เมื่อฉันเขียนบันทึกชีวิตของฉัน บริษัทผู้พิมพ์ รู้สึกงุนงงเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นเรื่องของฉัน ตอนเป็นเด็กอพยพใช่มั๊ย หรือ ในฐานะเป็นผู้หญิง ที่ก่อตั้งบริษัท ซอฟต์แวร์ไฮเทค ย้อนไปช่วงทศวรรษ 70 บริษัทที่ได้กลายเป็นบริษัทมหาชน และในที่สุด ก็จ้างคนทำงานได้กว่า 8,500 คน? หรือในฐานะเป็นแม่ ของลูกที่เป็นออทิสติก? หรือในฐานะคนใจบุญสุนทาน ที่ในขณะนี้ ได้จ่ายเงินไปเป็นจำนวนมาก? ค่ะ ปรากฎว่า ฉันเป็นทั้งหมดนั้นแหละ ขอให้ฉัน ได้เล่าเรื่องของฉันเถอะค่ะ ทั้งหมดนั่นมาจาก เมื่อฉันได้ขึ้นรถไฟ ในเวียนนา เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอพยพเด็ก ที่ได้ช่วยชีวิตเด็กยิวไปเกือบ 10,000 คน จากพวกนาซียุโรป ตอนฉันอายุ 5 ขวบ กำมือพี่สาวอายุ 9 ขวบไว้ ไม่รู้อะไรสักนิด ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น "อังกฤษ คืออะไร และทำไมฉันกำลังจะไปที่นั่น?" ฉันยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ ก็เพราะนานมาแล้ว ได้รับความช่วยเหลือ จากคนแปลกหน้าใจดี ฉันโชคดี และยิ่งโชคดีเป็นสองเท่า ที่ในเวลาต่อมา ได้มาสมทบ กับพ่อแม่ที่ให้กำเนิดฉันมา แต่น่าเศร้า ฉันไม่ได้ติดต่อกับท่านอีกเลย แต่ฉันได้ทำมามากแล้ว ในเจ็ดทศวรรษต่อมา ตั้งแต่วันแห่งความทุกข์นั้น เมื่อวันที่คุณแม่ ส่งฉันขึ้นรถไฟ ทำมามาก เกินกว่าที่ฉันเคยใฝ่ฝัน ว่าจะทำได้ และฉันก็รักประเทศอังกฤษ ประเทศที่ รับฉันมาเลี้ยงดู ด้วยความรัก ที่คนที่ได้สูญเสีย สิทธิมนุษยชนไปเท่านั้น คงจะรู้สึกได้ ฉันได้ตัดสินใจ ที่จะทำให้ชีวิตฉันนั้น มีคุณค่า สมกับที่ได้รับการช่วยชีวิตไว้ แล้วฉันก็แค่ดำเนินชีวิตแบบนั้นต่อมา (เสียงหัวเราะ) ขอนำคุณกลับไปในตอนต้น ๆ ทศวรรษที่ 70 เพื่อที่จะให้ผ่านปัญหาเรื่องเพศ ที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนั้น ฉันตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ของตัวเองขึ้นมา ณ ที่ ๆ พวกเริ่มก่อตั้งทำกันในอังกฤษ แต่มันยังเป็นบริษัทของผู้หญิง บริษัทสำหรับผู้หญิง เป็นธุรกิจเชิงสังคมระยะต้น ๆ ผู้คนก็หัวเราะเยาะ กับความคิดที่บ้า ๆ นั้น เพราะ ซอฟต์แวร์ ในตอนนั้น ให้ไปเปล่า ๆ พร้อมไปกับเครื่อง ไม่มีใครหรอกจะซื้อซอฟต์แวร์ ที่แน่ ๆ ซื้อไปจากผู้หญิง แม้ว่า พวกผู้หญิงในตอนนั้น ก็จบจาก มหาวิทยาลัยมาพร้อมกับปริญญาที่ดี ๆ จึงมีเพดานแก้ว เป็นอุปสรรค ขวางความก้าวหน้าของพวกเรา และฉันก็มักจะชนกับเพดานแก้วนั้น อยู่บ่อย ๆ ฉันต้องการโอกาสสำหรับผู้หญิง ฉันรับให้เข้ามาทำงาน ผู้หญิงที่มี วุฒิวิชาชีพ ที่จะทิ้งงานไป เมื่อตอนแต่งงาน หรือ เมื่อถึงกำหนดคลอดลูกคนแรก และก็จัดให้พวกเขา ในแบบของ องค์กรที่ทำงานที่บ้าน เราบุกเบิกแนวคิด ที่ให้ผู้หญิง กลับเข้าทำงาน