นี่คือคุณลุงทวดของฉัน
ซึ่งก็คือ น้องชายของคุณพ่อของคุณพ่อของฉัน
ชื่อของเขาคือ โจ แม็คเคนนา
เขาเป็นสามีหนุ่ม และนักเล่นบาสเกตบอลกึ่งอาชีพ
และนักผจญเพลิงในนิวยอร์คซิตตี้
ประวัติครอบครัวบอกว่า
เขาชอบอาชีพนักผจญเพลิง
และในปี ค.ศ. 1935 ในวันหยุดวันหนึ่งของเขา
เขาเลือกที่จะไปเที่ยวที่สถานีดับเพลิง
เพื่อทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ในวันนั้น
เขาเริ่มที่จะขัดทองเหลืองทั้งหมด
ทั้งราวบนรถดับเพลิง และที่จับบนผนัง
และหัวฉีดสายยางหัวหนึ่ง
ที่เป็นโลหะน้ำหนักมาก ขนาดใหญ่
ได้ตกลงมาจากหิ้งและกระแทกเขา
ไม่กี่วันต่อมา
เขาเริ่มปวดไหล่
สองวันหลังจากนั้น เขามีไข้
และไข้ก็สูงขึ้น และสูงขึ้น
ภรรยาของเขาได้ดูแลเขา
แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
และเมื่อพวกเขาให้คุณหมอในพื้นที่มาตรวจ
คุณหมอก็ทำอะไรไม่ได้มากเช่นกัน
พวกเขาโบกรถแท็กซี่
แล้วพาเขาไปโรงพยาบาล
บรรดาพยาบาลที่นั่นรู้ได้โดยทันที
ว่าเขาติดเชื้อ
ที่ในยุคนั้นเรียกว่า "เป็นพิษในกระแสโลหิต"
และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูด
พวกเขาคงจะรู้ได้ในทันที
ว่าพวกเขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
ไม่มีอะไรอีกแล้วที่พวกเขาจะช่วยได้
เพราะว่าสิ่งที่เราใช้ในตอนนี้
ในการรักษาการติดเชื้อ ยังไม่มีอยู่ในตอนนั้น
การทดสอบครั้งแรกของเพนิซิลลิน
ยาปฏิชีวนะชนิดแรก
ยังอยู่อีกสามปีในอนาคต
คนที่ติดเชื้ออาจหาย ถ้าเขาโชคดี
หรือเสียชีวิต
ลุงทวดของฉันไม่ได้โชคดี
เขาอยู่ในโรงพยาบาลหนึ่งสัปดาห์
ตัวสั่นด้วยความหนาว
เสียน้ำ และคุมสติไม่ได้
ตกเข้าสู่ภาวะโคม่าเมื่ออวัยวะล้มเหลว
อาการของเขาน่าเป็นห่วงขึ้นเรื่อยๆ
จนคนจากสถานีดับเพลิง
เข้าแถวกันมาถ่ายเลือดให้เขา
โดยหวังว่ามันจะช่วยเจือจางการติดเชื้อ
ที่เพิ่มขึ้นในกระแสโลหิต
ไม่มีอะไรที่ได้ผล เขาเสียชีวิต
เขามีอายุได้ 30 ปี
ถ้าคุณมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์
คนส่วนใหญ่เสียชีวิตในแบบเดียวกับลุงทวดของฉัน
คนส่วนใหญ่ไม่ได้เสียชีวิตจากมะเร็งหรือโรคหัวใจ
โรคที่ได้รับอิทธิพลจากความเป็นอยู่
ที่ส่งผลต่อพวกเราในตะวันตกทุกวันนี้
พวกเขาไม่ได้เสียชีวิตจากโรคเหล่านั้น
เพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีชีวิตยืนยาวพอ
ที่จะพัฒนาไปจนมีอาการเหล่านั้น
พวกเขาเสียชีวิตจากการบาดเจ็บ
ถูกวัวขวิด
ถูกยิงในสนามรบ
ถูกกระแทกในโรงงานในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม --
และส่วนใหญ่ ก็เป็นจากการติดเชื้อ
