดยตัวมันเองนั้นไม่น่าแปลกใจเท่าไร
แต่คุณจะเห็นยอดแหลม
นี่คือวันดาวหาง
คุณเห็นผลจากดวงอาทิตย์
ที่มีต่อการระเหยของก๊าซ
และข้อเท็จจริงที่ดาวหางหมุนรอบตัวเอง
ดังนั้นมันจึงมีจุดหนึ่ง
ซึ่งมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย
มันได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์
และจากนั้นก็เย็นลงในทางด้านหลัง
และเราสามารถเห็น
การเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นได้
นี่คือก๊าซ และองค์ประกอบชีวภาพ
ที่เราได้เคยตรวจวัดแล้ว
คุณจะเห็นว่ามันเป็นรายการที่น่าสนใจทีเดียว
และก็จะยังมีอีกมากที่ตามมา
เพราะว่ายังมีการตรวจวัดอีก
อันที่จริง ตอนนี้มีงานสัมมนาที่ฮูสตัน
ซึ่งผลการสำรวจเหล่านี้ถูกนำไปแสดง
นอกจากนั้น เรายังวัดอนุภาคฝุ่น
ทีนี้ สำหรับคุณ
อันนี้อาจดูไม่น่าประทับใจนัก
แต่นักวิทยาศาสตร์ตื่นเต้นเมื่อได้เห็นสิ่งนี้
อนุภาคฝุ่นสองตัวอย่าง
อันขวาเรียกว่า บอริส
และพวกเขายิงมันด้วยแทนทาลัม
เพื่อที่จะวิเคราะห์มัน
พวกเขาพบโซเดียมและแมกนีเซียม
สิ่งที่มันบอกคุณคือ
ความเข้มข้นในธาตุทั้งสอง
ในขณะที่ระบบสุริยจักรวาลก่อกำเนิด
ฉะนั้น เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับว่า
ตอนนั้นมีธาตุอะไรบ้าง
เมื่อดาวเคราะห์เกิดขึ้น
แน่ล่ะ หนึ่งในส่วนประกอบสำคัญ
คือการถ่ายภาพ
นี่คือกล้องตัวหนึ่งของโรเซตตา
กล้องโอซิริส (OSIRIS)
และนี่คือหน้าปกนิยสารไซน์ (Science)
ฉบับวันที่ 23 มกราคม ปีนี้
ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะหน้าตาแบบนี้
หินก้อนใหญ่ -- ซึ่งดูคล้ายยอดเขา ฮาล์ฟโดม
ในอุทยานแห่งชาติโยซีเมติ
มากกว่าอะไรอย่างอื่น
เรายังเห็นสิ่งเหล่านี้:
สันทราย และสิ่งที่อยู่ทางขวา
ที่เหมือนกับร่องรอยจากลมพัด
ตอนนี้เรารู้จักสิ่งเหล่านี้จากดาวอังคาร
แต่ดาวหางนี้ไม่มีชั้นบรรยากาศ
ดังนั้นมันค่อนข้างยาก
ที่จะมีร่องรอยจากลมพัด
มันอาจเป็นการปลดปล่อย
ก๊าซบางอย่างในพื้นที่นั้น
เป็นสิ่งที่พุ่งขึ้นไปและกลับลงมา
เราไม่รู้ ฉะนั้นยังมีอะไรอีกมากให้เราสำรวจ
ตรงนี้ คุณเห็นภาพเดียวกันสองครั้ง
ทางซ้าย คุณเห็นในหลุมตรงกลาง
ทางขวามือ ถ้าคุณมองดีๆ
จะเห็นไอก๊าซ 3 ลำ พุ่งออกมาจากส่วนก้นหลุม
นี่คือกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนดาวหาง
เป็นที่แน่ชัดว่าที่ก้นหลุมเหล่านี้
เป็นแหล่งที่มีความเคลื่อนไหวรุนแรง
และเป็นที่ที่สสารระเหยออกมาสู่อวกาศ
มีรอยแตกที่น่าสนใจ
ตรงช่วงคอคอดของดาวหาง
คุณจะเห็นมันทางขวามือ
มันยาวประมาณหนึ่งกิโลเมตร
และมันกว้างสองเมตรครึ่ง
บางคนเสนอว่า
เมื่อเราเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากๆ
ดาวหางอาจจะแยกเป็นสองส่วน
และจากนั้นเราต้องเลือก
ว่าเราจะตามดาวหางดวงไหน
ตัวลงจอด -- มีอุปกรณ์มากมาย
ส่วนใหญ่แล้วดูใกล้เคียงกัน
โดยเพิ่มอุปกรณ์ขุดเจาะเข้ามา
นอกนั้นก็คล้ายกับโรเซตตามาก
และเป็นเพราะว่าเราต้องการจะเปรียบเทียบ
สิ่งที่คุณเจอในอวกาศ
กับสิ่งที่เจอบนดาวหาง
สิ่งเหล่านี้เรียกว่า
การวัดความจริงระดับพื้น
นี่คือภาพการเคลื่อนลงจอด
ที่ถ่ายโดยกล้องโอซิริส
คุณเห็นตัวลงจอดห่างออกไปจากโรเซตตา
