WEBVTT 00:00:00.750 --> 00:00:02.686 เพื่อจะเห็นโลกผ่านเม็ดทราย 00:00:02.686 --> 00:00:05.006 เห็นสรวงสวรรค์ผ่านมวลดอกไม้ 00:00:05.006 --> 00:00:07.470 เก็บความนิรันดร์ไว้ในอุ้งมือ 00:00:07.470 --> 00:00:10.557 และเวลาชั่วกัลป์ไว้ในหนึ่งช่วงเข็มนาฬิกา 00:00:10.557 --> 00:00:13.557 วิลเลียม เบลค 00:00:18.857 --> 00:00:21.863 เริ่มแรกนั้นเป็นเพียงถ้อยวาจา 00:00:21.863 --> 00:00:26.057 บิ๊กแบงและเสียงโอมอันเป็นต้นกำเนิด 00:00:26.057 --> 00:00:29.267 ทฤษฎีบิ๊กแบงกล่าวว่าจักรวาลแห่งกายภาพนี้ 00:00:29.267 --> 00:00:30.437 เริ่มจากเกลียวความร้อนและความหนาแน่น 00:00:30.437 --> 00:00:31.733 จำนวนมหาศาล 00:00:31.733 --> 00:00:34.843 ของจุดเล็กๆ ที่เรียกว่าภาวะเอกฐาน 00:00:34.843 --> 00:00:39.133 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าหัวเข็มหมุดพันล้านเท่า 00:00:39.133 --> 00:00:42.159 มันไม่ได้บอกว่าทำไม หรืออย่างไร 00:00:43.239 --> 00:00:46.239 แต่กับเรื่องที่มันลึกลับยากจะเข้าใจ 00:00:46.239 --> 00:00:49.459 เรากลับยิ่งคิดว่าเราเข้าใจมันแจ่มแจ้งแล้ว 00:01:00.429 --> 00:01:03.089 เราเคย มีความเข้าใจเกี่ยวกับแรงดึงดูดว่า 00:01:03.089 --> 00:01:07.329 แรงนั้นอาจจะลดลง หรือเอกภพจะหดตัวไปในที่สุด 00:01:09.439 --> 00:01:12.509 แต่หลักฐานจากกล้องโทรทรรศน์ของฮับเบิ้ล 00:01:12.509 --> 00:01:14.609 แสดงให้เห็นว่าการขยายตัวของเอกภพนั้น 00:01:14.611 --> 00:01:18.301 เป็นไปในอัตราเร่ง 00:01:18.301 --> 00:01:23.331 ขยายตัวออกจากจุดเริ่มต้นนั้นเร็วขึ้นทุกทีๆ 00:01:25.268 --> 00:01:27.418 อย่างไรก็ตาม ในเอกภพมีมวลอนุภาค 00:01:27.418 --> 00:01:31.418 มากกว่าที่นักฟิสิกส์คาดการณ์ไว้ 00:01:31.453 --> 00:01:37.293 ตอนนี้พวกเขาพบว่ามีอนุภาคอะตอมในเอกภพอยู่ 4% 00:01:38.208 --> 00:01:40.608 ซึ่งนับได้ว่าเป็นอนุภาคทั่วๆ ไป 00:01:44.559 --> 00:01:47.539 23% เป็นส่วนของสสารมืด 00:01:48.059 --> 00:01:50.239 ส่วนอีก 73% นั้น เป็นพลังงานมืด 00:01:50.984 --> 00:01:53.074 ที่เคยเข้าใจกันว่าเป็นเพียงพื้นที่ว่าง 00:01:55.654 --> 00:01:57.744 คล้ายๆ กับระบบประสาทของสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็น 00:01:57.744 --> 00:02:01.744 ที่โยงใยทั่วทั้งเอกภพเข้าด้วยกัน เชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่าง 00:02:07.597 --> 00:02:10.887 ในคัมภีร์พระเวทได้กล่าวไว้ถึงนาทพรหม (นาท คือ เสียง) 00:02:11.365 --> 00:02:12.885 เอกภพคือการสั่นสะเทือน 00:02:13.900 --> 00:02:16.150 สนามพลังแห่งการสั่นสะเทือนนี้คือบ่อเกิดของ 00:02:16.150 --> 00:02:18.420 ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณทั้งหมดทั้งมวล 00:02:18.420 --> 00:02:20.400 และการสืบค้นทางวิทยาศาสตร์ 00:02:22.824 --> 00:02:26.054 สนามพลังเดียวกันนี้เองที่เหล่านักบุญ, พระพุทธเจ้า 00:02:26.054 --> 00:02:31.320 โยคี, ผู้วิเศษ, พระ, คนทรง และโหร 00:02:31.320 --> 00:02:34.240 ได้ศึกษาโดยการมองย้อนเข้าไปในตัวเอง 00:02:37.323 --> 00:02:41.323 สนามพลังนี้ถูกเรียกในชื่อต่างๆ Akasha, โอม 00:02:42.603 --> 00:02:46.603 ร่างแหแห่งพระอินทร์, บทเพลงแห่งสกลจักรวาล 00:02:47.507 --> 00:02:51.507 และอีกนับพันชื่อเรียก ต่างกันไปตลอดช่วงประวัติศาสตร์ 00:03:00.681 --> 00:03:03.141 สนามนี้เป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาทุกศาสนา 00:03:07.719 --> 00:03:11.719 และเป็นสะพานเชื่อมโยง 00:03:11.719 --> 00:03:14.719 ระหว่างโลกภายนอกและโลกภายใน 00:03:14.719 --> 00:03:17.719 โลกภายใน โลกภายนอก 00:03:27.453 --> 00:03:30.853 ตอนที่หนึ่ง - Akasha (ที่ว่าง) 00:03:34.037 --> 00:03:36.337 คติมหายาน ในศตวรรษที่สาม 00:03:36.734 --> 00:03:40.734 อธิบายจักรวาลไว้ไม่แตกต่างจากหลักฟิสิกส์สมัยใหม่ 00:03:42.590 --> 00:03:45.080 ร่างแหแห่งพระอินทร์นั้นคือคำเปรียบเปรยที่ใช้อธิบาย 00:03:45.088 --> 00:03:47.628 คำสอนในคัมภีร์พระเวทอันเก่าแก่ 00:03:48.106 --> 00:03:49.826 ซึ่งทำให้เห็นภาพของจักรวาล 00:03:49.868 --> 00:03:51.748 ที่ถักทอเข้าด้วยกันเหมือนผ้าผืนเดียว 00:03:52.592 --> 00:03:54.702 พระอินทร์ ผู้เป็นกษัตริย์แห่งเหล่าเทพ 00:03:54.765 --> 00:03:56.475 ได้ให้กำนิดแก่พระอาทิตย์ 00:03:59.031 --> 00:04:01.301 และเป็นผู้ขับเคลื่อนลมและน้ำ 00:04:03.996 --> 00:04:05.523 ลองนึกภาพใยแมงมุม 00:04:06.393 --> 00:04:08.223 ที่แผ่ขยายออกไปทุกทิศทุกทาง 00:04:09.133 --> 00:04:11.553 โดยทุกๆ เส้นใยเหล่านั้นเกิดจากหยดน้ำค้าง 00:04:12.047 --> 00:04:14.577 และบนน้ำค้างแต่ละหยด มีภาพสะท้อน 