ฉันจะเริ่มต้นวันนี้ ด้วยการอ่านกลอนให้คุณฟัง กลอนที่เขียนโดยเพื่อนของฉันจากมาลาวี ไอลีน พิรี ไอลีนอายุแค่ 13 ปี แต่ตอนเรานั่งอ่านกลอนที่เราเขียนกันเอาไว้ ฉันพบว่ากลอนที่เธอเขียนนั้นน่าสนใจ และสร้างแรงจูงใจเป็นอย่างมาก ฉันจะอ่านกลอนนี้ให้ฟัง เธอตั้งชื่อบทกลอนของเธอว่า "ฉันจะแต่งงานเมื่อฉันต้องการ" (เสียงหัวเราะ) "ฉันจะแต่งงานเมื่อฉันต้องการ แม่ไม่อาจบังคับให้ฉันแต่งงาน พ่อไม่อาจบังคับให้ฉันแต่งงาน ลุงของฉัน ป้าของฉัน พี่ชายหรือพี่สาวของฉัน ไม่อาจบังคับให้ฉันแต่งงาน ไม่มีใครในโลกนี้ บังคับให้ฉันแต่งงานได้ ฉันจะแต่งงานเมื่อฉันต้องการ แม้คุณจะทุบตีฉัน แม้คุณจะขับไล่ไสส่งฉัน แม้คุณจะทำอะไรเลวร้ายกับฉัน ฉันก็จะแต่งงานเมื่อฉันต้องการ ฉันจะแต่งงานเมื่อฉันต้องการ แต่ต้องไม่ใช่ก่อนที่ฉันจะมีการศึกษาที่ดี ไม่ใช่ก่อนที่ฉันจะโตเป็นผู้ใหญ่ ฉันจะแต่งงานเมื่อฉันต้องการ" บทกลอนนี้อาจฟังดูแปลก ที่เขียนโดยเด็กผู้หญิงอายุ 13 ปี แต่จากสถานที่ที่ฉันกับไอลีนอยู่ บทกลอนที่ฉันเพิ่งอ่านให้คุณฟังนี้ คือเสียงร้องของนักรบคนหนึ่ง ฉันมาจากมาลาวี มาลาวีเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุด จนมาก ที่ซึ่งมีปัญหาความเท่าเทียมทางเพศ ตลอดเวลาที่เติบโตในประเทศนั้น ฉันไม่สามารถตัดสินใจเลือกอะไรในชีวิตได้เอง ฉันไม่อาจ แม้แต่จะสำรวจ โอกาสต่างๆ ในชีวิตของฉัน ฉันจะเล่าเรื่องราว ของเด็กผู้หญิงที่แตกต่างกันสองคนให้คุณฟัง เด็กหญิงที่งดงามสองคน เด็กหญิงสองคนนี้เติบโตมา ภายใต้หลังคาเดียวกัน กินอาหารแบบเดียวกัน บางทีก็แบ่งเสื้อผ้ากันใส่ หรือแม้แต่รองเท้าด้วย แต่ชีวิตของทั้งคู่จบลงแตกต่างกัน บนเส้นทางที่ต่างกันสองทาง เด็กคนหนึ่งคือน้องสาวของฉัน น้องสาวของฉันอายุแค่ 11 ตอนที่เธอตั้งท้อง มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมาก มันไม่ได้แค่ทำให้เธอเจ็บปวด ฉันก็เจ็บปวดด้วย ฉันก็ต้องผ่านเวลาที่ยากลำบากเช่นกัน ในวัฒนธรรมของฉัน เมื่อคุณเริ่มแตกเนื้อสาว คุณจะต้องไปเข้าค่ายเปิดพรหมจรรย์ ในค่ายเปิดพรหมจรรย์นี้ เด็กหญิงจะได้รับการสอน วิธีปรนเปรอทางเพศแก่ผู้ชาย และจะมีวันพิเศษ ซึ่งเขาเรียกว่า "วันสุดพิเศษ" ซึ่งจะมีชายคนหนึ่ง ถูกจ้างโดยคนในชุมชน ให้มาที่ค่าย และหลับนอนกับเด็กหญิงเล็กๆ เหล่านี้ จินตนาการความเจ็บช้ำที่เด็กหญิงเหล่านี้ ต้องเผชิญอยู่ทุกวัน เด็กหญิงส่วนใหญ่ตั้งท้อง ติดเชื้อ HIV และเอดส์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ สำหรับน้องสาวของฉัน เธอลงเอยด้วยการตั้งท้อง วันนี้ เธออายุแค่ 16 ปี แต่มีลูกสามคนแล้ว การแต่งงานครั้งแรกของเธอล้มเหลว เช่นเดียวกับครั้งที่สอง ส่วนอีกด้านหนึ่ง ก็มีเด็กหญิงคนนี้ เธอเป็นคนน่าทึ่ง (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) ฉันเรียกเธอว่าน่าทึ่ง เพราะเธอเป็นอย่างนั้น เธอเจ๋งสุดยอดเลย เด็กหญิงคนนั้นคือฉันเอง (เสียงหัวเราะ) ตอนฉันอายุ 13 ปี