1 00:00:00,000 --> 00:00:00,740 - 2 00:00:00,740 --> 00:00:04,160 สมมุติว่าผมอยากหาปริมาตรของลูกบาศก์ โดยที่ค่า 3 00:00:04,160 --> 00:00:07,150 ของลูกบาศก์ -- สมมุติว่า x อยู่ระหว่าง -- x มากกว่า 4 00:00:07,150 --> 00:00:10,350 หรือเท่ากับ 0, น้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 00:00:10,350 --> 00:00:11,780 ไม่รู้สิ, 3 6 00:00:11,780 --> 00:00:14,600 สมมุติว่า y มากกว่าเท่ากับ 0, และ 7 00:00:14,600 --> 00:00:17,000 น้อยกว่าหรือเท่ากับ 4 8 00:00:17,000 --> 00:00:21,270 แล้วสมมุติว่า z มากกว่าหรือเท่ากับ 0 และ 9 00:00:21,270 --> 00:00:23,055 น้อยกว่าเท่ากับ 2 10 00:00:23,055 --> 00:00:26,650 และผมรู้ ว่าจากการใช้เรขาคณิตง่าย ๆ คุณก็หาได้ 11 00:00:26,650 --> 00:00:30,370 คุณก็รู้, แค่เอาความกว้างคูณความสูง คูณ 12 00:00:30,370 --> 00:00:31,340 ความลึก แล้วคุณก็ได้ปริมาตรมา 13 00:00:31,340 --> 00:00:34,280 แต่ผมอยากทำตัวอย่างนี้, แค่ให้คุณคุ้น 14 00:00:34,280 --> 00:00:36,700 ว่าอินทิกรัลสามชั้นเป็นยังไง, มันเกี่ยวกับ 15 00:00:36,700 --> 00:00:39,180 อินทิกรัลสองชั้นยังไง, แล้วต่อไปในวิดีโอหน้า เราสามารถ 16 00:00:39,180 --> 00:00:40,290 ทำอะไรที่ซับซ้อนกว่านี้ 17 00:00:40,290 --> 00:00:44,040 งั้นลองวาดปริมาตรนี้กัน 18 00:00:44,040 --> 00:00:51,780 นี่ก็คือแกน x ผม, นี่คือแกน z, นี่คือ y 19 00:00:51,780 --> 00:00:54,330 - 20 00:00:54,330 --> 00:00:55,795 x, y, z 21 00:00:55,795 --> 00:00:59,600 - 22 00:00:59,600 --> 00:01:00,080 โอเค 23 00:01:00,080 --> 00:01:01,910 งั้น x อยู่ระหว่าง 0 กับ 3 24 00:01:01,910 --> 00:01:03,070 นั่นคือ x เท่ากับ 0 25 00:01:03,070 --> 00:01:09,120 นี่คือ x เท่ากับ -- ลองดู, 1, 2, 3 26 00:01:09,120 --> 00:01:10,570 y อยู่ระหว่าง 0 กับ 4 27 00:01:10,570 --> 00:01:13,180 1, 2, 3, 4 28 00:01:13,180 --> 00:01:15,450 งั้นระนาบ x-y จะออกมาแบบนี้ 29 00:01:15,450 --> 00:01:20,520 ฐานของทรงสี่เหลี่ยมจะหน้าตาแบบนี้ 30 00:01:20,520 --> 00:01:21,770 แล้ว z อยู่ระหว่าง 0 กับ 2 31 00:01:21,770 --> 00:01:25,350 ดังนั้น 0 คือระนาบ x-y, แล้ว 1, 2 32 00:01:25,350 --> 00:01:27,130 งั้นนี่จะเป็นด้านบน 33 00:01:27,130 --> 00:01:30,600 บางทีผมจะใช้สีอีกสีนึง 34 00:01:30,600 --> 00:01:34,520 ดังนั้นนี่อยู่ตามแกน x-z 35 00:01:34,520 --> 00:01:36,360 คุณจะมีขอบตรงนี้, แล้วก็ออกมา 36 00:01:36,360 --> 00:01:38,316 เป็นแบบนี้ 37 00:01:38,316 --> 