WEBVTT 00:00:00.840 --> 00:00:02.040 วิทยาศาสตร์ 00:00:02.760 --> 00:00:06.176 คำที่ทำให้พวกคุณหลายคน นึกถึงความทรงจำอันน่าเบื่อ 00:00:06.200 --> 00:00:09.096 ในวิชาชีววิทยาหรือฟิสิกส์ตอนมัธยม 00:00:09.120 --> 00:00:12.216 แต่ผมขอยืนยันนะครับ ว่าสิ่งที่คุณได้เรียนมาในตอนนั้น 00:00:12.240 --> 00:00:14.416 แทบจะไม่ได้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เลย 00:00:14.440 --> 00:00:16.736 สิ่งเหล่านั้นบอกคุณว่า วิทยาศาสตร์มี "อะไร" 00:00:16.760 --> 00:00:19.480 มันเป็นประวัติศาสตร์ ของสิ่งที่คนอื่น ๆ ได้ค้นพบ 00:00:20.720 --> 00:00:23.056 สิ่งที่ผมสนใจที่สุดในฐานะนักวิทยาศาสตร์ 00:00:23.080 --> 00:00:25.216 ก็คือว่าวิทยาศาสตร์นั้นเป็น "อย่างไร" 00:00:25.240 --> 00:00:29.056 เพราะว่าวิทยาศาสตร์ คือความรู้ที่ยังอยู่ในกระบวนการ 00:00:29.080 --> 00:00:32.536 เราทำการสังเกต คาดเดาคำอธิบาย ต่อสิ่งที่เราได้สังเกตนั้น 00:00:32.560 --> 00:00:34.616 และจากนั้นก็ทำการคาดคะเน ที่เราตรวจสอบได้ 00:00:34.640 --> 00:00:36.560 ด้วยการทดลองหรือการสังเกตอื่น ๆ NOTE Paragraph 00:00:37.080 --> 00:00:38.416 ยกตัวอย่างนะครับ 00:00:38.440 --> 00:00:42.016 อย่างแรก คนเราเคยมองว่า โลกอยู่ด้านล่าง และท้องฟ้าอยู่ด้านบน 00:00:42.040 --> 00:00:45.920 และทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ก็ดูเหมือนจะโคจรไปรอบ ๆ พวกเขา 00:00:46.720 --> 00:00:48.256 คำอธิบายจากการเดาของพวกเขา 00:00:48.280 --> 00:00:51.360 ก็คือ โลกจะต้องเป็นศูนย์กลางของจักรวาลแน่ ๆ 00:00:52.240 --> 00:00:55.440 การคาดคะเนก็คือ ทุก ๆ อย่างควรที่จะโคจรรอบโลก 00:00:56.120 --> 00:00:57.776 มันได้รับการพิสูจน์จริง ๆ เป็นครั้งแรก 00:00:57.800 --> 00:01:00.616 เมื่อกาลิเลโอได้ใช้กล้องโทรทัศน์ หนึ่งในตัวแรก ๆ 00:01:00.640 --> 00:01:03.016 และในขณะที่เขามองดู ท้องฟ้าในยามค่ำคืนอยู่นั้น 00:01:03.040 --> 00:01:06.736 สิ่งที่เขาพบก็คือดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง นามว่าดาวพฤหัส 00:01:06.760 --> 00:01:10.760 ที่มีดวงจันทร์สี่ดวงโคจรอยู่รอบมัน 00:01:11.760 --> 00:01:16.136 จากนั้นเขาก็ใช้ดวงจันทร์เหล่านั้น เพื่อติดตามเส้นทางการโคจรของดาวพฤหัส 00:01:16.160 --> 00:01:19.896 และพบว่าดาวพฤหัสเองก็ไม่ได้โคจรรอบโลก 00:01:19.920 --> 00:01:21.880 แต่โคจรรอบดวงอาทิตย์ 00:01:23.160 --> 00:01:25.440 ฉะนั้น การคาดคะเนนั้นก็ผิด 00:01:26.400 --> 00:01:28.496 และสิ่งนี้ก็นำไปสู่การล้มล้างทฤษฎี 00:01:28.520 --> 00:01:30.696 ที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล NOTE Paragraph 00:01:30.720 --> 00:01:34.816 อีกตัวอย่างหนึ่ง เซอร์ ไอแซค นิวตัน สังเกตเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ หล่นลงสู่พื้นโลก 00:01:34.840 --> 00:01:37.760 คำอธิบายจากการคาดเดานี้คือแรงโน้มถ่วง 00:01:38.520 --> 00:01:41.656 ซึ่งเป็นการคาดคะเนว่า ทุกอย่างควรจะตกลงสู่พื้นโลก 00:01:41.680 --> 00:01:45.240 แต่แน่ล่ะ ไม่ใช่ทุกอย่างจะตกลงสู่พื้นโลก 00:01:46.200 --> 00:01:47.760 แล้วเราทิ้งทฤษฎีแรงโน้มถ่วงไปอย่างนั้นหรือ 00:01:48.920 --> 00:01:53.336 ไม่ครับ เราแก้ไขทฤษฎีนั้น และบอกว่า แรงโน้มถ่วงดึงสิ่งต่าง ๆ ลงสู่โลก 00:01:53.360 --> 00:01:57.560 เว้นเสียแต่ว่า มีแรงในทิศทางตรงข้ามที่เท่ากัน 00:01:58.160 --> 00:02:00.320 นั่นนำเราไปสู่การเรียนรู้สิ่งใหม่ 00:02:00.920 --> 00:02:04.176 เราเริ่มที่จะให้ความสนใจมากขึ้น กับนกและปีกของนก 00:02:04.200 --> 00:02:06.576 และคุณลองนึกถึงการค้นพบทั้งหลาย 00:02:06.600 --> 00:02:08.639 ที่พรั่งพรูออกมา จากแนวความคิดนั้นดูสิครับ 00:02:09.639 --> 00:02:14.776 ฉะนั้นการทดสอบที่ผิดพลาด ข้อยกเว้น และค่าที่แปลกแยกต่าง ๆ 00:02:14.800 --> 00:02:19.360 สอนเราในสิ่งที่เราไม่รู้ และนำเราไปสู่สิ่งใหม่ 00:02:20.000 --> 00:02:23.200 นี่คือวิธีที่วิทยาศาสตร์รุดไปข้างหน้า นี่คือวิธีที่วิทยาศาสตร์เรียนรู้ NOTE Paragraph 00:02:23.840 --> 00:02:26.096 บางครั้งตามสื่อ หรือที่อาจเกิดได้ยากยิ่งกว่า 00:02:26.120 --> 00:02:28.536 ก็คือในบางครั้ง แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังพูด 00:02:28.560 --> 00:02:31.320 ว่าบางสิ่งบางอย่าง ได้ถูกพิสูจน์แล้วในทางวิทยาศาสตร์ 00:02:31.880 --> 00:02:36.456 แต่ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจ ว่าวิทยาศาสตร์ไม่เคยพิสูจน์อะไร 00:02:36.480 --> 00:02:38.360 ที่เป็นจริงไปตลอดกาล 00:02:39.520 --> 00:02:43.336 หวังว่า วิทยาศาสตร์จะยังคงสงสัยใคร่รู้มากพอ 00:02:43.360 --> 00:02:44.776 ที่จะมองหาสิ่งใหม่ ๆ 00:02:44.800 --> 00:02:46.776 และถ่อมตนพอที่จะยอมรับ 00:02:46.800 --> 00:02:48.296 เมื่อเราพบกับ 00:02:48.320 --> 00:02:50.016 ค่าแปลกแยกใหม่ 00:02:50.040 --> 00:02:51.536 ข้อยกเว้นใหม่ 00:02:51.560 --> 00:02:53.856 ซึ่ง เช่นเดียวกับดวงจันทร์ของดาวพฤหัส 00:02:53.880 --> 00:02:56.480 สอนเราในสิ่งที่เราไม่รู้จริง NOTE Paragraph 00:02:57.160 --> 00:02:59.696 ทีนี้เราจะมาเปลี่ยนเกียร์กันสักหน่อย 00:02:59.720 --> 00:03:01.656 คทางูไขว้ หรือสัญลักษณ์ทางการแพทย์ 00:03:01.680 --> 00:03:04.136 มีความหมายที่แตกต่างกันไปมากมาย ตามแต่ละบุคคล 00:03:04.160 --> 00:03:06.416 แต่ในความหมายสาธารณะส่วนใหญ่ ในทางการแพทย์นั้น 00:03:06.440 --> 00:03:09.216 ได้ทำให้มันกลายเป็นปัญหาทางวิศวกรรม 00:03:09.240 --> 00:03:10.976 เรามีการประชุมมากมายในสภาคองเกรส 00:03:11.000 --> 00:03:15.000 และคณะกรรมการบริษัทประกันต่าง ๆ ที่ประชุมเพื่อหาทางว่าจะจ่ายเงินค่ารักษาอย่างไร 00:03:15.680 --> 00:03:17.296 ทั้งนักศีลธรรมและนักระบาดวิทยา 00:03:17.320 --> 00:03:20.016 ต่างพยายามหาทางว่า จะกระจายการแพทย์ออกไปให้ดีที่สุดได้อย่างไร 00:03:20.040 --> 00:03:22.696 และทั้งโรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์นั้น 00:03:22.720 --> 00:03:24.656 ต่างก็จดจ่ออยู่กับระเบียบการ และสิ่งที่ต้องทำกันแบบโงหัวไม่ขึ้น 00:03:24.680 --> 00:03:28.216 เพื่อพยายามหาทางว่า จะใช้การรักษาแบบไหนจึงจะปลอดภัยที่สุด 00:03:28.240 --> 00:03:30.360 ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นสิ่งที่ดีครับ 00:03:30.960 --> 00:03:33.696 อย่างไรก็ดี พวกเขาเองต่างก็เหมาเอาว่า 00:03:33.720 --> 00:03:35.696 ตำราทางการแพทย์นั้น 00:03:35.720 --> 00:03:38.240 สมบูรณ์แล้วในระดับหนึ่ง 00:03:39.160 --> 00:03:41.656 เราเริ่มที่จะวัดคุณภาพ ของระบบสาธารณสุขของเรา 00:03:41.680 --> 00:03:44.216 จากความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึง 00:03:44.240 --> 00:03:46.336 ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ในสภาวะเช่นนี้ 00:03:46.360 --> 00:03:49.176 สถาบันต่าง ๆ ของเรา ที่ออกข้อกำหนดด้านการสาธารณสุข 00:03:49.200 --> 00:03:51.696 ถึงเริ่มมีหน้าตาเหมือน ร้านบริการล้างรถเข้าไปทุกที NOTE Paragraph 00:03:51.720 --> 00:03:54.296 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:03:54.320 --> 00:03:58.256 ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือ เมื่อผมจบการศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์ 00:03:58.280 --> 00:04:00.336 ผมไม่ได้รับอุปกรณ์เล็ก ๆ นั่น 00:04:00.360 --> 00:04:02.736 ที่ช่างใช้ต่อเข้าไปในรถของคุณ 00:04:02.760 --> 00:04:05.136 แล้วก็รู้เลยว่ารถคุณมีปัญหาบกพร่องอะไร 00:04:05.160 --> 00:04:07.256 เพราะว่าจริง ๆ แล้วตำราทางการแพทย์ 00:04:07.280 --> 00:04:08.800 ไม่ได้เบ็ดเสร็จสมบูรณ์เช่นนั้น 00:04:09.320 --> 00:04:11.160 การแพทย์คือวิทยาศาสตร์ 00:04:11.560 --> 00:04:14.240 