1 00:00:00,928 --> 00:00:04,320 เมื่อคุณเพ่งมอง ท้องฟ้ายามค่ำ 2 00:00:04,332 --> 00:00:06,036 คุณจะเห็นดวงดาว 3 00:00:06,036 --> 00:00:08,608 ถ้ามองไกลออกไป ก็เห็นดวงดาวอื่นๆอีก 4 00:00:08,608 --> 00:00:10,767 ไกลไปอีก ก็เป็นกาแล็กซี ไกลไปอีก ก็กาแล็กซีอื่นๆ อีก 5 00:00:10,767 --> 00:00:14,640 แต่ถ้าคุณ มองไกลออกไป เรื่อยๆ อีก 6 00:00:14,640 --> 00:00:17,756 ถึงจุดหนึ่ง คุณจะไม่เห็นอะไรเลย อยู่นานทีเดียว 7 00:00:17,756 --> 00:00:22,218 ท้ายที่สุด คุณจะเห็นแสงเรืองค้าง (Afterglow) บางๆ เลือนลางลงทุกวัน 8 00:00:22,218 --> 00:00:25,242 มันคือแสงเรืองค้าง จากปรากฎการณ์บิ๊กแบง (Big Bang) ครับ 9 00:00:25,242 --> 00:00:28,059 บิ๊กแบง คือยุคของเอกภพ ช่วงแรกเริ่ม 10 00:00:28,059 --> 00:00:30,230 ตอนนั้น ทุกสิ่งที่เราเห็น บนท้องฟ้ายามค่ำ 11 00:00:30,230 --> 00:00:32,640 ควบแน่นเข้ากัน เป็นมวลสารที่เล็กมากๆ 12 00:00:32,640 --> 00:00:36,966 ร้อนมากๆ และปั่นป่วนมากๆ 13 00:00:36,966 --> 00:00:39,658 และมันนี่เอง ที่ปลดปล่อยสรรพสิ่งออกมา 14 00:00:39,658 --> 00:00:42,517 แล้วเรา ก็สร้างแผนที่ ของแสงเรืองค้างเหล่านั้นขึ้น 15 00:00:42,517 --> 00:00:44,196 ด้วยความแม่นยำที่สูงมากๆ 16 00:00:44,196 --> 00:00:46,240 'เรา' ที่ว่านี้ คนอื่นนะครับ ไม่ใช่ผม 17 00:00:46,240 --> 00:00:48,116 พอสร้างแผนที่ของแสงเรืองค้าง 18 00:00:48,116 --> 00:00:49,438 ด้วยความแม่นยำสุดยอดแล้ว 19 00:00:49,438 --> 00:00:50,986 หนึ่งในเรื่องน่าตกใจก็คือ 20 00:00:50,986 --> 00:00:53,932 แสงเรืองค้างนี้ กระจายตัวกันอย่างสม่ำเสมอ เกือบสมบูรณ์เลยครับ 21 00:00:53,932 --> 00:00:55,890 ไม่ว่า 14 พันล้านปีแสง ไปทางด้านนั้น 22 00:00:55,890 --> 00:00:57,750 หรือ 14 พันล้านปีแสง ไปทางด้านนี้ 23 00:00:57,750 --> 00:00:59,158 อุณหภูมิต่างก็เท่ากันเป๊ะ 24 00:00:59,158 --> 00:01:02,472 ตอนนี้ ผ่านมา 13 พันล้านปีแล้ว 25 00:01:02,472 --> 00:01:04,290 นับแต่เกิดบิ๊กแบง 26 00:01:04,290 --> 00:01:06,762 แสงเรืองค้างนี้ จึงเลือนลาง และเย็นลง 27 00:01:06,762 --> 00:01:09,070 ขณะนี้มันมีอุณหภูมิ 2.7 องศา 28 00:01:09,070 --> 00:01:11,350 แต่ไม่ใช่ 2.7 องศาเป๊ะๆ นะครับ 29 00:01:11,350 --> 00:01:13,644 ที่เป็น 2.7 องศาจริงๆ มีอยู่ประมาณ 30 00:01:13,644 --> 00:01:15,486 สิบในล้านส่วนได้ 31 00:01:15,486 --> 00:01:16,480 ตรงนี้ ร้อนกว่านิด 32 00:01:16,480 --> 00:01:18,348 ตรงโน้น เย็นกว่าหน่อย 33 00:01:18,348 --> 00:01:21,436 เรื่องนี้สำคัญมากๆ นะครับ สำหรับทุกคนในห้องนี้ 34 00:01:21,436 --> 00:01:23,160 เพราะตรงบริเวณที่ร้อนกว่าหน่อยนั้น 35 00:01:23,160 --> 00:01:24,856 มีอะไรเล็กๆ อยู่ครับ 36 00:01:24,856 --> 00:01:26,423 ตรงอะไรเล็กๆ ที่ว่านี้ 37 00:01:26,423 --> 00:01:28,392 ก็คือกาแล็กซี่ กระจุกกาแล็กซี่ 38 00:01:28,392 --> 00:01:29,644 และกลุ่มกระจุกกาแล็กซี่ใหญ่ 39 00:01:29,644 --> 00:01:32,352 รวมถึงโครงสร้างทั้งหมด ในจักรวาลนั่นแหละครับ 40 00:01:32,352 --> 00:01:35,464 เจ้าความไม่สม่ำเสมอ เล็กๆ น้อยๆ 41 00:01:35,464 --> 00:01:37,746 ที่มีอยู่ 20 ในล้านส่วนนี้ 42 00:01:37,746 --> 00:01:40,500 เกิดขึ้นจาก รอยเบี้ยว เชิงกลศาสตร์ควอนตัม 43 00:01:40,500 --> 00:01:42,308 ในเอกภพยุคแรกเริ่มที่ถูกยืดออก 44 00:01:42,308 --> 00:01:44,587 จนมีขนาดใหญ่ทั้งจักรวาล 45 00:01:44,587 --> 00:01:46,301 มหัศจรรย์มากๆ ครับ 46 00:01:46,301 --> 00:01:47,966 แต่นั่น ไม่ใช่ข้อค้นพบเมื่อวันจันทร์ครับ 47 00:01:47,966 --> 00:01:50,002 ข้อค้นพบเมื่อวันจันทร์นั้น เจ๋งกว่านั้นอีก 48 00:01:50,002 --> 00:01:52,268 ข้อค้นพบเมื่อวันจันทร์ คือนี่ครับ 49 00:01:52,268 --> 00:01:55,771 นึกภาพว่า คุณถือระฆัง 50 00:01:55,771 --> 00:01:57,382 แล้วก็ ใช้ค้อนตีระฆัง แรงๆเลย 51 00:01:57,382 --> 00:01:59,058 ระฆังก็สั่น และดังครับ 52 00:01:59,058 --> 00:02:01,266 แต่ถ้าคุณคอยซักพัก เสียงระฆังจะเบาลงๆ 53 00:02:01,266 --> 00:02:02,886 เบาลงๆ 54 00:02:02,886 --> 00:02:04,828 จนไม่ได้ยินอีก 55 00:02:04,828 --> 00:02:07,476 ทีนี้ เอกภพในระยะแรกๆ นั้นอัดแน่นมากๆ 56 00:02:07,476 --> 00:02:09,555 เหมือนกับโลหะ แต่หนาแน่นกว่าเยอะ 57 00:02:09,555 --> 00:02:11,960 ถ้าคุณตีมัน มันก็สั่น 58 00:02:11,960 --> 00:02:13,823 แต่ในที่นี้ สิ่งที่สั่นก็คือ 59 00:02:13,823 --> 00:02:15,911 โครงสร้างของกาลอวกาศ (space-time) 60 00:02:15,911 --> 00:02:18,727 ส่วนค้อนในที่นี้ ก็คือกลศาสตร์ควอนตัม 61 00:02:18,727 --> 00:02:20,658 สิ่งที่พวกเขาค้นพบ เมื่อวันจันทร์ 62 00:02:20,658 --> 00:02:23,020 คือหลักฐาน ที่แสดงถึงการสั่น 63 00:02:23,020 --> 00:02:25,335 ของกาลอวกาศในเอกภพยุคแรกเริ่ม 64 00:02:25,335 --> 00:02:27,440 เราเรียกมันว่า คลื่นความโน้มถ่วง (gravitational waves) 65 00:02:27,440 --> 00:02:28,960 ที่มาจากยุคแรกเริ่ม 66 00:02:28,960 --> 00:02:30,935 จะเล่าให้ฟังครับว่า เขาเจอมันได้ยังไง 67 00:02:30,935 --> 00:02:33,007 คลื่นพวกนั้น จางลงนานมากแล้วครับ 68 00:02:33,007 --> 00:02:34,495 ถ้าคุณเดินบนคลื่นนั้น 69 00:02:34,495 --> 00:02:36,083 คุณจะไม่รู้สึกสั่นอะไรเลย 70 00:02:36,083 --> 00:02:38,831 คลื่นความโน้มถ่วง ในโครงสร้างของอวกาศนั้น 71 00:02:38,831 --> 00:02:41,605 ในทางปฏิบัติแล้ว ตรวจจับไม่ได้เลยครับ 72 00:02:41,605 --> 00:02:44,509 แต่ก่อนหน้านั้น ขณะที่เอกภพกำลังสร้าง 73 00:02:44,509 --> 00:02:46,879 แสงเรืองค้างสุดท้ายนั้น 74 00:02:46,879 --> 00:02:48,437 คลื่นความโน้มถ่วง 75 00:02:48,437 --> 00:02:51,300 ได้ก่อให้เกิด รอยบิดในโครงสร้าง 76 00:02:51,300 --> 00:02:52,827 ของแสงที่เราเห็น 77 00:02:52,827 --> 00:02:55,793 ด้วยการเพ่งมองท้องฟ้ากลางคืน ไกลออกไปๆ 78 00:02:55,793 --> 00:02:58,431 ทีมงานใช้เวลาถึงสามปี ที่ขั้วโลกใต้ 79 