00:04:14.873 --> 00:04:18.283 ของน้ำค้างหยดอื่นๆ อยู่ และบนแต่ละภาพสะท้อนนั้น 00:04:18.580 --> 00:04:23.040 ก็มีภาพสะท้อนบนน้ำค้างหยดอื่นๆ อยู่ 00:04:23.238 --> 00:04:25.988 ภาพของทั้งใยแมงมุมนี้ และภาพสะท้อนของมันอีกที 00:04:26.256 --> 00:04:28.206 ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด 00:04:29.337 --> 00:04:32.407 ร่างแหแห่งพระอินทร์นี้เป็นเหมือนภาพสามมิติของเอกภพ 00:04:32.968 --> 00:04:34.898 ซึ่งแม้กระทั่งลำแสงที่เล็กที่สุด 00:04:35.035 --> 00:04:38.105 ก็ยังสามารถบรรจุข้อมูลของเอกภพไว้ได้อย่างสมบูรณ์ 00:04:42.994 --> 00:04:45.554 นักวิทยาศาสตร์อเมริกันเชื้อสายเซอร์เบีย นิโคลา เทสลา 00:04:45.625 --> 00:04:49.625 ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้สรรค์สร้างศตวรรษที่ 20 00:04:50.679 --> 00:04:53.869 เทสลาเป็นผู้ค้นพบไฟฟ้ากระแสสลับ 00:04:54.745 --> 00:04:57.275 และเป็นผู้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ อีกมากมาย 00:04:57.275 --> 00:04:58.525 ที่เราใช้กันทุกวันนี้ 00:04:59.257 --> 00:05:01.877 ด้วยความที่เทสลาสนใจในคัมภีร์พระเวท 00:05:02.310 --> 00:05:05.130 เขาจึงเข้าหาหลักวิทยาศาสตร์ อย่างไม่เหมือนใคร 00:05:05.360 --> 00:05:07.650 เข้าหาด้วยวิถีแห่งตะวันออกและตะวันตก 00:05:10.355 --> 00:05:12.695 เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ทียิ่งใหญ่อื่นๆ 00:05:12.772 --> 00:05:15.402 เทสลามองลึกเข้าไปในความลึกลับแห่งโลกภายนอก 00:05:15.779 --> 00:05:18.025 และยังสืบค้นลึกเข้าไปในตัวเองด้วย 00:05:19.785 --> 00:05:22.115 เช่นเดียวกับเหล่าโยคีในอดีต 00:05:22.115 --> 00:05:24.056 เทสลาใช้คำว่า Akasha เพื่ออธิบาย 00:05:24.056 --> 00:05:27.406 ความว่างเปล่าที่แผ่เข้าไปแทรกซึมอยู่ในทุกสรรพสิ่ง 00:05:31.865 --> 00:05:35.115 เทสลารำ่เรียนมาจากสวามีวิเวกะนันทะ 00:05:35.115 --> 00:05:38.215 โยคีผู้นำหลักคำสอนอันเก่าแก่จากอินเดียไปสู่ตะวันตก 00:05:38.525 --> 00:05:41.925 ในคัมภีร์พระเวท Akasha คือ ที่ว่าง 00:05:42.622 --> 00:05:44.632 ที่ว่างสำหรับให้สิ่งต่างๆ เติมเต็มเข้ามา 00:05:44.814 --> 00:05:47.464 ซึ่งดำรงควบคู่ไปกับพลังของการสั่นสะเทือน 00:05:49.257 --> 00:05:51.707 ทั้งสองสิ่งนี้ไม่อาจแยกออกจากกันได้ 00:05:52.148 --> 00:05:55.398 ที่ว่างคือหยิน พลังนั้นคือหยาง 00:06:05.026 --> 00:06:09.026 แนวคิดยุคใหม่ที่ช่วยให้เราเข้าใจ Akasha 00:06:09.031 --> 00:06:13.031 หรือสสารเริ่มแรกนั้น คือแนวคิดเรื่อง แฟรกทัล 00:06:16.048 --> 00:06:20.048 ในทศวรรษ 80 คอมพิวเตอร์พัฒนาอย่างมาก 00:06:20.048 --> 00:06:24.048 ช่วยให้เราเริ่มเข้าใจแบบแผนแห่งธรรมชาติ 00:06:24.048 --> 00:06:25.618 ผ่านหลักคณิตศาสตร์ 00:06:26.761 --> 00:06:29.181 คำว่าแฟรกทัลนั้น ถูกกำหนดขึ้นในปี 1980 00:06:29.181 --> 00:06:31.231 โดยนักคณิตศาสตร์ เบนัว เมนเดลโบร 00:06:31.231 --> 00:06:33.921 ซึ่งได้ศึกษาสมการคณิตศาสตร์ง่ายๆ 00:06:34.384 --> 00:06:35.787 ซึ่งเมื่อมีการทำซ้ำ 00:06:35.787 --> 00:06:37.957 จะสร้างชุดผลลัพธ์ทางคณิตศาสตร์ 00:06:37.957 --> 00:06:39.977 หรือเรขาคณิตที่แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ 00:06:39.977 --> 00:06:41.597 หากอยู่ในขอบเขตที่จำกัด 00:06:42.681 --> 00:06:45.591 มันถูกจำกัด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีที่สิ้นสุด 00:06:49.679 --> 00:06:51.839 แฟรกทัลคือรูปทรงเรขาคณิตคร่าวๆ 00:06:51.839 --> 00:06:53.339 ที่สามารถแบ่งออกเป็นส่วนๆ 00:06:54.065 --> 00:06:58.065 โดยแต่ละส่วนนั้นจะทำซ้ำรูปทรงเดิมในขนาดที่เล็กลง 00:06:59.476 --> 00:07:02.786 ซึ่งคุณสมบัตินี้เรียกว่า ความคล้ายตนเอง 00:07:05.339 --> 00:07:07.273 แฟรกทัลตามแนวคิดของเมนเดลโบรนี้ 00:07:07.273 --> 00:07:09.333 ถูกเรียกว่า พิมพ์นิ้วมือของพระเจ้า 00:07:22.837 --> 00:07:24.447 สิ่งที่ปรากฏอยู่นี้คืองานศิลปะ 00:07:24.447 --> 00:07:26.107 ที่ถูกสร้างสรรค์โดยธรรมชาติ 00:07:26.790 --> 00:07:30.020 ถ้าวางรูปทรงของเมนเดลโบรนี้ให้อยู่ในมุมที่เหมาะสม 00:07:30.020 --> 00:07:33.560 ก็จะเห็นว่าคล้ายคลึงกับเทพเจ้าฮินดู หรือพระพุทธเจ้า 00:07:33.927 --> 00:07:37.197 และภาพนี้มีชื่อเรียกว่าพุทธพรต (Buddhabrot) 00:07:57.324 --> 00:08:00.848 หากพิจารณารูปแบบศิลปะหรือสถาปัตยกรรมโบราณ 00:08:00.848 --> 00:08:04.030 ก็จะเห็นว่ามนุษยชาติได้เข้าถึงความงาม 00:08:04.030 --> 00:08:08.340 และความศักดิ์สิทธิ์แห่งรูปแบบแฟรกทัลนี้มานานแล้ว 00:08:17.663 --> 00:08:19.623 รูปแบบนี้ซับซ้อนที่ไม่มีที่สิ้นสุด 