นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันในสัปดาห์ที่แล้ว
สิ่งที่ฉันทำ
คนที่ฉันอยู่ด้วย
ความรู้สึกของฉันทุก ๆ นาทีที่ตื่น
หรือเวลาที่ฉันมีความรู้สึกบางอย่าง
เมื่อคิดถึงพ่อ
ที่เพิ่งเสียไป
หรือเวลาที่ฉันควรจะเลิกวิตกกังวล
และหากคุณคิดว่าฉันหมกหมุ่นอยู่นิด ๆ ละก็
คุณอาจจะถูก
แต่ชัดว่า จากภาพนี้
คุณจะรู้จักฉันมากกว่าภาพนี้
ซึ่งเป็นภาพที่คุณอาจจะคุ้นเคยมากกว่า
และคุณอาจจะมีภาพแบบนี้อยู่ในมือถือของคุณ
กราฟแท่งบอกจำนวนก้าวที่คุณเดิน
แผนภูมิวงกลมที่บอกคุณภาพของการนอน
และเส้นทางการวิ่งในตอนเช้า
งานประจำของฉัน ฉันทำงานกับข้อมูล
ฉันมีบริษัทออกแบบภาพแสดงข้อมูล
เราออกแบบและพัฒนาวิธีที่จะเข้าถึงข้อมูล
ด้วยการใช้ภาพ
สิ่งที่งานของฉันสอนฉันตลอดหลายปีที่ผ่านมา
คือการที่จะเข้าใจข้อมูลและความสามารถของมัน
บางครั้งเราจะต้องลืมมันไปจริง ๆ
และมองผ่านมันไปแทน
เพราะข้อมูลเป็นเพียงแค่
เครื่องมือที่เราใช้ตีความข้อมูลตลอดมา
พวกมันถูกใช้เป็นตัวยึดสำหรับสิ่งอื่น
แต่พวกมันไม่เคยเป็นสิ่งที่แท้จริง
แต่ฉันขอย้อนกลับไป
ถึงครั้งแรกที่ฉันเข้าใจเรื่องนี้
ในปี 1994 ตอนที่ฉันอายุ 13 ปี
ฉันเป็นวันรุ่นอาศัยอยู่ในประเทศอิตาลี
ฉันเด็กเกินกว่าจะสนใจการเมือง
แต่ก็รู้ว่านักธุรกิจที่ชื่อ
ซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี
กำลังลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดี
ให้กับฝ่ายขวาปานกลาง
เราอาศัยอยู่ในเมืองที่เสรีนิยมมาก
พ่อของฉันเป็นนักการเมือง
ของพรรคเสรีประชาธิปไตย
ฉันจำได้ว่าไม่มีใครคิดว่า
แบร์ลุสโกนีจะชนะเลือกตั้ง--
ไม่มีทางเลย
แต่มันเกิดขึ้น
และฉันจำได้ถึง
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
มันเป็นความประหลาดใจมาก
เพราะพ่อของฉันให้คำมั่นว่าในเมืองของฉัน
ที่เขารู้จักไม่มีใครลงคะแนนเสียงให้กับแบร์ลุสโกนี
นี่เป็นครั้งแรก
ที่ข้อมูลที่ฉันได้รับ
บิดเบือนภาพความเป็นจริง
ตัวอย่างข้อมูลของฉัน
มันถูกจำกัดและถูกบิดเบือน
และอาจเป็นเพราะอย่างนั้น
ฉันเลยคิดว่าฉันอยู่ในฟองอากาศ
และฉันไม่มีโอกาสมากพอ
ที่จะเห็นสิ่งที่อยู่ข้างนอก
ที่นี้เร่งเวลามาที่ 8 พฤศจิกายน 2016
ในสหรัฐอเมริกา
ผลสำรวจทางอินเทอร์เน็ต
โมเดลทางสถิติ
นักเชี่ยวชาญทุกคนเห็นพ้องกันใน
ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี
ดูเหมือนว่าครั้งนี้เราจะมีข้อมูลที่เพียงพอ
และมีโอกาสมากขึ้นที่เราจะได้เห็นสิ่งต่าง ๆ
นอกจากสถานที่ปิดบังที่เราอาศัยอยู่--
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เลย
มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย
ฉันเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
ฉันคิดว่ามันยุติธรรมที่จะพูดว่า
ครั้งนี้ข้อมูลทำให้เราผิดหวัง--
ได้อย่างน่าประทับใจ
เราเชื่อในข้อมูล
