WEBVTT 00:00:06.960 --> 00:00:08.411 ในศตวรรษที่ 18 00:00:08.411 --> 00:00:13.208 นักพฤษศาสตร์ชาวสวีเดน คาโลลาส ลินเนียส ได้ออกแบบนาฬิกาดอกไม้ 00:00:13.208 --> 00:00:16.466 ชิ้นงานเกี่ยวกับเวลาที่ทำจากไม้ดอก 00:00:16.466 --> 00:00:20.657 ที่บานและหุบตามเวลาที่กำหนดไว้ในแต่ละวัน 00:00:20.657 --> 00:00:25.029 แผนของลินเนียสไม่ได้สมบูรณ์นัก แต่ความคิดพื้นฐานนั้นถูกต้อง 00:00:25.029 --> 00:00:29.363 ดอกไม้สามารถสัมผัสได้ถึงเวลา ตามการออกแบบ 00:00:29.363 --> 00:00:33.762 ดอกผักบุ้งคลี่กลีบของพวกมัน เหมือนกับลานนาฬิกาในตอนเช้าตรู่ 00:00:33.762 --> 00:00:38.032 ดอกบัวสีขาวหุบดอก เป็นสัญญาณว่า นี่มันบ่ายแก่ๆ แล้ว 00:00:38.032 --> 00:00:43.339 และดอกชมจันทร์ก็เป็นอย่างที่ชื่อมันบอก คือบานเฉพาะใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน 00:00:43.339 --> 00:00:46.776 อะไรที่ทำให้ต้นไม้ มีสัมผัสเรื่องเวลามาตั้งแต่แรก 00:00:46.776 --> 00:00:48.673 ความจริงแล้ว ไม่ใช่เฉพาะต้นไม้หรอก 00:00:48.673 --> 00:00:51.889 สิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลก เหมือนจะได้รับการถ่ายทอด 00:00:51.889 --> 00:00:54.993 ในการรับรู้ว่าพวกมัน อยู่ ณ เวลาไหนของวันแล้ว 00:00:54.993 --> 00:00:57.215 นั่นเป็นเพราะว่า เซอร์คาเดียน ริทึม (circadian rhythms) 00:00:57.215 --> 00:01:02.288 ตัวรักษาเวลาภายใน ที่เคาะเวลาในสิ่งมีชีวิตต่างๆ 00:01:02.288 --> 00:01:06.750 นาฬิกาธรรมชาติเหล่านี้ อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตรับรู้เวลาได้ 00:01:06.750 --> 00:01:11.024 และรับรู้สัญญาณจากธรรมชาติ ที่ช่วยให้พวกมันปรับตัวได้ 00:01:11.024 --> 00:01:14.230 นั่นมันสำคัญ เพราะว่า การหมุนและการเปลี่ยนแปลงของโลก 00:01:14.230 --> 00:01:17.257 ทำให้เราอยู่ในสถานะ ที่เคลื่อนที่อย่างคงที่ 00:01:17.257 --> 00:01:21.011 แม้ว่าจะเกิดขึ้นซ้ำๆ และคาดเดาได้ 00:01:21.011 --> 00:01:23.708 เซอร์คาร์เดียน ริทึม ทำงานร่วมกับสัญญาณต่างๆ 00:01:23.708 --> 00:01:27.505 ในการควบคุมว่าเมื่อไร สิ่งมีชีวิตควรที่จะหลับหรือตื่น 00:01:27.505 --> 00:01:30.031 และทำกิจกรรมต่างๆ 00:01:30.031 --> 00:01:34.561 สำหรับพืช แสงและอุณหภูมิ เป็นสัญญาณที่กระตุ้นปฏิกิริยา 00:01:34.561 --> 00:01:37.259 ที่มีบทบาทในระดับโมเลกุล 00:01:37.259 --> 00:01:42.051 เซลล์ในก้าน ใบ และดอก มีไฟโตโครม 00:01:42.051 --> 00:01:45.039 ซึ่งคือโมเลกุลเล็กๆ ที่ตรวจจับแสง 00:01:45.039 --> 00:01:49.853 เมื่อมีแสงเกิดขึ้น ไฟโตโครมจะกระตุ้นสายปฏิกิริยาเคมี 00:01:49.853 --> 00:01:53.490 ส่งสัญญาณลงไปยังนิวเคลียสของเซลล์ 00:01:53.490 --> 00:01:57.496 ทรานซ์คริปชัน เฟกเตอร์ จะกระตุ้นการสร้างโปรตีนที่ต้องการ 00:01:57.496 --> 00:02:01.256 ในกระบวนการที่จำเป็นต้องใช้แสง 00:02:01.256 --> 00:02:03.246 เช่น การสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) 00:02:03.246 --> 00:02:07.006 ไฟโตโครมเหล่านี้ไม่เพียงแต่สัมผัส ปริมาณแสงที่พืชได้รับ 00:02:07.006 --> 00:02:09.382 แต่มันยังตรวจจับได้ถึงความแตกต่างเพียงเล็กน้อย 00:02:09.382 --> 