บนมุมขวา คุณเห็นภาพที่ถ่ายจากตัวลงจอด
ที่ตำแหน่ง 60 เมตร
60 เมตรเหนือพื้นผิวดาวหาง
ก้อนหินบนนั้นมีขนาดประมาณ 10 เมตร
และนี่คือภาพท้ายๆ ที่เราถ่ายได้
ก่อนที่จะลงจอดบนดาวหาง
ตรงนี้คุณเห็นลำดับทั้งหมดอีกครั้ง
แต่จากอีกมุมหนึ่ง
และคุณจะเห็นภาพขยาย 3 ภาพ
จากด้านล่างซ้ายขึ้นมาถึงตรงกลาง
ซึ่งเป็นภาพของยานลงจอด
ที่อยู่เหนือพื้นผิวของดาวหาง
จากนั้น ตรงกลาง
เป็นภาพก่อนและหลังการลงจอด
ปัญหาเดียวของรูปหลัง
คือมันไม่มีตัวลงจอด
แต่ถ้าคุณดูดีๆ ที่ทางขวามือของภาพ
คุณจะเห็นว่าตัวลงจอดยังอยู่ตรงนั้น
แต่มันกระดอนไป
มันแยกออกจากกันอีกครั้ง
ทีนี้ ขอแทรกเรื่องตลกนิดหนึ่งว่า
โรเซตตาถูกออกแบบมาแต่แรก
ให้มียานลงจอดที่กระดอนได้
มันถูกเอาออกไปเพราะว่า มันแพงเกินไป
ทีนี้ พวกเราลืม แต่ยานลงจอดมันรู้
(เสียงหัวเราะ)
ระหว่างการกระดอนครั้งแรก
ในเครื่องวัดแม่เหล็ก
เห็นได้จากข้อมูลจากพวกมันได้
จากสามแกน x, y และ z
ผ่านไปครึ่งหนึ่ง คุณเห็นเส้นสีแดง
ที่เส้นแดงนั้น มันมีการเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ คือ
ระหว่างการกระดอนแรก
ที่ไหนสักแห่ง เราชนขอบปล่องภูเขาไฟ
ด้วยขาหนึ่งของตัวลงจอด
และความเร็วการหมุนของตัวลงจอดเปลี่ยนไป
ฉะนั้น เราค่อนข้างโชคดี
ที่เราอยู่ตรงจุดที่เราอยู่นี้
นี่คือหนึ่งในภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของโรเซตต้า
มันเป็นสิ่งประดิษฐ์จากน้ำมือมนุษย์
ขาของยานลงจอด
ยืนอยู่บนดาวหาง
สิ่งนี้ สำหรับผม คือเป็นภาพที่ดีที่สุด
ของวิทยาศาสตร์อวกาศที่ผมเคยได้ชมมา
(เสียงปรบมือ)
สิ่งหนึ่งที่เรายังต้องทำ
คือหายานลงจอด ว่าอยู่ที่ไหน
บริเวณสีฟ้าตรงนี้
คือบริเวณที่เราเชื่อว่ามันอยู่ตรงนั้น
เรายังไม่สามารถหามันพบ
แต่การค้นหายังดำเนินต่อไป
เช่นเดียวกับความพยายามของเรา
ที่จะทำให้ยานลงจอดทำงานได้อีกครั้ง
เราเฝ้าฟังทุกวัน
และเราก็หวังว่า ระหว่างตอนนี้
จนถึงประมาณเดือนเมษายน
ตัวยานลงจอดจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
สิ่งที่เราได้ค้นพบบนดาวหางดวงนี้คือ
สิ่งนี้อาจลอยน้ำได้
มันมีความหนาแน่นครึ่งหนึ่งของน้ำ
ดังนั้นมันเหมือนกับหินก้อนใหญ่มากๆ
แต่มันไม่ใช่
เราเห็นกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น ในเดือนมิถุนายน,
กรกฏาคม, สิงหาคม ปีที่แล้ว
มีการเพิ่มขึ้นสี่เท่า
เมื่อเราถึงไปถึงดวงอาทิตย์
สิ่งเหล่านี้จะพุ่งออกจากดาวหาง
ในอัตรา 100 กิโลกรัม ต่อวินาที
ก๊าซ, ฝุ่น,หรืออะไรก็ตาม
นั่นหมายถึง 100 ล้านกิโลกรัมต่อวัน
จากนั้น ในที่สุด ในวันลงจอด
ผมไม่เคยลืมเลยครับ -- มันบ้าที่สุดเลย
มีคนจากสื่อโทรทัศน์ 250 ช่องในเยอรมัน
บีบีซีมาสัมภาษณ์ผม
และนักข่าวทีวีอีกคนหนึ่งก็วิ่งตามผมทั้งวัน
ถ่ายวีดีโอผมที่กำลังถูกสัมภาษณ์
และมันก็เป็นอย่างนั้นทั้งวัน
คนจากช่องดิสคัฟเวอรี
เข้ามาหาผมตอนที่ผมออกจากห้องควบคุม
และถามคำถามที่จี้ใจผม
และให้ตายเถอะครับ ผมน้ำตาซึม
และยังคงคิดถึงมันอยู่เลย
เป็นเวลาเดือนครึ่ง
ผมไม่เคยคิดถึงวันลงจอด
โดยไม่อาจเสียน้ำตาได้เลย
และผมยังคงมีความรู้สึกนั้นอยู่
ผมอยากจะทิ้งท้ายไว้กับคุณ
ด้วยภาพของดาวหางนี้
ขอบคุณครับ
(เสียงปรบมือ)