WEBVTT 00:00:07.569 --> 00:00:12.165 ดูเหมือนว่าเครื่องหมายอัฒภาค กำลังดิ้นรนกับวิกฤติทางเอกลักษณ์ 00:00:12.165 --> 00:00:15.083 มันดูเหมือนจุลภาคผสมกับมหัพภาค 00:00:15.083 --> 00:00:20.608 นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ เราใช้เครื่องหมายวรรคตอนนี้อย่างพร่ำเพรื่อ 00:00:20.608 --> 00:00:23.628 เพราะเราต่างสับสนในการใช้งานให้ถูกต้อง 00:00:23.628 --> 00:00:29.343 อันที่จริง เป็นเพราะสถานะก้ำกึ่งของอัฒภาค ที่ทำให้มันมีประโยชน์ 00:00:29.343 --> 00:00:33.393 อัฒภาคนั้นหนักแน่นกว่าจุลภาค และจบเบากว่ามหัพภาค 00:00:33.393 --> 00:00:36.764 มันเติมเต็มช่องว่างระหว่างกัน และด้วยเหตุนั้น 00:00:36.764 --> 00:00:40.526 มันจึงมีหน้าที่อันสำคัญและเฉพาะตัว 00:00:40.526 --> 00:00:43.579 อย่างแรกคือ มันสามารถชี้แจงแนวคิดในประโยค 00:00:43.579 --> 00:00:46.681 ที่ถูกห้อยด้วยจุลภาคหลายอัน 00:00:46.681 --> 00:00:50.217 "อัฒภาคอาจดูน่ากลัวในครั้งแรก 00:00:50.217 --> 00:00:52.757 แต่หลังจากนั้น พวกมันจะกระจ่างแจ้ง 00:00:52.757 --> 00:00:57.863 ท้ายที่สุด คุณจะพบว่าตัวเอง หลงใหลไปกับเครื่องหมายอันน่าอภิรมย์นี้" 00:00:57.863 --> 00:01:00.966 แม้ว่าจุลภาค จะแยกส่วนที่ต่างกันของประโยคออกจากกัน 00:01:00.966 --> 00:01:04.376 มันก็ง่ายที่จะหลงลืมว่าอะไรเป็นของที่ไหน 00:01:04.376 --> 00:01:07.751 ต่อมา อัฒภาคจึงตามมาเพื่อช่วยเหลือ 00:01:07.751 --> 00:01:12.269 ในประโยคที่แบ่งเป็นรายการ อัฒภาคสามารถส่งแรงมากกว่าที่จุลภาคทำได้ 00:01:12.269 --> 00:01:17.528 โดยตัดประโยคเป็นส่วน ๆ และจัดหมวดสิ่งที่อยู่ด้วยกัน 00:01:17.528 --> 00:01:22.413 อัฒภาคทำให้ของแตกออกจากกัน แต่ก็สร้างความเชื่อมโยงด้วย 00:01:22.413 --> 00:01:26.605 หน้าที่อีกอย่างของอัฒภาค คือเชื่อมข้อความที่เดิมแยกจากกัน 00:01:26.605 --> 00:01:29.436 พวกนี้คือประโยคที่ต่างอยู่ได้ด้วยตัวเอง 00:01:29.436 --> 00:01:31.556 แต่พอเชื่อมด้วยอัฒภาค 00:01:31.556 --> 00:01:35.662 ดูดีและไพเราะขึ้น เพราะต่างก็เชื่อมโยงกันในทางใดทางหนึ่ง 00:01:35.662 --> 00:01:38.812 "ครั้งหนึ่งอัฒภาคเคยเป็น สิ่งลึกลับอันยิ่งใหญ่สำหรับฉัน 00:01:38.812 --> 00:01:41.526 ฉันไม่รู้เลยว่าจะวางมันไว้ตรงไหน" 00:01:41.526 --> 00:01:43.695 ในทางเทคนิคแล้ว ไม่มีข้อผิดใด ๆ ณ ที่นี้ 00:01:43.695 --> 00:01:46.513 