เราอยู่กันในยุคของการประท้วง
ในมหาวิทยาลัย ที่จตุรัสสาธารณะ
บนถนน และในโซเชียลมีเดีย
ผู้ประท้วงทั่วโลกกำลังเปลี่ยน
สิ่งที่อยู่ในกรอบเดิม ๆ
การประท้วงอาจผลักให้ประเด็น
เป็นวาระแห่งชาติ หรือเรื่องระดับโลก
มันสามารถบีบบังคับขับไล่ทรราช
มันสามารถปลุกระดมคนที่ใช้ชีวิต
ในฐานะพลเมืองผู้นิ่งเฉยมานาน
ในขณะที่การประท้วงมักเป็นสิ่งที่
เลี่ยงไม่ได้ มันมีประสิทธิภาพหรือเปล่า
ลองพิจารณาดูอาหรับสปริง
ทั่วทั้งตะวันออกกลาง
พลเมืองผู้ประท้วง
สามารถที่จะโค่นล้มอำนาจเผด็จการได้
แต่ว่าหลังจากนั้น
สูญญากาศมักจะถูกแทนที่
ด้วยสงครามและความรุนแรงอยู่บ่อย ๆ
ผู้ประท้วงสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลง
ที่เป็นผลบวกที่ยืนยาวได้
เมื่อมันตามมาด้วยความพยายาม
ที่เต็มไปด้วยศรัทธาที่มากพอ ๆ กัน
ในการขับเคลื่อนผู้ออกเสียง
ในการไปลงคะแนนเลือก
ในการพยายามทำความเข้าใจรัฐบาล
และในการทำให้มันครอบคลุมมากขึ้น
นี่คือสามแนวทางการเปลี่ยน
ความตระหนักอย่างสันติ ไปเป็นการปฏิบัติ
และจากการประท้วงไปเป็น
พลังทางการเมืองที่ยืนหยัดมั่นคง
ประการแรก ขยายกรอบของความเป็นไปได้
สอง เลือกการสู้ที่แน่นอน
และสาม หาทางเอาชนะแต่เนิ่น ๆ
ลองมาเริ่มกัน
ที่การขยายกรอบความเป็นไปได้
บ่อยแค่ไหนที่เราได้ยินคำตอบ
จากแนวคิดทางการเมืองว่า
"นั่นมันคงเป็นไปไม่ได้หรอก"
เมื่อคุณได้ยินใครสักคนพูดแบบนั้น
พวกเขาพยายามกำหนดขอบเขต
จินตนาการของพลเมืองอย่างคุณ
พลเมืองที่มีพลังพยายามที่จะผลักดัน
ขอบเขตเหล่านั้นออกไป
เพื่อถามว่า แล้วถ้าหากว่า -
ถ้าหากว่ามันเป็นไปได้ล่ะ
ถ้าหากมีรูปแบบของอำนาจที่มากพอ -
พลังจากประชาชน ความคิด เงิน
แนวคิดของสังคม -
ถูกเรียงร้อยเข้าด้วยกัน
เพื่อทำให้มันเป็นไปได้ล่ะ
การถามง่าย ๆ ด้วยคำถามนั้น
และการไม่ถือเอาว่าการเมืองแบบนี้
เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้แล้ว
เป็นก้าวแรกไปสู่การเปลี่ยนแปลง
การประท้วงเป็นอำนาจ
แต่มันต้องการความมั่นคง
ว่ามันจะเป็นอย่างไร เช่น
รัฐบาลของประเทศเล็ก ๆ
หรือ ที่ตรงข้ามกัน ระบบสาธารณสุข
แบบผู้จ่ายรายเดียวขนาดใหญ่
วิธีการรักษาความร่วมมือ
ต้องรับผิดชอบพฤติกรรมที่ผิด
หรือวิธีที่จะปลดปล่อยพวกเขา
ข้อกำหนดที่มีภาระผูกพันเกินควร
มันนำเราสู่แนวทางที่สอง
ซึ่งก็คือการเลือกการต่อสู้ที่แน่นอน
การเมืองทั้งหมดเกี่ยวข้องกับความแตกต่าง
พวกเราบางคนคิดว่าชีวิตพลเมืองนั้น
เป็นนามธรรม
เราคิดว่าสิ่งต่างอยู่ในภาวะผ่อนคลาย