การแพทย์คือความรู้ที่ยังอยู่ในกระบวนการ 00:04:15.280 --> 00:04:16.656 เราทำการสังเกต 00:04:16.680 --> 00:04:18.815 เราคาดเดาถึงคำอธิบายต่อผลการสังเกตนั้น 00:04:18.839 --> 00:04:21.456 และจากนั้นเราก็ทำการคาดคะเน ที่เราสามารถทดสอบได้ 00:04:21.480 --> 00:04:25.056 ที่นี้ พื้นที่ในการทดสอบการคาดคะเน ทางการแพทย์ส่วนใหญ่ 00:04:25.080 --> 00:04:26.616 คือกลุ่มประชากร 00:04:26.640 --> 00:04:30.216 และคุณอาจจำได้จาก ตอนเรียนวิชาชีววิทยาที่แสนน่าเบื่อ 00:04:30.240 --> 00:04:32.416 ว่ากลุ่มประชากรมักจะมีการแจกแจง 00:04:32.440 --> 00:04:33.656 ไปรอบ ๆ ค่าเฉลี่ย 00:04:33.680 --> 00:04:35.536 แบบเกาส์เซียน หรือโค้งปกติ 00:04:35.560 --> 00:04:37.216 ดังนั้น ในทางการแพทย์ 00:04:37.240 --> 00:04:40.456 หลังจากที่เราทำการคาดคะเน จากคำอธิบายที่ได้มาจากการคาดเดาแล้ว 00:04:40.480 --> 00:04:42.360 เราก็จะทดสอบมันในกลุ่มประชากร 00:04:43.320 --> 00:04:46.256 นั่นหมายความว่าสิ่งที่เรารู้ในทางการแพทย์ 00:04:46.280 --> 00:04:48.536 ความรู้ของเรา และทักษะวิธีการต่าง ๆ ของเรา 00:04:48.560 --> 00:04:50.816 มาจากกลุ่มประชากร 00:04:50.840 --> 00:04:53.616 แต่เราสามารถนำมันไปใช้ได้ 00:04:53.640 --> 00:04:55.376 ถึงแค่ของเขต ค่าแปลกแยกใหม่ 00:04:55.400 --> 00:04:56.616 ข้อจำกัดใหม่ 00:04:56.640 --> 00:04:58.376 ซึ่ง เช่นเดียวกับดวงจันทร์ของดาวพฤหัส 00:04:58.400 --> 00:05:00.800 ที่สอนให้เรารู้ในสิ่งที่เรายังไม่รู้จริง NOTE Paragraph 00:05:02.080 --> 00:05:03.416 ทีนี้ ผมเป็นหมอผ่าตัด 00:05:03.440 --> 00:05:05.856 ที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็งซาร์โคมา 00:05:05.880 --> 00:05:08.080 มะเร็งซาร์โคมาเป็น มะเร็งที่พบได้ยากมาก 00:05:08.720 --> 00:05:10.760 มันเป็นมะเร็งที่พบได้ในเนื้อและกระดูก 00:05:11.240 --> 00:05:15.576 และผมขอบอกคุณเลยว่า ผู้ป่วยของผมทุกคนนั้นคือค่าที่แปลกแยก 00:05:15.600 --> 00:05:16.800 คือข้อยกเว้น 00:05:18.000 --> 00:05:21.216 ไม่มีการผ่าตัดผู้ป่วย มะเร็งซาร์โคมาครั้งไหน 00:05:21.240 --> 00:05:25.496 ที่ผมได้รับการชี้แนะโดย การทดลองทางคลินิกที่ถูกควบคุมเชิงสุ่ม 00:05:25.520 --> 00:05:29.240 ซึ่งเรามองว่าเป็นหลักฐานจากกลุ่มประชากร ที่ดีที่สุดในทางการแพทย์ 00:05:30.400 --> 00:05:32.696 ผู้คนต่างพูดถึงการคิดนอกกรอบ 00:05:32.720 --> 00:05:35.456 แต่ว่าเราไม่มีกรอบ ในเรื่องมะเร็งซาร์โคมาด้วยซ้ำ 00:05:35.480 --> 00:05:38.816 สิ่งที่เรามีในขณะที่เราแหวกว่าย ไปในบ่อเลนแห่งความไม่แน่นอน 00:05:38.840 --> 00:05:42.976 ความไม่รู้ ข้อยกเว้น และค่าแปลกแยกต่าง ๆ ที่รายล้อมเราอยู่ในเรื่องมะเร็งซาร์โคมานั้น 00:05:43.000 --> 00:05:47.536 คือทางลัดไปสู่คุณค่าสองอย่าง ที่ผมคิดว่ามีความสำคัญมากที่สุด 00:05:47.560 --> 00:05:49.096 ในทุก ๆ ศาสตร์ซึ่งก็คือ 00:05:49.120 --> 00:05:51.320 ความถ่อมตนและความสงสัยใคร่รู้ 00:05:52.000 --> 00:05:54.296 เพราะว่า หากผมถ่อมตนและสงสัยใคร่รู้แล้ว 00:05:54.320 --> 00:05:56.616 เมื่อผู้ป่วยสักคนถามคำถามกับผม 00:05:56.640 --> 00:05:58.080 และผมไม่รู้คำตอบ 00:05:58.920 --> 00:06:00.136 ผมจะถามเพื่อนร่วมงาน 00:06:00.160 --> 00:06:03.176 ที่อาจกำลังดูแลผู้ป่วยมะเร็งซาร์โคมา อีกคนหนึ่งที่มีอาการคล้าย ๆ กัน 00:06:03.200 --> 00:06:05.896 เราอาจจะทำให้เกิดความร่วมมือ ในระดับนานาชาติด้วยซ้ำ 00:06:05.920 --> 00:06:09.056 ผู้ป่วยเหล่านั้นจะเริ่มพูดคุยกัน ผ่านช่องทางการสนทนาต่าง ๆ 00:06:09.080 --> 00:06:10.280 และกลุ่มสนับสนุน (support groups) 00:06:10.800 --> 00:06:14.376 เพราะการสื่อสารอย่างใคร่รู้ และถ่อมตนแบบนี้นี่เอง 00:06:14.400 --> 00:06:17.960 ที่ทำให้เราได้เริ่มใช้ความพยายาม และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ NOTE Paragraph 00:06:19.240 --> 