ลูกชายของฉันกับไอโฟน
เกิดห่างกันสามสัปดาห์
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007
ดังนั้น ในขณะคนที่เห่อซื้อไอโฟนรุ่นแรก
ต่างต่อแถวกรูกันอยู่ด้านนอก
รอคอยที่จะได้สัมผัสอุปกรณ์ใหม่
อันเยี่ยมยอดนี้
ฉันกลับติดแหง็กอยู่ที่บ้าน
โดยที่มือของฉันวุ่นอยู่กับอะไรอย่างอื่น
ที่ส่งเสียงเตือนอยู่ตลอดเวลา
(เสียงหัวเราะ)
ทารกน้อยผู้ทุกข์ทรมานจากอาการโคลิก
ผู้ที่จะหลับได้ต่อเมื่ออยู่ในรถเข็น
ในสภาวะที่ไร้เสียงเท่านั้น
ฉันต้องเดินถึง 10 ถึง 15 ไมล์
ในแต่ละวัน
และน้ำหนักของเขา
ก็ออกมาตามคาด
ซึ่งยอดเยี่ยมเลยล่ะ
แต่ให้ตาย คิดว่าฉันไม่เบื่อหรือไง
ก่อนที่จะมาเป็นแม่คน
ฉันเป็นนักข่าวมาก่อน
คนที่รีบออกไปตอนที่เครื่องบินคองคอร์ดตก
ฉันเป็นหนึ่งในบรรดาคนแรก ๆ
ที่เข้าไปในเมืองเบลเกรด
ตอนที่ประเทศเซอร์เบียมีการปฏิวัติ
มาถึงตอนนี้ ฉันกลับสิ้นไร้เรี่ยวแรง
การเดินนั้นกินเวลานานหลายสัปดาห์
จนกระทั่งประมาณสามเดือนต่อมา
ที่บางสิ่งเปลี่ยนไป
ในขณะที่ฉันเดินย่ำทางเท้าอยู่นั้น
ความคิดของฉันก็เริ่มล่องลอยไปด้วย
และฉันก็เริ่มจินตนาการว่าฉันจะทำอะไร
เมื่อฉันได้กลับมานอนหลับเต็มอิ่มอีกครั้ง
สุดท้ายอาการโคลิกก็หายไป
และฉันก็ได้ไอโฟนมาเครื่องหนึ่ง
แล้วฉันก็ใช้เวลาในโมงยามเหล่านั้น
ระหกระเหินเข้าไปสู่การลงมือทำ
ฉันสร้างงานในฝันของฉันขึ้นมา
ซึ่งก็คือการจัดรายการวิทยุสาธารณะ
ดังนั้น จึงไม่มีการลงพื้นที่
ไปตามเขตสงครามอีกต่อไป
แต่ต้องขอบคุณสมาร์ทโฟนของฉัน
ที่ทำให้ฉันได้เป็นทั้งแม่คน
และนักข่าว
ฉันสามารถอยู่ที่สนามเด็กเล่น
แล้วเล่นทวิตเตอร์ได้ในคราวเดียวกัน
และแน่นอน เมื่อฉันนึกถึงเรื่องนั้น
ในตอนที่เทคโนโลยีมาถึงและเริ่มยึดครอง
ตอนนั้นเองคือตอนที่ฉันถึงจุดอิ่มตัว
ดังนั้น ฉันอยากให้พวกคุณลองนึกภาพดู
คุณจัดรายการพอดแคสต์
และคุณต้องพิสูจน์ให้ได้
ว่าการลงทุนด้วยเม็ดเงินดอลลาร์
ในรายการวิทยุสาธารณะทรงคุณค่าของคุณ
นั้นคุ้มค่า
เป้าหมายของฉันคือการเพิ่ม
จำนวนผู้ฟังสิบเท่า
ดังนั้น ในวันหนึ่ง ฉันจึงนั่งระดมสมอง
ในแบบที่คุณมักทำ
และฉันก็คิดอะไรใหม่ ๆ ไม่ได้เลย
และมันก็ไม่เหมือนกับ
การเขียนงานไม่ออกด้วยสิ
มันไม่ใช่ว่ามีอะไรบางอย่างรอคอย
อยู่ตรงนั้นให้คุณขุดพบ
มันไม่มีอะไรอยู่เลย
ดังนั้น ฉันจึงเริ่มคิดย้อนกลับไป
ว่าฉันมีความคิดดี ๆ
จริง ๆ ล่าสุดเมื่อไรล่ะ
ใช่แล้ว มันคือตอนที่ฉันกำลัง