ที่มาปิดท้ายอาการบาดเจ็บเหล่านั้น
ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อยาปฏิชีวนะมาถึง
การติดเชื้อที่เคยเป็นเหมือนประกาศิตสั่งตาย
ก็กลายเป็นอะไรบางอย่างที่คนหายกันได้
ในเวลาไม่กี่วัน
มันราวกับปาฏิหาริย์
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็อยู่ในยุคทอง
ของยามหัศจรรย์
และตอนนี้ พวกเรากำลังมาถึงจุดจบของมัน
ลุงทวดของฉันเสียชีวิตในวันท้ายๆ
ของยุคก่อนยาปฏิชีวนะ
เรายืนอยู่ในวันนี้ บนเส้นแบ่ง
ของยุคหลังยาปฏิชีวนะ
ซึ่งเป็นช่วงแรกของช่วงเวลา
ที่การติดเชื้อธรรมดา
เช่นอย่างที่โจเป็น จะกลับมาฆ่าคนอีกครั้ง
อันที่จริง พวกมันได้เริ่มทำสิ่งนี้แล้ว
คนกำลังเสียชีวิตจากการติดเชื้อ
อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าเหตุการณ์
ที่เรียกว่า การดื้อยาปฏิชีวนะ
สั้นๆ คือมันมีกลไกดังนี้
แบคทีเรียแข่งขันกันและกัน
เพื่อทรัพยากร เพื่ออาหาร
โดยการสร้างสารประกอบที่เป็นพิษถึงตาย
ที่พวกมันสาดใส่กันและกัน
เพื่อเป็นการป้องกันตัว แบคทีเรียอื่น
ก็จะพัฒนาการป้องกันตัว
จากการโจมตีทางเคมีนี้
เมื่อเราสร้างยาปฏิชีวนะเป็นครั้งแรก
เรานำสารประกอบนั้นเข้าห้องทดลอง
แล้วสร้างแบบของเราเองออกมา
และแบคทีเรียก็ตอบโต้การโจมตีของเรา
ในแบบที่พวกมันทำเสมอ
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น
เพนิซิลลินเริ่มแพร่หลายในปี ค.ศ. 1943
และการดื้อยาเพนิซิลลินก็เริ่มแพร่หลาย
ในปี ค.ศ.1945
แวนโคไมซิน เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1972
การดื้อยาแวนโคไมซินเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1988
อิมิเพเนม ในปี ค.ศ. 1985
และการดื้อยาดังกล่าวเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1998
แด็ปโตไมซิน หนึ่งในยาที่ทันสมัยมากที่สุด
เริ่มในปี ค.ศ. 2003
และการดื้อยาดังกล่าวก็เกิดขึ้น
เพียงหนึ่งปีให้หลังในปี ค.ศ. 2004
เป็นเวลา 70 ปี ที่เราเล่น
เกมส์ก้าวกระโดด --
ยาของเราและการดื้อยา
และจากนั้นก็ยาอื่น
และจากนั้นก็การดื้อยาก็มาอีก --
และตอนนี้เกมส์กำลังจะจบแล้ว
แบคทีเรียพัฒนาการต้านยาได้อย่างรวดเร็ว
และบริษัทยา
ได้ตัดสินใจว่าการสร้างยาปฏิชีวนะ
ไม่ใด้ผลประโยชน์ที่ดีที่สุด
ฉะนั้น มันจึงมี
การติดเชื้อที่แพร่กระจายไปทั่วโลก
ที่ยาปฏิชีวนะมากกว่า 100 ขนาน
ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด
อาจเหลือยาสองตัวที่ได้ผล แต่มีผลข้างเคียง
หรือยาตัวเดียว
หรือไม่มีเลย
มันมีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ
ในปี ค.ศ. 2000 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค
หรือ ซีดีซี (CDC)
รายงานกรณีหนึ่ง
ในโรงพยาบาลในรัฐนอร์ทแคโรไลนา
ถึงการดื้อยาทุกอย่างยกเว้นยาสองตัว
วันนี้ การติดเชื้อดังกล่าว
เป็นที่รู้จักกันว่า เคพีซี (KPC)
ได้กระจายไปทุกรัฐ ยกเว้นสามรัฐ
และอเมริกาใต้ ยุโรป
และตะวันออกกลาง
ในปี ค.ศ. 2008 หมอในสวีเดน
พบว่าชายจากอินเดียมีการติดเชื้อที่แตกต่าง
ซึ่งมันดื้อต่อยาทุกอย่าง
ยกเว้นยาตัวเดียวในเวลานั้น
ยีนที่สร้างความดื้อยา
รู้จักกันในนาม NDM ได้แพร่กระจาย
จากอินเดียไปสู่จีน เอเชีย แอฟริกา
ยุโรป และแคนาดา และสหรัฐอเมริกา
มันเป็นธรรมดาที่จะหวัง
ว่าการติดเชื้อเหล่านี้เป็นกรณีที่ไม่ปกติ
แต่อันที่จริงแล้ว
ในสหรัฐอเมริกา และยุโรป
คน 50,000 รายต่อปี
เสียชีวิตจากการติดเชื้อ ซึ่งไม่มียาใดช่วยได้
โครงการที่ได้รับอนุญาตโดยรัฐบาลอังกฤษ
ที่รู้จักกันในนาม เดอะ รีวิว ออน
แอนไทไมโครไบโอติก รีซิสแทนท์
คาดว่าถึงตอนนี้การสูญเสียชีวิตทั่วโลก
คิดเป็น 700,000 รายต่อปี
จำนวนผู้เสียชีวิตนั่นมันเยอะมาก
แต่ว่า มันเป็นไปได้สูง
ที่คุณจะว่าคุณไม่มีความเสี่ยง
ที่คุณจะคิดว่าคนเหล่านั้น
คือคนที่อยู่ในโรงพยาบาล
ในหน่วยที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
หรือเป็นผู้ที่อยู่ในสถานพยาบาล
ที่ใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว
คนที่ได้รับการติดเชื้อ ซึ่งห่างไกลจากเรา
ในสถานการณ์ที่พวกเราไม่เกี่ยวข้อง
แต่สิ่งที่คุณไม่ได้คิด
และที่ทุกคนไม่ได้คิด
คือยาปฏิชีวนะนั้นสนับสนุนชีวิต
ยุคปัจจุบันของพวกเรา เกือบโดยสิ้นเชิง
ถ้าเราขาดยาปฏิชีวนะไป
นี่คือสิ่งที่เราอาจสูญเสีย
อย่างแรก การป้องกันใดๆ ก็ตาม
สำหรับคนที่มีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง
ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคเอดส์
ผู้ที่รับการปลูกถ่ายเนื้อเยื่ออวัยวะ
เด็กทารกที่เกิดก่อนกำหนด
ต่อมาก็คือ การรักษาใดๆ ที่ต้องมีการ
นำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย
การใส่ลวดถ่างขยายหลอดเลือดที่ตีบ
การปั๊มไหลเวียนสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน
การฟอกไต การเปลี่ยนข้อต่อ
มีนักกีฬาที่เกิดในยุคเบบี้บูมตั้งกี่คน
ที่ต้องเปลี่ยนสะโพกและเข่าใหม่
การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้คาดว่า
เมื่อปราศจากยาปฏิชีวนะ
หนึ่งในหกคนจะเสียชีวิต
ต่อจากนั้น เราอาจจะสูญเสียการผ่าตัด
การผ่าตัดหลายอย่าง
ต้องมีการให้ยาปฏิชีวนะก่อน
ในปริมาณที่ใช้ป้องกันโรค