00:06:21.296 อย่างเช่น คน ๆ นี้ คือคนไข้รายหนึ่งของผม 00:06:21.320 --> 00:06:23.000 ที่เป็นมะเร็งใกล้กับบริเวณเข่า 00:06:23.480 --> 00:06:25.856 เพราะการสื่อสารอย่างใคร่รู้และถ่อมตน 00:06:25.880 --> 00:06:27.976 ในความร่วมมือระดับนานาชาตินี่เอง 00:06:28.000 --> 00:06:32.536 เราจึงได้เรียนรู้ว่า เราสามารถนำข้อเท้ามาปรับเป็นเข่าได้ 00:06:32.560 --> 00:06:34.816 เมื่อเราต้องผ่าตัดเอาเข่าที่เป็นมะเร็งออกไป 00:06:34.840 --> 00:06:37.680 จากนั้นเขาก็สามารถใส่ขาเทียม แล้ววิ่ง กระโดด และเล่นได้ 00:06:38.360 --> 00:06:41.376 เขามีโอกาสนี้ได้ 00:06:41.400 --> 00:06:44.176 ก็เพราะความร่วมมือระดับนานาชาติ 00:06:44.200 --> 00:06:45.896 เขาพึงพอใจกับมันมาก 00:06:45.920 --> 00:06:48.880 เพราะก่อนหน้านั้นเขาได้ติดต่อ ผู้ป่วยคนอื่น ๆ ที่เผชิญกับสิ่งเดียวกัน 00:06:49.920 --> 00:06:53.976 ฉะนั้น ข้อยกเว้นและค่าแปลกแยก ในทางการแพทย์นั้น 00:06:54.000 --> 00:06:57.960 ไม่เพียงแต่สอนให้เรารู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ แต่ยังนำเราไปสู่แนวคิดใหม่ ๆ ด้วย NOTE Paragraph 00:06:59.080 --> 00:07:00.936 ทีนี้ ตรงนี้สำคัญมากนะครับ 00:07:00.960 --> 00:07:04.816 แนวคิดใหม่ ๆ ทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นมา จากค่าแปลกแยกและข้อยกเว้นทางการแพทย์ 00:07:04.840 --> 00:07:08.200 ไม่ได้ใช้ได้แค่กับ ค่าแปลกแยกและข้อยกเว้นเท่านั้น 00:07:08.920 --> 00:07:12.096 เราไม่ได้เรียนรู้แค่วิธีการดูแล ผู้ป่วยมะเร็งซาร์โคมา 00:07:12.120 --> 00:07:14.080 จากผู้ป่วยมะเร็งซาร์โคมาเท่านั้น 00:07:14.920 --> 00:07:16.976 บางครั้ง ค่าแปลกแยก 00:07:17.000 --> 00:07:18.696 และข้อยกเว้น 00:07:18.720 --> 00:07:21.960 ก็สอนเราถึงสิ่งที่ค่อนข้างเป็นประโยชน์มาก ต่อกลุ่มประชากรทั่วไป 00:07:23.360 --> 00:07:25.216 เช่นเดียวกับต้นไม้ที่อยู่นอกป่า 00:07:25.240 --> 00:07:29.256 ค่าแปลกแยกและข้อยกเว้น ต่างดึงความสนใจของเรา 00:07:29.280 --> 00:07:33.616 และอาจนำเราไปสู่ความเข้าใจ ที่มากกว่าเดิมว่าต้นไม้คืออะไร 00:07:33.640 --> 00:07:36.136 เรามักมองแต่เรื่องใหญ่ ๆ อย่างป่าไม้ที่หายไป 00:07:36.160 --> 00:07:37.976 แต่กลับลืมมองเรื่องเล็ก ๆ 00:07:38.000 --> 00:07:39.520 อย่างต้นไม้สักต้นที่หายไปจากป่า 00:07:41.000 --> 00:07:42.856 แต่ต้นไม้ที่อยู่อย่างโดด ๆ นั้น 00:07:42.880 --> 00:07:45.776 ทำให้ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่กำหนดนิยามว่าต้นไม้คืออะไร 00:07:45.800 --> 00:07:49.616 รวมถึงความสัมพันธ์ต่าง ๆ ระหว่างลำต้น รากและกิ่ง 00:07:49.640 --> 00:07:50.880 ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 00:07:51.360 --> 00:07:53.056 ถึงแม้ว่าต้นไม้นั้น อาจจะแปลกประหลาดไปบ้าง 00:07:53.080 --> 00:07:56.056 หรือแม้ว่ามันจะมีความสัมพันธ์ ระหว่างลำต้น ราก และกิ่ง 00:07:56.080 --> 00:07:58.376 ในแบบที่ไม่ปกติ 00:07:58.400 --> 00:08:01.096 อย่างไรเสีย มันก็ดึงความสนใจของเรา 00:08:01.120 --> 00:08:03.016 และสามารถทำให้เราทำการสังเกต 00:08:03.040 --> 00:08:05.280 ที่เราจะสามารถทดสอบต่อไปได้ กับกลุ่มประชากรทั่วไป NOTE Paragraph 00:08:06.000 --> 00:08:07.976 ผมบอกคุณว่ามะเร็งซาร์โคมานั้น เป็นมะเร็งที่พบได้ยาก 00:08:08.000 --> 00:08:10.640 พวกมันคิดเป็นเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ของมะเร็งทั้งหมด 00:08:11.280 --> 00:08:15.240 คุณอาจยังรู้อีกว่ามะเร็งนั้น จัดเป็นโรคทางพันธุกรรมอย่างหนึ่ง 00:08:15.840 --> 00:08:19.176 ตามนิยามของโรคทางพันธุกรรม มะเร็งเกิดจากออนโคยีน (oncogenes) 00:08:19.200 --> 00:08:20.576 ที่ถูกกระตุ้นให้ทำงานในมะเร็ง 00:08:20.600 --> 00:08:23.640 และยีนกดการเจริญของเนื้องอก ที่ถูกปิดการทำงานซึ่งทำให้เกิดมะเร็ง 00:08:24.160 --> 00:08:26.576 