00:01:41,850 คุณมีขอบตรงนี้, เข้ามาข้างในแบบนี้ 38 00:01:41,850 --> 00:01:43,810 ขอบตรงนี้ 39 00:01:43,810 --> 00:01:45,600 งั้นเราอยากหาปริมาตรของลูกบาศก์นี้ 40 00:01:45,600 --> 00:01:46,370 คุณก็ทำได้ 41 00:01:46,370 --> 00:01:51,540 คุณอาจบอกว่า, เอาล่ะ, ความลึกคือ 3, ฐาน, ความกว้างคือ 4, 42 00:01:51,540 --> 00:01:53,920 ดังนั้นพื้นที่คือ 12 คูณความสูง 43 00:01:53,920 --> 00:01:55,170 12 คูณ 2 ได้ 24 44 00:01:55,170 --> 00:01:58,980 คุณอาจบอกว่ามันคือ 24 ลูกบาศก์หน่วย อะไรก็ตาม 45 00:01:58,980 --> 00:01:59,630 ที่เราใช้อยู่ 46 00:01:59,630 --> 00:02:01,990 แต่ลองทำด้วยอินทิกรัลสามชั้นกัน 47 00:02:01,990 --> 00:02:03,640 แล้วอินทิกรัลสามชั้นหมายถึงอะไร? 48 00:02:03,640 --> 00:02:07,110 ทีนี้, ที่เราทำได้คือ เราเอาปริมาตรเล็กจิ๋ว 49 00:02:07,110 --> 00:02:10,670 -- ผมไม่อยากบอกว่าพื้นที่ -- ของปริมาตรเล็ก ๆ 50 00:02:10,670 --> 00:02:14,770 งั้นสมมุติว่า ผมเอาปริมาตรของลูกบาศก์เล็ก ๆ 51 00:02:14,770 --> 00:02:17,810 สักอันในนี้ -- ในปริมาตรที่เราอยากหา 52 00:02:17,810 --> 00:02:20,160 และมันจะเริ่มเข้าใจขึ้น, หรือมันเริ่ม 53 00:02:20,160 --> 00:02:22,860 มีประโยชน์ขึ้น, เมื่อเรามีขอบ ผิว 54 00:02:22,860 --> 00:02:25,050 และเส้นโค้งแปรค่าได้เป็นขอบ 55 00:02:25,050 --> 00:02:26,840 แต่สมมุติว่าเราอยากหาปริมาตรของ 56 00:02:26,840 --> 00:02:29,780 ลูกบาศก์เล็ก ๆ ตรงนี้ 57 00:02:29,780 --> 00:02:30,590 นั่นคือลูกบาศก์ผม 58 00:02:30,590 --> 00:02:33,630 มันคือที่ที่นึงในลูกบาศก์อันใหญ่, สี่เหลี่ยมอันใหญ่, 59 00:02:33,630 --> 00:02:35,460 สี่เหลี่ยมลูกบาศก์, อะไรก็ได้แล้วแต่คุณจะเรียก 60 00:02:35,460 --> 00:02:36,540 แล้วปริมาตรของลูกบาศก์นั้นคืออะไร? 61 00:02:36,540 --> 00:02:38,930 สมมุติว่าความกว้างคือ dy 62 00:02:38,930 --> 00:02:42,320 - 63 00:02:42,320 --> 00:02:44,010 ความยาวนั่นตรงนั้นคือ dy 64 00:02:44,010 --> 00:02:46,810 ความสูงคือ dx 65 00:02:46,810 --> 00:02:49,660 โทษที, ไม่, ความสูงคือ dz, จริงไหม? 66 00:02:49,660 --> 00:02:51,840 วิธีที่ผมวาดมัน, z คือขึ้นกับลง 67 00:02:51,840 --> 00:02:53,860 และความลึกคือ dx 68 00:02:53,860 --> 00:02:55,940 นี่คือ dx 69 00:02:55,940 --> 00:02:56,750 นี่คือ dz 70 00:02:56,750 --> 00:02:57,720 นี่คือ dy 71 00:02:57,720 --> 00:03:01,260 ดังนั้นคุณอาจบอกว่าปริมาตรเล็ก ๆ ภายในปริมาตรอันใหญ่ 72 00:03:01,260 --> 00:03:04,830 -- คุณอาจเรียกมันว่า dv, ซึ่งก็คือดิฟเฟอเรนเชียล 73 00:03:04,830 --> 00:03:06,750 ปริมาตรอย่างนึง 74 00:03:06,750 --> 00:03:10,290 และนั่นจะเท่ากับ, คุณอาจบอกว่า, มันก็คือ 75 00:03:10,290 --> 00:03:13,990 ความกว้างคูณ ความยาวคูณ ความสูง 76 00:03:13,990 --> 00:03:15,950 dx คูณ dy คูณ dz 77 00:03:15,950 --> 00:03:17,760 และคุณอาจเปลี่ยนลำดับมันได้} จริงไหม? 78 00:03:17,760 --> 00:03:21,010 เพราะการคูณนั้นเปลี่ยนที่ได้, และลำดับ 79 00:03:21,010 --> 00:03:22,920 ไม่ได้สำคัญอะไรพวกนั้น 80 00:03:22,920 --> 00:03:24,540 แต่ช่างเถอะ, คุณทำอะไรกับมันได้บ้าง? 81 00:03:24,540 --> 00:03:27,290 ทีนี้, เราก็หาอินทิกรัลได้แล้ว 82 00:03:27,290 --> 00:03:32,520 อินทิกรัลทั้งหมดช่วยเราหาผลรวมอนันต์ของ 83 00:03:32,520 --> 00:03:36,080 ระยะเล็กจิ๋ว, อย่างเช่น dz หรือ dx หรือ 84 00:03:36,080 --> 00:03:38,240 dy, ฯลฯ 85 00:03:38,240 --> 00:03:41,620 งั้น สิ่งที่เราทำได้คือ เราสามารถเอาลูกบาศก์นี้มาก่อน 86 00:03:41,620 --> 00:03:44,110 บวกมันเข้า สมมุติว่า ในทิศ z 87 00:03:44,110 --> 00:03:48,330 งั้นเราสามารถเอาลูกบาศก์นั้นมาแล้วรวมมันตามแกน 88 00:03:48,330 --> 00:03:51,230 ขึ้นลง -- แกน z -- โดยที่เราได้ 89 00:03:51,230 --> 00:03:52,410 ปริมาตรของคอลัมน์นึงได้ 90 00:03:52,410 --> 00:03:54,550 แล้วมันหน้าตาเป็นยังไง? 91 00:03:54,550 --> 00:03:56,930 ทีนี้, เนื่องจากเรากำลังขึ้นลง, เรากำลังรวม -- เรา 92 00:03:56,930 --> 00:04:00,670 กำลังรวมในทิศ z 93 00:04:00,670 --> 00:04:02,610 เราจะได้อินทิกรัล 94 00:04:02,610 --> 00:04:04,655 แล้วค่า z ที่น้อยที่สุดคืออะไร? 95 00:04:04,655 --> 00:04:08,310 ทีนี้, มันก็แค่ z เท่ากับ 0 96 00:04:08,310 --> 00:04:09,280 แล้วขอบบนล่ะ? 97 00:04:09,280 --> 00:04:12,070 เช่นเดียวกัน คุณก็เอา -- ลูกบาศก์พวกนี้รวมกัน 98 00:04:12,070 --> 00:04:14,190 ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนคุณไปถึงขอบบบน 99 00:04:14,190 --> 00:04:14,770 งั้นขอบบนคืออะไร? 100 00:04:14,770 --> 00:04:16,100 มันคือ z เท่ากับ 2 101 00:04:16,100 --> 00:04:20,580 - 102 00:04:20,580 --> 00:04:25,010 และแน่นอน, คุณได้รวม dv พวกนี้ 103 00:04:25,010 --> 00:04:26,130 และผมจะเขียน dz ก่อน 104 00:04:26,130 --> 00:04:28,170 แค่ให้เรารู้ว่าเรากำลัง 105 00:04:28,170 --> 00:04:30,430 หาอินทิกรัลเทียบกับ z ก่อน 106 00:04:30,430 --> 00:04:32,010 แล้วสมมุติว่าเราทำ y ต่อ 107 