สวัสดีตอนเย็นทุกคน
ฉันอยากจะแบ่งปันเรื่องเล็กน้อยกับคุณ
กาลครั้งหนึ่ง
มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อซินเดอเรลล่า
ผู้อาศัยอยู่กับครอบครัวที่โหดร้ายทารุณ
จากที่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกบ้าน
และหนูเป็นเพื่อนเพียงชนิดเดียวของเธอ
ฉันคิดว่าฉันมั่นใจที่จะพูดว่า
เธอค่อนข้าง เก็บกดทางเพศ
แต่แล้วคืนหนึ่ง
เธอแอบย่องออกไปงานเลี้ยง
แล้วเธอก็ได้พบกับ
ผู้ชายที่ฮอตที่สุดที่เคยมีมา
ในช่วงของ 2-3 ชั่วโมงนั้น
พวกเขาก็รักกันอย่างบ้าคลั่ง
ภายในเช้าวันถัดมา ระดับเทสโทสเตอโรน
ของเจ้าชายชาร์มมิ่งก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
ดังนั้น เขาไล่หาเธอไปทั่วเมือง
เพื่อที่พวกเขาจะได้แต่งงานกัน
และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป
นี่คือนิทานที่ฉัน และคุณอีกหลายๆ คน
เติบโตมาด้วยกัน
มันเป็นคู่มือของฉันว่า
ความรักคืออะไรและควรเป็นอย่างไร
ดิสนีย์สอนเราว่าความรักคือ
คลื่นของความหลงใหลภายในตัวคุณ
คือผีเสื้อที่กระพือปีกอยู่ในท้องคุณ
แต่สิ่งที่ดิสนีย์ไม่ได้สอนเรา
คือหลังจากนั้นไม่นานทุกสิ่ง ก็หายไป
และแทนที่เธอจะได้รับ
"ความสุขตลอดไป"
อีก 10 ปีข้างหน้า
ซินเดอเรลลากลับต้องติดอยู่กับสิ่งนี้
และนี่
(คำสั่งหย่า)
ฉันเป็นแค่เด็กหญิงมัธยมปลายอายุ 17 ปี
ฉันไม่เคยแต่งงาน
มีครอบครัวของตัวเอง
หรือมีประสบการณ์มากมายในการออกเดท
แต่ใน 17 ปีของฉัน ฉันเคยเห็น
ฮัฟฟิงตัน โพสต์ (Huffington Post) รายงานว่า
10.6 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใหญ่
ประชากรสหรัฐถูก หรือได้รับ การหย่าร้าง
ฉันเคยเห็น คิม คาร์เดเชียน
แต่งงานกับ คริส ฮัมฟรีส์
และเลิกกันในอีก 72 วันต่อมา
ฉันเคยเห็นบริทนีย์ สเปียร์ส
แต่งงานกับหวานใจสมัยมัธยมของเธอ
เป็นเวลา 55 ชั่วโมง
ฉันเคยเห็นครอบครัวเพื่อนสนิทของฉัน
แตกสลาย จากการหย่าร้าง
ฉันเคยเห็นการเล่นชู้
เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาฉัน
และฉันเคยเห็นการมองที่ห่างเหิน
ระหว่างพ่อกับแม่
ที่พยายามจะทำให้ดูเหมือนว่า
ทุกอย่างนั้นโอเค
เมื่อในความเป็นจริง
พวกเขาไม่แม้แต่จะนอน
บนเตียงเดียวกันอีกต่อไป
ฉันอาจจะอายุ 17
แต่ฉันรู้ว่าความรักมันไม่เหมือนในเทพนิยาย
ความจริงแล้ว ในสหรัฐ
เด็กมากกว่า 1 ล้านคนในแต่ละปี
ประสบกับการแตกแยกของครอบครัว
จากนักสังคมวิทยา
แอนดริว เจ. เชอร์ลิน
สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับ
ครอบครัวอเมริกันร่วมสมัย
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ
คือส่วนผสมของการแต่งงาน
และการหย่าร้างเป็นประจำ
จากนิตยสารไทม์
มีคู่สมรสในชีวิตของชาวอเมริกัน
มากกว่าในชีวิตของผู้คน
ของประเทศตะวันตกอื่น ๆ
แล้วทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น
ถ้าความรักยังคงเป็น 'ความตายพรากเราจากกัน'
แล้วทำไมมันถึงหายไป
อาจเป็นเพราะ วิธีการใหม่ที่สังคม
ได้สอนเราให้นิยามความรัก
(วิดีโอ) "คุณไม่สามารถ
หยุดคิดเกี่ยวกับคนผู้นั้นได้"
"เมื่อใดก็ตามที่คุณเห็นพวกเขา
คุณแค่ มีความสุข"
"คุณจะไม่เคยรู้สึกว่าเบื่อ
เมื่ออยู่ใกล้พวกเขา"
"ตื่นเต้น ฉันคิดนะ และมีความสุข
มันควรจะทำให้คุณรู้สึกดี"
"ถ้ามันทำให้คุณมีความสุข"
"ร่าเริงมีชีวิตชีวา และมีความสุข"
"คุณมักจะยิ้มและอะไรทำนองนั้น"
"มันรู้สึกเหมือนลูกอมระเบิดในปากฉัน
แล้วมีอะไรเปรี้ยวๆ ออกมา"
ในทุกๆ โรแมนติก-คอเมดี้
ซุบซิบคนดัง รายการทีวีเรียลลิตี้
สอนเราว่าความรักเกิดจากความหลงใหล
หรืออย่างที่เควินพูด
"ลูกอมในปากของคุณ"
ไม่เคยมีใครถ่ายทอด
ความสัมพันธ์ที่มั่นคง น่าเบื่อ
สื่อในทุกวันนี้ทำให้
ความรู้สึกของอาการคลื่นไส้
ความรู้สึกที่น่ารำคาญ
ความหลงใหลอย่างต่อเนื่อง
การไม่สามารถที่จะคิดถึงอย่างอื่นได้
นอกจากคนๆ นั้น ดูน่ามอง
ทำให้การมีเซ็กส์ฟังเหมือนโคเคน
และถ้าพวกเราเชื่อในคำสอนของเคชา
และเชื่อว่า "ความรักของคุณคือยาของฉัน"
แล้วมันจะยั่งยืนและยาวนานได้อย่างไร?
เพราะเหมือนกับยา
ความหลงใหลมีจุดสูงและจุดต่ำของมัน
มันคือแค่ช่วงเวลาหนึ่ง
แล้วไปสู่สิ่งใหม่
ปัญหาในสังคมทุกวันนี้
คือการที่เราสับสนระหว่าง
ความรักกับความหลงใหล
เราถูกสอนให้เชื่อว่า
ความสัมพันธ์ที่ดี คือความสัมพันธ์
ที่เดือดพล่านด้วยความหลงใหล
คู่ของเราควรจะทำให้เรามีความสุข 24/7
และหากสิ่งต่างๆ ไม่สนุกและง่ายอยู่ตลอดเวลา
นั่นก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ดี
ความจริงก็คือ
ไม่มีใครสามารถทำให้เรามีความสุขตลอดเวลาได้
ในฐานะมนุษย์ เราไม่ได้สมบูรณ์แบบ
แล้วทำไมเราถึงคาดหวังให้คู่ของเราเป็น
อีกคำถามหนึ่ง:
อะไรที่เราคิดว่าคือความรัก
ภาควิชาจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยสโตนี่บรูค
ได้ทำการวิจัยที่บอกเราว่า
ความรักนั้นต้องผ่านหลายขั้นตอน
ผลศึกษาการสแกนสมอง
บอกเราว่าโดปามีน
สารเคมีที่เป็นตัวแทนของความรักแบบหลงใหล
อยู่ที่ระดับสูงที่สุดของมัน
ในตอนเริ่มต้นและตอนจบของความสัมพันธ์
หรือพูดง่ายๆ
'ช่วงเวลาฮันนีมูน' และเวลาที่เด็กๆ
ออกจากบ้านไปในที่สุด
แต่เกิดอะไรขึ้นในระหว่างนั้น
พวกคุณแค่หยุดรักกัน