คุณอาจคิดว่า เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับออนโคยีน 00:08:26.600 --> 00:08:28.816 และยีนกดการเจริญของเนื้องอก จากมะเร็งทั่ว ๆ ไป 00:08:28.840 --> 00:08:30.816 อย่างมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก 00:08:30.840 --> 00:08:32.336 และมะเร็งปอด 00:08:32.360 --> 00:08:33.559 แต่คุณอาจคิดผิด 00:08:34.000 --> 00:08:36.895 เรารู้จักออนโคยีน และยีนกดการเจริญของเนื้องอก 00:08:36.919 --> 00:08:38.135 เป็นครั้งแรก 00:08:38.159 --> 00:08:41.600 จากมะเร็งที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยนิด เพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็น ที่เรียกว่าซาร์โคมา 00:08:42.760 --> 00:08:45.336 ในปี ค.ศ. 1966 เพย์ตัน รูว์ ได้รับรางวัลโนเบล 00:08:45.360 --> 00:08:47.376 จากการค้นพบว่าไก่ 00:08:47.400 --> 00:08:50.520 มีมะเร็งซาร์โคมาในรูปแบบที่ติดต่อได้ 00:08:51.260 --> 00:08:54.096 สามสิบปีต่อมา แฮโรลด์ เวอร์มุส และไมค์ บิชอป ได้ค้นพบ 00:08:54.120 --> 00:08:56.656 ว่าส่วนที่สามารถแพร่ต่อไปได้นั้นคืออะไร 00:08:56.680 --> 00:08:58.256 มันคือไวรัสชนิดหนึ่ง 00:08:58.280 --> 00:08:59.696 ที่มียีน 00:08:59.720 --> 00:09:01.160 ที่เรียกว่า ซาร์โคมา ออนโคยีน (src oncogene) 00:09:01.880 --> 00:09:05.536 ทีนี้ ผมไม่ได้บอกคุณว่า src เป็น ออนโคยีนที่สำคัญที่สุด 00:09:05.560 --> 00:09:06.776 ผมไม่ได้บอกคุณว่า 00:09:06.800 --> 00:09:10.296 ว่า src เป็นยีนที่ถูกเปิดการทำงาน บ่อยที่สุดในมะเร็งทุกชนิด 00:09:10.320 --> 00:09:12.760 แต่ว่ามันเป็นออนโคยีนตัวแรก 00:09:13.960 --> 00:09:16.296 ข้อยกเว้นและค่าแปลกแยก 00:09:16.320 --> 00:09:18.840 ดึงความสนใจของเราและนำเราไปสู่บางสิ่ง 00:09:19.520 --> 00:09:23.560 ที่สอนเราถึงสิ่งสำคัญอื่น ๆ มากมาย เกี่ยวกับชีววิทยาเรื่องอื่น ๆ NOTE Paragraph 00:09:24.880 --> 00:09:28.976 ทีนี้ TP53 คือยีนกดการเจริญเนื้องอกที่สำคัญที่สุด 00:09:29.000 --> 00:09:31.736 มันเป็นยีนกดการเจริญเนื้องอก ที่ถูกปิดการทำงานบ่อยที่สุด 00:09:31.760 --> 00:09:33.560 ในมะเร็งเกือบทุกชนิด 00:09:34.360 --> 00:09:36.656 แต่เราไม่ได้รู้จักมันจากมะเร็งทั่ว ๆ ไป 00:09:36.680 --> 00:09:39.096 เรารู้จักมันตอนที่ นายแพทย์ลี และฟราเมนี 00:09:39.120 --> 00:09:40.696 มองไปที่ครอบครัวต่าง ๆ 00:09:40.720 --> 00:09:42.736 แล้วสะกิดใจว่าครอบครัวเหล่านี้ 00:09:42.760 --> 00:09:45.280 มีคนที่เป็นมะเร็งซาร์โคมามากเกินไป 00:09:45.920 --> 00:09:47.696 ผมบอกคุณไปว่า มะเร็งซาร์โคมานั้นพบได้ยาก 00:09:47.720 --> 00:09:50.896 จำได้ไหมครับว่าโอกาสมีแค่หนึ่งในล้าน 00:09:50.920 --> 00:09:53.056 ถ้ามันเกิดขึ้นถึงสองครั้ง ในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง 00:09:53.080 --> 00:09:55.480 มันก็เหมือนจะเกิดขึ้นง่ายเกินไปแล้ว ในครอบครัวนั้น ๆ 00:09:56.640 --> 00:09:59.336 เหตุผลที่ว่ามันพบได้ยากนั้น 00:09:59.360 --> 00:10:00.800 ทำให้เราหันมาสนใจ 00:10:01.760 --> 00:10:04.000 และนำเราไปสู่แนวคิดใหม่ NOTE Paragraph 00:10:05.480 --> 00:10:06.936 ทีนี้ พวกคุณหลายคนอาจบอกว่า 00:10:06.960 --> 00:10:08.496 และอาจพูดถูกว่า 00:10:08.520 --> 00:10:10.416 อืม นั่นมันก็เจ๋งอยู่นะ เคลวิน 00:10:10.440 --> 00:10:12.496 แต่คุณไม่ได้กำลังพูดถึงปีกของนกนะ 00:10:12.520 --> 00:10:16.000 คุณไม่ได้กำลังพูดถึงดวงจันทร์ ที่ลอยอยู่รอบ ๆ ดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าพฤหัส 00:10:16.520 --> 00:10:18.056 นี่คือมนุษย์คนหนึ่งเลยนะ 00:10:18.080 --> 00:10:21.336 ค่าแปลกแยกและข้อยกเว้นนี้ อาจนำเรา ไปสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็จริงอยู่ 00:10:21.360 --> 00:10:22.560 แต่นี่มันคนนะ 00:10:24.280 --> 00:10:25.896 