1 00:00:00,973 --> 00:00:05,516 เราถูกสร้างขึ้นจากสิ่งเล็กๆ 2 00:00:05,516 --> 00:00:08,031 แล้วฝังตัวลงในจักรวาลอันยิ่งใหญ่ 3 00:00:08,031 --> 00:00:12,582 และความจริงก็คือเราไม่ได้มีความเข้าใจที่ดี ต่อความเป็นจริง 4 00:00:12,582 --> 00:00:14,161 ในทั้งสองระดับนั้น 5 00:00:14,161 --> 00:00:15,763 และนั่นก็เป็นเพราะว่าสมองของเรา 6 00:00:15,763 --> 00:00:20,157 ไม่ได้มีวิวัฒนาการมาให้เข้าใจโลก ในระดับนั้น 7 00:00:20,157 --> 00:00:24,377 แต่ว่า เราถูกกักเอาไว้ในมุมมอง เพียงเสี้ยวบาง ๆ 8 00:00:24,377 --> 00:00:26,143 ที่อยู่ตรงกลาง 9 00:00:26,723 --> 00:00:31,191 แต่ว่ามันก็ประหลาด เพราะแม้แต่ เสี้ยวบาง ๆ ที่เราเรียกว่าเป็นบ้านนั้น 10 00:00:31,191 --> 00:00:34,176 เราก็ยังไม่เห็นสิ่ง ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ 11 00:00:34,176 --> 00:00:37,566 เช่น ลองดูสีสันของโลกของเรา 12 00:00:37,566 --> 00:00:42,279 ซึ่งเป็นคลื่นแสง เป็นรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า ที่สะท้อนออกจากวัตถุ 13 00:00:42,279 --> 00:00:45,716 แล้วชนเข้ากับตัวรับพิเศษ ทางด้านหลังตาของเรา 14 00:00:45,716 --> 00:00:49,361 แต่เราไม่ได้เห็นคลื่นแสงทั้งหมดที่มีอยู่ 15 00:00:49,361 --> 00:00:51,056 อันที่จริง สิ่งที่เราเห็น 16 00:00:51,056 --> 00:00:55,119 น้อยกว่าหนึ่งใน 10 ล้านล้าน ของที่มีทั้งหมด 17 00:00:55,119 --> 00:00:58,486 ดังนั้น มีคลื่นวิทยุและไมโครเวฟ 18 00:00:58,486 --> 00:01:01,783 และเอ็กซ์เรย์ และแกมม่าเรย์ ผ่านร่างกายของคุณอยู่ตอนนี้ 19 00:01:01,783 --> 00:01:04,732 และคุณก็ไม่ได้รู้สึกถึงมันเลย 20 00:01:04,732 --> 00:01:07,913 เพราะว่าคุณไม่ได้มาพร้อมกับตัวรับทางชีวภาพ ที่มีความเหมาะสม 21 00:01:07,913 --> 00:01:09,121 สำหรับตรวจจับมัน 22 00:01:09,631 --> 00:01:12,198 มีการสื่อสารทางโทรศัพท์มือถือเป็นพัน ๆ 23 00:01:12,198 --> 00:01:13,754 กำลังผ่านตัวคุณไปตอนนี้ 24 00:01:13,754 --> 00:01:16,055 และคุณก็บอดต่อสัญญาณเหล่านั้น 25 00:01:16,055 --> 00:01:19,953 ทีนี้ มันไม่ใช่ว่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเห็นได้โดยธรรมชาติ 26 00:01:19,953 --> 00:01:24,852 งู สามารถรวมเอารังสีอินฟาเรดเข้ามา ในโลกความเป็นจริงของมัน 27 00:01:24,852 --> 00:01:28,730 และผึ้งก็รวมเอารังสีอัลตราไวโอเลต เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการมองโลกใบนี้ 28 00:01:28,730 --> 00:01:31,655 และแน่นอนว่าเราก็สร้างอุปกรณ์ ในแผงหน้าปัดรถของเรา 29 00:01:31,655 --> 00:01:34,883 ให้จับสัญญาณช่วงความถี่วิทยุ 30 00:01:34,883 --> 00:01:38,575 และก็สร้างเครื่องมือในโรงพยาบาล ให้จับช่วงของรังสีเอ็กส์ 31 00:01:38,575 --> 00:01:41,965 แต่คุณไม่สามารถรับสัมผัสสิ่งเหล่านี้ ได้ด้วยตัวเอง 32 00:01:41,965 --> 00:01:43,474 อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ได้ 33 00:01:43,474 --> 00:01:47,421 เพราะว่าคุณไม่ได้ประกอบด้วยตัวรับที่เหมาะสม 34 00:01:47,421 --> 00:01:51,902 ทีนี้ มันหมายความว่า ประสบการณ์รับรู้ความเป็นจริงของเรา 35 00:01:51,902 --> 00:01:55,362 ถูกจำกัดด้วยชีวภาพของเราเอง 36 00:01:55,362 --> 00:01:57,916 และนั่นขัดต่อสามัญสำนึก 37 00:01:57,916 --> 00:02:00,179 ว่าตาของเรา หูของเรา และปลายนิ้วของเรา 38 00:02:00,179 --> 00:02:04,394 ตรวจจับความเป็นจริงข้างนอกนั่นได้ 39 00:02:04,394 --> 00:02:10,013 แต่จริง ๆ แล้ว สมองของเรา เก็บตัวอย่างเพียงบางส่วนของโลกเท่านั้น 40 00:02:10,013 --> 00:02:12,080 ทีนี้ ในทั่วทั้งอาณาจักรสัตว์ 41 00:02:12,080 --> 00:02:15,400 สรรพสัตว์รับความเป็นจริงในส่วนที่แตกต่างกัน 42 00:02:15,400 --> 00:02:18,349 ดังนั้น ในโลกที่มืดบอด และไร้เสียง ของพวกเห็บไร 43 00:02:18,349 --> 00:02:22,830 สัญญาณที่สำคัญก็คือ อุณหภูมิ และกรดบิวทีริค 44 00:02:22,830 --> 00:02:25,756 ในโลกของปลากรายแอฟริกา โกสต์ (ghost knifefish) สีดำ 45 00:02:25,756 --> 00:02:30,655 โลกแห่งการรับสัมผัสของมัน เต็มไปด้วยสีมากมายจากสนามไฟฟ้า 46 00:02:30,655 --> 00:02:33,116 และสำหรับค้างคาวที่ใช้เสียงสะท้อน 47 00:02:33,116 --> 00:02:37,156 ความเป็นจริงของมันสร้างขึ้นจาก คลื่นการอัดอากาศ 48 00:02:37,156 --> 00:02:41,521 นั่นเป็นเสี้ยวหนึ่งของนิเวศวิทยาของมัน ที่พวกมันสามารถรับรู้ได้ 49 00:02:41,521 --> 00:02:43,379 และทางวิทยาศาสตร์ เรามีคำเรียกปรากฏการณ์นี้ 50 00:02:43,403 --> 00:02:44,911 เรียกว่า อูมเวลท์ (umwelt) 51 00:02:44,911 --> 00:02:48,603 ซึ่งเป็นภาษาเยอรมันสำหรับโลกรอบตัว 52 00:02:48,603 --> 00:02:51,598 ทีนี้ สมมติว่า สัตว์ทุกตัวเข้าใจว่า 53 00:02:51,598 --> 00:02:55,987 อูมเวลท์ของมันเป็นความจริงเชิงวัตถุทั้งหมด 54 00:02:55,987 --> 00:02:58,281 เพราะว่า ทำไมคุณจะต้องมาหยุดนึกสงสัย 55 00:02:58,281 --> 00:03:00,802 ว่ามันยังจะมีอะไรมากกว่าที่เราสัมผัสได้อีกล่ะ 56 00:03:01,412 --> 00:03:04,126 แต่ทว่า ที่เราทุกคนเป็น ก็คือเรายอมรับความเป็นจริง 57 00:03:04,126 --> 00:03:06,772 อย่างที่มีการแสดงให้เราเห็น 58 00:03:07,222 --> 00:03:09,717 ลองมากระตุ้นความคิดเรื่องนี้กันหน่อยนะครับ 59 00:03:09,717 --> 00:03:12,373 ลองนึกดูว่าคุณเป็นสุนัขล่าเนื้อบลัดฮาวด์ 60 00:03:12,973 --> 00:03:15,178 โลกทั้งใบของคุณเป็นเรื่องการดมกลิ่น 61 00:03:15,178 --> 00:03:19,590 คุณมีโพรงจมูกยาวๆ ที่มีตัวรับกลิ่น 200 ล้านตัวในนั้น 62 00:03:19,590 --> 00:03:24,094 และคุณมีจมูกที่เปียก ที่จับและกักโมเลกุลกลิ่น 63 00:03:24,094 --> 00:03:28,088 และจมูกของคุณยังจะมีร่อง เพื่อที่คุณจะรับกลิ่นจากอากาศได้มาก ๆ 64 00:03:28,088 --> 00:03:31,362 การดมกลิ่นเป็นทุกอย่างสำหรับคุณ 65 00:03:31,362 --> 00:03:35,263 ดังนั้น วันหนึ่ง คุณหยุดอยู่บนหนทางสู่การปฏิวัติ 66 00:03:35,263 --> 00:03:38,583 คุณมองนายมนุษย์ของคุณและคิดว่า 67 00:03:38,583 --> 00:03:43,393 "มันจะเป็นอย่างไรนะ ที่จะมีจมูกห่วย ๆ อย่างมนุษย์ 68 00:03:43,393 --> 00:03:45,083 (เสียงหัวเราะ) 69 00:03:45,083 --> 00:03:48,335 เป็นอย่างไร เมื่อคุณสูดอากาศไร้ประสิทธิภาพ 70 00:03:48,335 --> 00:03:52,384 คุณไม่รู้ได้ยังไงว่ามีแมวห่างออกไป 100 หลา 71 00:03:52,384 --> 00:03:55,718 หรือเพื่อนบ้านของคุณอยู่ตรงนี้ เมื่อหกชั่วโมงก่อน" 72 00:03:55,718 --> 00:03:58,458 (เสียงหัวเราะ) 73 00:03:58,458 --> 00:04:00,757 นั่นเป็นเพราะเราเป็นมนุษย์ 74 00:04:00,757 --> 00:04:03,404 เราไม่เคยมีประสบการณ์ถึงโลกแห่งกลิ่น 75 00:04:03,404 --> 00:04:06,083 เราจึงไม่คิดถึงมัน 76 00:04:06,083 --> 00:04:10,114 เพราะว่าเราว่าใจอูมเวลท์ของเราเต็มที่ 77 00:04:10,114 --> 00:04:13,777 แต่คำถามก็คือ เราต้องกักตัวเองอยู่ที่อย่างนั้นหรือ 78 00:04:14,317 --> 00:04:18,845 เฉกเช่นนักประสาทวิทยา ผมมีความสนใจ ถึงหนทางที่เทคโนโลยี 79 00:04:18,845 --> 00:04:21,468 อาจจะขยายอูมเวลท์ของเราได้ 80 00:04:21,468 --> 00:04:25,108 และการที่มันจะเปลี่ยนประสบการณ์มนุษย์เรา 81 00:04:26,228 --> 00:04:29,781 ครับ เรารู้แล้วว่า เราสามารถจับคู่เทคโนโลยี เข้ากับชีวภาพของเรา 82 00:04:29,781 --> 00:04:33,565 เพราะมันมีคนเป็นแสน ๆ 83 00:04:33,565 --> 00:04:37,164 ที่มีการฟังและการมองเห็นแบบประดิษฐ์ 84 00:04:37,164 --> 00:04:41,553 ครับ การทำงานของมันก็คือ คุณใช้ไมโครโฟน และแปลงเป็นสัญญาณแบบดิจิตัล 85 00:04:41,553 --> 00:04:45,291 และนำแท่งขั้วไฟฟ้าไปไว้ในหูชั้นใน 86 00:04:45,291 --> 00:04:47,590 หรือสำหรับเรตินาประดิษฐ์ คุณใช้กล้อง 87 00:04:47,590 --> 00:04:50,864 และแปลงสัญญาณเป็นดิจิตัล และจากนั้นเสียบแผงขั้วไฟฟ้า 88 00:04:50,864 --> 00:04:53,882 ไปที่ประสาทตาโดยตรง 89 00:04:53,882 --> 00:04:57,806 และเร็ว ๆ นี้ เมื่อ 15 ปีมานี้เอง 90 00:04:57,806 --> 00:05:01,544 มีนักวิทยาศาสตร์มากมายที่ยังคิดว่า เทคโนโลยีเหล่านี้คงไม่ประสบความสำเร็จ 91 00:05:01,544 --> 00:05:06,723 ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่าเทคโนโลยีพวกนี้ พูดภาษาของซิลิคอนแวลลีย์ 92 00:05:06,723 --> 00:05:12,295 และมันก็ไม่ใช่ภาษาเดียวกันกับที่ใช้โดย อวัยวะรับสัมผัสชีวภาพตามธรรมชาติของเรา 93 00:05:12,295 --> 00:05:14,710 แต่ความจริง มันสามารถใช้การได้เหมือนกัน 94 00:05:14,710 --> 00:05:19,299 สมองพบวิธี ที่จะใช้สัญญาณดังกล่าวได้ดี 95 00:05:19,719 --> 00:05:21,233 ทีนี้ เราจะเข้าใจมันได้อย่างไร 96 00:05:21,763 --> 00:05:23,458 ครับ นี่คือความลับใหญ่เลย 97 00:05:23,458 --> 00:05:28,728 สมองของคุณไม่ได้ฟังหรือมองเห็นอะไรเลย 98 00:05:28,728 --> 00:05:35,183 สมองของคุณถูกขังอยู่ในห้องแห่งความเงียบ และความมืด ภายในกระโหลกของคุณ 99 00:05:35,183 --> 00:05:38,991 ทั้งหมดที่มันได้เห็นก็คือ สัญญาณเคมีไฟฟ้า 100 00:05:38,991 --> 00:05:41,540 ที่เข้ามาตามสายข้อมูลต่างๆ กัน 101 00:05:41,540 --> 00:05:45,992 และนั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่มันต้องทำการ ไม่มีอะไรมากกว่านี้ 102 00:05:46,672 --> 00:05:48,924 เอาล่ะ น่าสนใจครับ 103 00:05:48,924 --> 00:05:51,687 ที่สมองของเรารับสัญญาณเหล่านี้ ได้ดีทีเดียว 104 00:05:51,687 --> 00:05:55,238 และสกัดเอารูปแบบ และความหมายของสัญญาณ 105 00:05:55,238 --> 00:05:59,292 ดังนั้นมันนำเอาจักรวาลภายในนี้ และนำมาประกอบเข้าเป็นเรื่องราว 106 00:05:59,292 --> 00:06:04,179 เป็นสิ่งนี้ เป็นโลกทางนามธรรมของคุณ 107 00:06:04,179 --> 00:06:06,129 แต่นี่คือจุดสำคัญครับ 108 00:06:06,129 --> 00:06:09,519 สมองของคุณไม่ได้รู้ และไม่ได้สนใจ 109 00:06:09,519 --> 00:06:12,561 ว่ามันได้ข้อมูลมาจากไหน 110 00:06:12,561 --> 00:06:17,414 ไม่ว่าข้อมูลใดเข้ามา มันก็แค่หาทางจัดการกับมัน 111 00:06:17,414 --> 00:06:19,852 และนี่ก็เป็นเหมือนกับเครื่องจักร ที่ทรงประสิทธิภาพ 112 00:06:19,852 --> 00:06:24,008 เป็นเหมือนกับคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่ได้ทั่วไป 113 00:06:24,008 --> 00:06:26,423 และมันก็แค่นำเข้าข้อมูลทุกอย่าง 114 00:06:26,423 --> 00:06:29,023 และพยายามค้นหา ว่ามันจะต้องทำอะไร 115 00:06:29,023 --> 00:06:32,669 และวิธีนี้ ผมคิดว่า เป็นการปลดปล่อย พระแม่แห่งธรรมชาติ 116 00:06:32,669 --> 00:06:37,452 ให้สามารถดัดแปลงช่องข้อมูลหลายรูปแบบ 117 00:06:37,452 --> 00:06:40,284 ผมจึงขอเรียกมันว่าแบบจำลอง พี. เอช. ของวิวัฒนาการ 118 00:06:40,284 --> 00:06:42,328 และผมไม่อยากที่จะลงลึกเกินไป 119 00:06:42,328 --> 00:06:45,369 แต่ พี. เอช. ย่อมาจาก โพเตโต้ เฮด [หัวมัน] 120 00:06:45,369 --> 00:06:49,200 และผมใช้ชื่อนี้ เพื่อเน้นย้ำว่า ตัวรับสัมผัสเหล่านี้ 121 00:06:49,200 --> 00:06:52,451 ที่เรารู้จักและรัก เช่นตา หู และปลายนิ้วของเรา 122 00:06:52,451 --> 00:06:56,770 นี่มันเป็นเหมือนอุปกรณ์รอบข้างทั่วไป ที่พร้อมใช้งาน 123 00:06:56,770 --> 00:07:00,044 คุณต่อมันเข้า และมันก็พร้อมใช้งานเลย 124 00:07:00,044 --> 00:07:05,153 สมองของคุณจะตัดสินว่าต้องทำอย่างไร กับข้อมูลที่เข้ามา 125 00:07:06,243 --> 00:07:08,449 และเมื่อคุณมองไปรอบๆ ในอาณาจักรสัตว์ 126 00:07:08,449 --> 00:07:11,096 คุณจะพบอุปกรณ์รอบข้างมากมาย 127 00:07:11,096 --> 00:07:15,206 เช่น งูมีอวัยวะรับความร้อน ซึ่งตรวจจับอินฟาเรด 128 00:07:15,206 --> 00:07:18,456 และปลากรายแอฟริกา โกสต์ก็มีตัวรับไฟฟ้า 129 00:07:18,456 --> 00:07:21,057 และตัวตุ่นจมูกดาวก็มีส่วนที่ยื่นยาว 130 00:07:21,057 --> 00:07:23,704 ที่มีนิ้วถึง 22 นิ้ว 131 00:07:23,704 --> 00:07:27,373 ที่ใช้สัมผัสสิ่งรอบ ๆ ตัว แล้วสร้างภาพโลกสามมิติ 132 00:07:27,373 --> 00:07:31,297 และนกหลายชนิดมีแม่เหล็ก ฉะนั้นพวกมันจึงสามารถตอบสนองต่อทิศทาง 133 00:07:31,297 --> 00:07:33,792 ตามสนามแม่เหล็กของโลกได้ 134 00:07:33,792 --> 00:07:37,664 นี่ก็หมายความว่า ธรรมชาติไม่จำเป็นต้องออกแบบสมอง 135 00:07:37,664 --> 00:07:40,079 เรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง 136 00:07:40,079 --> 00:07:44,560 แต่ว่า เมื่อได้ตั้งการทำงานของสมอง เป็นหลักเป็นพื้นฐานแล้ว 137 00:07:44,560 --> 00:07:49,239 ธรรมชาติก็เหลือแต่ จะต้องทำการออกแบบอุปกรณ์รอบข้าง 138 00:07:49,239 --> 00:07:52,164 เอาล่ะ มันหมายถึงอย่างนี้ครับ 139 00:07:52,164 --> 00:07:54,184 บทเรียนที่เกิดขึ้นก็คือ 140 00:07:54,184 --> 00:07:57,853 ไม่มีอะไรพิเศษ หรือเป็นรากฐาน 141 00:07:57,853 --> 00:08:00,848 เกี่ยวกับระบบชีวภาพ ที่มาเกิดมาพร้อมกับมัน 142 00:08:00,848 --> 00:08:02,915 มันเป็นเพียงสิ่งที่เราได้รับตกทอดมา 143 00:08:02,915 --> 00:08:06,142 จากวิถีแห่งวิวัฒนาการอันซับซ้อน 144 00:08:06,142 --> 00:08:09,671 แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้อง ติดอยู่กับมันตลอดไป 145 00:08:09,671 --> 00:08:11,715 และการพิสูจน์ที่ดีที่สุดของหลักการนี้ 146 00:08:11,715 --> 00:08:14,315 ก็มาจากสิ่งที่เรียกว่า การแทนที่ของระบบสัมผัส 147 00:08:14,315 --> 00:08:17,543 ซึ่งหมายถึงการป้อนข้อมูล เข้าไปในสมอง 148 00:08:17,543 --> 00:08:20,329 ผ่านช่องทางสัมผัสที่ไม่ปกติ 149 00:08:20,329 --> 00:08:23,208 และสมองก็แค่หาทางว่ามันควรทำอย่างไร 150 00:08:23,208 --> 00:08:25,669 ทีนี้ นั่นอาจฟังดูเลื่อนลอย 151 00:08:25,669 --> 00:08:30,621 แต่งานตีพิมพ์แรกที่แสดงสิ่งนี้ ได้ตีพิมพ์ในวารสาร เนเจอร์ ในปีค.ศ. 1969 152 00:08:31,985 --> 00:08:34,353 นักวิทยาศาสตร์นามว่า พอล บาร์ก-อี-ริตา 153 00:08:34,353 --> 00:08:37,581 นำคนตาบอดมานั่ง บนเก้าอี้หมอฟันแบบดัดแปลง 154 00:08:37,581 --> 00:08:39,926 และจัดการให้ข้อมูลในรูปแบบวีดีโอ 155 00:08:39,926 --> 00:08:42,178 และเอาอะไรบางอย่างวางไว้หน้ากล้อง 156 00:08:42,178 --> 00:08:44,639 และจากนั้นคุณก็จะรู้สึกว่า 157 00:08:44,639 --> 00:08:47,565 ถูกจิ้มที่ด้านหลังด้วยร่องขดลวด 158 00:08:47,565 --> 00:08:50,049 ถ้าคุณขยับแก้วกาแฟหน้ากล้อง 159 00:08:50,049 --> 00:08:52,394 คุณก็จะรู้สึกบนหลังคุณ 160 00:08:52,394 --> 00:08:55,482 และเป็นเรื่องน่าทึ่งที่ว่า คนตาบอดค่อนข้างเก่ง 161 00:08:55,482 --> 00:08:59,035 ในการตัดสินใจว่าอะไรอยู่หน้ากล้อง 162 00:08:59,035 --> 00:09:02,820 แค่เพียงสัมผัสมันผ่านหลังของพวกเขา 163 00:09:02,820 --> 00:09:06,326 เอาล่ะ มันมีตัวอย่างมากมาย จากเรื่องตัวอย่างคล้าย ๆ กันนี้ 164 00:09:06,326 --> 00:09:09,600 เช่น แว่นตาโซนิกที่นำผลวีดีโอ ที่แสดงต่อหน้าคุณ 165 00:09:09,600 --> 00:09:12,455 และเปลี่ยนเป็นแผนที่เสียง 166 00:09:12,455 --> 00:09:14,932 ฉะนั้นเมื่อสิ่งต่างๆ ขยับ หรือเข้ามาใกล้ หรือห่างออกไป 167 00:09:14,956 --> 00:09:17,030 มันจะมีเสียง "หึ่ง หึ่ง หึ่ง" 168 00:09:17,030 --> 00:09:19,003 เหมือนกับเสียงที่ไม่ประสานกัน 169 00:09:19,003 --> 00:09:22,997 แต่หลังจากสองสามสัปดาห์ คนตาบอดก็เริ่มจะเก่ง 170 00:09:22,997 --> 00:09:25,319 ในการทำความเข้าใจ ว่าอะไรอยู่ตรงหน้าพวกเขา 171 00:09:25,319 --> 00:09:27,966 จากแค่ที่พวกเขาได้ยิน 172 00:09:27,966 --> 00:09:29,966 และมันไม่จำเป็นจะต้องเป็นข้อมูลผ่านหู 173 00:09:29,990 --> 00:09:33,354 ระบบนี้ใช้แผงการสัมผัสเชิงไฟฟ้า ที่วางไว้บนหน้าผาก 174 00:09:33,354 --> 00:09:37,044 ฉะนั้นไม่ว่าอะไรอยู่หน้ากล้อง คุณก็จะรู้สึกมันได้ที่หน้าผาก 175 00:09:37,044 --> 00:09:39,897 ทำไมต้องเป็นหน้าผากน่ะหรือครับ เพราะว่าคุณไม่ได้ใช้มันมากนัก 176 00:09:39,897 --> 00:09:44,103 ตัวอย่างใหม่ล่าสุด เรียกว่า "เบรนพอร์ท" 177 00:09:44,103 --> 00:09:47,852 และนี่คือแผงไฟฟ้าที่อยู่บนลิ้น 178 00:09:47,852 --> 00:09:51,968 และข้อมูลวีดีโอที่ป้อนเข้ามาก็แปลงเป็น สัญญาณการสัมผัสเชิงไฟฟ้า 179 00:09:51,968 --> 00:09:58,455 และคนตาบอดก็เชี่ยวชาญในการใช้มัน จนเขาสามารถขว้างบอลลงตะกร้าได้เลย 180 00:09:58,455 --> 00:10:02,471 หรือพวกเขาสามารถนำร่องผ่านสิ่งกีดขวาง ที่ค่อนข้างซับซ้อนได้ 181 00:10:03,311 --> 00:10:07,525 พวกเขาสามารถมองเห็นได้ผ่านลิ้น 182 00:10:07,525 --> 00:10:09,731 ทีนี้ มันฟังดูเหลือเชื่อมากเลยใช่ไหมครับ 183 00:10:09,731 --> 00:10:12,540 แต่จำไว้นะครับว่า ภาพทุกอย่างที่มีนั้น 184 00:10:12,540 --> 00:10:16,557 เป็นสัญญาณเคมีไฟฟ้า ที่วิ่งไปรอบ ๆ สมองของคุณ 185 00:10:16,557 --> 00:10:19,251 สมองของคุณไม่รู้หรอกว่าสัญญาณมาจากไหน 186 00:10:19,251 --> 00:10:22,687 มันแค่เข้าใจว่าต้องทำอย่างไร กับสัญญาณพวกนั้น 187 00:10:22,687 --> 00:10:28,493 ฉะนั้น สิ่งที่กลุ่มวิจัยของผมสนใจ ก็คือการแทนที่สัมผัสสำหรับคนหูหนวก 188 00:10:28,493 --> 00:10:31,232 และโครงการนี้ก็กำลังดำเนินการอยู่ 189 00:10:31,232 --> 00:10:34,227 โดยมีนักศึกษาบัณฑิตศึกษาในกลุ่มวิจัยของผม สก๊อต โนวิกช์ 190 00:10:34,227 --> 00:10:36,526 ผู้เป็นแกนนำทำวิทยานิพนธ์ของเขา 191 00:10:36,526 --> 00:10:38,522 และนี่คือสิ่งที่เราต้องการทำ 192 00:10:38,522 --> 00:10:42,516 เราต้องการที่จะแปลงเสียงที่มีในโลกนี้ 193 00:10:42,516 --> 00:10:47,392 ไปเป็นสิ่งที่คนหูหนวกสามารถเข้าใจได้ 194 00:10:47,392 --> 00:10:51,920 เราต้องการทำสิ่งนี้ เพื่อให้ประสิทธิภาพ และการเข้าถึงกับระบบคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ 195 00:10:51,920 --> 00:10:56,796 เราต้องการความมั่นใจว่า ระบบจะทำงานได้บนโทรศัพท์มือถือและแท๊บเล็ต 196 00:10:56,796 --> 00:10:59,094 และเรายังต้องการทำให้มันสวมใส่ได้ 197 00:10:59,094 --> 00:11:02,136 เป็นอะไรที่คุณสามารถใส่ไว้ใต้เสื้อผ้า 198 00:11:02,136 --> 00:11:03,816 นี่เป็นแนวความคิดครับ 199 00:11:05,326 --> 00:11:10,402 และขณะที่ผมพูดนี้ เสียงของผมจะถูกจับ โดยแท็บเล็ต 200 00:11:10,402 --> 00:11:16,160 และจากนั้นมันก็ส่งข้อมูลไปยังเสื้อกั๊ก ที่เต็มไปด้วยมอเตอร์สั่น 201 00:11:16,160 --> 00:11:19,597 เหมือนกับมอเตอร์ในโทรศัพท์มือถือคุณ 202 00:11:19,597 --> 00:11:21,988 ระหว่างที่ผมกำลังพูดอยู่นี้ 203 00:11:21,988 --> 00:11:28,327 เสียงกำลังแปลงเป็น รูปแบบการสั่นบนเสื้อกั๊ก 204 00:11:28,327 --> 00:11:29,906 ทีนี้มันไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิด 205 00:11:29,906 --> 00:11:35,014 แท๊บเล็ตนี้กำลังส่งสัญญาณบลูทูท และผมก็กำลังใส่เสื้อกั๊กนั้นอยู่ 206 00:11:35,014 --> 00:11:37,323 ดังนั้น ในขณะที่ผมพูดอยู่นี้ (เสียงปรบมือ) 207 00:11:38,033 --> 00:11:43,966 เสียงกำลังแปลงเป็นรูปแบบการสั่นแบบพลวัต 208 00:11:43,966 --> 00:11:49,340 ผมรู้สึกได้ถึงโลกแห่งเสียงรอบ ๆ ตัว 209 00:11:49,340 --> 00:11:53,404 เราได้ทำการทดสอบกับคนตาบอดแล้วตอนนี้ 210 00:11:53,404 --> 00:11:56,910 และเราก็พบว่า ไม่นาน 211 00:11:56,910 --> 00:12:00,300 คนจะเริ่มรู้สึกได้ พวกเขาจะเริ่มเข้าใจ 212 00:12:00,300 --> 00:12:02,970 ภาษาของเสื้อกั๊ก 213 00:12:02,970 --> 00:12:07,753 นี่คือ โจนาธาน เขาอายุ 37 ปี และมีวุฒิปริญญาโท 214 00:12:07,753 --> 00:12:10,098 เขาเกิดมาหูหนวกสนิท 215 00:12:10,098 --> 00:12:14,208 ซึ่งหมายความว่าเขาไม่มี อูมเวลท์ บางส่วน 216 00:12:14,208 --> 00:12:18,596 ฉะนั้น โจนาธาน ฝึกซ้อมกับเสื้อกั๊กนี้ เป็นเวลาสี่วัน วันละสองชั่วโมง 217 00:12:18,596 --> 00:12:21,876 และตอนนี้ เขามาถึงวันที่ห้า 218 00:12:21,876 --> 00:12:24,012 สก๊อต โนวิกช์: คุณ 219 00:12:24,012 --> 00:12:27,226 เดวิด อีเกอร์แมน: เมื่อสก๊อตกล่าวคำ โจนาธานจะรู้สึกได้จากเสื้อกั๊ก 220 00:12:27,226 --> 00:12:30,282 และเขาจะเขียนคำไว้บนกระดาน 221 00:12:30,282 --> 00:12:34,168 สก๊อต: ที่ไหน ที่ไหน 222 00:12:34,168 --> 00:12:37,805 เดวิด: โจนาธานสามารถที่จะแปลรูปแบบที่ซับซ้อน ของการสั่น 223 00:12:37,805 --> 00:12:40,684 ไปเป็นความเข้าใจในคำที่พูด 224 00:12:40,684 --> 00:12:44,283 สก๊อต: แตะ แตะ 225 00:12:44,283 --> 00:12:48,723 เดวิด: เอาล่ะ เขาไม่ได้ทำ -- 226 00:12:48,723 --> 00:12:54,784 (เสียงปรบมือ) -- 227 00:12:55,944 --> 