สองประโยคนี้สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ 00:01:46.513 --> 00:01:49.984 แต่ถ้าคิดภาพว่าสองประโยคนั้น ปรากฏท่ามกลางประโยคอื่นจำนวนมาก 00:01:49.984 --> 00:01:54.218 ในความยาวเท่า ๆ กัน แต่ละอันถูกแยกโดยมหัพภาค 00:01:54.218 --> 00:01:57.789 คงจะจืดจางลงอย่างเร็ว 00:01:57.789 --> 00:01:59.335 ในสถานการณ์เช่นนั้น 00:01:59.335 --> 00:02:02.382 อัฒภาคนำมาซึ่งความลื่นไหล และความหลากหลายในการเขียน 00:02:02.382 --> 00:02:04.927 จากการเชื่อมโยงข้อความที่เกี่ยวเนื่องกัน 00:02:04.927 --> 00:02:09.687 แต่แม้จะมีประโยชน์ อัฒภาคจะไม่ได้อยู่ได้ทุกที่ 00:02:09.687 --> 00:02:12.663 มีกฎหลักอยู่สองข้อที่ควบคุมการใช้งาน 00:02:12.663 --> 00:02:15.692 อย่างแรกคือ นอกจากว่าจะถูกใช้ในรายการ 00:02:15.692 --> 00:02:20.728 อัฒภาคควรจะเชื่อมเฉพาะ วลีที่เกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง 00:02:20.728 --> 00:02:22.884 ไม่ควรจะถูกใช้ที่แบบนี้ ตัวอย่างเช่น 00:02:22.884 --> 00:02:25.903 "ครั้งหนึ่งอัฒภาคเคยเป็น ความลึกลับอันยิ่งใหญ่สำหรับฉัน 00:02:25.903 --> 00:02:29.051 ฉันชอบทานแซนวิชจริง ๆ" 00:02:29.051 --> 00:02:33.647 มหัพภาคทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีที่สุด เพราะนี่คือสองใจความที่แตกต่างกัน 00:02:33.647 --> 00:02:37.787 หน้าที่ของอัฒภาคคือการทำให้สองวลีที่แยกกัน มาเชื่อมกันอีกครั้ง 00:02:37.787 --> 00:02:40.262 ซึ่งจะส่งผลดีต่อการมีอยู่ระหว่างกันและกัน 00:02:40.262 --> 00:02:42.446 เพราะต่างก็อ้างอิงกับสิ่งเดียวกัน 00:02:42.446 --> 00:02:46.489 อย่างที่สอง คุณจะแทบไม่เห็นอัฒภาคที่เต็มใจจะถูกใช้งาน 00:02:46.489 --> 00:02:49.250 หน้าคำสันธานเชื่อมประโยค 00:02:49.250 --> 00:02:55.763 คำว่า and, but, for, nor, or, so และ yet 00:02:55.763 --> 00:02:57.852 อันที่จริง ที่ตรงนี้เป็นของจุลภาค 00:02:57.852 --> 00:03:02.157 แต่อัฒภาคสามารถแทนที่คำสันธาน เพื่อตัดทอนประโยคให้สั้นลง 00:03:02.157 --> 00:03:04.149 หรือเพื่อให้ประโยคมีความหลากหลาย 00:03:04.149 --> 00:03:08.101 ท้ายที่สุดแล้ว เครื่องหมายวรรคตอนนี้ 00:03:08.101 --> 00:03:11.782 สามารถมอบความกระจ่าง พลัง และรูปแบบงานเขียน 00:03:11.782 --> 00:03:15.345 ทั้งหมดภายในหนึ่งจุดและรอยเส้นขนาดจิ๋ว 00:03:15.345 --> 00:03:18.486 ซึ่งเพียงแค่กำลังรอคอย ที่จะถูกวางลงในตำแหน่งที่ถูกต้อง