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น
กระทั่งกับหนังสือพิมพ์ที่น่าเชื่อถือที่สุด
คือความหมกหมุ่นที่จะบีบทุกอย่าง
ให้อยู่ในรูปตัวเลขเปอร์เซ็นสองตัวง่าย ๆ
เพื่อจะได้พาดหัวข่าวที่โน้มน้าวดึงดูด
และให้เรามุ่งความสนใจไปที่ตัวเลขสองตัวนั่น
เท่านั้น
ความพยายามที่จะทำให้เนื้อหาอ่านง่าย
และการใส่รูปแผนที่สีแดงน้ำเงินที่ขาดไม่ได้
เราพลาดประเด็นสำคัญไปอย่างสิ้นเชิง
เราหลงลืมไปว่ายังมีเรื่องราวมากมาย --
เรื่องราวของคนอยู่เบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้
ในบริบทที่ต่างออกไป
แต่เป็นประเด็นที่ใกล้เคียงกัน
ผู้หญิงคนนี้ได้นำความท้าทายแปลกใหม่
มาให้กับทีมของฉัน
เธอมาหาเราพร้อมกับข้อมูลจำนวนมาก
แต่ที่สุดแล้วเธอต้องการที่จะบอกถึง
เรื่องราวที่มีความเป็นมนุษยธรรมที่สุดกับเรา
เธอคือซามานธา คริสโตเฟอเรตติ
เธอเป็นนักบินอวกาศชาวอิตาเลียนคนแรก
เธอติดต่อเราก่อนที่เธอจะออกเดินทาง
ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ
ซึ่งใช้ระยะเวลานาน 6 เดือน
เธอบอกกับฉันว่า "ฉันกำลังจะไปยังอวกาศ
และฉันอยากจะทำสิ่งที่มีความหมาย
ด้วยข้อมูลจากภารกิจของฉัน
เพื่อเข้าถึงผู้คน"
ภารกิจเพื่อไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ
มาพร้อมกับข้อมูลหลายเทราไบท์
เกี่ยวกับทุกอย่างที่จะจินตนาการถึงได้--
การโคจรรอบโลก
ความเร็วและตำแหน่งของสถานีอวกาศนานาชาติ
และสัญญาณภาพและเสียงอีกหลายพันชิ้น
จากตัวจับสัญญาณของสถานี
เรามีเอกสารทุกชิ้นที่เราพอจะนึกออก
เหมือนกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญก่อนการเลือกตั้ง--
แต่วัตถุประสงค์ของตัวเลขเหล่านี้คืออะไร
คนไม่สนใจข้อมูลเพียงเพราะมันคือข้อมูล
เพราะตัวเลขไม่ใช่ประเด็น
มันเป็นเพียงแค่เครื่องมือไปสู่ข้อสรุป
เรื่องเราที่เราต้องการจะบอกคือ
มีคนอยู่ในกล่องเล็ก ๆ
ล่องลอยอยู่ในอวกาศเหนือศีรษะของเรา
และคุณสามารถเห็นเธอ
ด้วยตาเปล่าในคืนที่ฟ้าเปิด
เราเลยตัดสินใจใช้ข้อมูล
เพื่อสร้างความเชื่อมโยง
ระหว่างซามานธาและคนที่มองดูเธอจากพื้นโลก
เราออกแบบและพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า
"Friends in Space" ขึ้น
มันเป็นเว็บแอพลิเคชั่น
ที่ให้คุณได้ทักทาย"เฮลโล" กับซามานธา
จากที่ที่คุณอยู่
และได้ทักทายคนอื่น ๆ
ที่กำลังออนไลน์ในเวลาเดียวกับคุณ
จากทั่วโลก
และคำทักทายเหล่านั้น
จะทิ้งร่องรอยบนแผนที่
ในขณะที่ซามานธากำลังบินผ่านไป
และทักทายเรากลับมาทุกวัน
โดยใช้ทวิตเตอร์ของสถานีอวกาศนานาชาติ
สิ่งนี้ทำให้คนได้เห็น
ข้อมูลของภารกิจจากทุกแง่มุม
มันกลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์
และความช่างสงสัยของเราในทันที
แทนที่จะเป็นเรื่องเทคโนโลยี
ข้อมูลเพิ่มประสบการณ์ให้กับเรา
แต่เรื่องราวของมนุษย์
เป็นตัวขับเคลื่อนข้อมูล
การตอบสนองทางบวก