00:08:19.623 --> 00:08:21.633 แต่กระนั้นในทุกๆ ส่วนก็คือเมล็ดพันธุ์ 00:08:21.633 --> 00:08:23.863 ที่สามารถให้กำเนิดสิ่งทั้งหมดขึ้นใหม่ได้ 00:08:24.268 --> 00:08:27.038 แนวคิดแฟรกทัลได้เปลี่ยนแนวคิดของนักคณิตศาสตร์ 00:08:27.038 --> 00:08:29.548 ที่มีต่อจักรวาล และการขับเคลื่อนไปของจักรวาล 00:08:29.864 --> 00:08:31.874 ในการแผ่ขยายออกในทุกๆ ระดับ 00:08:32.265 --> 00:08:34.605 มีความแตกต่างไปจากต้นกำเนิดเดิม 00:08:35.540 --> 00:08:37.560 การเปลี่ยนแปลง แปรสภาพเกิดขึ้นให้เห็นอยู่ตลอด 00:08:37.572 --> 00:08:42.282 เมื่อพิจารณาข้ามจากแฟรกทัลระดับหนึ่งไปอีกระดับหนึ่ง 00:08:42.282 --> 00:08:46.023 การแปรสภาพนี้คือเกลียวหมุนแห่งจักรวาล 00:08:46.023 --> 00:08:49.994 เป็นความชาญฉลาดที่ฝังลึกอยู่ในช่องว่างแห่งเวลา 00:09:14.117 --> 00:09:17.113 ธรรมชาติของแฟรกทัลนั้นมีสภาวะยุ่งเหยิง 00:09:17.113 --> 00:09:20.013 เต็มไปด้วยสรรพเสียงและแบบแผนมากมาย 00:09:20.013 --> 00:09:22.466 เมื่อจิตของเราเข้าใจแบบแผนใดแบบแผนหนึ่ง 00:09:22.466 --> 00:09:24.219 เราก็จะจดจ่อกับแบบแผนนั้น 00:09:24.219 --> 00:09:26.260 ราวกับว่ามันเป็นสิ่งของสักชิ้น 00:09:27.092 --> 00:09:29.992 เราพยายามค้นหาแบบแผนที่เราเห็นว่าสวยงาม 00:09:29.992 --> 00:09:32.542 แต่ความพยายามที่จะรักษาแบบแผนนั้นไว้ให้ได้นั้น 00:09:32.542 --> 00:09:35.242 เราต้องขจัดแฟรกทัลอื่นๆ ออกไปจนหมดสิ้น 00:09:53.179 --> 00:09:56.259 การทำความเข้าใจแฟรกทัลหนึ่งใดด้วยผัสสะ 00:09:56.259 --> 00:09:58.949 กลับเป็นการจำกัดการเคลื่อนไหวของมัน 00:10:00.994 --> 00:10:03.304 พลังงานทุกสิ่งอย่างในเอกภาพล้วนเป็นกลาง 00:10:03.304 --> 00:10:05.714 ไร้เวลา ไร้ทิศทาง 00:10:10.211 --> 00:10:11.211 ความคิดสร้างสรรค์ 00:10:11.211 --> 00:10:13.261 และความสามารถในการเข้าถึงแบบแผน 00:10:13.261 --> 00:10:17.261 คือ สะพานเชื่อมระหว่างโลกภายในและโลกภายนอก 00:10:17.504 --> 00:10:21.504 โลกไร้กาลเวลาแห่งคลื่น กับโลกที่จับต้องได้แห่งสรรพสิ่ง 00:10:26.386 --> 00:10:29.296 การสังเกตคือการสร้างสรรค์ผ่านข้อจำกัดต่างๆ 00:10:29.296 --> 00:10:30.816 อันเป็นธรรมชาติของความคิด 00:10:31.572 --> 00:10:34.802 เราสร้างมายาภาพแห่งโลกที่จับต้องได้ขึ้นมา 00:10:34.802 --> 00:10:37.142 ด้วยการสร้างชื่อเรียกให้สิ่งต่างๆ 00:10:37.921 --> 00:10:39.921 นักปรัชญานาม เคียร์เคการ์ด กล่าวไว้ว่า 00:10:39.921 --> 00:10:43.046 หากเธอสร้างชื่อเรียกให้ฉัน เท่ากับเธอปฏิเสธตัวฉัน 00:10:43.046 --> 00:10:45.246 การสร้างชื่อเรียกฉัน การติดฉลากให้ฉัน 00:10:45.246 --> 00:10:49.532 เท่ากับเธอได้ปฏิเสธศักยภาพอื่นๆ ที่ฉันอาจมีอยู่ไปแล้ว 00:10:49.952 --> 00:10:52.435 เธอกักขังอนุภาคนี้ให้เป็นเพียงสิ่งหนึ่งๆ 00:10:52.435 --> 00:10:54.695 ด้วยการปักหมุดลงไป สร้างชื่อเรียก 00:10:55.441 --> 00:10:58.251 หากในขณะเดียวกัน คุณก็มีส่วนสร้างมันขึ้นมาด้วย 00:10:58.251 --> 00:11:00.091 และกำหนดการดำรงอยู่ให้มัน 00:11:02.999 --> 00:11:05.549 การสรรค์สร้าง คือ คุณสมบัติสูงสุดของมนุษย์ 00:11:06.311 --> 00:11:10.311 เมื่อสิ่งต่างๆ ถูกสร้างขึ้น เวลาก็ถูกสร้างขึ้นตามมา 00:11:10.311 --> 00:11:13.861 และเวลาก็สร้างมายาคติของโลกที่จับต้องได้ขึ้นมาอีกที 00:11:20.554 --> 00:11:23.054 ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่มองเห็นทะลุ 00:11:23.054 --> 00:11:25.604 ว่าพื้นที่ว่างที่เรามองว่าไม่มีอะไรนั้น แท้จริงแล้ว 00:11:25.604 --> 00:11:27.814 มันไม่ได้ว่างเปล่า มันมีคุณสมบัติของมันอยู่ 00:11:28.519 --> 00:11:30.369 และในธรรมชาติของพื้นที่ว่างนั้น 00:11:30.369 --> 00:11:32.809 คือพลังปริมาณมหาศาลจนยากจะหยั่งถึง 00:11:35.089 --> 00:11:38.179 นักฟิสิกส์ผู้มีชื่อเสียง ริชาร์ด ไฟน์แมน เคยกล่าวไว้ว่า 00:11:38.922 --> 00:11:41.742 พลังงานในพื้นที่ว่างปริมาตรเพียง 1 ลูกบาศก์เมตร 00:11:41.742 --> 00:11:45.322 ก็เพียงพอแล้วที่จะต้มน้ำในมหาสมุทรทั่วทั้งโลกให้เดือด 00:11:48.264 --> 00:11:50.604 ผู้ที่ฝึกสมาธิจนเชี่ยวชาญจะรู้ว่า 00:11:50.604 --> 00:11:52.804 ในความนิ่งนั้นมีพลังมหาศาลอยู่ 00:11:56.138 --> 00:11:59.398 พระพุทธเจ้าเรียกสสารตั้งต้นนี้ในอีกชื่อหนึ่ง 00:11:59.398 --> 00:12:01.428 คือ กัลป์ 00:12:02.051 --> 00:12:05.272 ซึ่งเป็นเหมือนกับอนุภาคชิ้นเล็กๆ หรือคลื่น 00:12:05.362 --> 00:12:09.252 ที่เกิดแล้วจางหายไป นับหลายล้านล้านครั้งต่อวินาที 00:12:15.702 --> 00:12:18.642 เมื่อพิจารณาในแง่นี้ ความเป็นจริงนั้น ก็เป็นเหมือน 00:12:18.642 --> 00:12:21.842 ชุดภาพถ่ายสามมิติหลายๆ ภาพ 