หลังจากที่หยุดการทำงานไป เราบุกเบิก วิธีการทำงานที่ยืดหยุ่นได้ใหม่ ๆ ในทุกรูปแบบ เช่น การแชร์งาน การแชร์กำไรที่ได้ และท้ายสุด การมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการ เมื่อฉันเอาหนึ่งในสี่ของบริษัท ไปอยู่ในมือของพนักงาน โดยใคร ๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย ยกเว้นตัวฉันเอง นานหลายปี ฉันเป็นผู้หญิงคนแรก ในเรื่องนี้ หรือไม่ก็เป็นผู้หญิงคนเดียว ในเรื่องนั้น และในช่วงเวลาเหล่านั้น ฉันจะทำงาน เรื่องการซื้อขายหุ้น ก็ไม่ได้ จะขับรถบัส หรือขับเครื่องบินก็ไม่ได้ ความจริงแล้ว ฉันจะเปิดบัญชีธนาคารไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากสามีก่อน ผู้หญิงรุ่นเดียวกับฉัน ต่อสู้เพื่อสิทธิที่จะทำงาน และสิทธิที่จะได้ค่าจ้างเท่าเทียมกับชาย ไม่มีใครหรอก ที่คาดหมายอะไรมากมาย จากคนที่ทำงาน หรือที่อยู่ในสังคม เพราะสิ่งที่คาดหวังทั้งหมด ในตอนนั้น เป็นเรื่องความรับผิดชอบ เกี่ยวกับบ้าน และครอบครัว และฉันก็ไม่สามารถเผชิญหน้า กับเรื่องนั้นได้อย่างแท้จริง ฉันจึงเริ่มต้นท้าทาย กับธรรมเนียมปฏิบัติ ในสมัยนั้น ถึงขนาดเปลี่ยนชื่อตัวเอง จาก "สตีฟานี่" ไปเป็น "สตีฟ" ในจดหมายการพัฒนาธุรกิจของฉัน เพื่อให้ผ่านประตูเข้าไปได้ ก่อนที่จะมีใครรู้ ว่า ชายนั่น เป็นผู้หญิง (เสียงหัวเราะ) บริษัทของฉันชื่อว่า ฟรีแลนซ์โปรแกรมเมอร์ และนั่นตรงเผง กับสิ่งที่มันเป็น การเริ่มต้นจะเล็กกว่านี้ไม่ได้: เพราะอยู่บนโต๊ะอาหาร และมีเงินลงทุนอยู่เท่า ๆ กับ 100 ดอลลาร์ ของปัจจุบัน เงินลงทุนมาจากแรงงานของฉัน และ จากการเอาบ้านไปจำนอง ความสนใจของฉัน เป็นวิทยาศาสตร์ ตลาดนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้า-- สิ่งต่างๆ เช่น บัญชีค่าจ้าง ซึ่งฉันพบว่า ค่อนข้างน่าเบื่อ ฉันจึงต้องประนีประนอมกัน ระหว่างงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งมีความท้าทายด้านปัญญา ที่ฉันสนใจ กับค่านิยมทางการค้า ที่ลูกค้าของฉัน เห็นคุณค่าของมัน สิ่งต่างๆ เช่น การจัดตารางรถไฟขนส่งสินค้า จัดตารางรถบัส ควบคุมสต๊อกสินค้า การควบคุมสต๊อกสินค้ามากมาย และในที่สุด งานก็มีเข้ามา เราอำพราง สภาพการจ้างงานชั่วคราว และการทำงานจากที่บ้าน ของพนักงานเรา โดยการเสนอราคาขาดตัว เป็นบริษัทหนึ่งในพวกแรก ๆ ที่ทำแบบนี้ และใครจะคิดว่า การเขียนโปรแกรม ของบันทึกการบินกล่องดำ ของเครื่องบินเร็วกว่าเสียงคองคอร์ดนั้น เขียนขึ้นโดย พวกผู้หญิงที่ทำงาน อยู่ในบ้านของตัวเอง (เสียงปรบมือ) ทั้งหมดที่เราใช้ไป คือ วิธีการง่าย ๆ "เชื่อใจพนักงาน" และก็โทรศัพท์ธรรมดา ๆ จนเราคุ้นกับ การถามผู้มาสมัครงานว่า "คุณมีโทรศัพท์มั๊ย?" โครงการตอนแรก ๆ เป็นการพัฒนา มาตรฐานซอฟต์แวร์ ในเรื่อง