00:02:58,431 --> 00:03:01,020 เพ่งผ่านอากาศที่หนาวที่สุด ปลอดโปร่งที่สุด 80 00:03:01,020 --> 00:03:03,370 และสะอาดที่สุด เท่าที่จะหาได้ 81 00:03:03,370 --> 00:03:05,799 เพ่งลึกไปในท้องฟ้ายามค่ำ แล้วศึกษา 82 00:03:05,799 --> 00:03:09,175 แสงเรืองค้างนั้น มองหารอยเบี้ยวจางๆ 83 00:03:09,175 --> 00:03:11,523 อันเป็นสัญลักษณ์ หรือ สัญญาณ 84 00:03:11,523 --> 00:03:13,343 ของคลื่นความโน้มถ่วง 85 00:03:13,343 --> 00:03:15,684 รอยสั่นจากเอกภพยุคแรกเริ่ม 86 00:03:15,684 --> 00:03:17,471 เมื่อวันจันทร์ พวกเขาได้ประกาศว่า 87 00:03:17,471 --> 00:03:19,215 พวกเขาเจอมันแล้ว 88 00:03:19,215 --> 00:03:21,642 เรื่องที่ผมคิดว่ามหัศจรรย์มากๆ 89 00:03:21,642 --> 00:03:24,390 ไม่ใช่แค่รอยสั่น ซึ่งก็สุดยอดแล้วนะครับ 90 00:03:24,390 --> 00:03:25,748 เรื่องน่าอัศจรรย์จริงๆ 91 00:03:25,748 --> 00:03:27,850 เป็นสาเหตุให้ผมมาอยู่บนนี้ ก็คือ 92 00:03:27,850 --> 00:03:31,318 มันบอกรายละเอียดล้ำลึก เกี่ยวกับจักรวาลยุคแรกเริ่มครับ 93 00:03:31,318 --> 00:03:32,982 มันบอกว่า เรา 94 00:03:32,982 --> 00:03:34,418 และทุกสิ่งรอบๆ ตัวเรานี้ 95 00:03:34,418 --> 00:03:37,372 เป็นลูกโป่งมหึมาลูกนึงครับ 96 00:03:37,372 --> 00:03:39,128 และนี่คือทฤษฎีการพองตัว (inflation) ครับ 97 00:03:39,128 --> 00:03:43,020 ลูกโป่งใบใหญ่ใบนึง ซึ่งมีอะไรบางอย่าง รายล้อมอีกที 98 00:03:43,020 --> 00:03:45,150 นี่ไม่ใช่หลักฐานยืนยีนทฤษฎีพองตัวนะครับ 99 00:03:45,150 --> 00:03:47,324 แต่ทฤษฎีไหนที่ใช้อธิบายเรื่องนี้ได้ 100 00:03:47,324 --> 00:03:48,641 ก็ต้องคล้ายๆ ทฤษฎีพองตัวแหละครับ 101 00:03:48,641 --> 00:03:50,286 เราคิดทฤษฎีนี้ขึ้นมา 102 00:03:50,286 --> 00:03:51,510 นานใช้ได้แล้วครับ 103 00:03:51,510 --> 00:03:53,235 และเราก็ไม่เคยคิดเลยว่า เราจะเจอมันได้จริง 104 00:03:53,235 --> 00:03:55,073 ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เราคิดว่า คงไม่มีวันเจอ- 105 00:03:55,073 --> 00:03:57,321 หลักฐานไม้ตาย แล้วนี่แหละครับ หลักฐานไม้ตาย 106 00:03:57,321 --> 00:03:59,331 แต่แนวคิดที่หลุดโลกจริงๆ 107 00:03:59,331 --> 00:04:02,363 คือ ลูกโป่งของเรา เป็นแค่ลูกเดียว 108 00:04:02,363 --> 00:04:06,989 จากหลายๆลูก ในหม้อเอกภพ ที่ทั้งปั่นป่วน และใหญ่กว่า 109 00:04:06,989 --> 00:04:08,815 เราคงไม่มีวันเห็นอะไรๆ นอกลูกโป่งของเราได้ครับ 110 00:04:08,815 --> 00:04:11,389 แต่ด้วยการไปอยู่ขั้วโลกใต้ นานสามปี 111 00:04:11,389 --> 00:04:13,949 สำรวจโครงสร้างของท้องฟ้ายามค่ำ อย่างละเอียด 112 00:04:13,949 --> 00:04:15,805 เราก็พิสูจน์ได้ว่า 113 00:04:15,805 --> 00:04:18,895 เราน่าจะอยู่ในเอกภพ ลักษณะประมาณนั้นแหละ 114 00:04:18,895 --> 00:04:21,317 นั่นแหละ เรื่องน่าอัศจรรย์ครับ 115 00:04:21,317 --> 00:04:22,653 ขอบคุณมากครับ 116 00:04:22,653 --> 00:04:25,590 (เสียงปรบมือ)