และผมก็พูดได้แต่เพียงว่า 00:10:25.920 --> 00:10:28.280 ผมรู้เรื่องนั้นดีอยู่แก่ใจ 00:10:29.760 --> 00:10:33.160 ผมได้สนทนากับผู้ป่วยที่เป็นโรคที่พบได้ยาก และเป็นอันตรายถึงชีวิตเหล่านี้ 00:10:33.800 --> 00:10:35.736 ผมเขียนเกี่ยวกับการสนทนาเหล่านี้ 00:10:35.760 --> 00:10:38.056 การสนทนาเหล่านี้เต็มไปด้วยเรื่องเลวร้าย 00:10:38.080 --> 00:10:39.896 พวกมันเต็มไปด้วยคำที่น่ากลัวมากมาย 00:10:39.920 --> 00:10:43.160 อย่างเช่น "ผมมีข่าวร้าย" หรือ "เราทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว" 00:10:43.760 --> 00:10:46.960 ในบางครั้ง การสนทนาเหล่านี้ ก็ทำให้คำคำหนึ่งหลุดออกมา 00:10:47.760 --> 00:10:48.960 "ระยะสุดท้าย" NOTE Paragraph 00:10:52.920 --> 00:10:55.840 ความเงียบอาจทำให้เรารู้สึกอึดอัดนิดหน่อย 00:10:57.360 --> 00:10:59.936 ในขณะที่การเว้นวรรคในวงการแพทย์นั้น 00:10:59.960 --> 00:11:01.816 อาจมีความสำคัญ 00:11:01.840 --> 00:11:04.080 เท่า ๆ กับคำที่เราใช้ในการสนทนาเหล่านี้ 00:11:05.080 --> 00:11:06.616 สิ่งที่เราไม่รู้คืออะไร 00:11:06.640 --> 00:11:08.840 การทดลองที่กำลังเกิดขึ้นอยู่มีอะไรบ้าง NOTE Paragraph 00:11:09.680 --> 00:11:11.376 มาลองทำอะไรง่าย ๆ ด้วยกันหน่อยครับ 00:11:11.400 --> 00:11:14.616 บนจอภาพนี้ เราเห็นคำว่า "ไม่มีทาง" 00:11:14.640 --> 00:11:15.920 สังเกตการเว้นวรรคให้ดี ๆ นะครับ 00:11:16.680 --> 00:11:19.880 ถ้าเราลองเลื่อนการเว้นวรรคนั้นไปเล็กน้อย 00:11:20.640 --> 00:11:22.216 "ไม่มีทาง" 00:11:22.240 --> 00:11:24.936 จะกลายเป็น "ไม่ [มัน]มีทาง" 00:11:24.960 --> 00:11:26.856 ซึ่งมีความหมายตรงข้ามโดยสิ้นเชิง 00:11:26.880 --> 00:11:29.080 แค่เพียงการเว้นวรรคใหม่แค่วรรคเดียว NOTE Paragraph 00:11:31.680 --> 00:11:33.256 ผมจะไม่มีวันลืมคืนนั้นเลย 00:11:33.280 --> 00:11:35.520 ที่ผมเดินเข้าไปในห้องของผู้ป่วยคนหนึ่ง 00:11:36.280 --> 00:11:37.936 ผมได้ทำการผ่าตัดอย่างยาวนานในวันนั้น 00:11:37.960 --> 00:11:39.976 แต่ผมก็ยังอยากที่จะไปพบเขา 00:11:40.000 --> 00:11:43.200 เขาเป็นเด็กชายที่ได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นมะเร็งกระดูกเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้น 00:11:43.840 --> 00:11:46.896 ผมและแม่ของเขาได้เข้าพบ แพทย์ด้านเคมีบำบัดหลายคน 00:11:46.920 --> 00:11:48.136 ก่อนหน้านั้นในวันนั้น 00:11:48.160 --> 00:11:51.136 และเขาได้ถูกส่งไปยังโรงพยาบาล เพื่อเริ่มรักษามะเร็งด้วยเคมีบำบัด 00:11:51.160 --> 00:11:53.336 ตอนที่ผมไปถึงห้องของเขา ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว 00:11:53.360 --> 00:11:55.536 เขาหลับอยู่ แต่ผมเห็นแม่ของเขา 00:11:55.560 --> 00:11:57.136 กำลังอ่านหนังสือใต้แสงไฟฉาย 00:11:57.160 --> 00:11:58.616 ข้าง ๆ เตียงของเขา 00:11:58.640 --> 00:12:01.440 เธอออกมาที่ทางเดินข้างนอก เพื่อคุยกับผมเป็นเวลาสองสามนาที 00:12:02.280 --> 00:12:04.376 ปรากฏว่าสิ่งที่เธอกำลังอ่านอยู่นั้น 00:12:04.400 --> 00:12:06.576 คือวิธีการรักษาที่แพทย์เคมีบำบัดเหล่านั้น 00:12:06.600 --> 00:12:07.840 ได้ให้กับเธอในวันนั้น 00:12:08.200 --> 00:12:09.440 เธอจดจำมันเรียบร้อยแล้ว 00:12:11.200 --> 00:12:14.736 เธอบอกว่า "คุณหมอโจนส์คะ คุณบอกฉัน 00:12:14.760 --> 00:12:16.936 ว่าเราไม่ได้เอาชนะ 00:12:16.960 --> 00:12:18.240 มะเร็งประเภทนี้ได้เสมอไป 00:12:19.680 --> 00:12:23.160 แต่ฉันได้ศึกษาวิธีการรักษานี้แล้ว และฉันคิดว่าฉันทำได้ 00:12:23.960 --> 00:12:27.536 ฉันคิดว่าฉันรับได้ กับการบำบัดที่ยากลำบากมาก ๆ เหล่านี้ 00:12:27.560 --> 00:12:30.536 ฉันจะลาออกจากงาน ฉันจะย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ 00:12:30.560 --> 00:12:32.520 ฉันจะทำให้ลูกของฉันปลอดภัย" 00:12:35.320 --> 00:12:36.520 