00:13:00,030 โจนาธานไม่ได้ทำการนี้โดยตั้งใจ เพราะว่ารูปแบบข้อมูลซับซ้อนเกินไป 228 00:13:00,030 --> 00:13:05,510 แต่สมองของเขาเริ่มที่จะถอดรูปแบบ ที่สามารถทำให้มันเข้าใจได้ 229 00:13:05,510 --> 00:13:07,786 ว่าข้อมูลนั้นคืออะไร 230 00:13:07,786 --> 00:13:11,988 และความคาดหวังของเราก็คือ หลังจากที่สวมสิ่งนี้เป็นเวลาประมาณ 3 เดือน 231 00:13:11,988 --> 00:13:16,586 เขาจะมีประสบการณ์สัมผัสตรงของการได้ยิน 232 00:13:16,586 --> 00:13:20,765 ในแบบเดียวกับที่เมื่อคนตาบอด ลูบไปตามอักษรเบล 233 00:13:20,765 --> 00:13:26,362 ความหมายผุดขึ้นมาจากหน้ากระดาษ โดยไม่ต้องใช้ความคิดใดๆ ช่วยเหลืออีก 234 00:13:26,941 --> 00:13:30,494 ครับ เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลง 235 00:13:30,494 --> 00:13:34,278 เพราะว่าการแก้ปัญหาหูหนวกอื่นมีอย่างเดียว คือการปลูกถ่ายคลอเคลียร์ (cochlear) 236 00:13:34,278 --> 00:13:37,181 และนั่นต้องอาศัยการผ่าตัด 237 00:13:37,181 --> 00:13:42,335 และระบบนี้สามารถผลิตได้ถูกกว่า ถึง 40 เท่าของของการปลูกถ่ายคลอเคลียร์ 238 00:13:42,335 --> 00:13:47,234 ซึ่งเปิดโอกาสให้เทคโนโลยีนี้ในระดับสากล แม้กระทั่งกับประเทศที่จนที่สุด 239 00:13:48,052 --> 00:13:53,171 ทีนี้ เราได้รับแรงสนับสนุนอย่างมาก จากผลของการแทนที่สัมผัสนี้ 240 00:13:53,171 --> 00:13:57,374 แต่สิ่งที่เราคิดกันเยอะมากก็คือ การเพิ่มสัมผัส 241 00:13:57,374 --> 00:14:02,803 คือเราจะใช้เทคโนโลยีแบบนี้ เพื่อเพิ่มสัมผัสแบบใหม่ได้อย่างไร 242 00:14:02,803 --> 00:14:05,937 เพื่อที่จะขยาย อูมเวลท์ ของคน 243 00:14:05,937 --> 00:14:10,186 ยกตัวอย่างเช่น เราจะสามารถป้อนข้อมูล ตามเวลาจริงจากอินเทอร์เน็จ 244 00:14:10,186 --> 00:14:12,067 ตรงเข้าสมองใครสักคน 245 00:14:12,067 --> 00:14:15,945 และเขาคนนั้นยังสามารถพัฒนา ประสบการณ์สัมผัสได้โดยตรงหรือไม่ 246 00:14:15,945 --> 00:14:18,482 นี่คือการทดลองที่เราทำกัน 247 00:14:18,482 --> 00:14:22,376 คนที่รับการทดลองรู้สึกถึงการผ่านกระแสข้อมูล ที่มาจากอินเตอร์เน็ตได้ตามเวลาจริง 248 00:14:22,376 --> 00:14:24,187 เป็นเวลาห้าวินาที 249 00:14:24,187 --> 00:14:27,456 จากนั้น จะมีปุ่มสองปุ่มปรากฏขึ้น และเขาก็ต้องตัดสินใจ 250 00:14:27,456 --> 00:14:29,145 เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น 251 00:14:29,145 --> 00:14:31,841 เขาตัดสินใจและได้รับผลตอบรับ ในอีกหนึ่งวินาทีต่อมา 252 00:14:31,841 --> 00:14:33,046 ทีนี้นะครับ 253 00:14:33,046 --> 00:14:35,690 ผู้รับการทดลองของเรา ไม่รู้เลยว่ารูปแบบเหล่านั้นคืออะไร 254 00:14:35,690 --> 00:14:39,361 แต่พวกเราจะเห็นว่าเขาจะทำได้ดีขึ้นหรือไม่ ว่าจะตัดสินใจกดปุ่มไหน 255 00:14:39,361 --> 00:14:41,428 เขาไม่รู้ว่าเราป้อน 256 00:14:41,428 --> 00:14:44,609 ข้อมูลตามเวลาจริง จากตลาดหุ้น 257 00:14:44,609 --> 00:14:47,116 และเขากำลังตัดสินใจซื้อและขาย 258 00:14:47,116 --> 00:14:48,870 (เสียงหัวเราะ) 259 00:14:49,490 --> 00:14:52,792 และการตอบสนองบอกเขาว่าเขาได้ทำถูกหรือไม่ 260 00:14:52,792 --> 00:14:55,661 และสิ่งที่เราดูก็คือ เราจะสามารถขยาย อูมเวลท์ ของมนุษย์ 261 00:14:55,661 --> 00:14:58,656 เพื่อที่ว่าหลังจากสองสามสัปดาห์ เขาจะมีประสบการณ์ตรง 262 00:14:58,656 --> 00:15:04,763 ถึงการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลก ได้หรือไม่ 263 00:15:04,763 --> 00:15:08,129 เราจะรายงานต่อภายหลังนะครับ ว่านี่ได้ผลหรือไม่ 264 00:15:08,129 --> 00:15:09,950 (เสียงหัวเราะ) 265 00:15:10,730 --> 00:15:12,820 นี่คืออีกอย่างที่เราทำ 266 00:15:12,820 --> 00:15:17,417 ระหว่างการบรรยายเช้านี้ พวกเราดึงเอาข้อมูลจากทวิตเตอร์ 267 00:15:17,417 --> 00:15:19,855 ที่มี TED2015 แฮชแท๊ค 268 00:15:19,855 --> 00:15:22,548 และเราก็ได้ทำการวิเคราะห์อารมณ์ โดยอัตโนมัติ 269 00:15:22,548 --> 00:15:27,123 ซึ่งหมายถึงว่า คนใช้คำพูดเชิงบวก เชิงลบ หรือแบบกลาง ๆ 