เข็นรถเข็นบ้านั่นอยู่ยังไงล่ะ
ในตอนนี้ ช่วงเวลาว่าง ๆ ในแต่ละวัน
ถูกเติมเต็มไปด้วยโทรศัพท์
ฉันนั่งอ่านหัวข่าวตอนที่นั่งรอกาแฟลาตเท
ฉันอัปเดตปฏิทินของฉัน
ในตอนที่ฉันนั่งอยู่บนโซฟา
การส่งข้อความเปลี่ยนช่วงเวลา
ที่เหลือว่างทั้งหมด
ให้เป็นโอกาสในการแสดงให้
เพื่อนร่วมงานและสามีสุดที่รักของฉัน
ว่าฉันเป็นคนที่ฉับไวแค่ไหน
หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นโอกาส
ตามหาโซฟาสมบูรณ์แบบอันใหม่
สำหรับเพจของฉันบนพินเทอเรสต์
จู่ ๆ ฉันก็รู้ตัวขึ้นมา
ว่าฉันไม่รู้สึกเบื่ออีกเลย
ว่าแต่ว่า ไม่ใช่คนน่าเบื่อ
เท่านั้นที่รู้สึกเบื่อหรอกหรอ
แต่จากนั้นฉันก็เริ่มสงสัย
ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา
กันแน่เวลาที่เราเบื่อ
หรือที่สำคัญกว่านั้น คือจะมีอะไรเกิดขึ้น
กับเราหากเราไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย
แล้วอะไรจะเกิดขึ้นหากเราสามารถกำจัด
อารมณ์นี้ของมนุษย์ออกไปให้สิ้นซากได้
ฉันเริ่มพูดคุยกับนักประสาทวิทยา
และนักจิตวิทยาการรู้คิดหลายคน
และสิ่งที่พวกเขาบอกก็
น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก
ผลปรากฏว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณเบื่อ
คุณจะจุดประกายโครงข่ายในสมองของคุณ
ที่เรียกว่า "ดีฟอลต์โหมด"
ดังนั้น ร่างกายของเราจะทำอะไร
อัตโนมัติในตอนที่เราพับผ้า
หรือเดินไปทำงาน
แต่จริง ๆ แล้วตอนนั้นคือช่วงเวลาที่
สมองของเรานั้นยุ่งเหยิงจริง ๆ
นี่คือนักวิจัยด้านความเบื่อหน่าย
ดร.แซนดี แมนน์
(เสียงบันทึก) ดร.แซนดี แมนน์
เมื่อคุณเริ่มฝันกลางวัน
และปล่อยให้ความคิดของคุณล่องลอยไป
คุณจะเริ่มคิดออกห่างจากจิตสำนึก
แล้วดำดิ่งเข้าไปยังจิตใต้สำนึก
ที่ทำให้การเชื่อมโยงต่าง ๆ เกิดขึ้นได้
จริง ๆ แล้วมันยอดเลยทีเดียว
มานอช โซโมโรดี: ยอดสุด ๆ เลยใช่ไหมล่ะคะ
และนี่ก็คือสมองของฉัน
ในเครื่องสแกนสมอง (fMRI)
และฉันก็ได้รู้ว่าดีฟอลต์โหมด คือช่วงเวลา
ที่เราเชื่อมโยงความคิดต่าง ๆ เข้าถึงกัน
เราแก้ปัญหาบางอย่างที่ก่อกวน
ใจเรามาเป็นเวลานาน
และเราก็ทำบางสิ่งที่เรียกว่า
"การตั้งเป้าหมายส่วนตัวในอนาคต"
มันคือเวลาที่เรามองชีวิตเราย้อนกลับไป
เราจดบันทึกช่วงเวลาที่สำคัญ ๆ
เราสร้างเรื่องราวส่วนตัวขึ้นมา
แล้วเราก็ตั้งเป้าหมาย
และเราก็หาทางว่าเราจะต้อง
ใช้วิธีไหนบ้างในการไปถึงเป้าหมายนั้น
