1 00:00:07,014 --> 00:00:10,777 เฮนดริกซ์ โคเบน และ เพจ 2 00:00:10,777 --> 00:00:12,354 พวกเขาสามารถเล่นกีต้าร์ นำวงร็อกได้ 3 00:00:12,354 --> 00:00:16,235 แต่เครื่องมือที่โดดเด่นในมือของพวกเขา 4 00:00:16,235 --> 00:00:21,694 ทำตัวโน้ต จังหวะ ทำนอง และ เพลง ได้อย่างไรกันแน่ 5 00:00:21,694 --> 00:00:26,603 เมื่อคุณดีดสายกีต้าร์ คุณสร้างแรงสั่น ที่เรียกว่า คลื่นแสตนดิ้ง 6 00:00:26,603 --> 00:00:30,530 บางจุดบนสายกีต้าร์ที่เรียกว่า โนด ไม่เคลื่อนไหวเลย 7 00:00:30,530 --> 00:00:35,180 ขณะที่จุดอื่นๆ โนดป้องกัน สั่นกลับไปกลับมา 8 00:00:35,180 --> 00:00:39,584 การสั่นสะเทือนส่งผ่านคอและสะพาน รับสายไปที่ตัวกีต้าร์ 9 00:00:39,584 --> 00:00:42,432 ซึ่งไม้ที่บางและยืดหยุ่นได้มีการสั่น 10 00:00:42,432 --> 00:00:46,625 กระแทกโมเลกุลอากาศโดยรอบ เข้าด้วยกันและแยกออกจากกัน 11 00:00:46,625 --> 00:00:49,730 การหดตัวต่อเนื่องนี้สร้างคลื่นเสียง 12 00:00:49,730 --> 00:00:53,932 และคลื่นเสียงภายในกีต้าร์ส่วนมาก เดินทางออกผ่านทางรู 13 00:00:53,932 --> 00:00:56,221 ในที่สุดมันก็ถูกส่งผ่านไปที่หูคุณ 14 00:00:56,221 --> 00:00:58,790 ซึ่งแปลงเป็นแรงกระตุ้นไฟฟ้า 15 00:00:58,790 --> 00:01:01,925 ที่สมองคุณตีความเป็นเสียง 16 00:01:01,925 --> 00:01:06,482 ระดีบเสียงขึ้นอยู่กับความถี่ของการหดตัว 17 00:01:06,482 --> 00:01:10,980 สายที่สั่นเร็วๆจะสร้างการหดตัวถี่ๆ 18 00:01:10,980 --> 00:01:12,553 ทำให้เกิดเสียงสูง 19 00:01:12,553 --> 00:01:16,418 และการสั่นช้าๆสร้างเสียงต่ำ 20 00:01:16,418 --> 00:01:19,682 สี่อย่างที่มีผลกับความถี่ของการสั่น ของสายเครื่องดนตรี 21 00:01:19,682 --> 00:01:24,210 ความยาว ความตึง ความหนาแน่น ความหนา 22 00:01:24,210 --> 00:01:27,030 สายกีต้าร์ทั่วๆไปมีความยาวเท่ากันหมด 23 00:01:27,030 --> 00:01:31,524 และมีความตึงใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันที่ความหนาและความหนาแน่น 24 00:01:31,524 --> 00:01:35,991 สายที่หนากว่าสั่นช้ากว่าทำให้เกิด ระดับเสียงที่ต่ำกว่า 25 00:01:35,991 --> 00:01:37,992 ทุกครั้งที่คุณดีดสาย 26 00:01:37,992 --> 00:01:40,747 คุณสร้างคลื่นแสตนดิ่งหลายๆคลื่น 27 00:01:40,747 --> 00:01:44,981 นี่เป็นคลื่นพิ้นฐานแรกซึ่งกำหนดระดับเสียง ของตัวโน้ต 28 00:01:44,981 --> 00:01:47,528 แต่มีคลื่นที่ชื่อ โอเวอร์โทน 29 00:01:47,528 --> 00:01:51,339 ซึ่งความถี่เป็นทวีคูณของคลื่นแรก 30 00:01:51,339 --> 00:01:57,055 คลื่นแสตนดิ่งเหล่านี้รวมกันเพื่อสร้างคลื่น ซับซ้อนที่มีเสียงที่ยอดเยี่ยม 31 00:01:57,055 --> 00:02:01,448 การเปลี่ยนวิธีการดีดสายมีผลกับ แบบของโอเวอร์โทนที่คุณจะได้รับ 32 00:02:01,448 --> 00:02:03,185 ถ้าคุณดีดมันใกล้ตรงกลาง 33 00:02:03,185 --> 00:02:07,103 คุณจะได้โอเวอร์โทนพื้นฐานและแบบแปลกๆออกไป 34 00:02:07,103 --> 00:02:10,076 ซึ่งมีแอนตี้โนดอยู่ตรงกลางของสาย 35 00:02:10,076 --> 00:02:14,358 ถ้าคุณดีดสายใกล้กับสะพานรับ คุณจะได้โอเวอร์โทนมากมายหลายแบบ 36 00:02:14,358 --> 00:02:16,410 และเสียงดีดสายที่ชัดกว่า 37 00:02:16,410 --> 00:02:22,257 มาตรวัดที่คุ้นเคยแบบตะวันตกมีอนุกรม โอเวอร์โทนของสายที่สั่น 38 00:02:22,257 --> 00:02:27,261 