ของผู้ใช้งานหลายพันคน
ให้บทเรียนที่สำคัญมาก ๆ กับฉันว่า--
การทำงานกับข้อมูลคือการออกแบบวิธี
ที่จะแปลงสิ่งที่เป็นนามธรรมและนับไม่ได้
ให้เป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ รู้สึกได้
และเชื่อมโยงได้โดยตรง
กับชีวิตของเราและพฤติกรรมของเรา
บางอย่างที่ทำได้ยาก
หากเราปล่อยให้ความหมกหมุ่นในตัวเลข
และเทคโนโลยี
ควบคุมเราระหว่างทาง
แต่เราสามารถที่จะเชื่อมโยงข้อมูล
กับเรื่องราวที่มันจะสื่อ
เราสามารถเอาเทคโนโลยีออกไปได้เลย
หลายปีก่อน ฉันได้พบกับผู้หญิงอีกหนึ่งคน
สเตฟานี โพซาเวค--
นักออกแบบในลอนดอน ซึ่งได้แบ่งปันเรื่องราว
ความชื่นชอบและหลงใหลในข้อมูลกับฉัน
เราไม่รู้จักกัน
แต่เราตัดสินใจที่จะทำการทดลอง
ที่สุดโต่งมาก ๆ
โดยเริ่มสื่อสารกันด้วยข้อมูลเพียงอย่างเดียว
ไม่ใช้ภาษาอื่น
และเราก็ไม่ใช้เทคโนโลยีใด ๆ เลย
ในการส่งข้อมูลให้กัน
ความจริงแล้ว ช่องทางการสื่อสารเดียวของเรา
คือการส่งไปรษณีย์
เราเขียน "ข้อมูลที่รัก"
ทุกอาทิตย์เป็นเวลาหนึ่งปี
เราใช้ข้อมูลส่วนตัว
เพื่อเรียนรู้ซึ่งกันและกัน --
ข้อมูลส่วนตัวที่บอกเล่ากัน
เป็นเรื่องราวธรรมดา ๆ ทุกสัปดาห์
ตั้งแต่ความรู้สึกของเรา
จนถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับคู่ของเรา
ตั้งแต่คำชมที่เราได้รับ
จนถึงเสียงรอบตัวที่เราได้ยิน
ข้อมูลส่วนตัวที่เราจะวาดด้วยมือ
ลงในกระดาษขนาดโปสการ์ด
และส่งจากลอนดอนมายังนิวยอร์กทุกสัปดาห์
มายังที่ที่ฉันอยู่
และจากนิวยอร์กไปยังลอนดอนสถานที่อยู่ของเธอ
ด้านหน้าของโปสการ์ดคือภาพข้อมูล
ส่วนด้านหลัง
แน่นอนว่ามีที่อยู่ของผู้รับ
และคำอธิบายการตีความภาพวาดของเรา
อาทิตย์แรกของโครงการนี้
เราต่างเลือกหัวข้อที่ค่อนข้างเย็นชา
และไม่เป็นส่วนตัว
เราดูเวลากี่ครั้งในสัปดาห์
นี่คือด้านหน้าของโปสการ์ด
คุณจะเห็นว่าสัญลักษณ์เล็ก ๆ ทุกอัน
บ่งบอกทุกครั้งที่ฉันดูเวลา
ในแต่ละวันและในแต่ละช่วงเวลา--
ตรงนี้ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน
แต่คุณจะเห็นคำอธิบาย
ว่าฉันได้เขียนรายละเอียดเรื่องราว
ของเหตุการณ์เหล่านั้น
ความจริงแล้ว สัญลักษณ์ต่าง ๆ
บ่งบอกว่าทำไมฉันถึงดูเวลา--
ฉันกำลังทำอะไรอยู่
ฉันเบื่อหรือไม่ ฉันหิวรึเปล่า
ฉันสายหรือไม่
ฉันตั้งใจดูเวลาหรือแค่มองไปที่นาฬิกา
และนี่คือส่วนที่สำคัญ
มันบอกรายละเอียด
ของวันและบุคลิกภาพของฉัน
ผ่านชุดข้อมูลของฉัน
การใช้ข้อมูลเป็นเลนส์หรือม่าน
เพื่อค้นพบและแสดงให้เห็นบางอย่าง
เช่น ความกังวลเรื่องสายที่ไม่สิ้นสุดของฉัน
ถึงแม้ว่าฉันตรงต่อเวลาเสมอ
สเตฟานีและฉันใช้เวลา 1 ปี
เพื่อเก็บข้อมูลด้วยมือ
เพื่อบังคับให้เราสนใจความแตกต่างเล็กน้อย
ที่คอมพิวเตอร์รวบรวมไม่ได้--
หรืออย่างน้อยก็ยังไม่ได้ในตอนนี้--
เราใช้ข้อมูลเพื่อสำรวจความคิดของเรา
และคำที่เราใช้
ไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรมที่เราทำ