เกณฑ์วิธีควบคุมจัดการ ซอฟต์แวร์ในอดีต และยังคงเป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นกิจกรรมที่ยากจะควบคุม อย่างน่าโมโห นั่นจึงมีคุณค่าอย่างใหญ่ยิ่ง เราเองได้ใช้มาตรฐานนั้น ยิ่งกว่านั้น เรายังได้รับเงิน เพื่อทำให้มันทันสมัย มานานหลายปี และในที่สุด องค์การนาโต้ก็รับมันไปใช้ นักเขียนโปรแกรมของเรา--จำได้นะคะ มีเพียงผู้หญิง รวมทั้งพวกรักร่วมเพศ และแปลงเพศ-- ทำงานกันด้วยดินสอและกระดาษ เพื่อพัฒนาผังงานขึ้นมา ให้คำจำกัดความ ของงานแต่ละงาน ที่จะทำ แล้วพวกเขาก็เขียนรหัส ซึ่งโดยปกติเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ บางครั้งก็เป็น รหัสฐานสอง แล้วรหัสก็จะถูกส่ง ทางไปรษณีย์ ไปที่ศูนย์ข้อมูล เพื่อที่จะตอกรูในกระดาษเทป หรือ กระดาษการ์ด แล้วก็ตอกรูลงไปอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าถูกต้อง ทั้งหมดนี้ ก่อนที่มันจะเข้าไป ใกล้เครื่องคอมพ์ฯเสียอีก นั่นเป็นการเขียนโปรแกรม สมัยต้น ๆ ทศวรรษ 70 ในปี ค.ศ 1975 หรือ 13 ปี จากที่ได้เริ่มต้น โอกาสเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ก็เข้ามาในอังกฤษ และนั่นทำให้ นโยบายสนับสนุนสตรีของเรา ผิดกฎหมาย และถือได้ว่า เป็นตัวอย่างหนึ่งของผลพวง โดยไม่ได้ตั้งใจ บริษัทผู้หญิงของฉัน ก็ต้องอนุญาตให้ผู้ชายเข้ามา (เสียงหัวเราะ) เมื่อฉันเริ่มทำบริษัทผู้หญิงของฉัน ผู้ชายก็พูดว่า "น่าสนใจนะ เพราะว่า ที่ทำได้ ก็เพราะมันเล็กหรอกนะ" ต่อมาเมื่อมันมีขนาดใหญ่ พวกเขาก็ยอมรับ "ใช่ ตอนนี้มันใหญ่แล้ว แต่ก็ไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ เชิงยุทธศาสตร์หรอก" ต่อมา เมื่อมันเป็นบริษัท ที่มีมูลค่า กว่าสามพันล้านดอลลาร์ และมันทำให้พนักงาน 70 คน กลายเป็นมหาเศรษฐี พวกเขาก็พูดทำนองว่า "ทำได้ดีนะ สตีฟ" (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) คุณจะสามารถบอกได้เสมอ ผู้หญิงที่ ทะเยอทะยาน โดยดูจากรูปร่างศีรษะของเรา มันจะแบบด้านบน เพราะถูกแตะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) และเราก็มีเท้าที่ใหญ่กว่า เพื่อยืนให้ไกลจากอ่างในครัว (เสียงหัวเราะ) ขอบอกเคล็ดลับความสำเร็จ 2 ประการ ให้ตัวคุณเอง ล้อมรอบไปด้วยคนชั้นหนึ่ง และคนที่คุณชอบ และให้เลือกคู่ครอง อย่างรอบคอบมาก ๆ เพราะเมื่อวันก่อน ตอนฉันพูดว่า "สามีฉันเป็นเทวดา" ผู้หญิงคนหนึ่ง ก็บ่นออกมาว่า -- "คุณโขคดีนะ" เธอพูด "ของฉันน่ะ ยังมีชีวิตอยู่เลย" (เสียงหัวเราะ) ถ้าความสำเร็จ ได้มาง่าย ๆ เราทุกคน คงจะเป็นมหาเศรษฐีกันหมด แต่ในกรณีของฉันนั้น มันมาท่ามกลาง ความเจ็บชํ้าของครอบครัว และโดยแท้ วิกฤติ ลูกชายที่เสียชีวิตไปแล้วของเรา, จายล์, ลูกคนเดียว, เป็นเด็กสวยน่ารัก พอใจในตัวเอง แต่แล้ว ตอนอายุสองขวบครึ่ง