00:12:21.842 --> 00:12:23.702 ที่เคลื่อนไหวต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว 00:12:23.702 --> 00:12:26.842 และสร้างมายาคติว่าสิ่งต่างๆ นั้น เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 00:12:27.350 --> 00:12:31.720 เมื่อจิตนั้นนิ่งสงบ ก็จะเห็นว่ามันคือมายาภาพ 00:12:32.382 --> 00:12:36.182 เพราะว่าก็คือจิตนั่นเองที่สร้างมายาภาพขึ้น 00:13:18.156 --> 00:13:20.456 ในทัศนะของโลกตะวันออกแต่โบราณ 00:13:20.456 --> 00:13:22.516 ความเข้าใจมีมานานนับพันปีแล้ว 00:13:22.516 --> 00:13:25.106 ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของการสั่นสะเทือน 00:13:27.182 --> 00:13:28.692 นาทพรหม 00:13:28.692 --> 00:13:31.286 จักรวาลคือสรรพเสียง 00:13:31.960 --> 00:13:34.720 นาท หมายถึงเสียง หรือการสั่นสะเทือน 00:13:35.229 --> 00:13:38.379 และพรหม คือนามของเทพเจ้า 00:13:38.604 --> 00:13:43.164 พรหม เป็นทั้งจักรวาล และเป็นทั้งผู้สร้างในเวลาเดียวกัน 00:13:43.879 --> 00:13:47.129 ศิลปินและงานศิลปะ ไม่อาจแยกออกจากกันได้ 00:13:48.545 --> 00:13:50.295 ในคัมภีร์อุปนิษัท 00:13:50.415 --> 00:13:53.722 หนึ่งในที่บันทึกเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์จากอินเดียโบราณ 00:13:54.028 --> 00:13:58.158 กล่าวไว้ว่า "พรหมผู้เป็นผู้สร้าง ประทับนั่งบนดอกบัว 00:13:58.810 --> 00:14:02.810 เมื่อพระพรหมเบิกพระเนตรขึ้น โลกก็พลันมีชีวิต 00:14:05.703 --> 00:14:09.703 เมื่อพระพรหมหลับพระเนตรลง โลกก็กลับไร้ชีวิตอีกครา 00:14:13.622 --> 00:14:15.842 บรรดาผู้วิเศษ โยคีและหมอดูในยุคโบราณ 00:14:15.842 --> 00:14:17.972 ต่างยืนยันว่ามีสนามพลังงานอยู่จริง 00:14:17.972 --> 00:14:19.872 ในระดับรากฐานของจิตสำนึก 00:14:20.595 --> 00:14:24.035 สนามแห่งที่ว่าง หรือบันทึกแห่งที่ว่างนี้ 00:14:24.035 --> 00:14:25.955 เต็มไปด้วยข้อมูลของทุกสิ่งทุกอย่าง 00:14:25.955 --> 00:14:29.005 ประสบการณ์ทั้งหมดทั้งมวลทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต 00:14:29.005 --> 00:14:31.135 ดำรงอยู่ ณ สนามแห่งนี้ ในทุกขณะ 00:14:32.213 --> 00:14:34.523 สนามพลัง หรือแหล่งกำเนิด (matrix) นี้เอง 00:14:34.523 --> 00:14:36.663 ที่เป็นแหล่งกำเนิดของทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง 00:14:36.663 --> 00:14:39.553 จากอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม ไปจนถึงแกแล็กซี่ 00:14:39.553 --> 00:14:43.283 ดวงดาว ดาวเคราะห์ และชีวิตทั้งหมดทั้งมวล 00:14:51.204 --> 00:14:54.404 คุณไม่อาจมองเห็นภาพรวมทั้งหมดของสิ่งต่างๆ ได้ 00:14:54.404 --> 00:14:56.484 เพราะมันคือระดับชั้นของการสั่นสะเทือน 00:14:56.484 --> 00:14:58.434 ที่สะสม ต่อยอดขึ้นมาชั้นแล้วชั้นเล่า 00:14:58.434 --> 00:15:00.394 อีกทั้งยังเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ 00:15:00.394 --> 00:15:03.094 แลกเปลี่ยนข้อมูลกับ Akasha นี้อยู่ตลอด 00:15:05.214 --> 00:15:08.194 ต้นไม้ดื่มกินแสงอาทิตย์ 00:15:09.516 --> 00:15:12.366 อากาศ สายฝน และผืนดิน 00:15:16.834 --> 00:15:18.204 โลกแห่งพลังงานเคลื่อนที่ 00:15:18.204 --> 00:15:21.814 ผ่านเข้าและผ่านออกจากสิ่งที่เราเรียกมันว่าต้นไม้นี้ 00:15:22.204 --> 00:15:24.474 เมื่อจิตซึ่งครุ่นคิดหยุดนิ่งลง 00:15:24.474 --> 00:15:27.084 คุณก็จะเห็นความจริงที่แท้ 00:15:27.084 --> 00:15:29.495 จากทุกๆ แง่มุม 00:15:30.535 --> 00:15:33.335 ต้นไม้ ท้องฟ้า ผืนดิน 00:15:33.335 --> 00:15:35.785 สายฝน และดวงดาว ไม่อาจแยกออกจากกัน 00:15:36.294 --> 00:15:39.314 ชีวิตและความตาย ตัวเราและคนอื่นๆ 00:15:39.314 --> 00:15:41.284 ก็ไม่อาจแยกออกจากกันได้ 00:15:41.560 --> 00:15:45.560 เช่นเดียวกับภูเขาและหุบเขาที่ไม่อาจแยกออกจากกัน 00:15:46.055 --> 00:15:49.315 ชนพื้นเมืองอเมริกัน และชนเผ่าดั้งเดิมต่างๆ 00:15:49.315 --> 00:15:52.065 มีคติความเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีจิตวิญญาณ 00:15:52.274 --> 00:15:55.074 ซึ่งก็หมายความเช่นเดียวกับการกล่าวว่า 00:15:55.074 --> 00:15:58.884 ทุกสิ่งนั้นเชื่อมโยงกับต้นกำเนิดของการสั่นสะเทือนนี้ 00:15:58.884 --> 00:16:01.564 มีจิตสำนึกเพียงหนึ่งเดียว เพียงหนึ่งสนาม 00:16:01.564 --> 00:16:04.814 หนึ่งพลังงานที่เคลื่อนผ่านทุกสิ่งทุกอย่าง 00:16:05.354 --> 00:16:07.784 สนามพลังงานนี้ไม่ได้เกิดขึ้นรอบๆ ตัวคุณ 00:16:07.784 --> 00:16:10.094 แต่เกิด "ผ่าน" ตัวคุณ 00:16:10.094 --> 00:16:12.864 และเกิดขึ้น "ในฐานะ" ที่เป็นตัวคุณ 00:16:15.335 --> 00:16:18.825 คุณ คือตัวอักษร U