แต่ในตอนนี้ เรานั่งเล่นอยู่บนโซฟา
ไปพร้อม ๆ กับอัปเดตกูเกิลด็อก
หรือตอบกลับอีเมล์
เราเรียกมันว่าการ "ทำให้มันเสร็จ ๆ ไปซะ"
แต่นี่คือสิ่งที่นักประสาทวิทยา
ดร.แดเนียล เลวิทิน บอก
ว่าจริง ๆ เรากำลังทำอะไร
(เสียงบันทึก) ดร.แดเนียล เลวิทิน:
ในทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนความสนใจ
จากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่ง
สมองจะต้องทำการสับสวิตช์
สารเคมีในสมองของคุณ
ซึ่งต้องอาศัยสารอาหารทั้งหมด
ในสมองของเราเพื่อทำแบบนั้น
ดังนั้นถ้าคุณกำลังพยายาม
ทำหลายอย่างในคราวเดียวกัน
แบบว่า ทำสี่ห้าอย่างพร้อมกัน
จริง ๆ แล้วคุณไม่ได้กำลังทำ
สี่ห้าอย่างนั้นพร้อม ๆ กัน
เพราะว่าสมองของเราไม่ได้ทำงานแบบนั้น
ตรงกันข้าม คุณกำลังเปลี่ยนความสนใจ
จากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งอย่างรวดเร็ว
และใช้ทรัพยากรทางประสาท
ไปเรื่อย ๆ ในตอนที่คุณทำ
(เสียงบันทึก) มซ: เท่ากับพอเราเปลี่ยนไป
เปลี่ยนมา เราก็ใช้กลูโคสไปเรื่อย ๆ สินะคะ
(เสียงบันทึก) ดล: ถูกเผ็งเลยครับ
และเราก็มีกลูโคสอยู่จำกัดเสียด้วย
มซ: เมื่อสิบปีที่แล้ว เราเปลี่ยนความสนใจ
เวลาอยู่ที่ทำงาน
ทุก ๆ สามนาที
ในตอนนี้ เราทำแบบนั้นทุก ๆ 45 วินาที
และเราก็ทำแบบนั้นทั้งวัน
โดยเฉลี่ยแล้วคนหนึ่งคนจะ
เช็กอีเมล์ 74 ครั้งต่อวัน
และเปลี่ยนงานไปมาเวลาใช้คอมพิวเตอร์
566 ครั้งต่อวัน
ฉันรู้เรื่องทั้งหมดนี้ จากการได้พูดคุยกับ
ศาสตราจารย์ด้านสนเทศศาสตร์ท่านหนึ่ง
ดร.กลอเรีย มาร์ก
(เสียงบันทึก) ดร.กลอเรีย มาร์ก:
เราพบว่าเมื่อคนเรารู้สึกเครียด
พวกเขามักจะเปลี่ยนความสนใจถี่มากขึ้น
เราพบด้วยว่า แปลกดีที่
ยิ่งเรานอนน้อยเท่าไร
เราก็จะยิ่งมีโอกาสเช็กเฟสบุ๊คมากเท่านั้น
ดังนั้น เราจึงอยู่ในวัฏจักร
เลวร้ายที่ติดเป็นนิสัยนี้
มซ: ว่าแต่เราสามารถทำลายวัฏจักรนี้ได้ไหม
จะเป็นอย่างไรหากเราทำลาย
วัฏจักรอันเลวร้ายนี้
บางที ผู้ฟังของฉันอาจช่วยฉัน
หาคำตอบนี้ได้ก็ได้
จะเป็นอย่างไรหากเรานำช่วงเวลา
ว่าง ๆ ในแต่ละวันของเรากลับมา
มันจะช่วยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์
มากขึ้นไหม
เราเรียกโครงการนี้ว่า
"ความเบื่อกับความฉลาด"
และตอนนั้นฉันก็คาดไว้ว่า
จะมีคนแค่สองสามร้อยคนสนใจ
แต่ปรากฏว่ามีคนนับพันเข้าร่วม
และพวกเขาก็บอกฉันว่า
พวกเขาทำแบบนั้น
เพราะว่าพวกเขากังวลว่า ความสัมพันธ์