เมื่อปราศจากการป้องกันดังกล่าวแล้ว
เราก็จะสูญเสียความสามารถ
ที่จะเปิดส่วนที่ซ่อนอยู่ในร่างกายได้
ฉะนั้น มันจะไม่มีการผ่าตัดหัวใจ
ไม่มีการตัดเนื้อเยื่อต่อมลูกหมากไปตรวจ
ไม่มีการผ่าคลอด
เราจะต้องเรียนรู้ที่จะกลัวการติดเชื้อ
ที่ตอนนี้มันอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย
เชื้อสเตรปในลำคอ
เคยก่อให้เกิดอาการหัวใจล้มเหลว
การติดเชื้อที่ผิวหนังนำไปสู่การตัดแขนขา
การให้กำเนิด แม้ในโรงพยาบาลที่สะอาดที่สุด
อาจทำให้ผู้หญิงหนึ่งในทุกๆ 100 คนเสียชีวิต
โรคปอดบวมจะคร่าชีวิตเด็กสามคน
จากทุก ๆ 10 คน
และมากกว่าอะไรทั้งหมด
เราจะสูญเสียความมั่นใจ
ในการใช้ชีวิตปกติ
ถ้าคุณรู้ว่าการบาดเจ็บใดๆ สามารถฆ่าคุณได้
คุณจะขี่จักรยานยนต์ไหม
แล่นรีบไถลลงมาตามทางลาดสกีไหม
ปีนบันไดขึ้นไปแขวนไฟต้นคริสต์มาสไหม
ปล่อยให้ลูกของคุณ
วิ่งเสียบเข้าโฮมเบส หรือไม่
เพราะที่จริงแล้ว คนแรกที่ได้รับเพนิซิลิน
เป็นตำรวจชาวอังกฤษที่มีนามว่า
อัลเบิร์ต อเล็กซานเดอร์
ผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการติดเชื้อ
จนหนังศีรษะมีหนองไหลซึมออกมา
และหมอจำเป็นต้องควักตาเขาออกข้างหนึ่ง
เขาติดเชื้อเพราะทำอะไรที่ธรรมดามาก
เขาเดินอยู่ในสวน
และหน้าเขาไปโดนหนามจนถลอก
โครงการของอังกฤษที่ฉันพูดถึง
ได้คาดเดาความเสียหายที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ว่าตอนนี้ มีผู้เสียชีวิต 700,000 รายต่อปี
และยังประมาณไว้ว่า ถ้าเราไม่สามารถ
ที่จะควบคุมมันได้ภายในปี ค.ศ. 2050
ไม่นาน ความเสียหายทั่วโลกจะกลายเป็น
10 ล้านรายต่อปี
เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ที่ซึ่งเราจะต้องเผชิญ
กับตัวเลขที่น่ากลัวนี้
คำตอบที่ยากคือ เราทำตัวเราเอง
การดื้อยาเป็นกระบวนการทางชีววิทยา
ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่เราต้องแบกรับความรับผิดชอบ
ที่ทำให้มันเกิดเร็วขึ้น
เราทำให้มันเกิดขึ้น
โดยใช้ยาปฏิชีวนะอย่างฟุ่มเฟือย
ด้วยความประมาทเลินเล่อ
ที่ตอนนี้ดูน่าตกใจ
เพนิซิลลินมีขายตามร้านยา
มาตั้งแต่ยุค 1950
ในประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่
ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ยังหาซื้อได้แบบนั้น
ในสหรัฐอเมริกา 50 เปอร์เซ็นต์
ของยาปฏิชีวนะที่ให้ในโรงพยาบาล
ไม่ได้จำเป็นเลย
สี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ของใบสั่งจ่ายยา
ที่เขียนในห้องตรวจของหมอ
เป็นใบสั่งสำหรับอาการ
ที่ยาปฏิชีวนะไม่สามารถช่วยได้
และนั่นแค่ในระบบสาธารณสุข