มีคนมาบอกฉันว่า นี่เธอโตแล้วนะ อายุถึงวัยแล้ว เธอควรจะไปค่ายเปิดพรหมจรรย์ ฉันแบบ "อะไรนะ? ฉันไม่ไปค่ายเปิดพรหมจรรย์หรอก" คุณรู้ไหม ผู้หญิงคนนั้นพูดกับฉันว่าอะไร "เธอมันเด็กโง่และดื้อ เธอไม่เคารพขนบธรรมเนียม ของสังคมเรา ของชุมชนเรา ฉันปฏิเสธเพราะฉันรู้ว่า ฉันอยากไปไหน ฉันรู้ว่าฉันต้องการอะไรในชีวิต ตอนเด็กๆ ฉันมีความฝันมากมาย ฉันอยากเรียนสูงๆ หางานดีๆ ในอนาคต ฉันจินตนาการว่าตัวเองเป็นทนายความ นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ นั่นคือจินตนาการ ที่ผ่านเข้ามาในความคิดของฉันทุกวัน และฉันรู้ว่า วันหนึ่ง ฉันจะช่วยเหลือชุมชนของฉัน อาจจะเป็นอะไรเล็กๆ สักอย่างหนึ่ง แต่ทุกวันหลังจากปฏิเสธการไปเข้าค่าย พวกผู้หญิงในหมู่บ้านบอกฉันว่า "ดูเธอซิ โตป่านนี้แล้วนะ น้องสาวเธอมีลูกแล้ว แล้วเธอล่ะ?" นั่นเป็นเสียงเพลงที่ฉันได้ยินทุกวัน นั่นเป็นเสียงเพลง ที่เด็กหญิงทั้งหลายได้ยินทุกวัน เมื่อพวกเธอไม่ทำตาม สิ่งที่ชุมชนต้องการให้ทำ เมื่อฉันเปรียบเทียบเรื่องราวสองเรื่องนี้ ระหว่างฉันกับน้องสาวของฉัน ฉันคิดขึ้นว่า "ทำไมฉันจะทำอะไรไม่ได้? ทำไมฉันจะเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นมายาวนาน ในชุมชนของฉันไม่ได้?" ตอนนั้น ฉันจึงเรียกเด็กหญิงคนอื่นๆ เช่นน้องสาวของฉันที่มีลูกแล้ว ซึ่งเคยเข้าเรียน แต่ลืมการอ่านการเขียนไปแล้ว ฉันบอกว่า "มาเถอะ เรามาช่วยกันรื้อฟื้น ว่าอ่านและเขียนเป็นอย่างไรกันอีกครั้ง จับปากกาอย่างไร อ่านอย่างไร ถือหนังสืออย่างไร ช่วงเวลานั้น เราสนุกกันมาก ฉันไม่เพียงได้รู้จักพวกเขามากขึ้น แต่พวกเขา สามารถเล่าเรื่องราวส่วนตัวของเขาให้ฉันฟัง ว่าเขาต้องเจออะไรบ้างในแต่ละวัน ในฐานะที่เป็นแม่อายุน้อย ตอนนั้นฉันจึงนึกขึ้นมาว่า "ทำไมเราไม่เอาเรื่องพวกนี้ที่เกิดขึ้นกับเรา ไปบอกแม่ของเราและผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเรา ว่าสิ่งเหล่านี้มันผิดล่ะ" นั่นเป็นเรื่องน่ากลัวที่จะทำ เพราะผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านี้ คุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นอย่างนี้มานานแสนนาน เป็นสิ่งที่ยากจะเปลี่ยน แต่เป็นสิ่งดีที่ควรลองดู เราเลยลองดู มันยากมาก แต่เราพยายามผลักดัน และฉันมายืนตรงนี้เพื่อบอกว่า ชุมชนของฉัน เป็นชุมชนแรก ที่หลังจากบรรดาเด็กหญิง ไปผลักดันผู้เฒ่าผู้แก่กันอย่างหนัก ตอนนี้ผู้เฒ่าผู้แก่ลุกขึ้นปกป้องเรา โดยประกาศว่า จะไม่มีเด็กหญิงคนไหน ต้องแต่งงานก่อนอายุ 18 อีกแล้ว (เสียงปรบมือ) ในชุมชนของฉัน นั่นเป็นครั้งแรกในชุมชน เขาเรียกว่า กฎหมายท้องถิ่น กฎหมายท้องถิ่นฉบับแรก ที่ปกป้องเด็กหญิงในชุมชนของเรา เราไม่ได้หยุดแค่นั้น เรายังก้าวต่อไปข้างหน้า เรามุ่งมั่นว่าจะสู้เพื่อเด็กหญิงทั่วไป ไม่ใช่แค่ในชุมชนของฉัน แต่ในชุมชนอื่นๆ ด้วย เมื่อกฎหมายต้านการแต่งงานเด็ก ถูกนำเสนอในสภาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พวกเราไปอยู่ที่รัฐสภาด้วย