ของพวกเขากับโทรศัพท์มือถือ
ได้เริ่มกลายเป็นแบบ "พึ่งพากัน"
เราอาจจะพูดแบบนั้นก็ได้
(เสียงบันทึก) ผู้ชาย: ความสัมพันธ์
ระหว่างเด็กทารกกับตุ๊กตาหมี
หรือเด็กทารกกับจุกหลอก
หรือเด็กทารกที่ต้องการให้แม่อุ้ม
เวลาที่เบื่อกับการให้คนแปลกหน้าอุ้มแล้ว
(หัวเราะ)
นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างผม
กับโทรศัพท์ของผม
(เสียงบันทึก) ผู้หญิง: ฉันมองโทรศัพท์
มือถือเป็นเหมือนเครื่องมือกล
มีประโยชน์อย่างมาก แต่อันตราย
หากฉันใช้มันผิดวิธี
(เสียงบันทึก) ผู้หญิง 2: ถ้าฉัน
ไม่เพ่งความสนใจมาก ๆ
ฉันจะฉุกคิดขึ้นมาได้ทันทีว่า
ฉันทิ้งเวลาไปเป็นชั่วโมง
ในการทำเรื่องไร้สาระสุด ๆ
มซ: โอเค แต่ถ้าเราต้องการวัด
ว่ามีอะไรดีขึ้นบ้างไหม
เราต้องอาศัยข้อมูล ถูกไหมคะ
เพราะว่านั่นคือสิ่งที่เราทำในทุกวันนี้
ดังนั้น เราจึงร่วมกับแอปบางแอป
ที่จะวัดว่าเราใช้เวลาไปกับมือถือของเรา
ไปมากเท่าไรในแต่ละวัน
และถ้าคุณคิดว่ามันย้อนแย้ง
ที่ฉันขอให้คนดาวน์โหลด
แอปอีกแอปหนึ่ง
เพื่อให้พวกเขาใช้เวลากับโทรศัพท์น้อยลง
ก็นะ แต่ยังไงคุณก็ยังต้องไปหา
ผู้คนในที่ที่พวกเขาอยู่อยู่ดี
(เสียงหัวเราะ)
ดังนั้น ก่อนถึงสัปดาห์แห่งการท้าทาย
เราใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง
ต่อวันไปกับโทรศัพท์
และหยิบมันขึ้นมา 60 ครั้ง
แบบว่า อย่างการดูผ่าน ๆ
เพื่อดูว่ามีอีเมล์ใหม่มาไหมน่ะ
นี่คือสิ่งที่ทีนา นักเรียนจาก
มหาวิทยาลัยบาร์ด
ค้นพบเกี่ยวกับตัวเธอเอง
(เสียงบันทึก) ทีนา: ที่ผ่านมา ฉันใช้เวลา
ประมาณ 150 ถึง 200 นาที
ไปกับโทรศัพท์ในแต่ละวัน
และฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาประมาณ
วันละ 70 ถึง 100 ครั้ง
และมันก็เป็นเรื่องน่ากังวลมาก
เพราะว่านั่นเป็นเวลามหาศาล
ที่ฉันสามารถใช้
ไปกับการทำอะไรที่มีประโยชน์กว่า
สร้างสรรค์กว่า เพื่อตัวเองมากกว่า
เพราะว่าเวลาที่ฉันเล่นโทรศัพท์
ฉันไม่ได้ทำอะไรที่สลักสำคัญเลย
มซ: เช่นเดียวกับทีนา ผู้คนเริ่ม
สังเกตพฤติกรรมของตัวเอง
พวกเขาพร้อมแล้วสำหรับ
สัปดาห์แห่งการท้าทาย
และวันจันทร์นั้นเอง
พวกเขาก็ตื่นมาพบกับคำสั่ง
ในกล่องขาเข้าของพวกเขา
การทดลองที่พวกเขาต้องลอง
วันที่หนึ่ง:
"ใส่มันลงไปในกระเป๋ากางเกง"
นำโทรศัพท์นั้นออกไปจากมือของคุณ
ดูซิว่าคุณสามารถกำจัดสัญชาติญาณ
ที่ต้องเช็กโทรศัพท์ทั้งวันได้ไหม
แค่วันเดียวเท่านั้น
และถ้ามันฟังเหมือนง่าย
แสดงว่าคุณยังไม่ได้ลอง
นี่คือผู้ฟังอีกคน อมานดา อิตซ์โกะ
(เสียงบันทึก) อมานดา อิตซ์โกะ:
ฉันกำลังอยู่ไม่สุข
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองบ้าหน่อย ๆ
เพราะว่าฉันสังเกตว่า
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
แม้แต่ตอนที่ฉันแค่เดินจาก
ห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง
เวลาขึ้นลงลิฟต์
หรือแม้กระทั่ง และนี่คือสิ่งที่ฉัน
รู้สึกอับอายมาก
ที่จะพูดมันออกมาดัง ๆ
เวลาที่ฉันอยู่ในรถ
มซ: หยึย
ก็นะ แต่ อมานดาก็ได้เรียนรู้ว่า
ความรู้สึกอยู่ไม่สุขที่เธอมีนั้น
ไม่ใช่ความผิดของเธอแต่อย่างใด
มันคือพฤติกรรมที่เทคโนโลยีถูกสร้าง
ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นโดยเฉพาะแค่นั้นเอง
(เสียงหัวเราะ)
แบบว่า ใช่ไหมล่ะ
นี่คืออดีตนักออกแบบของกูเกิล
ทริสตัน แฮร์ริส
(เสียงบันทึก) ทริสตัน แฮรร์ริส ถ้าผมเป็น
เฟสบุ๊ค หรือเน็ตฟลิกซ์ หรือสแนปแชต
ผมก็จะมีวิศวกรเป็นพันคน
ที่มีหน้าที่เรียกความสนใจจากคุณให้มากขึ้น
ผมถนัดเรื่องนี้มาก
และผมก็ไม่อยากให้คุณหยุดมัน
และคุณรู้ใช้ไหมว่า ซีอีโอเน็ตฟลิกซ์
เพิ่งพูดไปหมาด ๆ ว่า
"คู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของเราคือ
เฟสบุ๊ค ยูทูป และการนอน"
ผมหมายถึง ในโลกนี้มีเป็นล้านอย่าง
ที่คุณสามารถให้ความสนใจได้
แต่สงครามหนึ่งกำลังเกิดขึ้น
เพื่อแย่งชิงสิ่งนั้น
มซ: แบบว่า คุณเข้าใจ
ความรู้สึกใช่ไหมล่ะคะ
แบบเวลาที่ซีรีส์ "Transparent"
สักตอนจบลงไป
แล้วอีกตอนหนึ่งก็เล่นต่อขึ้นมา
คุณก็จะคิดแบบว่า เอ โอเค ได้
ฉันจะอยู่ดึกแล้วดูมันต่อ
หรืออย่างแถบวัดความก้าวหน้าบนเว็บ
LinkedIn ที่บอกว่าคุณเกือบจะมี
ประวัติที่สมบูรณ์แบบแล้วนะ
คุณเลยเพิ่มข้อมูลส่วนตัว
เข้าไปอีกนิดหน่อย
อย่างที่นักออกแบบยูเอกซ์คนหนึ่งบอกกับฉัน
คนกลุ่มเดียวที่เรียกลูกค้าว่า "ผู้ใช้"
คือพวกค้ายากับนักเทคโนโลยี
(เสียงหัวเราะ)
(เสียงปรบมือ)
และผู้ใช้ อย่างที่เรารู้กัน
มีมูลค่าทางการเงินสูงมาก
นี่คืออดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์
เฟสบุ๊คและนักเขียน
อันโตนิโอ การ์เซีย มาร์ติเนซ
(เสียงบันทึก) อกม: มีคำพูดหนึ่งว่า
ถ้าผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่างฟรี
เมื่อนั้นคุณนั่นแหละคือผลิตภัณฑ์
ความสนใจของคุณคือผลิตภัณฑ์
ว่าแต่ความสนใจของคุณมีค่าตรงไหนล่ะ