เหมือนกับในสัปดาห์ที่สาม
ซึ่งเราจดบันทึกทุกคำ "ขอบคุณ"
ที่เรากล่าวและได้รับ
และเวลาที่ฉันตระหนักได้ว่า
ส่วนใหญ่ฉันขอบคุณคนที่ไม่รู้จัก
เห็นได้ชัดว่าฉันเป็นพวก
ขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีกกับพนักงานบริการ
แต่แน่นอนว่าฉันไม่ได้ขอบคุณ
คนที่ใกล้ชิดกับฉันเท่าที่ควร
มากกว่าเวลา 1 ปี
การสังเกตและนับพฤติกรรมแบบนี้อย่างจริงจัง
กลายเป็นพิธีกรรม
มันเปลี่ยนตัวเราไปจริง ๆ
เราเข้าใจตัวเราเองมากขึ้น
ตระหนักถึงพฤติกรรมของตัวเอง
และสิ่งที่อยู่รอบตัวมากขึ้น
ตลอด 1 ปี สเตฟานีและฉัน
เชื่อมโยงกันในระดับที่ลึกลงไป
ผ่านการบันทึกข้อมูลที่เราแบ่งปันกัน
แต่เราทำแบบนี้ได้เพราะ
เราใส่ตัวเองเข้าไปในตัวเลขเหล่านี้
และเพิ่มบริบทของ
เรื่องราวส่วนตัวของเราเข้าไป
มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้มันมีความหมาย
และเป็นสิ่งแทนตัวเรา
ฉันไม่ได้ขอให้คุณเริ่มวาดภาพข้อมูล
ขีวิตส่วนตัวของคุณ
หรือหาเพื่อนทางจดหมายต่างชาติ
แต่ฉันอยากให้คุณเริ่มมองหาข้อมูล--
ทุกประเภท--
ให้เป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนา
ไม่ใช่จุดสิ้นสุด
เพราะข้อมูลเพียงอย่างเดียว
ไม่สามารถให้ทางออกกับเรา
และนั่นคือเหตุผลที่ข้อมูลทำให้เราผิดหวัง--
เพราะเราไม่ได้ใส่บริบทเข้าไปให้มากพอ
เพื่อที่จะตีความความจริง--
ความจริงที่ยุ่งเหยิง ซับซ้อน
และมีความแตกต่างแม้เพียงเล็กน้อย
เราเฝ้าดูตัวเลขสองตัวนี้
หมกหมุ่นอยู่กับมัน
และแสร้งทำเป็นว่าเราสามารถ
แปลงโลกของเรา
ให้เป็นเพียงตัวเลขไม่กี่ตัว
หรือการชิงเก้าอี้ผู้นำ
ในขณะที่เรื่องราวที่แท้จริง
ที่สำคัญจริง ๆ
อยู่ที่อื่น
สิ่งที่เราพลาดขณะที่มองดูเรื่องราวเหล่านี้
ผ่านโมเดลและสูตรคำนวน
คือสิ่งที่ฉันเรียกว่า "มนุษยนิยมข้อมูล"
มนุษยนิยมในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
นักปราชญ์ชาวยุโรป
ยึดเอาธรรมชาติของมนุษย์เป็นศูนย์กลาง
การมองโลกของพวกเขาแทนพระเจ้า
ฉันเชื่อสิ่งที่คล้าย ๆ กันนี้ควรจะเกิดขึ้น
กับจักรวาลของข้อมูล
ตอนนี้ข้อมูลได้รับการปฏิบัติเหมือนพระเจ้า
ผู้รักษาความจริงที่แม่นยำ
สำหรับปัจจุบันและอนาคตของพวกเรา
ประสบการณ์ที่ฉันเล่าให้ฟังในวันนี้
สอนฉันว่า การจะทำให้ข้อมูล
เป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์ที่แท้จริง
และให้มั่นใจว่า
มันจะไม่ได้ทำให้เราเข้าใจผิดอีก
เราจะต้องเริ่มออกแบบวิธีการ
ที่จะใส่ความเอาใจใส่ ความไม่สมบูรณ์แบบ
และคุณลักษณะของมนุษย์
เข้าไปในการเก็บ ประมวลผล
วิเคราะห์ และแสดงข้อมูลเหล่านั้น
ฉันมองเห็นที่ที่ ในที่สุดแล้ว
แทนที่จะใช้ข้อมูล
เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
เราจะใช้ข้อมูล
เพื่อให้มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น
ขอบคุณค่ะ
(เสียงปรบมือ)