00:04:32,010 --> 00:04:34,200 แล้วเราจะทำ x 108 00:04:34,200 --> 00:04:37,430 ดังนั้นในอินทิกรัลนี้, ค่านี้, อย่างที่ผมเขียนมัน, จะ 109 00:04:37,430 --> 00:04:42,020 บอกปริมาตรของคอลัมน์ ณ ค่า x กับ y ใด ๆ 110 00:04:42,020 --> 00:04:45,240 มันจะเป็นฟังก์ชันของ x กับ y, แต่เพราะเรากำลังยุ่ง 111 00:04:45,240 --> 00:04:47,130 กับค่าคงที่ตรงนี้, มันจะเป็นค่า 112 00:04:47,130 --> 00:04:48,600 คงที่ 113 00:04:48,600 --> 00:04:52,160 มันจะเป็นค่าคงที่ คือ ปริมาตรของ 114 00:04:52,160 --> 00:04:53,890 คอลัมน์พวกนี้หนึ่งอัน 115 00:04:53,890 --> 00:04:56,580 งั้นในที่สุด มันเท่ากับ 2 คูณ dy dx 116 00:04:56,580 --> 00:04:59,330 เพราะความสูงของคอลัมน์แต่ละอันเท่ากับ 2 117 00:04:59,330 --> 00:05:03,710 แล้วความกว้างกับความลึกคือ dy กับ dx 118 00:05:03,710 --> 00:05:06,570 ดังนั้นหากเราอยากหาปริมาตรทั้งหมด -- สิ่ง 119 00:05:06,570 --> 00:05:09,270 ที่เราเพิ่งทำไป คือ เราหาความสูงของคอลัมน์อันนึง 120 00:05:09,270 --> 00:05:11,300 แล้วเราก็เอาคอลัมน์พวกนั้นมาแล้วรวมมัน 121 00:05:11,300 --> 00:05:13,730 ในทิศ y 122 00:05:13,730 --> 00:05:15,710 ดังนั้นหากเรารวมมันในทิศ y, เราแค่หาอินทิกรัล 123 00:05:15,710 --> 00:05:20,340 อีกทีของผลรวมในทิศ y 124 00:05:20,340 --> 00:05:25,650 และ y ไปจาก 0 ถึงอะไร? y ไปจาก 0 ถึง 4 125 00:05:25,650 --> 00:05:27,180 ผมเขียนอินทิกรัลนี้ไปทางซ้ายไกลไปหน่อย 126 00:05:27,180 --> 00:05:28,300 มันดูแปลก ๆ 127 00:05:28,300 --> 00:05:31,000 แต่ผมว่าคุณคงเข้าใจ 128 00:05:31,000 --> 00:05:33,390 y เท่ากับ 0, ถึง y เท่ากับ 4 129 00:05:33,390 --> 00:05:37,420 แล้วนั่นจะบอกเราถึงปริมาตรของแผ่นที่ 130 00:05:37,420 --> 00:05:40,290 ขนานกับระนาบ zy 131 00:05:40,290 --> 00:05:44,250 แล้วที่เราเหลือ ก็คือ รวมแผ่นพวกนั้น 132 00:05:44,250 --> 00:05:46,570 ในทิศ x, และเราจะได้ปริมาตร 133 00:05:46,570 --> 00:05:48,210 ของรูปทั้งหมดของเรา 134 00:05:48,210 --> 00:05:50,190 ดังนั้นในการรวมแผ่นพวกนั้น, เราต้องรวม 135 00:05:50,190 --> 00:05:51,750 ในทิศ x 136 00:05:51,750 --> 00:05:57,060 และเราจะไปจาก x เท่ากับ 0, ถึง x เท่ากับ 3 137 00:05:57,060 --> 00:05:58,660 และการหาค่ามัน ก็ค่อนข้าง 138 00:05:58,660 --> 00:05:59,690 ตรงไปตรงมา 139 00:05:59,690 --> 00:06:03,020 งั้น, อย่างแรกเราหาอินทิกรัลเทียบกับ z 140 00:06:03,020 --> 00:06:05,090 ทีนี้, เราไม่มีอะไรเขียนไว้ตรงนี้, แต่เรา 141 00:06:05,090 --> 00:06:06,740 รู้อยู่ว่ามันมี 1 อยู่, จริงไหม? 142 00:06:06,740 --> 00:06:10,160 เพราะ dz คูณ dy คูณ dx นั้นเหมือนกับ 143 00:06:10,160 --> 00:06:12,940 1 คูณ dz คูณ dy dx 144 00:06:12,940 --> 00:06:15,500 แล้วค่าของอินทิกรัลนี้คืออะไร? 145 00:06:15,500 --> 00:06:18,760 ทีนี้, แอนติเดริเวทีฟของ 1 เทียบกับ 146 00:06:18,760 --> 00:06:20,650 z ก็แค่ z, จริงไหม? 147 00:06:20,650 --> 00:06:22,700 เพราะอนุพันธ์ของ z เท่ากับ 1 148 00:06:22,700 --> 00:06:27,640 แล้วคุณก็แทนค่ามันจาก 2 ถึง 0 149 00:06:27,640 --> 00:06:30,210 แล้วคุณจะเหลือ -- มันคือ 2 ลบ 0 150 00:06:30,210 --> 00:06:31,580 งั้นคุณก็เหลือ 2 151 00:06:31,580 --> 00:06:34,390 คุณเหลือ 2, แล้วคุณก็หาอินทิกรัลของอันนั้น 152 00:06:34,390 --> 00:06:38,080 จาก y เท่ากับ 0, ถึง y เท่ากับ 4 dy, แล้ว 153 00:06:38,080 --> 00:06:40,060 คุณได้ x 154 00:06:40,060 --> 00:06:45,280 จาก x เท่ากับ 0, ถึง x เท่ากับ 3 dx 155 00:06:45,280 --> 00:06:48,440 และระลึกไว้, ตอนเราหาอินทิกรัลเทียบกับ 156 00:06:48,440 --> 00:06:50,210 z, เราจะได้อินทิกรัลสองชั้น 157 00:06:50,210 --> 00:06:52,830 และอินทิกรัลสองชั้นนี้ก็คือ อินทิกรัลเดียวกับที่เรา 158 00:06:52,830 --> 00:06:56,440 ทำในวิดีโอที่แล้วเรื่องอินทิกรัลสองชั้น, โดยคุณ 159 00:06:56,440 --> 00:06:59,510 อาจบอกว่า z เป็นฟังก์ชันของ x กับ y 160 00:06:59,510 --> 00:07:01,880 ดังนั้นคุณก็เขียนมัน, คุณก็รู้, z, เป็นฟังก์ชันของ x 161 00:07:01,880 --> 00:07:04,230 และ y, ซึ่งเท่ากับ 2 ตลอด 162 00:07:04,230 --> 00:07:05,180 มันเป็นฟังก์ชันคงที่ 163 00:07:05,180 --> 00:07:06,980 มันไม่ขึ้นอยู่กับ x และ y 164 00:07:06,980 --> 00:07:09,210 แต่หากคุณนิยาม z แบบนี้, และคุณอยากหา 165 00:07:09,210 --> 00:07:11,985 ปริมาตรใต้พื้นผิวนี้, โดยที่ผิว 166 00:07:11,985 --> 00:07:15,370 คือ z เท่ากับ 2 -- คุณก็รู้, นี่คือผิว, คือ z 167 00:07:15,370 --> 00:07:17,580 เท่ากับ 2 -- เราก็จะได้ออกมาแบบนี้ 168 00:07:17,580 --> 00:07:19,130 ดังนั้นคุณจะเห็นว่า สิ่งที่เราทำกับอินทิกรัล 169 00:07:19,130 --> 00:07:21,030 สามชั้น, ที่จริงแล้วมันไม่ได้ต่างกันเลย 170 00:07:21,030 --> 00:07:22,060 และคุณอาจสงสัยว่า, แล้วเราจะทำแบบนี้ 171 00:07:22,060 --> 00:07:22,840 ทำไม? 172 00:07:22,840 --> 00:07:25,730 ผมจะแสดงให้คุณเห็นในไม่ช้า 173 00:07:25,730 --> 00:07:28,320 แต่เอาล่ะ, ในการหาค่ามัน, คุณก็หา 