ของ คำว่า "จักรวาล" (Universe) 00:16:18.825 --> 00:16:22.795 คุณคือดวงตาที่มองดูการสรรค์สร้างเหล่านี้เอง 00:16:24.548 --> 00:16:26.958 เมื่อคุณตื่นขึ้นจากความฝันคุณก็จะพบว่า 00:16:26.958 --> 00:16:29.888 ทุกสิ่งในฝันนั้นคือตัวคุณเอง 00:16:29.888 --> 00:16:32.128 คุณสร้างมันขึ้นมา 00:16:32.711 --> 00:16:35.391 สิ่งที่เราเรียกกันว่าชีวิตจริงนั้น ก็ไม่ต่างกัน 00:16:35.391 --> 00:16:38.508 ทุกๆ คน ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็คือตัวคุณนั่นเอง 00:16:39.010 --> 00:16:43.010 จิตสำนึกหนึ่งเดียวนั้น มองผ่านออกมาจากดวงตาทุกๆ คู่ 00:16:45.843 --> 00:16:48.813 ภายใต้หินทุกก้อน 00:16:53.825 --> 00:16:56.375 ภายในอนุภาคแต่ละชิ้น 00:17:06.718 --> 00:17:08.728 นักวิจัยระดับนานาชาติที่ CERN 00:17:09.633 --> 00:17:12.372 ห้องปฏิบัติการด้านฟิสิกส์อนุภาคในยุโรป 00:17:12.372 --> 00:17:14.402 กำลังสืบค้นหาสนามพลังดังกล่าว 00:17:14.402 --> 00:17:16.415 ที่แผ่ขยายอยู่ในทุกสรรพสิ่ง 00:17:16.415 --> 00:17:18.815 แต่แทนที่พวกเขาจะมองเข้าไปยังโลกภายใน 00:17:18.815 --> 00:17:22.015 พวกเขากลับมองออกมาในโลกกายภาพภายนอก 00:17:23.259 --> 00:17:25.579 นักวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการของ CERN 00:17:25.579 --> 00:17:27.799 ในกรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ได้ประกาศว่า 00:17:27.799 --> 00:17:31.799 พวกเขาได้พบอนุภาคฮิกส์ หรืออนุภาคพระเจ้า 00:17:31.799 --> 00:17:33.719 การทดลองเกี่ยวกับอนุภาคฮิกส์นี้ 00:17:33.719 --> 00:17:36.029 เป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่า 00:17:36.029 --> 00:17:40.029 มีพลังงานที่มองไม่เห็นอยู่ในสนามแห่งสุญญากาศนั้นจริง 00:17:41.346 --> 00:17:44.166 เครื่องชนอนุภาคขนาดใหญ่ที่ CERN ประกอบไปด้วย 00:17:44.166 --> 00:17:46.806 วงแหวนที่มีเส้นรอบวงยาว 17 ไมล์ 00:17:46.806 --> 00:17:50.576 มีลำของอนุภาคที่วิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกัน 00:17:50.576 --> 00:17:54.336 บรรจบและปะทะกันด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสง 00:17:54.810 --> 00:17:56.910 นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตการณ์ผลที่ได้ 00:17:56.910 --> 00:17:58.890 จากการปะทะอย่างรุนแรงนี้ 00:18:02.223 --> 00:18:04.543 แบบจำลองมาตรฐานไม่สามารถอธิบายได้ว่า 00:18:04.543 --> 00:18:06.923 อนุภาคเหล่านั้นมีมวลเกิดขึ้นได้อย่างไร 00:18:06.923 --> 00:18:09.663 ทุกๆ สิ่งดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือน 00:18:09.663 --> 00:18:12.983 แต่ก็กลับไม่มี "สิ่ง" ซึ่งสั่นสะเทือนนั้น 00:18:16.165 --> 00:18:19.235 ดูราวกับว่ามันมีนักเต้นล่องหนอยู่ 00:18:19.235 --> 00:18:20.435 เป็นร่างเงา 00:18:20.435 --> 00:18:23.125 ร่ายรำอย่างหลบซ่อนอยู่ ในระบำของจักรวาล 00:18:23.911 --> 00:18:26.321 นักเต้นคนอื่นๆ ร่ายรำอย่างไม่หยุดหย่อน 00:18:26.321 --> 00:18:28.291 อยู่รอบๆ นักเต้นที่ซ่อนตัวอยู่นี้ 00:18:29.087 --> 00:18:32.467 เราเฝ้าดูระบำนี้ แต่กระนั้น 00:18:32.467 --> 00:18:35.687 จนบัดนี้เราก็ยังหานักเต้นผู้นี้ไม่พบ 00:18:41.297 --> 00:18:43.747 สิ่งที่ถูกขนานนามว่า อนุภาคพระเจ้า นี้ 00:18:44.294 --> 00:18:47.764 เป็นคุณสมบัติของสสารอันเป็นรากฐานแห่งจักรวาล 00:18:47.764 --> 00:18:49.424 เป็นหัวใจสำคัญที่จะเป็นตัวไขปริศนา 00:18:49.424 --> 00:18:51.222 มวลและพลังงานที่อธิบายไม่ได้ 00:18:51.222 --> 00:18:54.642 ที่ขับเคลื่อนการแผ่ขยายของจักรวาล 00:18:56.247 --> 00:18:59.437 กระนั้น ก็ยังไม่สามารถอธิบายธรรมชาติแห่งจักรวาลได้ 00:18:59.437 --> 00:19:02.457 การค้นพบอนุภาคฮิกส์นั้น ทำได้เพียงแสดงให้เห็นถึง 00:19:02.457 --> 00:19:04.667 ปริศนาที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าเดิม เผยให้เห็นว่า 00:19:04.667 --> 00:19:08.667 จักรวาลยังมีสิ่งลึกลับมากไปกว่าที่เราจินตนาการไว้ 00:19:10.541 --> 00:19:12.901 วิทยาศาสตร์ได้พุ่งเป้าไปที่เส้นแบ่ง 00:19:12.901 --> 00:19:15.445 ระหว่างจิตสำนึก และสรรพสิ่ง 00:19:15.445 --> 00:19:18.405 ดวงตาที่เราใช้มองไปยังสนามพลังต้นกำเนิดนั้น 00:19:18.405 --> 00:19:21.265 กับดวงตาที่สนามพลังนั้นมองกลับมายังเรา 00:19:21.265 --> 00:19:23.525 คือดวงตาหนึ่งเดียวกัน 00:19:34.963 --> 00:19:38.313 นักเขียนชาวเยอรมัน วูล์ฟกัง วอน เกอเธ่ กล่าวไว้ว่า 00:19:38.581 --> 00:19:41.271 "คลื่นนั้นคือปรากฏการณ์เริ่มแรก 00:19:41.271 --> 00:19:43.901 ซึ่งให้กำเนิดโลกใบนี้" 00:19:46.976 --> 00:19:48.486 