เมื่อเทียบกับสื่งอื่น ๆ
พลเมืองที่ทรงพลังกำหนดสิทธิ
ของความแตกต่างนั้น
นั่นไม่ได้หมายความว่า
มันจะต้องหยาบคาย
มันแค่หมายความว่า การคิดที่จะโต้แย้ง
ในสิ่งที่คุณต้องการตามสิทธิของคุณ
เกี่ยวกับเรื่องที่มีความสำคัญ
ต่อการเปลี่ยนแปลงที่คุณต้องการ
นี่เป็นสิ่งที่นักเคลื่อนไหวที่เรียกร้อง
แรงงานขั้นต่ำ 15 เหรียญในสหรัฐฯ ทำ
พวกเขาไม่ได้เสแสร้งว่าเงิน 15 เหรียญ
จะสามารถจัดการกับความไม่เท่าเทียมได้
แต่ด้วยความทะเยอทะยาน
และเป้าหมายของกรณีพิพาท
ซึ่งพวกเขาทำได้เป็นครั้งแรก
ในซีแอทเทิล และจากนั้นก็ที่อื่น
พวกเขาทำให้เกิดการโต้เถียงมากขึ้น
เกี่ยวกับความยุติธรรมทางเศรษฐกิจและการอยู่ดีกินดี
พวกเขาขยายกรอบของความเป็นไปได้
แนวทางที่หนึ่ง
และสร้างสัญลักษณ์ที่ชัดเจน
แนวทางที่สอง
แนวทางที่สามที่สำคัญ คือจากนั้น
ค้นหาและชนะให้ได้เร็ว
การเอาชนะได้แต่เนิ่น ๆ แม้ว่ามัน
จะไม่เป็นไปได้ตามเป้าหมายสูงสุดที่ตั้งเอาไว้
สร้างพลวัตร
ซึ่งจะเปลี่ยนสิ่งที่คนคิดว่าเป็นไปได้
การเคลื่อนไหวอย่างเป็นปึกแผ่น
ซึ่งผู้ใช้แรงงานได้มารวมตัวกัน
ในสงครามเย็นโปแลนด์ก็เกิดขึ้นในแบบนี้
ตอนแรก การประท้วงที่ท่าเรือเกิดขึ้น
ในปี ค.ศ. 1980 ทำให้เกิดสิทธิ
จากนั้น ตลอดทศวรรษต่อมา
ความพยายามทั่วประเทศ
ที่สุดท้ายแล้วทำให้เอาชนะ
รัฐบาลคอมมิวนิสต์ในโปแลนด์ได้
การได้ชัยชนะแต่เนิ่น ๆ
ทำให้เกิดผลสะท้อนกลับเชิงบวก
การแพร่กระจาย ความเชื่อ
แรงบันดาลใจ
มันต้องการผู้วางนโยบายที่สร้างแรงกระตุ้น
โดยใช้สื่อเพื่อเปลี่ยนการเล่าเรื่อง
สร้างการอภิปรายขึ้นในสังคม
ได้สมาชิกเพื่อนบ้านที่ช่างสงสัย
ทีละคนสองคน
ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรน่าหลงใหล
เท่ากับการประท้วง
แต่นี่คือประวัติศาสตร์ของการเคลื่อนไหว
เรียกร้องสิทธิของพลเมืองสหรัฐฯ
อิสรภาพของอินเดีย
การกำหนดเจตจำนงของตนเองในเช็ก
ไม่มีอะไรที่ได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะมีการดำเนินการที่ยาวนาน
คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนพิเศษ
ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบ
ที่จะขยายกรอบความเป็นไปได้
ที่จะเลือกการต่อสู้ที่แน่นอน
หรือคว้าเอาชัยชนะแต่เนิ่น ๆ
คุณแค่ต้องเป็นส่วนร่วม
และใช้ชีวิตอย่างพลเมือง
จิตวิญญาณของการประท้วงนั้นทรงพลัง
เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการประท้วง
คุณสามารถเป็นผู้ร่วมสร้าง
ของสิ่งที่กำลังจะมาถึง