174 00:07:28,320 --> 00:07:32,070 แอนติเดริเวทีฟของอันนี้เทียบกับ y, คุณจะได้ 2y -- ขอผม 175 00:07:32,070 --> 00:07:33,760 เลื่อนมันลงมาหน่อย 176 00:07:33,760 --> 00:07:38,530 คุณจะได้ 2y แทนค่าที่ 4 กับ 0 177 00:07:38,530 --> 00:07:41,150 แล้ว, คุณจะได้ 2 คูณ 4 178 00:07:41,150 --> 00:07:42,540 ดังนั้นมันคือ 8 ลบ 0 179 00:07:42,540 --> 00:07:46,070 แล้วคุณก็อินทิเกรตจาก, เทียบกับ 180 00:07:46,070 --> 00:07:48,340 x จาก 0 ถึง 3 181 00:07:48,340 --> 00:07:52,430 ดังนั้นนั่นคือ 8x จาก 0 ถึง 3 182 00:07:52,430 --> 00:07:55,430 ดังนั้นนั่นจะเท่ากับ 24 หน่วยกำลังสาม 183 00:07:55,430 --> 00:07:59,780 ผมรู้ว่า คำถามนึงแน่ ๆ คือ แล้วมันมีดีอะไร? 184 00:07:59,780 --> 00:08:05,420 ตอนคุณมีค่าคงที่ใน 185 00:08:05,420 --> 00:08:06,400 ปริมาตร, คุณก็คิดถูกแล้ว 186 00:08:06,400 --> 00:08:08,230 คุณสามารถทำได้ด้วยอินทิกรัลสองชั้น 187 00:08:08,230 --> 00:08:11,610 แต่ถ้าหากผมบอกคุณว่า, เป้าหมายเราไม่ใช่การหา 188 00:08:11,610 --> 00:08:13,670 ปริมาตรของรูปนี้ล่ะ 189 00:08:13,670 --> 00:08:16,550 เป้าเหมายเรากลายเป็นการหามวลของรูปนี้ 190 00:08:16,550 --> 00:08:21,660 และยิ่งไปกว่านั้น, ปริมาตรนี้ -- พื้นที่ของที่ว่าง หรือ 191 00:08:21,660 --> 00:08:23,670 อะไรก็ตาม -- มวลของมันไม่สม่ำเสมอ 192 00:08:23,670 --> 00:08:28,190 หากมวลมันสม่ำเสมอ, คุณอาจคูณความหนาแน่นสม่ำเสมอนั้น 193 00:08:28,190 --> 00:08:31,240 กับปริมาตร, คุณจะได้มวลมันมา 194 00:08:31,240 --> 00:08:33,040 แต่สมมุติว่าความหนาแน่นเปลี่ยนไป 195 00:08:33,040 --> 00:08:36,340 มันอาจเป็นปริมาตรของแก๊ส หรืออาจเป็น 196 00:08:36,340 --> 00:08:39,070 วัสดุที่มีองค์ประกอบหลาอย่างปนกัน 197 00:08:39,070 --> 00:08:42,370 สมมุติว่าความหนาแน่นมันเป็นฟังก์ชันขึ้นอยู่ 198 00:08:42,370 --> 00:08:43,240 กับ x,y และ z 199 00:08:43,240 --> 00:08:47,650 งั้นสมมุติว่าความหนาแน่น -- rho นี้ สิ่งที่เหมือนกับ 200 00:08:47,650 --> 00:08:50,720 ตัว p คือ สิ่งที่คุณมักใช้ในฟิสิกส์แทนความหนาแน่น -- ดังนั้น 201 00:08:50,720 --> 00:08:54,390 ความหนาแน่นเป็นฟังก์ชันของ x, y กับ z 202 00:08:54,390 --> 00:08:55,710 ลอง -- เพื่อให้ง่าย -- สมมุติว่ามันคือ 203 00:08:55,710 --> 00:08:59,840 x คูณ y คูณ z 204 00:08:59,840 --> 00:09:06,020 หากเราอยากหามวลของปริมาตรเล็ก ๆ, 205 00:09:06,020 --> 00:09:08,440 มันจะเท่ากับปริมาตรนั่นคูณกับความหนาแน่น, จริงไหม? 