ทุกๆ วัน เมื่อสมาชิกรัฐสภาจะเข้าสภา เราจะบอกพวกเขาว่า "กรุณาสนับสนุนกฎหมายนี้ด้วยนะคะ" เราไม่มีเทคโนโลยีเหมือนที่นี่ แต่เรามีโทรศัพท์เล็กๆ อยู่เครื่องหนึ่ง เราเลยคุยกันว่า "ทำไมเราไม่หาเบอร์พวกเขา แล้วส่งข้อความไปล่ะ" แล้วเราเลยทำอย่างนั้น ซึ่งได้ผลดี (เสียงปรบมือ) และเมื่อกฎหมายผ่านการพิจารณา เราส่งข้อความกลับไปหาพวกเขาว่า "ขอบคุณที่สนับสนุนกฎหมายนี้" (เสียงหัวเราะ) และเมื่อประธานาธิบดีลงนามรับรอง ทำให้เป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ ก็ยิ่งดีใหญ่ ตอนนี้ในมาลาวี อายุขั้นต่ำที่แต่งงานได้ ตามกฎหมายคือ 18 ปี เปลี่ยนจาก 15 เป็น 18 (เสียงปรบมือ) มันก็ดีนะ ที่ได้รู้ว่ากฎหมายนี้ผ่านแล้ว แต่ฉันขอบอกคุณว่า มีประเทศมากมาย ที่อายุขั้นต่ำ ที่สามารถแต่งงานได้ตามกฎหมายคือ 18 แต่เราก็ยังได้ยินเสียงร้องไห้ ของผู้หญิงและเด็กหญิงทุกๆ วัน ทุกๆ วัน ชีวิตของเด็กหญิงมากมาย กำลังถูกทำให้สูญเปล่า นี่เป็นเวลาที่บรรดาผู้นำ จะรักษาเกียรติด้วยการแสดงความรับผิดชอบ การแสดงความรับผิดชอบนี้ หมายถึงการตระหนักถึงปัญหาของเด็กผู้หญิง ไว้ในใจเสมอ เราไม่จำเป็นต้องถูกลดความสำคัญเป็นลำดับสอง แต่พวกเขาต้องรู้ว่าผู้หญิงอย่างพวกเราในห้องนี้ เราไม่ได้เป็นแค่ผู้หญิง เราไม่ได้เป็นแค่เด็กหญิง พวกเราเป็นอะไรที่พิเศษ เราทำอะไรได้มากกว่านี้ และอีกอย่างหนึ่งสำหรับมาลาวี ไม่ใช่แค่มาลาวี แต่รวมถึงประเทศอื่นด้วย ที่มีกฎหมายอยู่ แต่คุณรู้ใช่ไหม ว่ากฎหมายยังไม่เป็นกฎหมาย จนกว่ามันจะถูกบังคับใช้ กฎหมายที่เพิ่งผ่านการพิจารณา และกฎหมายในประเทศอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว จะต้องถูกเผยแพร่ในระดับท้องถิ่น ในระดับชุมชน ที่ซึ่งเป็นจุดที่เกิดปัญหา กับเด็กผู้หญิงอย่างชุกชุม เด็กหญิงเจอปัญหา ความยุ่งยากอื่นๆ ในระดับชุมชนทุกๆ วัน ดังนั้น ถ้าเด็กหญิงเหล่านี้รู้ว่า มีกฎหมายที่ปกป้องพวกเธอ พวกเธอก็จะสามารถยืนหยัด และปกป้องตัวเองได้ เพราะพวกเธอจะรู้ว่า มีกฎหมายที่ปกป้องพวกเธออยู่ และอีกอย่างหนึ่งที่ฉันอยากจะพูดคือ เสียงของเด็กหญิงและผู้หญิงนั้นงดงาม เสียงเหล่านั้นอยู่ตรงนั้น แต่เราไม่อาจทำสิ่งนี้ได้เพียงลำพัง ผู้ชายที่ให้การสนับสนุนต้องเข้ามาร่วมวง ก้าวเข้ามาทำงานร่วมกัน มันเป็นงานที่ต้องทำร่วมกัน สิ่งที่เราต้องการ คือสิ่งที่เด็กหญิงที่อื่นต้องการเช่นกัน การศึกษาที่ดี และเหนือสิ่งอื่นใด ไม่อยากแต่งงานตอนอายุ 11 นอกจากนี้ ฉันรู้ว่า ถ้าเราร่วมมือกัน เราสามารถปฏิรูปกรอบกฎหมาย วัฒนธรรมและการเมือง ที่ปฏิเสธสิทธิของเด็กผู้หญิง ฉันยืนอยู่ตรงนี้ วันนี้ และขอประกาศว่า เราสามารถยุติ การบังคับแต่งงานในเด็กได้ในชั่วอายุของเรา ถึงเวลาแล้ว ที่เด็กหญิงนับล้านทั่วโลก จะสามารถพูดได้ว่า "ฉันจะแต่งงานเมื่อฉันต้องการ" (เสียงปรบมือ) ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ)