ที่จริงแล้ว ผมเคยพยายามนึกถึงอาชีพที่จะทำ หลังออกจากทำเนียบขาว และตัวอย่างที่เยี่ยมที่สุดที่ผมเจอ คือ การ์ตูนในนิตยสารเดอะ นิวยอร์คเกอร์ 2-3 ปีก่อน มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ มองขึ้นไปที่พ่อ และพูดว่า "พ่อครับ โตขึ้นผมอยากเป็นอดีตประธานาธิบดี" (เสียงหัวเราะ) ผมรู้สึกโชคดีมาก ในฐานะอดีตประธานาธิบดี เพราะผมได้มีโอกาสเข้าถึง สิ่งที่น้อยคนนักในโลกนี้ จะได้มีโอกาสเข้าถึง นั่นคือการได้รู้จักคนมากมาย ทั่วทั้งจักรวาลนี้ ผมไม่เพียงแต่คุ้นเคย กับ 50 รัฐในสหรัฐอเมริกา แต่ผมและภรรยายังได้ไปเยือนประเทศต่างๆ มากกว่า 145 ประเทศทั่วโลก และศูนย์คาร์เตอร์ (Carter Center) ก็มีโครงการเต็มเวลาใน 80 ประเทศทั่วโลก และบ่อยครั้ง เมื่อเราไปยังประเทศสักประเทศ เราไม่เพียงแค่พบพระราชา หรือประธานาธิบดี แต่เรายังได้พบชาวบ้าน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลในแอฟริกา ดังนั้น ความมุ่งมั่นของเรา ที่ศูนย์คาร์เตอร์ คือการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และเท่าที่ผมรู้จักโลกมา ผมบอกคุณได้โดยไม่อ้อมค้อมเลยว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนอันดับหนึ่งในโลกนี้ ซึ่งน่าแปลกที่มันไม่ค่อยได้รับการแก้ไข ก็คือ การกดขี่ข่มเหงเด็กและสตรี (เสียงปรบมือ) เรื่องนี้มีเหตุผลสองสามข้อ ที่ผมจะเริ่มพูดต่อไปนี้ ข้อแรกเลยก็คือ การตีความผิดๆ จากคัมภีร์ทางศาสนา คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ในไบเบิล พันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเก่า คัมภีร์กุรอ่าน และอื่นๆ ซึ่งถูกตีความผิดๆ โดยผู้ชายที่อยู่ในตำแหน่งทรงอำนาจ ในสุเหร่ายิว โบสถ์คริสต์ และสุเหร่ามุสลิม พวกเขาตีความกฎเหล่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้หญิง ถูกลดคุณค่าลงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นรอง เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชายในสายตาพระเจ้า นี่เป็นปัญหาที่สำคัญมาก แต่โดยทั่วไปแล้วมันไม่ถูกแก้ไขเลย หลายปีก่อน ในปี 2000 ผมเคยเป็นคริสต์นิกายแบ็บติสฝ่ายใต้ เป็นเวลา 70 ปี ผมยังสอนโรงเรียนศาสนาวันอาทิตย์ อยู่ทุกวันอาทิตย์เลย วันอาทิตย์นี้ก็มีสอน แต่การประชุมชาวแบ็บติสฝ่ายใต้ ในปี ค.