เมื่อเราได้ยินโน้ตตัวนึงเล่นเสียงกับอีกตัว ที่มีความถี่เป็นสองเท่า 39 00:02:27,261 --> 00:02:29,195 ของโอเวอร์โทนตัวแรก 40 00:02:29,195 --> 00:02:33,203 มันจะไพเราะมาก จนเรากำหนดให้มันเป็นเสียงเดียวกัน 41 00:02:33,203 --> 00:02:36,930 และกำหนดความแตกต่างเป็น เสียงคู่แปด 42 00:02:36,930 --> 00:02:40,115 มาตรวัดที่เหลือถูกบีบเข้าไปใน เสียงคู่แปดนั้น 43 00:02:40,115 --> 00:02:42,102 ถูกแบ่งออกเป็นสิบสองขั้น 44 00:02:42,102 --> 00:02:48,039 ซึ่งมีความถี่เป็น 2^(1/12) มากกว่าอันก่อนหน้านี้ 45 00:02:48,039 --> 00:02:51,290 ปัจจัยนั้นกำหนดการเว้นวรรคของเฟรท 46 00:02:51,290 --> 00:02:57,115 แต่ละเฟรทแบ่งความยาวที่เหลือของสาย เป็น 2^(1/12) 47 00:02:57,115 --> 00:03:00,581 ทำให้ความถี่เพิ่มขึ้น ครึ่งขั้น 48 00:03:00,581 --> 00:03:02,601 เครื่องดนตรีที่ไม่มีเฟรท อย่างไวโอลิน 49 00:03:02,601 --> 00:03:06,926 สร้างความถี่ระหว่างโน้ตแต่ละตัวได้ง่ายกว่า 50 00:03:06,926 --> 00:03:10,519 แต่เพิ่มความท้าทายกับการเล่นเสียง 51 00:03:10,519 --> 00:03:12,581 จำนวนสายและการปรับเสียง 52 00:03:12,581 --> 00:03:15,793 ถูกปรับเปลี่ยนไปตามคอร์ดที่พวกเราชอบเล่น 53 00:03:15,793 --> 00:03:17,980 และสรีระของมือพวกเรา 54 00:03:17,980 --> 00:03:20,863 รูปร่างกีต้าร์และวัสดุสามารถปรับเปลี่ยน ได้เช่นกัน 55 00:03:20,863 --> 00:03:24,527 และทั้งสองอย่างเปลี่ยนธรรมชาติและเสียง การสั่นสะเทือน 56 00:03:24,527 --> 00:03:27,206 การเล่นสายสองสายหรือมากกว่า ในเวลาเดียวกัน 57 00:03:27,206 --> 00:03:32,205 ทำให้คุณสร้างรูปแบบคลื่นใหม่ๆ อย่างคอร์ดและเสียงพิเศษต่างๆ 58 00:03:32,205 --> 00:03:36,279 ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเล่นโน้ตสองตัว ที่มีความถี่ใกล้เคียงกัน 59 00:03:36,279 --> 00:03:41,605 พวกมันจะรวมตัวกันเพื่อสร้างคลื่นเสียง ที่มีช่วงกว้างเพิ่มขึ้นและลดลง 60 00:03:41,605 --> 00:03:46,500 สร้างการสั่นสะเทือนที่นักกีต้าร์ เรียกว่า จังหวะ 61 00:03:46,500 --> 00:03:49,506 และกีต้าร์ไฟฟ้าก็มีอะไรให้เล่นมากกว่านั้น 62 00:03:49,506 --> 00:03:51,692 การสั่นยังคงเริ่มในสายกีต้าร์ 63 00:03:51,692 --> 00:03:55,931 แต่หลังจากนั้นมันจะถูกแปลงเป็น สัญญาณไฟฟ้าโดยปิคอัพ 64 00:03:55,931 --> 00:03:59,084 และถูกส่งไปยังลำโพงที่สร้างคลื่นเสียง 65 00:03:59,084 --> 00:04:00,909 ระหว่างปิคอัพและลำโพง 66 00:04:00,909 --> 00:04:04,675 มันเป็นไปได้ที่จะประมวลคลื่น ได้หลายวิธี 67 00:04:04,675 --> 00:04:11,758 เพื่อสร้างผลลัพธ์อย่างการบิดเบือนโอเวอร์ ไดรฟ์ วาว่า การชะลอและแฟลงเกอร์ 68 00:04:11,758 --> 00:04:16,139 และทำให้คุณคิดว่าหลักฟิสิกส์ของดนตรี มีประโยชน์เฉพาะความบันเทิงเท่านั้น 69 00:04:16,139 --> 00:04:18,059 พิจารณานี่ดู 70 00:04:18,059 --> 00:04:20,822 นักฟิสิกส์บางคนคิดว่าทุกอย่างในจักรวาล 71 00:04:20,822 --> 00:04:26,892 ถูกสร้างโดยอนุกรมของสายเอ็น ที่เล็กและตึงมาก 72 00:04:26,892 --> 00:04:29,468 โลกความจริงที่เราอยู่ก็คงเช่นกัน 73 00:04:29,468 --> 00:04:33,770 เป็นการบรรเลงเดี่ยวที่ยืดยาวของจิมี่ เฮนดริกซ์ในอวกาศใช่ไหม 74 00:04:33,770 --> 00:04:39,125 เป็นที่ชัดเจนว่ามันมีสายเอ็นมากกว่าการ ได้พบกับหู