ในส่วนใหญ่ของโลก สัตว์ที่เลี้ยงเอาเนื้อ
ได้รับยาปฏิชีวนะทุกวันตลอดชีวิต
ไม่ใช่เพื่อรักษาอาการป่วย
แต่เพื่อทำให้พวกมันอ้วนขึ้น
และป้องกันพวกมัน
จากสภาวะโรงงานการเกษตร
ที่พวกมันได้รับการเลี้ยงดู
ในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์
ของยาปฏิชีวนะที่ขายทุกปี
นำไปใช้กับปศุสัตว์ ไม่ใช่คน
ทำให้เกิดแบคทีเรียดื้อยา ที่ย้ายจากไร่นา
ไปยังน้ำ ฝุ่น
และเนื้อที่เป็นของสัตว์
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำก็พึ่งพายาปฏิชีวนะเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย
และการปลูกผลไม้ก็ต้องพึ่งพายาปฏิชีวนะ
เพื่อป้องกันแอปเปิ้ล แพร
ผลไม้พวกส้มมะนาว จากโรค
และเพราะว่าแบคทีเรียสามารถส่งต่อ
ดีเอ็นเอของมันให้กันและกันได้
เหมือนกับผู้เดินทาง
ส่งต่อกระเป๋าเดินทางให้กันที่สนามบิน
เมื่อเราสนับสนุนให้เกิดการดื้อยาขึ้น
เราไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันจะกระจายไปทางไหน
เหตุการณ์นี้รู้ได้ล่วงหน้า
อันที่จริง ได้มีการคาดเดาไว้
โดยอเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง
ชายผู้ค้นพบเพนิซิลลิน
เขาได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1945
เพื่อเป็นเกียรติ
และในการให้สัมภาษณ์ไม่นานหลังจากนั้น
นี่คือสิ่งที่เขากล่าว
"คนไม่รู้จักคิด
ที่เล่นกับการรักษาที่ใช้เพนิซิลลิน
มีส่วนรับผิดชอบทางจริยธรรม
ต่อการเสียชีวิตของคน
ผู้ที่พ่ายต่อการติดเชื้อ
ที่ดื้อต่อยาเพนิซิลิน"
เขาได้เพิ่มเติมอีกว่า "ผมหวังว่า
ความชั่วร้ายนี้จะถูกป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น"
เราจะป้องกันมันได้หรือไม่
มีบริษัทที่กำลังพยายามวิจัยยาปฏิชีวนะใหม่
ซึ่งเป็นสิ่งที่เชื้อร้ายไม่เคยพบมาก่อน
เราต้องการยาพวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง
และเราต้องการสิ่งจูงใจ เช่น
ทุนสนับสนุนการค้นพบ การยืดอายุสิทธิบัตร
รางวัล เพื่อที่จะล่อให้บริษัทอื่นๆ
เข้ามาผลิตยาปฏิชีวนะอีกครั้ง
แต่นั่นคงจะไม่เพียงพอ
นี่เป็นเหตุว่าทำไม วิวัฒนาการย่อมชนะเสมอ
แบคทีเรียให้กำเนิดเชื้อรุ่นใหม่
ทุกๆ 20 นาที
เคมีเภสัชกรรมต้องใช้เวลาถึง 10 ปี
ในการพัฒนายา
ทุกครั้งที่เราใช้ยาปฏิชีวนะ
เราให้โอกาสกับแบคทีเรียเป็นพันล้าน
ในการถอดรหัส
ที่เป็นปราการที่เราได้สร้างเอาไว้
ยังไม่เคยมียาใด
ที่พวกมันเอาชนะไม่ได้
นี่เป็นการสงครามที่ไม่ยุติธรรม
แต่เราสามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ได้
เราสามารถสร้างระบบที่จะเก็บเกี่ยวข้อมูล