ที่ทำให้ทุก ๆ ครั้งที่คุณ
โหลดหน้าสักหน้าขึ้นมา
ไม่เพียงแค่เฟสบุ๊ค
หรือแอปใดแอปหนึ่ง
ถึงมีการประมูลเกิดขึ้นแทบในทันที
หลายพันล้านครั้งต่อวัน
เพื่อหาว่าจำนวนครั้งที่ผู้ใช้
เห็นโฆษณามีมูลค่าเท่าไร
มซ: ขอนอกเรื่องนิดหน่อย โดยเฉลี่ยแล้ว
คนเราจะใช้เวลาสองปีของชีวิต
ไปกับเฟสบุ๊ค
ทีนี้ กลับมาสู่สัปดาห์
แห่งการท้าทาย
ในทันทีทันใด เราเห็น
ความคิดสร้างสรรค์เริ่มต้นขึ้น
นี่คือลิซา อัลเพิร์ต จากนิวยอร์ก
(เสียงบันทึก) ลิซา อัลเพิร์ต:
ฉันเบื่อ ฉันว่างั้นนะ
จู่ ๆ ฉันเลยมองไปที่ขั้นบันได
ที่ขึ้นไปยังด้านบนสุดของสถานี
แล้วฉันก็คิดว่า แบบว่า
ฉันเพิ่งเดินลงมาเอง
แต่ว่าฉันเดินกลับขึ้นไปก็ได้นะ
แล้วก็เดินกลับลงมา
เพื่อให้เลือดสูบฉีดหน่อย
ฉันเลยทำแบบนั้น
แล้วฉันก็เหลือเวลาอีกนิดหน่อย
ฉันเลยทำมันอีกครั้ง แล้วก็ทำอีกครั้ง
แล้วฉันก็ทำไปสิบรอบด้วยกัน
แล้วฉันก็ได้ออกกำลังกายจนครบชุด
แล้วฉันก็ขึ้นไปบนรถไฟสายอาร์นั้น
และรู้สึกเหนื่อยหน่อย ๆ
แต่แบบว่า ว้าว ฉันไม่เคยรู้สึก
แบบนั้นมาก่อนเลย
มันเป็นไปได้ยังไงกัน
(เสียงหัวเราะ)
มซ: ดังนั้น ฉันจึงได้เรียนรู้ว่า ความคิด
สร้างสรรค์จะเป็นแบบไหนขึ้นกับแต่ละคน
(เสียงหัวเราะ)
แต่ทุกคนต่างพบว่า
คำท้าในวันที่สามนั้นยากที่สุด
มันมีชื่อว่า "ลบแอปนั้นซะ"
นำแอปนั้น คุณรู้ดีว่าแอปอะไร
แอปที่ทำให้คุณติดอยู่ตลอด
แอปที่ดูดคุณให้ติดหนึบ
นำมันออกไปจากมือถือของคุณเสีย
ถึงแม้จะแค่วันนั้นก็ตาม
ฉันลบเกม Two Dots
แล้วก็เกือบเสียน้ำตาให้มัน
(เสียงหัวเราะ)
ก็นะ ผู้เล่น Two Dots คงรู้ว่า
ฉันกำลังพูดถึงอะไร
แต่ความทุกข์ทรมานของฉันก็ถือเป็นเรื่องดี ๆ
(เสียงบันทึก) ผู้ชาย 2: ผมเลียม
จากลอสแอนเจลิส
และผมก็ลบทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ค
อินสตาแกรม ทัมเบลอร์ สแนปแชต และไวน์
ออกไปจากโทรศัพท์ของผม
ในรวดเดียว
และตอนแรกมันก็ดูเหมือนเป็นประสบการณ์
ทางอารมณ์ที่น่าอับอายเหลือเกิน
มันรู้สึกแปลก ๆ เคว้ง ๆ กับ
การต้องจ้องมองล็อกหน้าจอนั้น
โดยที่ไม่มีการแจ้งเตือนใหม่ ๆ ขึ้นมา
แต่ผมก็ชอบมากเวลาที่ได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง
ว่าจะนึกถึงหรือใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเมื่อไร
โดยที่ไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ใต้อำนาจ
การตัดสินใจของโทรศัพท์