เหมือนการสับเปลี่ยนเด็ก ในเรื่องเทพนิยาย เขาสูญเสีย เสียงพูดน้อย ๆ ของเขาไป และเปลี่ยนไป เป็นเด็กวัยหัดเดิน ที่รุนแรง ควบคุมดูแลไม่ได้ ไม่ใช่เขาร้ายทั้งสองเรื่องนั้นหรอก เขาเป็นโรคออทิสติกอย่างรุนแรง และเขาพูดไม่ได้อีกเลย จายล์ เป็นคนไข้รายแรก ในบ้านหลังแรก ของงานการกุศล ที่ฉันตั้งขึ้นมา เพื่อบุกเบิกการบริการรักษา สำหรับโรคออทิซึม แล้วก็มีโรงเรียน ที่ไม่เคยมีมาก่อน ชื่อโรงเรียน Prior's Court สำหรับเด็กนักเรียนที่เป็นโรคออทิซึม องค์กรการกุศล เพื่อการวิจัยทางการแพทย์ อีกนั่นแหละ ทั้งหมดเพื่อโรคออทิซึม เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่พบช่องว่างในการบริการ ทางการแพทย์ ฉันจะพยายามช่วย ฉันชอบทำสิ่งใหม่ ๆ และทำสิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น ฉันเพิ่งจะเริ่มตั้ง คณะทำงานระดับมันสมอง สามปี เพื่อการศึกษาวิจัยโรคออทิซึม เพื่อให้ความมั่งคั่งบางส่วนของฉัน กลับคืน ไปสู่ธุรกิจ ที่กำเนิดมันขึ้นมา ฉันยังได้ก่อตั้ง สถาบันอินเตอร์เน็ตอ๊อกซ์ฟอร์ด ขึ้นอีกด้วย และธุรกิจเสี่ยง ด้านเทคโนฯสื่อสารอื่น ๆ สถาบันอินเตอร์เน็ตอ๊อกซ์ฟอร์ดนั้น ไม่ได้เน้นเรื่องเทคโนโลยี่ แต่เน้นด้านปัญหาทางสังคม กฏหมาย และจริยธรรมด้านอินเตอร์เน็ต จายล์ ตายโดยเราไม่ได้คาดคิด 17 ปี มาแล้ว และฉันก็เรียนรู้ที่จะอยู่ได้ โดยไม่มีเขา และฉันก็เรียนรู้ที่จะอยู่ได้ โดยปราศจากความจำเป็นต้องมีฉัน ของเขา การทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ คือ ทั้งหมดที่ฉันทำอยู่ ในปัจจุบัน ฉันไม่ต้องกังวลเลย เกี่ยวกับว่าจะหลงทาง เพราะว่า องค์กรการกุศลมากมาย จะตามหาฉันจนพบ อย่างรวดเร็ว (เสียงหัวเราะ) มันเป็นเรื่องหนึ่ง ที่จะให้มีแนวคิด ในการทำธุรกิจ แต่ก็อย่างที่หลายคนในห้องนี้ ก็รู้ การทำให้มันเกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก และมันต้องการ พละกำลังพิเศษ ความเชื่อในตัวเอง และความมุ่งมั่น ความกล้า ที่จะเสี่ยงต่อครอบครัวและบ้าน และการมุ่งมั่นในบริการตลอด 7 วัน 24 ช.ม ซึ่งคาบเกี่ยวกับ การหมกมุ่นครํ่าเคร่ง ดังนั้น มันก็ดีเหมือนกัน ที่ฉันเป็นคนบ้างาน ฉันเชื่อในความงดงามของงาน เมื่อเราทำ ได้อย่างเหมาะสม และอ่อนน้อมถ่อมตน งาน ไม่ได้เป็นแค่บางอย่างที่ฉันทำ ในเมื่อ ฉันควรจะไปทำอย่างอื่น เราดำรงชีวิตอยู่ โดยมุ่งไปข้างหน้า แล้วทั้งหมดนี้ ได้สอนอะไรฉันบ้างคะ? ฉันได้เรียนรู้ว่า วันพรุ่งนี้ จะไม่เหมือนกับวันนี้อีกเลย และแน่นอน ไม่มีอะไรเหมือนเมื่อวานนี้ และนั่นทำให้ฉันสามารถ รับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ แท้จริง ในที่สุดแล้ว ต้อนรับการเปลี่ยนแปลง แม้ว่า จะมีคนบอกฉันว่า ฉันก็ยังคงเป็น คนที่เอาใจยากมาก ขอบคุณมากค่ะ (เสียงปรบมือ)