การถอดรหัสของเสียง (Cymatics) 00:19:48.486 --> 00:19:51.456 คือการศึกษารูปแบบของเสียงที่มองเห็นได้ 00:19:53.756 --> 00:19:56.566 คำว่า cymatic นี้มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 00:19:56.566 --> 00:20:00.036 คือ cyma ซึ่งแปลว่า คลื่น หรือการสั่นสะเทือน 00:20:08.621 --> 00:20:11.761 หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกผู้ศึกษา 00:20:11.761 --> 00:20:14.281 ปรากฏการณ์คลื่นอย่างจริงจัง คือ เอิร์นส์ แคลดนี 00:20:14.281 --> 00:20:16.181 นักดนตรีและนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน 00:20:16.181 --> 00:20:18.091 มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 18 00:20:18.589 --> 00:20:21.189 แคลดนีค้นพบว่าเมื่อเขาโปรยทรายลงบนจานโลหะ 00:20:22.375 --> 00:20:26.073 และใช้คันชักของไวโอลินทำให้จานนั้นสั่นสะเทือน 00:20:26.073 --> 00:20:29.053 ทรายนั้นจะเรียงตัวเป็นลวดลายต่างๆ 00:20:29.053 --> 00:20:31.733 ปรากฏให้เห็นเป็นรูปทรงเรขาคณิตต่างๆ กันไป 00:20:31.733 --> 00:20:34.423 ตามแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้น 00:20:38.019 --> 00:20:41.559 แคลดนีบันทึกรูปเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด 00:20:41.559 --> 00:20:43.509 รูปชุดนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า 00:20:43.509 --> 00:20:45.169 ภาพของแคลดนี 00:20:45.169 --> 00:20:47.084 ลวดลายเหล่านี้ หลายๆ ลวดลาย 00:20:47.084 --> 00:20:50.864 พบเห็นได้ตามธรรมชาติ เช่นลายบนเต่าบก 00:20:53.846 --> 00:20:57.266 หรือลายจุดบนเสือดาว 00:21:03.685 --> 00:21:06.995 ศาสตร์แห่งภาพของแคลดนี หรือ ภาพรหัสเสียงนี้ 00:21:06.995 --> 00:21:10.405 เป็นวิธีการลับๆ ที่เหล่านักกีต้าร์และนักไวโอลินชั้นครู 00:21:10.405 --> 00:21:13.245 และเหล่าช่างทำเครื่องดนตรีทั้งหลายใช้บ่งชี้ 00:21:13.245 --> 00:21:16.565 ระดับคุณภาพเสียงของเครื่องดนตรีที่เขาทำขึ้นมา 00:21:21.703 --> 00:21:25.703 ฮานส์ เจนนี ต่อยอดงานของแคลดนีในช่วงยุค 60 00:21:27.511 --> 00:21:30.141 เขาใช้ของเหลวชนิดต่างๆ 00:21:30.141 --> 00:21:33.201 และใช้กระแสไฟฟ้าในการสร้างความถี่เสียง 00:21:33.201 --> 00:21:36.551 และกำหนดคำว่า การถอดรหัสเสียง (cymatics) ขึ้นมาใช้ 00:21:37.516 --> 00:21:40.606 หากคุณส่งรหัสคลื่นแบบไซน์ผ่านลงไปในจานที่มีน้ำอยู่ 00:21:40.606 --> 00:21:43.046 คุณก็จะเห็นลวดลายของคลื่นนั้นในน้ำ 00:21:43.046 --> 00:21:45.646 ลักษณะของคลื่นจะต่างกันไป 00:21:45.646 --> 00:21:47.926 ขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่น 00:21:47.926 --> 00:21:52.126 ยิ่งความถี่สูง ลวดลายของคลื่นก็ยิ่งซับซ้อน 00:21:52.126 --> 00:21:55.586 ลวดลายเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำ ไม่ใช่ลักษณะสุ่ม 00:21:55.586 --> 00:21:58.906 ยิ่งคุณเฝ้าดู คุณก็จะเริ่มเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า 00:21:58.906 --> 00:22:01.916 การสั่นสะเทือนนั้น สร้างสิ่งซึ่งซับซ้อนขึ้นมาจาก 00:22:01.916 --> 00:22:04.626 การเกิดขึ้นซ้ำๆ ของคลื่นธรรมดาๆ ได้อย่างไร 00:22:04.866 --> 00:22:08.866 คลื่นในน้ำที่เห็นนี้ คล้ายคลึงกับรูปดอกทานตะวัน 00:22:29.544 --> 00:22:32.444 แค่เพียงเปลี่ยนความถี่คลื่นเสียงเท่านั้น 00:22:32.444 --> 00:22:35.054 เราก็จะได้ลวดลายที่ต่างไป 00:22:52.156 --> 00:22:55.276 น้ำเป็นสสารที่น่าพิศวงมาก 00:22:55.276 --> 00:22:57.516 มันไวต่อสิ่งกระตุ้นเป็นอย่างมาก 00:22:57.516 --> 00:22:58.466 นั่นหมายความว่า 00:22:58.466 --> 00:23:01.176 มันสามารถรับรหัส และรักษาการสั่นสะเทือนไว้ได้ 00:23:01.176 --> 00:23:04.216 เพราะน้ำสามารถสั่นพ้องได้ดี และมีความอ่อนไหวมาก 00:23:04.216 --> 00:23:06.626 และมีความพร้อมโดยธรรมชาติที่จะรับการสั่นพ้อง 00:23:06.946 --> 00:23:08.506 น้ำจึงสามารถที่จะมีปฏิกิริยา 00:23:08.506 --> 00:23:11.306 ต่อคลื่นเสียงทุกรูปแบบได้อย่างทันทีทันใด 00:23:12.209 --> 00:23:14.009 น้ำและดินซึ่งสั่นสะเทือนนั้น 00:23:14.009 --> 00:23:17.449 คือส่วนประกอบสำคัญในมวลของพืชและสัตว์ 00:23:18.943 --> 00:23:21.883 การเฝ้ามองว่าการสั่นสะเทือน 00:23:21.883 --> 00:23:24.753 ทำให้น้ำเกิดลวดลายขึ้นได้อย่างไร ทำได้ง่าย 00:23:25.626 --> 00:23:29.696 แต่ถ้าเราเติมของแข็งลงไป พร้อมกับเพิ่มกระแสไฟฟ้า 00:23:29.696 --> 00:23:32.926 ผลที่ได้ก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีก 00:23:35.080 --> 00:23:37.030 เมื่อลองใส่แป้งข้าวโพดลงไปในน้ำ 00:23:37.030 --> 00:23:40.020 