ดังนั้น ขอบคุณครับ
(เสียงบันทึก 3) ผู้หญิง 3: การลบ
แอปทวิตเตอร์นั้นเป็นเรื่องเศร้ามาก
และฉันรู้สึกเหมือนว่า บางที ตลอดหนึ่งปีที่
ผ่านมาที่ฉันนั่งเล่นทวิตเตอร์
ฉันเริ่มมีอาการเสพติดมัน
และการท้าทาย "ความเบื่อกับความฉลาด"
ก็ทำให้ฉันตระหนักถึงอาการนั้น
หลังจากที่รู้สึกแย่มากกับการ
ถูกตัดขาดออกจากโลกอยู่ช่วงหนึ่ง
เหมือนกับเวลาที่ปวดหัวเพราะขาดกาเฟอีน
ตอนนี้ฉันรู้สึกดี
ฉันได้ทานอาหารเย็นกับ
ครอบครัวอย่างมีความสุข
และฉันก็หวังว่าจะควบคุมการใช้
อุปกรณ์ต่าง ๆ พวกนี้ต่อไป
(เสียงบันทึก) ผู้หญิง 4: ฉันไม่ได้
รู้สึกผิดลึก ๆ อะไร
ฉันรู้สึกในตอนที่ฉันรู้ตัวว่า
กำลังเสียเวลาไปกับโทรศัพท์
บางทีฉันอาจต้องเริ่มท้าทายตัวเอง
และเตือนตัวเองแบบนี้
ในทุก ๆ เช้า
มซ: ฉันแบบว่า ใช่เลย
นี่แหละความก้าวหน้า
ฉันอดใจรอดูตัวเลขที่จะปรากฏ
ในตอนท้ายของสัปดาห์ไม่ไหวแล้ว
แต่ในตอนที่ข้อมูลมาถึง
ปรากฏว่าเราทำให้คนใช้เวลาลดลงไป
โดยเฉลี่ยแล้ว
แค่หกนาทีเท่านั้น
จาก 120 นาทีต่อวันที่ใช้ไปกับโทรศัพท์
ลงมาที่ 114
ก็นั่นแหละค่ะ
ดังนั้น ฉันจังกลับไปหานักวิทยาศาสตร์
คนเดิม ๆ และรู้สึกแย่หน่อย ๆ
แล้วพวกเขาก็หัวเราะเยาะฉัน
และพวกเขาก็พูดว่า คุณรู้ไหม
การเปลี่ยนพฤติกรรมของคน
ในช่วงเวลาที่สั้นขนาดนั้นน่ะ
ดูจะทะเยอทะยานจนเพ้อฝันไปหน่อยนะ
และจริง ๆ แล้วความสำเร็จที่คุณได้รับ
ไปไกลกว่าที่เราคาดว่าเป็นไปได้อยู่มาก
เพราะว่าสิ่งที่สำคัญกว่าตัวเลข
คือเรื่องราวของผู้คนต่างหาก
พวกเขารู้สึกมีพลัง
มือถือของพวกเขาถูกแปลงโฉม
จากตัวสั่งงาน
มาเป็นเครื่องมือบ้าน ๆ เหมือนเดิม
และจริง ๆ แล้ว ฉันพบว่าสิ่งที่
คนหนุ่มสาวพูดนั้นน่าสนใจมากที่สุด
พวกเขาบางคนบอกฉัน
ว่าพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงอารมณ์บางอย่าง
ที่พวกเขารู้สึกในช่วง
สัปดาห์แห่งการท้าทายนั้น
เพราะว่า ถ้าคุณลองนึกดูแล้ว
หากคุณไม่เคยรู้จักชีวิต
ที่ปราศจากการเชื่อมต่อมาก่อน
คุณอาจไม่ได้สัมผัสความเบื่อหน่ายเลยก็ได้
และนั่นก็อาจมีผลบางอย่างตามมา
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยูเอสซีได้พบบางอย่าง
พวกเขาศึกษาวัยรุ่น
ที่เล่นโซเชียลในขณะที่พวกเขา
พูดคุยอยู่กับเพื่อน
หรือทำการบ้าน
และสองปีหลังจากนั้น พวกเขา
มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่ลดต่ำลง
เกี่ยวกับอนาคตส่วนตัวของพวกเขาเอง