เมื่อความสัมพันธ์ของคุณได้กลายเป็น
กิจวัตรประจำวันที่คาดเดาได้
ตามมหาวิทยาลัยสโตนี่บรูค
คำตอบคือไม่
ความรักกลับเกิดขึ้นในรูปแบบใหม่
ระดับโดปามีนเริ่มลดลงเพราะ
ในทางกายภาพแล้วมันเป็นไปไม่ได้
สำหรับมนุษย์คนไหนก็ตามที่จะรักษา
ระดับของโดปามีนที่สูงขนาดนั้นได้ตลอดเวลา
มันกลายเป็นความรักแบบมิตรภาพ
นั่นคือความรักแบบที่เรา
เชื่อมโยงกับความสนิทสนมคุ้นเคย
ความใกล้ชิดและความสบายใจ
ที่เป็นผลมาจากความสัมพันธ์
ที่เป็นกิจวัตรประจำวันและมั่นคง
อย่างไรก็ตาม เมื่อความรักแบบหลงใหลจางหายไป
เราจะดูแปลกในสังคมถ้าพูดว่า
"เฮ้! บางอย่างผิดปกติที่นี่
มันไม่เหมือนที่เป็นใน The Notebook
ไรอัน กลอสลิ่งจะวิ่งตามฉัน
และจูบฉันกลางสายฝนเมื่อไหร่"
เราถือว่าความมั่นคงและการขาดความหลงใหล
เป็นสัญญาณว่าความสัมพันธ์ของเรา
นั้นไม่ดีอีกต่อไป
ว่าเราไม่ได้มีความรักอีกต่อไป
และเรายอมแพ้
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าความหลงใหล
ไม่ใช่ส่วนสำคัญของความสัมพันธ์
ความหลงใหลมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง
แต่มันก็เป็นตำนานทั่วไป
ที่จะเชื่อว่าเมื่อความรักหายไป
มันไม่มีทางที่จะเอากลับมาได้
นั่นคือสิ่งที่มีในความรักแบบหลงใหล
มันช่างไม่แน่นอน
มันมาแล้วก็ไป เป็นแสงแฟลชและไฟปะทุ
แต่ความรักแบบมิตรภาพ
คือความรักที่จะคงอยู่
มันคือความรักที่สามารถรับมือกับการต่อสู้
กิจวัตรประจำวันที่น่าเบื่อหน่าย
ความน่ารำคาญเล็กๆ น้อยๆ
แต่ปัญหาคือ
เราทิ้งมันก่อนที่เราจะให้โอกาสมัน
ฉันไม่รู้คำตอบทั้งหมดของความรัก
ฉันหมายความว่า
ฉันจะคิดมันออกระหว่างที่ฉันโต
แต่ฉันคิดว่าความรักเป็นมากกว่า
ความรู้สึกตื่นเต้นปั่นป่วน
เพราะว่า ไม่เหมือนกับความรู้สึกนั้น
ความรักที่แท้จริงไม่เคยหายไปไหน
ฉันหมายถึง แน่นอนว่ามันเปลี่ยนไป
มันยาก และในบางครั้งมันห่วยแตก
แต่คุณติดอยู่กับมัน
เพราะไม่ว่าพวกเขา
จะทำให้คุณผิดหวังมากแค่ไหน
ท้ายที่สุดแล้ว
พวกเขาคือคนเพียงคนเดียวที่เข้าใจคุณ
ผู้ฟังคุณเมื่อพวกเขาไม่รู้
ว่าจะให้คำแนะนำอะไร
ผู้เข้าใจอารมณ์ขันที่น่าอายของคุณ
เมื่อไม่มีใครเข้าใจ
ฉันอาจจะอายุแค่ 17
แต่ฉันรู้ว่าสิ่งนี้
และนี่
และนี่
นี่คือความรักที่แท้จริง
ความรักแบบมิตรภาพ
คือความรักแบบนั้น
ความหลงใหล
เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมัน
ความหลงใหลไม่ได้การันตีความสุขตลอดไป
ความสุขตลอดไปจะเกิดขึ้น
ก็ต่อเมื่อคุณลงแรงให้มัน
และให้โอกาสกับความรักแบบมิตรภาพ
ถ้าเพียงดิสนีย์จะสอนเราในเรื่องนี้
ของคุณ
(เสียงปรบมือ)
(เสียงเชียร์)