206 00:09:08,440 --> 00:09:12,190 เพราะความหนาแน่น -- หน่วยของความหนาแน่น อาจเป็น กิโลกรัม 207 00:09:12,190 --> 00:09:13,590 ต่อลูกบาศก์เมตร 208 00:09:13,590 --> 00:09:16,400 ดังนั้นหากคุณคูณมันกับเมตรกำลังสาม, คุณจะได้ กิโลกรัม 209 00:09:16,400 --> 00:09:20,260 ดังนั้นคุณอาจบอกว่า มวล -- ทีนี้, ผมจะสมมุติสัญลักษณ์, d 210 00:09:20,260 --> 00:09:23,730 มวล -- นี่ไม่ใช่ฟังก์ชัน 211 00:09:23,730 --> 00:09:25,230 ทีนี้, ผมอยากเขียนมันในวงเล็บ, เพราะมัน 212 00:09:25,230 --> 00:09:26,230 ทำให้มันดูเหมือนฟังก์ชัน 213 00:09:26,230 --> 00:09:30,490 ดังนั้น, มวลดิฟเฟอเรนเชียลเล็ก ๆ, หรือมวลเล็กจิ๋ว, จะ 214 00:09:30,490 --> 00:09:35,860 เท่ากับความหนาแน่น ณ จุดนั้น, ซึ่งเท่ากับ xyz, 215 00:09:35,860 --> 00:09:39,810 คูร ปริมาตรของมวลเล็ก ๆ นั่น 216 00:09:39,810 --> 00:09:42,780 แล้วปริมาตรของมวลเล็ก เราสามารถเขียนเป็น dv 217 00:09:42,780 --> 00:09:48,790 และเรารู้ว่า dv ก็เหมือนกับความกว้าง คูณ 218 00:09:48,790 --> 00:09:49,670 ความสูง คูณความลึก 219 00:09:49,670 --> 00:09:52,350 dv ไม่จำเป็นต้องเป็น dx คูณ dy คูณ dz เสมอไป 220 00:09:52,350 --> 00:09:54,000 หากเราใช้ระบบพิกัดอื่น, หากเราใช้พิกัด 221 00:09:54,000 --> 00:09:57,670 แบบขั้ว, มันจะต่างออกไป 222 00:09:57,670 --> 00:09:59,160 และเราจะใช้มันในที่สุด 223 00:09:59,160 --> 00:10:01,280 แต่หากเราอยากหามวล, เนื่องจากเราใช้พิกัด 224 00:10:01,280 --> 00:10:03,550 สี่เหลี่ยม, มันจะเท่ากับ ฟังก์ชันความหนาแน่น 225 00:10:03,550 --> 00:10:07,030 ณ จุดนั้น คุณปริมาตรดิฟเฟอเรนเชียล 226 00:10:07,030 --> 00:10:11,330 ดังนั้นคูณ dx dy dz 227 00:10:11,330 --> 00:10:13,870 และแน่นอน, เราสามารถเปลี่ยนลำดับได้ 228 00:10:13,870 --> 00:10:16,386 ดังนั้นเมื่อคุณอยากหาปริมาตร -- ตอนคุณอยาก 229 00:10:16,386 --> 00:10:19,000 หามวลออกมา -- ซึ่งผมจะทำในวิดีโอหน้า, เรา 230 00:10:19,000 --> 00:10:21,290 จะต้องอินทิเกรตฟังก์ชันนี้ในที่สุด 231 00:10:21,290 --> 00:10:27,400 เทียบกับ z, y และ x 232 00:10:27,400 --> 00:10:28,690 และผมจะทำมันในวิดีโอหน้า 233 00:10:28,690 --> 00:10:32,050 แล้วคุณจะเห็นว่ามันก็แค่การหาแอนติเดริเวทีฟ 234 00:10:32,050 --> 00:10:34,700 ง่าย ๆ โดยหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดง่าย ๆ 235 00:10:34,700 --> 00:10:37,280 แล้วพบกันใหม่ในวิดีโอหน้าครับ 236 00:10:37,280 --> 00:10:37,900 -