และเกี่ยวกับการแก้ปัญหาสังคม
อย่างเช่น ความรุนแรงในชุมชนของพวกเขา
และเราก็จำเป็นจะต้อง
ทำให้คนรุ่นถัดจากเรานี้
สามารถเพ่งความสนใจให้กับ
ปัญหาใหญ่ ๆ บางอย่างได้
อย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
ความแตกต่างสุดขั้วทางวัฒนธรรม
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมซีอีโอจาก
การสำรวจหนึ่งของไอบีเอ็ม
ถึงระบุว่าความคิดสร้างสรรค์ เป็นส่วนสำคัญ
ที่สุดของความสามารถในการเป็นผู้นำ
แต่ว่าข่าวดีก็มีอยู่
ในตอนจบ คน 20,000 คนที่เข้าร่วม
"ความเบื่อหน่ายกับความฉลาด" ในสัปดาห์นั้น
กว่าร้อยละ 90 ลดเวลาใช้มือถือของพวกเขา
ร้อยละ 70 มีเวลาในการคิดมากขึ้น
หลายคนบอกฉันว่าพวกเขานอนหลับสบายขึ้น
พวกเขามีความสุขมากขึ้น
ข้อความที่ฉันชอบมาจากผู้ชายคนหนึ่ง
ที่บอกว่าเขารู้สึกเหมือนเขาตื่นมา
จากภาวะการจำศีลทางจิตสักอย่างหนึ่ง
ข้อมูลส่วนตัวบางอย่าง ผนวกกับ
ประสาทวิทยาศาสตร์อีกเล็กน้อย
ทำให้เราสามารถออกจากโลกออนไลน์
ได้นานขึ้นกว่าเดิมอีกนิดหน่อย
และความเบื่อหน่ายเล็กน้อยนี้
จะทำให้เราเข้าใจอะไรชัดมากขึ้น
และช่วยเราบางคนในการตั้งเป้าหมายบางอย่าง
แบบว่า บางทีการเชื่อมโยง
ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
อาจไม่ใช่เรื่องที่มองว่าเจ๋ง
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็ได้
แต่ในระหว่างนั้น การสอนผู้คน
โดยเฉพาะเด็ก ๆ
ให้ใช้เทคโนโลยีในการ
ปรับปรุงคุณภาพชีวิตตนเอง
รวมถึงให้ควบคุมตัวเองได้
จำเป็นจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของการรู้ดิจิทัล
ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณเช็กโทรศัพท์ของคุณ
จำไว้ว่าถ้าคุณไม่ตัดสินใจว่า
คุณจะใช้เทคโนโลยีนั้นอย่างไร
อุปกรณ์พวกนั้นจะตัดสินใจให้คุณเอง
และลองถามตัวคุณเองดูว่า
จริง ๆ แล้วคุณอยากทำอะไรกันแน่
เพราะว่าถ้าหากคุณอยากเช็กอีเมล์จริง ๆ
ก็ไม่มีปัญหาอะไร ทำแบบนั้นให้เสร็จไป
แต่ถ้ามันเป็นการเบี่ยงความสนใจคุณ
จากการทำงานที่ยาก
ที่ต้องอาศัยการคิดที่ลึกกว่านั้น
ให้ลองพักดู
มองออกไปนอกหน้าต่าง
และรู้ว่าการที่คุณไม่ได้ทำอะไรนั้น
จริง ๆ แล้วคุณกำลังอยู่ในช่วงที่
ตนเองมีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด
ในตอนแรก คุณอาจรู้สึกแปลก ๆ หรืออึดอัด
แต่ความเบื่อหน่ายนี้เองสามารถนำไปสู่
ความคิดที่ยอดเยี่ยมได้
ขอบคุณค่ะ
(เสียงปรบมือ)