เราก็ได้เห็นปรากฎการณ์ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม 00:23:58.674 --> 00:24:01.154 บางที เราก็อาจจะเข้าใจหลักการของชีวิตได้ 00:24:01.154 --> 00:24:05.154 จากเฝ้ามองการสั่นสะเทือนที่ทำให้ก้อนของแป้งข้าวโพด 00:24:05.154 --> 00:24:08.134 แปรสภาพไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อยู่นิ่ง 00:24:12.757 --> 00:24:15.717 แนวคิดของจักรวาลที่ว่าด้วยชีวิตนี้ 00:24:15.717 --> 00:24:18.477 ถูกอธิบายไว้ในศาสนาทุกศาสนา 00:24:18.477 --> 00:24:19.867 โดยใช้คำพูดต่างๆ กันไป 00:24:19.867 --> 00:24:22.527 ตามแต่บริบทของสังคมในยุคนั้น 00:24:26.071 --> 00:24:28.081 ในภาษาของชาวอินคา 00:24:28.081 --> 00:24:30.031 อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกา 00:24:30.031 --> 00:24:31.801 ในยุคก่อนการค้นพบของโคลัมบัส 00:24:31.801 --> 00:24:34.751 คำว่า "ร่างกายของมนุษย์" คือ อัลพา คามัสคา 00:24:34.751 --> 00:24:37.911 ซึ่งแปลได้ตรงตัวว่า โลกที่มีชีวิต 00:24:41.276 --> 00:24:43.856 ในคติคับบาล่าห์ หรือศาสตร์ลึกลับแห่งยิว 00:24:43.856 --> 00:24:46.656 ได้กล่าวถึงพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า 00:24:46.656 --> 00:24:49.146 พระนามอันไม่สามารถเอื้อนเอ่ยได้ 00:24:49.146 --> 00:24:51.416 เนื่องจากพระนามนี้คือเสียงของการสั่นสะเทือน 00:24:51.416 --> 00:24:52.886 ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง 00:24:52.886 --> 00:24:56.586 คือทุกถ้อยคำ ทุกสรรพสิ่ง 00:24:56.586 --> 00:24:59.466 ทุกสิ่งทุกอย่างคือถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ 00:25:00.246 --> 00:25:01.636 เตตระเฮดรอน (รูปทรงสี่หน้า) 00:25:01.636 --> 00:25:05.116 คือรูปทรงที่เรียบง่ายที่สุด ที่เหมือนกันทุกด้าน 00:25:05.116 --> 00:25:07.576 สิ่งหนึ่งๆ จะมีตัวตนในทางกายภาพได้นั้น 00:25:07.576 --> 00:25:09.706 จะต้องมีจุดเชื่อมอย่างน้อย 4 จุด 00:25:09.706 --> 00:25:12.296 โครงสร้างสามเหลี่ยมนั้นเป็นรูปร่างเดียวในธรรมชาติ 00:25:12.296 --> 00:25:13.806 ที่มีความเสถียรด้วยตัวเอง 00:25:13.806 --> 00:25:17.246 ในคัมภีร์พันธสัญญาเดิม คำว่า "เตตระกรัมมาตอน" 00:25:17.246 --> 00:25:19.726 มักใช้เพื่อแสดงถึงการปรากฏขึ้นของพระเจ้า 00:25:19.726 --> 00:25:21.146 ในลักษณาการเฉพาะ 00:25:21.146 --> 00:25:23.846 มันมักจะถูกใช้เมื่อพูดถึงพระวาจาของพระเจ้า 00:25:23.846 --> 00:25:25.836 หรือพระนามเฉพาะของพระเจ้า 00:25:25.836 --> 00:25:29.636 พระวจนะ (LOGOS) หรือถ้อยกำเนิดจักรวาล 00:25:33.347 --> 00:25:35.357 อารยธรรมโบราณล่วงรู้ว่า 00:25:35.357 --> 00:25:37.717 ที่ฐานรากของโครงสร้างจักรวาลนั้น 00:25:37.717 --> 00:25:39.497 เป็นรูปทรงสี่หน้า 00:25:40.595 --> 00:25:43.905 จากรูปทรงนี้ ธรรมชาติน้อมนำตนเองตามแรงขับ 00:25:43.905 --> 00:25:46.595 ไปสู่สภาวะสมดุล คือ ศิวะ 00:25:47.423 --> 00:25:49.833 ในขณะเดียวกันก็ยังมีแรงขับอีกแรง 00:25:49.833 --> 00:25:53.213 ที่โน้มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง คือ ศักติ 00:25:56.828 --> 00:25:59.918 ในคัมภีร์ไบเบิ้ล พระกิตติแห่งยอห์น มักถูกเขียนไว้ว่า 00:25:59.918 --> 00:26:02.088 "ในตอนแรกเริ่มนั้นคือถ้อยคำ" 00:26:02.088 --> 00:26:04.558 หากในต้นฉบับเดิมนั้น ใช้คำว่า 00:26:04.558 --> 00:26:06.358 LOGOS 00:26:07.772 --> 00:26:10.302 เฮราไคลตุส นักปรัชญาชาวกรีก 00:26:10.302 --> 00:26:13.272 ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาล 00:26:13.272 --> 00:26:16.492 กล่าวถึง LOGOS ว่ามันคือสิ่งซึ่งไม่อาจเข้าถึง 00:26:16.492 --> 00:26:20.492 เป็นพื้นฐานแห่งการทำซ้ำ ลวดลาย และรูปแบบ 00:26:22.372 --> 00:26:26.002 นักปรัชญาสโตอิกที่ยึดถือตามคำสอนของเฮราไคลตุส 00:26:26.002 --> 00:26:27.672 อธิบายคำว่า LOGOS นี้ไว้ว่า 00:26:27.672 --> 00:26:29.652 คือหลักศักดิ์สิทธิ์แห่งความมีชีวิต 00:26:29.652 --> 00:26:32.022 ที่แทรกซึมอยู่ทั่วทั้งจักรวาล 00:26:36.315 --> 00:26:39.695 ในลัทธิซูฟี LOGOS นี้มีอยู่ทุกที่ 00:26:39.695 --> 00:26:41.594 ในทุกสิ่งทุกอย่าง 00:26:42.354 --> 00:26:46.474 มันทำให้ สิ่งที่ไม่เคยสำแดงตน ได้สำแดงตนออกมา 00:26:52.799 --> 00:26:56.799 ในคติฮินดู ศิวนาฏราช มีความหมายตรงตัวว่า 00:26:56.799 --> 00:26:59.269 "ราชาแห่งการร่ายรำ" 00:27:00.121 --> 00:27:03.611 ทั้งจักรวาลนี้ร่ายรำตามเสียงกลองแห่งศิวะ 00:27:03.611 --> 00:27:07.611 สิ่งต่างๆ อาบอิ่มและมีชีวิตขึ้นด้วยจังหวะนั้น 00:27:07.611 --> 00:27:10.411 แค่ตราบเท่าที่ศิวะยังคงร่ายรำ 00:27:10.411 --> 00:27:13.761 โลกนี้ก็จะยังคงวิวัฒน์และเปลี่ยนแปลง 00:27:13.761 --> 00:27:17.251 มิเช่นนั้นแล้ว โลกนี้ก็จะล่มสลายลงสู่ความว่างเปล่า 00:27:19.026 --> 00:27:23.246 ในขณะที่ศิวะคือตัวแทนจิตสำนึกของเรา อันเป็นตัวรู้ 00:27:23.246 --> 00:27:27.016 ศักติก็คือตัวแทนของสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ 00:27:27.016 --> 00:27:29.856 ในขณะที่ศิวะดำรงอยู่ในภาวะแห่งสมาธิ 00:27:29.856 --> 00:27:32.526 ศักติก็พยายามจะโน้มนำศิวะ 00:27:32.526 --> 00:27:34.470 ให้กลับไปสู่การร่ายรำ 00:27:34.470 --> 00:27:36.130 ดังเช่นหยินและหยาง 00:27:36.130 --> 00:27:40.130 ผู้ร่ายรำและการร่ายรำนั้น ดำรงอยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน 00:27:42.837 --> 00:27:45.007 LOGOS ยังหมายความรวมถึง 00:27:45.007 --> 00:27:47.077 ความจริงที่เปิดเผยออก 00:27:47.077 --> 00:27:50.537 ใครที่ล่วงรู้ LOGOS ก็จะล่วงรู้ความเป็นจริงด้วย 00:27:51.267 --> 00:27:54.717 โลกของมนุษย์นั้น มีการปกปิดอยู่หลายชั้น 00:27:54.717 --> 00:27:58.717 และที่ว่างนี้ก็ได้ถูกหมุนไปเป็นโครงสร้างอันซับซ้อน 00:27:58.717 --> 00:28:01.867 และห่อหุ้มแหล่งกำเนิดของมันไว้ 00:28:01.867 --> 00:28:04.437 เฉกเช่นเกมซ่อนหาอันศักดิ์สิทธิ์ 00:28:04.437 --> 00:28:07.407 เราได้เล่นเกมนี้มานับพันๆ ปีแล้ว 00:28:07.407 --> 00:28:10.777 ในที่สุด ก็ลืมไปแล้วว่าเรากำลังเล่นเกมกันอยู่ 00:28:10.777 --> 00:28:15.157 เราลืมไปว่ามีสิ่งที่เรากำลังค้นหาอยู่ 00:28:17.549 --> 00:28:18.679 ในศาสนาพุทธ 00:28:18.679 --> 00:28:21.789 ผู้ปฏิบัติจะถูกฝึกให้รับรู้ถึง LOGOS โดยตรง 00:28:21.789 --> 00:28:24.949 ให้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน 00:28:24.949 --> 00:28:28.059 ภายในตนเอง ผ่านการฝึกสมาธิ 00:28:28.059 --> 00:28:30.439 เมื่อคุณเฝ้าสังเกตโลกภายใน 00:28:30.439 --> 00:28:34.259 คุณจะเห็นพลังงานและความรู้สึกที่ละเอียดมากขึ้น 00:28:34.259 --> 00:28:38.539 เหตุเพราะจิตนั้นนิ่งและจดจ่อมากยิ่งขึ้น 00:28:38.539 --> 00:28:41.149 เมื่อจิตตื่นรู้ถึง "อนิจจัง" 00:28:41.149 --> 00:28:44.529 หรือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของอารมณ์ความรู้สึก 00:28:44.529 --> 00:28:46.899 บุคคลนั้นก็จะเป็นอิสระจากความยึดมั่นถือมั่น 00:28:46.899 --> 00:28:50.932 ในความไม่เที่ยงแท้ของโลกภายนอก 00:28:50.932 --> 00:28:53.462 เมื่อเราเห็นแล้วว่า สนามพลังของการสั่นสะเทือนนี้ 00:28:53.462 --> 00:28:56.432 มีอยู่เพียงหนึ่งเดียว และเป็นฐานรากของศาสนาทั้งปวง 00:28:56.432 --> 00:28:59.302 เราจะกล่าวได้อย่างไรว่า "ศาสนาของฉัน" หรือ 00:28:59.302 --> 00:29:03.822 "นี่คือต้นกำเนิดของฉัน" หรือ "สนามควอนตัมของฉัน" 00:29:25.506 --> 00:29:28.606 วิกฤตที่แท้ของโลกนี้ไม่ใช่เรื่องของสังคม 00:29:28.606 --> 00:29:30.666 การเมือง หรือเศรษฐกิจ 00:29:32.109 --> 00:29:35.409 วิกฤตที่เราเผชิญนี้คือวิกฤตแห่งความตระหนักรู้ 00:29:35.409 --> 00:29:37.129 คือความไม่สามารถที่จะสัมผัส 00:29:37.129 --> 00:29:39.819 กับธรรมชาติเดิมแท้ของเราได้ 00:29:41.708 --> 00:29:44.198 ความไม่สามารถที่จะมองเห็นธรรมชาติเดียวกันนี้ 00:29:44.198 --> 00:29:46.708 ในทุกๆ คน และทุกๆ สรรพสิ่งได้ 00:29:53.669 --> 00:29:58.999 ในศาสนาพุทธ "พระโพธิสัตว์" คือผู้ที่ตื่นรู้แล้ว 00:30:00.251 --> 00:30:04.251 และให้คำสัตย์ว่าจะช่วยเหลือสรรพชีวิตทั่วทั้งจักรวาลนี้ 00:30:05.643 --> 00:30:09.003 ให้ตื่นรู้ และมองเห็นสำนึกหนึ่งเดียวกันนี้ด้วย 00:30:09.003 --> 00:30:11.773 การที่จิตสำนึกหนึ่งใดจะตื่นรู้ขึ้นได้นั้น 00:30:11.773 --> 00:30:15.773 จิตนั้นก็จำเป็นจะต้องปลุกให้ชีวิตทุกชีวิตตื่นรู้ขึ้นด้วย 00:30:20.149 --> 00:30:24.149 "มีสรรพชีวิตเหลือคณานับในจักรวาลนี้ 00:30:24.149 --> 00:30:26.029 ข้าพเจ้าตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า 00:30:26.029 --> 00:30:28.729 จะช่วยเหลือพวกเขาให้ตื่นรู้ทั้งหมดให้จงได้ 00:30:28.729 --> 00:30:31.769 ความไม่สมบูรณ์แบบของข้าพเจ้านั้นไม่มีที่สิ้นสุด 00:30:31.769 --> 00:30:35.619 ข้าพเจ้าตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะก้าวข้ามให้จงได้ 00:30:35.619 --> 00:30:37.949 หลักธรรมนั้นไม่อาจจะเป็นที่รู้แจ้ง 00:30:37.949 --> 00:30:41.079 ข้าพเจ้าตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะล่วงรู้ให้จงได้ 00:30:41.079 --> 00:30:44.739 หนทางแห่งการตื่นรู้นั้นไม่อาจเดินล่วงไปได้สำเร็จ 00:30:46.769 --> 00:30:50.009 ข้าพเจ้าตั้งสัตย์ว่าจะเดินล่วงไปให้จงได้"