270 00:15:27,123 --> 00:15:29,567 และในขณะที่มันเกิดขึ้น 271 00:15:29,567 --> 00:15:32,562 ผมรู้สึกมันได้ 272 00:15:32,562 --> 00:15:36,835 และผมก็เชื่อมต่อ เพื่อจับกลุ่มอารมณ์ 273 00:15:36,835 --> 00:15:40,991 ของคนเป็นพัน ๆ ในเวลาจริง 274 00:15:40,991 --> 00:15:44,729 และนี่เป็นประสบการณ์แบบใหม่สำหรับคน เพราะว่าตอนนี้ผมรับรู้ได้ 275 00:15:44,729 --> 00:15:48,026 ว่าทุกคนเป็นอย่างไร และคุณชอบมันแค่ไหน 276 00:15:48,026 --> 00:15:53,159 (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) 277 00:15:54,899 --> 00:15:59,255 มันเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ กว่าที่มนุษย์จะมีได้ตามปกติ 278 00:15:59,845 --> 00:16:02,538 นอกจากนั้น เรายังขยาย อูมเวลท์ ของคนขับเครื่องบิน 279 00:16:02,538 --> 00:16:06,624 ในกรณีนี้ เสื้อกั๊กจะส่งกระแส ค่าวัดต่าง ๆ เก้าค่า 280 00:16:06,624 --> 00:16:08,250 จากควอดคอปเตอร์นี้ 281 00:16:08,250 --> 00:16:11,617 รวมทั้งการเอียง หัน หมุน ปรับองศา และเบนส่วนหัว 282 00:16:11,617 --> 00:16:15,703 และนั่นเพิ่มความสามารถในการบิน ใหักับคนขับ 283 00:16:15,703 --> 00:16:20,998 มันก็เหมือนกับเขามีผิวหนังที่ใหญ่ขึ้น ที่ข้างบนนั้น 284 00:16:20,998 --> 00:16:22,553 และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น 285 00:16:22,553 --> 00:16:28,357 สิ่งที่เราได้จินตนาการก็คือ การนำห้องคนขับที่เต็มไปด้วยมาตรวัด 286 00:16:28,357 --> 00:16:32,908 และแทนที่จะพยายามอ่านทุกอย่าง คุณก็เพียงแค่รู้สึกถึงมัน 287 00:16:32,908 --> 00:16:35,393 เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูล 288 00:16:35,393 --> 00:16:39,201 และมันก็มีความแตกต่าง ระหว่างการเข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก 289 00:16:39,201 --> 00:16:42,289 และการรู้สึกได้ถึงมัน 290 00:16:42,289 --> 00:16:46,114 ฉะนั้น ผมคิดว่าความเป็นไปได้ ในการขยายสำหรับมนุษย์ 291 00:16:46,114 --> 00:16:48,436 ไม่ได้มีขอบเขตอยู่ที่เพียงเส้นขอบฟ้า 292 00:16:48,436 --> 00:16:53,358 ลองคิดถึงนักบินอวกาศที่สามารถรู้สึกได้ 293 00:16:53,358 --> 00:16:56,679 ถึงสภาพโดยรวมของสถานีอวกาศนานาชาติ 294 00:16:56,679 --> 00:17:01,555 หรือ ในเรื่องนั้น มีความรู้สึกถึง ภาวะที่มองไม่เห็นเกี่ยวกับสุขภาพคุณ 295 00:17:01,555 --> 00:17:05,494 เช่น ระดับน้ำตาลในเลือด และภาวะของจุลนิเวศ 296 00:17:05,494 --> 00:17:11,121 หรือมีการมองเห็นแบบ 360 องศา หรือเห็นอินฟราเรด หรืออัลตราไวโอเล็ต 297 00:17:11,121 --> 00:17:14,616 ฉะนั้น สิ่งสำคัญคือ ในอนาคตที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ 298 00:17:14,616 --> 00:17:19,515 เราจะสามารถเลือกอุปกรณ์รอบข้างของเรา ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ 299 00:17:19,515 --> 00:17:23,369 เราไม่ต้องรอของขวัญการรับสัมผัส จากพระแม่แห่งธรรมชาติ 300 00:17:23,369 --> 00:17:25,227 ในช่วงเวลาที่นางเป็นคนกำหนด 301 00:17:25,227 --> 00:17:29,499 เช่นเดียวกับมารดาที่แสนดี เธอได้มอบอุปกรณ์ที่เราต้องการ 302 00:17:29,499 --> 00:17:33,632 เพื่อที่จะก้าวออกไป และกำหนดทิศทางของเราเอง 303 00:17:33,632 --> 00:17:35,373 ฉะนั้น คำถามก็คือ 304 00:17:35,373 --> 00:17:40,598 คุณต้องการที่จะก้าวออกไป แล้วประสบสัมผัสกับจักรวาลของคุณอย่างไร 305 00:17:40,598 --> 00:17:42,641 ขอบคุณครับ 306 00:17:42,641 --> 00:17:50,977 (เสียงปรบมือ) 307 00:17:59,365 --> 00:18:01,553 คริส แอนเดอร์สัน: คุณรู้สึกได้เลยใช่ไหมครับ เดวิด: ครับ 308 00:18:01,553 --> 00:18:04,943 อันที่จริง นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมรู้สึกถึงการปรบมือผ่านเสื้อกั๊กนี้ 309 00:18:04,943 --> 00:18:07,102 มันก็ดีครับ เหมือนนวดเลย (เสียงหัวเราะ) 310 00:18:07,102 --> 00:18:10,747 คริส: ทวิตเตอร์กำลังคลั่งกันเลยครับ 311 00:18:10,747 --> 00:18:13,040 แล้วการทดลองกับตลาดหุ้น 312 00:18:13,040 --> 00:18:17,568 นี่อาจเป็นการทดลองแรก ที่จะเป็นหลักประกันเงินทุนให้กับมันไปตลอด 313 00:18:17,568 --> 00:18:19,563 ใช่ไหมครับ ถ้ามันสำเร็จ 314 00:18:19,563 --> 00:18:22,715 เดวิด: ครับ ใช่เลย ผมจะได้ไม่ต้องเขียนขอทุนไปที่ NIH อีกแล้ว 315 00:18:22,715 --> 00:18:25,532 คริส: เอาล่ะ ผมขอถามอะไรหน่อยนะ 316 00:18:25,532 --> 00:18:28,702 คือผมว่า มันเจ๋งมากเลย แต่ว่าหลักฐานส่วนใหญ่ที่มีจนถึงตอนนี้ 317 00:18:28,702 --> 00:18:31,049 บอกว่าการทดแทนการรับสัมผัสนั้นทำงานได้ 318 00:18:31,049 --> 00:18:33,156 แต่ไม่จำเป็นว่าการรับสัมผัสเพิ่มนั้น จะทำงานได้ใช่ไหมครับ 319 00:18:33,156 --> 00:18:36,793 ผมหมายถึงว่า มันเป็นไปได้ไหมว่า คนตาบอดจะสามารถเห็นผ่านลิ้นเขาได้ 320 00:18:36,793 --> 00:18:41,971 เพราะว่าคอร์เท็กซ์การมองยังมีอยู่ และพร้อมที่จะทำงาน 321 00:18:41,971 --> 00:18:43,790 และนั่นก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งด้วย 322 00:18:43,790 --> 00:18:46,434 เดวิด: เป็นคำถามที่ดีครับ อันที่จริงเราไม่รู้เลยครับ 323 00:18:46,434 --> 00:18:48,748 ว่าข้อจำกัดทางทฤษฎีของข้อมูลที่สมองรับได้ คืออะไร 324 00:18:51,062 --> 00:18:53,378 แต่เรื่องพื้นฐานเลยก็คือ มันปรับตัวได้อย่างน่าทึ่ง 325 00:18:53,402 --> 00:18:57,207 ดังนั้น เมื่อกลายเป็นคนตาบอด สิ่งที่เราเคยเรียกว่าคอร์เท็กซ์การมอง 326 00:18:57,207 --> 00:19:02,265 ก็จะโดนสิ่งอื่นๆ เข้าแทนที่ เช่นการสัมผัส การได้ยิน โดยคำศัพท์ 327 00:19:02,265 --> 00:19:06,327 ฉะนั้นมันบอกเราว่า คอร์เท็กส์ก็เป็นเหมือนหลักสากล 328 00:19:06,327 --> 00:19:08,975 คือมันแค่ทำการคำนวณกับข้อมูลต่าง ๆ 329 00:19:08,975 --> 00:19:12,076 และเมื่อเรามองไปยังเช่น อักษรเบล 330 00:19:12,076 --> 00:19:15,165 คนรับข้อมูลผ่านปุ่มที่นิ้วสัมผัส 331 00:19:15,165 --> 00:19:18,820 ฉะนั้นผมไม่คิดว่าเรามีเหตุผลใด ที่จะคิดว่ามันมีข้อจำกัดทางทฤษฎี 332 00:19:18,820 --> 00:19:20,334 ที่เรารู้ขอบเขต 333 00:19:21,244 --> 00:19:24,508 คริส: ถ้าสิ่งนี้ออกมาเมื่อไร คุณคงโดนรุมจีบแน่ 334 00:19:24,508 --> 00:19:27,759 มันมีศักยภาพที่จะได้อะไรได้มากมายเหลือเกิน 335 00:19:27,759 --> 00:19:31,690 คุณพร้อมหรือยังครับ อะไรที่คุณตื่นเต้นที่สุด สำหรับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น 336 00:19:31,690 --> 00:19:34,267 เดวิด: ผมคิดว่า มันมีการนำไปใช้ประโยชน์มากมาย 337 00:19:34,267 --> 00:19:37,715 ในส่วนที่มากกว่าการแทนที่สัมผัส สิ่งที่ผมได้กล่าวไว้ 338 00:19:37,715 --> 00:19:42,085 เกี่ยวกับนักบินอวกาศในสถานีอวกาศ พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ 339 00:19:42,085 --> 00:19:45,304 ติดตามสิ่งต่าง ๆ และพวกเขาอาจจะได้เข้าใจ ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ 340 00:19:45,304 --> 00:19:48,764 เพราะสิ่งที่มันจัดการได้ดีคือ ข้อมูลหลายมิติ 341 00:19:48,764 --> 00:19:53,547 หัวใจสำคัญคือ ระบบการมองเห็น มีประสิทธิภาพในการตรวจจับขอบและส่วนนูน 342 00:19:53,547 --> 00:19:55,995 แต่พวกมันแย่มากกับการสิ่งที่โลกของเราเป็น 343 00:19:55,995 --> 00:19:58,182 ซึ่งก็คือจอแบน ๆ ที่เต็มไปด้วยข้อมูล 344 00:19:58,182 --> 00:20:00,585 พวกเราจึงต้องตะกายหามัน ด้วยระบบที่เราต้องเพ่งความสนใจ 345 00:20:00,585 --> 00:20:03,255 ดังนั้น นี่เป็นเพียงวิธีที่จะรู้สึก ถึงภาวะของอะไรบางอย่าง 346 00:20:03,255 --> 00:20:06,849 เหมือนกับวิธีที่คุณรู้ถึงภาวะของร่างกาย อย่างที่คุณยืนอยู่ตอนนี้ 347 00:20:06,849 --> 00:20:10,028 ฉะนั้นผมคิดถึงเครื่องยนต์หนัก ความปลอดภัย การรู้สึกได้ถึงภาวะโรงงาน 348 00:20:10,028 --> 00:20:13,092 รู้สึกได้ถึงเครื่องมือของคุณ ที่เมื่อติดตั้งแล้ว จะทำงานได้ทันที 349 00:20:13,092 --> 00:20:16,797 คริส: เดวิด อีเกอร์แมน นั่นมันเป็นการบรรยาย ที่เหนือความคาดหมายมาก ขอบคุณมากครับ 350 00:20:16,797 --> 00:20:21,576 เดวิด: ของคุณครับคริส (เสียงปรบมือ)