00:02:13.779 ในการกระจายของความยาวคลื่น ที่พืชรับเข้ามา 00:02:13.779 --> 00:02:15.638 การรับสัญญาณที่ค่อนข้างละเอียดนี้ 00:02:15.638 --> 00:02:18.570 ไฟโตโครมจึงทำให้ให้พืชเข้าใจทั้งเวลา 00:02:18.570 --> 00:02:21.813 และความแตกต่างของช่วงกลางวันและช่วงเย็น 00:02:21.813 --> 00:02:26.051 และสถานที่ที่ไม่ว่า จะอยู่ในบริเวณที่มีแสงส่องถึงหรืออยู่ในร่ม 00:02:26.051 --> 00:02:30.933 พืชก็สามารถที่จะจับคู่ปฏิกิริยาเคมี ที่เข้ากับสิ่งแวดล้อมของมันได้ 00:02:30.933 --> 00:02:33.086 สิ่งนี้สร้างขึ้นเพื่อสิ่งที่ตื่นเช้า 00:02:33.086 --> 00:02:37.203 ก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้นสักสองสามชั่วโมง พืชบางชนิดก็เริ่มตื่นตัว 00:02:37.203 --> 00:02:42.142 สร้างรูปแบบ MRNA ให้แก่กลไก การสังเคราะห์ด้วยแสงของมัน 00:02:42.142 --> 00:02:44.684 เมื่อไฟโตโครมตรวจจับแสงแดดที่เพิ่มขึ้นได้แล้ว 00:02:44.684 --> 00:02:47.248 พืชก็เตรียมความพร้อมของโมเลกุลจับแสง 00:02:47.248 --> 00:02:51.708 เพื่อที่มันจะสามารถสังเคราะห์ด้วยแสง และเติบโตไปตลอดช่วงเช้า 00:02:51.708 --> 00:02:53.579 หลังจากเก็บเกี่ยวแสงในช่วงเช้าแล้ว 00:02:53.579 --> 00:02:57.370 พืชจะใช้เวลาที่เหลือสร้างห่วงโซ่พลังงาน 00:02:57.370 --> 00:03:01.154 ในรูปของกลูโคสโพลิเมอร์ เช่น แป้ง 00:03:01.154 --> 00:03:04.045 เมื่อดวงอาทิตย์ตก งานในช่วงวันก็จบลง 00:03:04.045 --> 00:03:07.580 แม้ว่าพืชจะไม่ตื่นตัวในตอนกลางคืน 00:03:07.580 --> 00:03:09.121 เมื่อไม่มีแสงแดด 00:03:09.121 --> 00:03:11.176 พืชจะเผาผลาญอาหารและเติบโต 00:03:11.176 --> 00:03:15.413 ย่อยแป้งจากพลังงาน ที่เก็บเกี่ยวได้จากวันก่อนหน้านี้ 00:03:15.413 --> 00:03:18.240 พืชต่างๆ มีจังหวะฤดูกาลเช่นกัน 00:03:18.240 --> 00:03:20.336 เมื่อฤดูใบไม้ผลิละลายหิมะฤดูหนาว 00:03:20.336 --> 00:03:24.414 ไฟโตโครมก็รับรู้ได้ถึงช่วงวันที่ยาวขึ้น และการเพิ่มขึ้นของแสง 00:03:24.414 --> 00:03:28.684 และกลไกที่ตอนนี้ยังไม่รู้จักนั้น ได้ ตรวจจับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงได้ 00:03:28.684 --> 00:03:31.315 ระบบเหล่านี้ส่งสัญญาณไปทุกระบบของพืช 00:03:31.315 --> 00:03:33.668 และทำให้ดอกไม้บาน 00:03:33.668 --> 00:03:37.576 เพื่อเป็นการเตรียมสำหรับการถ่ายละอองเกสร ที่เกิดขึ้นก่อนที่อากาศจะอบอุ่นมากขึ้น 00:03:37.576 --> 00:03:41.977 เซอร์คาเดียน ริทึม ทำหน้าที่เป็นเหมือน ตัวเชื่อมระหว่างพืชและสภาพแวดล้อม 00:03:41.977 --> 00:03:45.088 จังหวะเหล่านี้เกิดจากการทำงานของพืชเอง 00:03:45.088 --> 00:03:47.564 ที่แต่ละอันจะมีจังหวะแตกต่างกันไป 00:03:47.564 --> 00:03:50.809 ถึงกระนั้น นาฬิกาเหล่านี้ สามารถปรับการจังหวะของมัน 00:03:50.809 --> 00:03:53.919 ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม และสัญญาณต่างๆ ได้ 00:03:53.919 --> 00:03:55.853 ในดาวเคราะห์ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างคงที่ 00:03:55.853 --> 00:04:00.764 เซอร์คาเดียน ริทึม จะทำให้พืช ทำงานตามตารางเวลาของมัน 00:04:00.764 --> 00:04:03.144 และรักษาเวลาของตัวเองได้