ผมไม่ได้บอกเธอ 00:12:37.840 --> 00:12:40.760 ผมไม่ได้หยุดเธอเพื่อเปลี่ยนความคิดของเธอ 00:12:41.680 --> 00:12:43.936 เธอกำลังปักใจเชื่อในวิธีการนี้ 00:12:43.960 --> 00:12:47.176 ที่ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดแล้วก็ตาม 00:12:47.200 --> 00:12:49.600 ก็อาจช่วยชีวิตลูกชายของเธอไว้ไม่ได้ 00:12:51.960 --> 00:12:53.160 ผมไม่ได้บอกเธอ 00:12:54.360 --> 00:12:55.760 ผมไม่ได้เติมคำลงไปในช่วงที่เว้นวรรคนั้น 00:12:57.080 --> 00:12:59.056 แต่หนึ่งปีครึ่งหลังจากนั้น 00:12:59.080 --> 00:13:01.800 ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ลูกชายของเธอก็เสียชีวิตด้วยมะเร็ง 00:13:03.400 --> 00:13:04.720 ผมควรที่จะบอกเธอไหมในตอนนั้น NOTE Paragraph 00:13:05.360 --> 00:13:07.616 ทีนี้ พวกคุณหลาย ๆ คนอาจบอกว่า "แล้วไงล่ะ" 00:13:07.640 --> 00:13:08.896 ฉันไม่ได้เป็นมะเร็งซาร์โคมาซะหน่อย 00:13:08.920 --> 00:13:10.816 ครอบครัวฉันก็ไม่มีใครเป็นมะเร็งซาร์โคมา 00:13:10.840 --> 00:13:12.296 และทั้งหมดนี้มันก็ดีอยู่หรอกนะ 00:13:12.320 --> 00:13:15.016 แต่มันอาจไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตของฉันสักเท่าไร" 00:13:15.040 --> 00:13:16.296 และคุณอาจพูดถูก 00:13:16.320 --> 00:13:19.000 มะเร็งซาร์โคมา อาจไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตคุณมากนัก 00:13:21.040 --> 00:13:23.376 แต่การเว้นวรรคการพูดในทางการแพทย์นั้น 00:13:23.400 --> 00:13:24.720 สำคัญต่อชีวิตของคุณ NOTE Paragraph 00:13:26.520 --> 00:13:28.816 ผมไม่ได้บอกคุณถึงความลับแย่ ๆ อย่างหนึ่ง 00:13:28.840 --> 00:13:33.216 ผมบอกคุณว่าในทางการแพทย์ เราทดสอบการคาดคาดคะเนในกลุ่มประชากร 00:13:33.240 --> 00:13:34.496 แต่ผมไม่ได้บอกคุณ 00:13:34.520 --> 00:13:36.736 และบ่อยครั้งคนในวงการแพทย์จะไม่บอกคุณ 00:13:36.760 --> 00:13:39.616 ว่าทุกครั้งที่แต่ละคน 00:13:39.640 --> 00:13:41.736 เข้ารับการบริการทางการแพทย์ 00:13:41.760 --> 00:13:45.800 แม้ว่าคนคนนั้นจะอยู่ ในกลุ่มประชากรทั่วไปอย่างแท้จริงก็ตาม 00:13:47.360 --> 00:13:49.736 ทั้งเจ้าตัวและแพทย์จะไม่รู้เลย 00:13:49.760 --> 00:13:52.440 ว่าคนคนนั้นจะตกไปอยู่ในประชากรกลุ่มไหน 00:13:53.040 --> 00:13:55.736 ฉะนั้น การเข้ารับบริการทางการแพทย์ทุกครั้ง 00:13:55.760 --> 00:13:57.200 ก็คือการทดลองอย่างหนึ่ง 00:13:57.920 --> 00:13:59.936 คุณจะกลายเป็นตัวทดลอง 00:13:59.960 --> 00:14:01.640 ในการทดลองสักอย่างหนึ่ง 00:14:02.560 --> 00:14:07.400 และผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นผลที่ดีกว่า หรือไม่ก็แย่กว่าสำหรับคุณ 00:14:08.320 --> 00:14:10.336 ตราบใดที่การรักษานั้นยังใช้ได้ดี 00:14:10.360 --> 00:14:13.376 เราก็จะยังคงพึงพอใจกับบริการอันรวดเร็ว 00:14:13.400 --> 00:14:16.840 และคุยฟุ้งอวดเก่งได้อย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม 00:14:17.720 --> 00:14:19.376 แต่เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ผล 00:14:19.400 --> 00:14:21.240 บางครั้ง เราก็อยากได้ทางเลือกใหม่ NOTE Paragraph 00:14:22.520 --> 00:14:25.800 เพื่อนร่วมงานของผมผ่าเนื้องอก ออกจากแขนขาของผู้ป่วยรายหนึ่ง 00:14:26.920 --> 00:14:28.736 เขาเป็นกังวลกับเนื้องอกนี้ 00:14:28.760 --> 00:14:31.776 ในงานสัมมนาทางการแพทย์ของเรา เขาพูดถึงความกังวลของเขา 00:14:31.800 --> 00:14:33.216 ว่าเนื้องอกนี้เป็นเนื้องอก 00:14:33.240 --> 00:14:35.800 ประเภทที่มีโอกาสสูง ที่จะเกิดขึ้นซ้ำในแขนขาข้างเดิม 00:14:36.680 --> 00:14:38.656 แต่สิ่งที่เขาคุยกับผู้ป่วยคนนั้น 00:14:38.680 --> 00:14:40.776 คือสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการ นั่นก็คือ 00:14:40.800 --> 00:14:42.056 ความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม 00:14:42.080 --> 00:14:45.096 เขาบอกว่า "ผมรับมือกับมันได้แล้ว และคุณก็หายขาดแล้วด้วย" 00:14:45.120 --> 00:14:46.856 เธอและสามีของเธอตื่นเต้นมาก 00:14:46.880 --> 00:14:50.960 พวกเขาออกไปฉลองงานเลี้ยงอาหารค่ำ สุดเลิศหรู เปิดขวดแชมเปญ 00:14:52.040 --> 00:14:54.336 ปัญหาเดียวก็คือไม่กี่สัปดาห์ต่อมา 00:14:54.360 --> 00:14:57.456 เธอเริ่มสังเกตเห็นปุ่มเล็ก ๆ ปุ่มใหม่ที่บริเวณเดิม 00:14:57.480 --> 00:15:01.616 กลายเป็นว่าเขาไม่ได้รับมือกับมันได้จริง และเธอก็ไม่ได้หายขาดจริง ๆ 00:15:01.640 --> 00:15:04.480 แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ณ จุด ๆ นี้เอง ที่ทำให้ผมสนใจมาก 00:15:05.200 --> 00:15:06.816 เพื่อนร่วมงานของผม เข้ามาหาผมแล้วก็บอกว่า 00:15:06.840 --> 00:15:09.560 "เคลวิน จะเป็นอะไรไหมถ้าผม อยากให้คุณดูแลผู้ป่วยคนนี้แทนผม" 00:15:10.240 --> 00:15:13.456 ผมบอกว่า "ทำไมล่ะ คุณก็รู้ดีพอ ๆ กับผมนี่นา 00:15:13.480 --> 00:15:15.096 คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ" 00:15:15.120 --> 00:15:19.600 เขาบอกว่า "ขอร้องล่ะ ดูแลผู้ป่วยคนนี้ให้ผมเถอะนะ" 00:15:21.200 --> 00:15:22.736 เขารู้สึกอับอาย 00:15:22.760 --> 00:15:24.160 ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาได้ทำลงไป 00:15:25.154 --> 00:15:27.080 แต่เพราะสิ่งที่เขาได้พูดไว้ 00:15:27.760 --> 00:15:29.200 เพราะความมั่นใจที่มากเกินไป NOTE Paragraph 00:15:30.600 --> 00:15:33.216 ดังนั้น ผมก็เลยลงมือผ่าตัดในแบบที่ ผู้ป่วยอาจได้รับผลกระทบมากกว่า 00:15:33.240 --> 00:15:36.376 และพูดคุยกับผู้ป่วยคนนั้น ในแบบที่แตกต่างออกไปมากหลังจากนั้น 00:15:36.400 --> 00:15:38.736 ผมบอกว่า "เป็นไปได้สูงว่า ผมจัดการกับมันได้เรียบร้อยแล้ว 00:15:38.760 --> 00:15:41.176 และก็เป็นไปได้สูงว่าคุณหายขาดแล้ว 00:15:41.200 --> 00:15:44.360 แต่ว่านี่คือการทดลองที่เรากำลังทำอยู่ 00:15:45.040 --> 00:15:47.056 นี่คือสิ่งที่คุณจะต้องจับตามอง 00:15:47.080 --> 00:15:48.976 นี่คือสิ่งที่ผมจะต้องจับตามอง 00:15:49.000 --> 00:15:52.936 และเราก็จะต้องร่วมมือกัน เพื่อหาคำตอบว่าการผ่าตัดครั้งนี้ 00:15:52.960 --> 00:15:54.280 จะกำจัดมะเร็งของคุณได้หรือไม่" 00:15:54.920 --> 00:15:56.856 ผมบอกคุณได้เลยว่า ทั้งเธอและสามีของเธอ 00:15:56.880 --> 00:15:59.800 ไม่ได้วิ่งไปเปิดแชมเปญฉลอง เป็นครั้งที่สองหลังจากที่พูดคุยกับผม 00:16:01.600 --> 00:16:04.456 แต่ในตอนนี้ เธอได้กลายเป็น นักวิทยาศาสตร์ไปแล้ว 00:16:04.480 --> 00:16:07.840 ไม่ใช่เพียงแค่ตัวทดลองในการทดลองของเธอ NOTE Paragraph 00:16:09.960 --> 00:16:11.576 และดังนั้น ผมขอสนับสนุนให้คุณ 00:16:11.600 --> 00:16:15.056 มองหาความถ่อมตนและความสงสัยใคร่รู้ 00:16:15.080 --> 00:16:16.280 ในตัวแพทย์ของคุณ 00:16:16.760 --> 00:16:19.736 เกือบ 2 หมื่นล้านครั้งในแต่ละปี 00:16:19.760 --> 00:16:23.696 ที่จะมีสักคนเดินเข้าไปยังห้องทำงานของหมอ 00:16:23.720 --> 00:16:26.000 แล้วคนคนนั้นก็กลายเป็นผู้ป่วย 00:16:27.320 --> 00:16:30.840 คุณหรือใครสักคนที่คุณรัก จะกลายเป็นผู้ป่วยคนนั้นในไม่ช้า 00:16:31.840 --> 00:16:33.480 คุณจะพูดกับหมอของคุณอย่างไร 00:16:34.640 --> 00:16:35.840 คุณจะบอกอะไรกับพวกเขา 00:16:36.760 --> 00:16:38.280 พวกเขาจะบอกอะไรกับคุณ 00:16:40.600 --> 00:16:42.816 พวกเขาไม่สามารถบอกสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ 00:16:42.840 --> 00:16:44.360 ให้คุณทราบได้ 00:16:45.560 --> 00:16:49.120 แต่พวกเขาบอกคุณได้ว่าพวกเขาไม่รู้เมื่อใด 00:16:50.280 --> 00:16:51.640 เพียงแค่คุณเอ่ยปากถาม 00:16:52.160 --> 00:16:55.000 ฉะนั้น ได้โปรดเถอะครับ มาร่วมพูดคุยกัน NOTE Paragraph 00:16:56.200 --> 00:16:57.416 ขอบคุณครับ NOTE Paragraph 00:16:57.440 --> 00:17:00.308 (เสียงปรบมือ)