ที่จะบอกเราได้อย่างอัตโนมัติและเจาะจง
ว่ายาปฏิชีวนะกำลังถูกใช้อย่างไร
เราสามารถสร้างผู้ป้องกันประตู
ในระบบการสั่งยา
เพื่อที่ว่า ทุกๆ ใบสั่งจ่ายยา
จะได้รับการตรวจสอบ
เราสามารถขอให้ภาคการเกษตร
ยกเลิกการใช้ยาปฏิชีวนะ
เราสามารถสร้างระบบตรวจตรา
ที่จะบอกเราว่าการดื้อยาต่อไปจะเกิดขึ้นที่ไหน
นั่นเป็นการแก้ปัญหาโดยเทคนิค
พวกมันอาจจะยังไม่เพียงพอ
เว้นเสียแต่ว่าเราจะช่วย
การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นนิสัย
เรารู้ว่ามันยากแค่ไหน
ที่จะเปลี่ยนนิสัย
แต่ในฐานะที่อยู่ในสังคม
เราเคยทำได้มาแล้วในอดีต
เราเคยทิ้งขยะลงบนถนน
เคยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
เคยสูบบุหรี่ในที่อาคารสาธารณะ
เราไม่ได้ทำอย่างนั้นอีกแล้ว
เราไม่ได้ทิ้งขยะเกลื่อน
หรือเสี่ยงก่ออุบัติเหตุที่เสียหาย
หรือทำให้คนอื่นๆ
เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
เพราะว่าเราตัดสินใจว่า
สิ่งเหล่านั้นมีผลกระทบราคาแพง
เป็นอันตราย และไม่ได้เป็นไป
เพื่อประโยชน์สูงสุดของเรา
เราได้เปลี่ยนความเคยชินของสังคม
เราก็อาจจะเปลี่ยนความเคยชินของสังคม
ในเรื่องยาปฏิชีวนะได้เช่นกัน
ฉันรู้ว่าระดับปัญหาการดื้อยาปฏิชีวนะ
เหมือนจะท่วมท้น
แต่ถ้าคุณเคยที่จะซื้อหลอดไฟฟลูออเรสเซนท์
เพราะว่าคุณตระหนักถึง
การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ
หรืออ่านฉลากบนกล่องของขนมปังกรอบ
เพราะว่าคุณคำนึงถึงการตัดไม้ทำลายป่า
เพื่อที่จะได้มาซึ่งน้ำมันปาล์ม
คุณรู้แล้วว่ามันรู้สึกอย่างไร
ที่จะทำสิ่งเล็กๆ เพื่อที่จะจัดการ
กับปัญหาที่ยิ่งใหญ่
คุณอาจทำสิ่งที่เป็นก้าวเล็กๆ แบบนี้
กับยาปฏิชีวนะได้เช่นกัน
เราสามารถที่จะงดให้ยาปฏิชีวนะ
ถ้าเราไม่มั่นใจว่าเป็นยาที่ถูกต้อง
เราสามารถที่จะหยุดยืนกรานเอาใบสั่งยา
สำหรับยาแก้การติดเชื้อในหูสำหรับลูกเรา
ก่อนที่เราจะแน่ใจว่ามันเกิดจากอะไร
เราสามารถที่จะถามร้านอาหารทุกร้าน
ถามซุปเปอร์มาร์เก็ตทุกแห่ง
ว่าเนื้อที่ขายเอามาจากไหน
เราอาจให้สัญญากันและกันได้
ว่าจะไม่ซื้อไก่ หรือกุ้ง หรือผลไม้
ที่ใช้ยาปฏิชีวนะในกระบวนการผลิตเป็นปกติ
และถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้
เราก็จะสามารถชะลอการมาถึง
ของโลกหลังยุคยาปฏิชีวนะได้
แต่เราต้องจัดการมันให้เร็วที่สุด
เพนิซิลลิน เป็นจุดเริ่มต้นของยุคยาปฏิชีวนะ
ในปี ค.ศ. 1947
ในเวลาเพียง 70 ปี
เราได้เดินขึ้นไปถึงขอบความหายนะ
เราคงไม่ได้มี 70 ปี
เอาไว้เดินย้อนกลับไป
เพื่อหาทางออกให้ได้อีกครั้ง
ขอบคุณมากค่ะ
(เสียงปรบมือ)