ศ. 2000 มีการลงมติว่า ผู้หญิงควรรับบทบาทรอง อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าผู้ชาย แล้วเขาก็ออกคำสั่งมาบังคับใช้ ว่าห้ามผู้หญิงเป็นพระ บาทหลวง หรือผู้ช่วยพระในโบสถ์ หรืออนุศาสนาจารย์ในกองทัพ และถ้าผู้หญิงสอนในห้องเรียน ในโรงเรียนสอนศาสนาแบ็บติสฝ่ายใต้ พวกเธอจะสอนไม่ได้ถ้ามีเด็กผู้ชายอยู่ในห้อง เพราะคุณสามารถหาข้อความในไบเบิล ก็ในไบเบิลมีข้อความตั้ง 30,000 ประโยค ที่บอกว่าผู้หญิงไม่ควรสอนผู้ชาย อะไรทำนองนั้น ประเด็นหลักเลยคือ คัมภีร์นั้นถูกบิดเบือน เพื่อปกป้องผู้ชายไว้ในตำแหน่งที่มีอำนาจ นั่นเป็นปัญหาที่แพร่หลายมาก เพราะผู้ชายสามารถใช้อำนาจนั้นได้ และถ้าสามีหรือนายจ้าง อยากจะโกงหรือนอกใจผู้หญิง เขาก็สามารถบอกได้ว่า ถ้าผู้หญิงไม่เท่าเทียมกับผู้ชายในสายตาพระเจ้า ทำไมฉันจะต้องปฏิบัติกับผู้หญิง อย่างเท่าเทียมล่ะ ทำไมฉันต้องจ่ายค่าจ้างผู้หญิงเท่าผู้ชาย ในหน้าที่การงานแบบเดียวกัน ความเสื่อมโทรมอีกอย่าง ที่เป็นสาเหตุของปัญหานี้ คือการพึ่งพาความรุนแรงกันมากเกินไป เรื่องนี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลทั่วโลก เช่น ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น เรามีการกดขี่ข่มเหงคนจนมากขึ้นมหาศาล ส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำและชนกลุ่มน้อย โดยการจับพวกเขาเข้าคุก ตอนผมเป็นผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย คนอเมริกันหนึ่งใน 1,000 คน อยู่ในคุก ปัจจุบันนี้ อัตราคนติดคุกคือ 7.3 คน ต่อประชากร 1,000 คน นั่นคือเพิ่มขึ้นเจ็ดเท่า และตั้งแต่ผมออกจากทำเนียบขาว ก็มีจำนวนผู้หญิงผิวดำในคุก เพิ่มขึ้น 800 เปอร์เซ็นต์ เรายังเป็นประเทศเดียวในโลก ที่ยังมีโทษประหาร ทั้งที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว และเราติดอันดับสูสี กับประเทศที่กดขี่มากที่สุด ในทุกองค์ประกอบของสิทธิมนุษยชน จากการสนับสนุนโทษประหาร ตอนนี้เราอยู่ในแคลิฟอร์เนีย วันก่อนผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ว่าแคลิฟอร์เนียใช้จ่ายเงินไปแล้ว สี่พันล้านดอลลาร์ ในการลงโทษคน 13 คนด้วยโทษประหาร ถ้าคุณลองคิดเลข นั่นคือแคลิฟอร์เนีย ต้องใช้เงิน 307 ล้านดอลลาร์ เพื่อส่งคนหนึ่งคนไปประหาร สัปดาห์นี้เอง ที่เนบราสกาเพิ่งผ่านกฎหมาย ยกเลิกโทษประหาร เพราะค่าใช้จ่ายมันแพงเกินไป (เสียงปรบมือ) ดังนั้น การใช้ความรุนแรงและการกดขี่ข่มเหง คนจนและคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ การกดขี่ข่มเหงผู้หญิงเพิ่มขึ้น ผมขอพูดถึงการกดขี่ข่มเหงผู้หญิง 2-3 อย่าง ที่ผมรู้สึกกังวลใจมากที่สุด ผมจะพูดสั้นๆ เพราะมีเวลาจำกัด อย่างที่คุณรู้อยู่แล้วนะครับ อย่างหนึ่งคือ การขลิบอวัยวะเพศ การขลิบอวัยวะเพศเป็นเรื่องสยองมาก ซึ่งผู้หญิงอเมริกันไม่รู้จักหรอกครับ แต่ในบางประเทศ หลายๆ ประเทศ เมื่อเด็กเกิดมาเป็นผู้หญิง ต่อมาไม่นานในชีวิตของเธอ อวัยวะเพศของเธอจะถูกตัดออกไป โดยคนที่เรียกกันว่า มือมีด ที่มีใบมีดโกนอันหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ฆ่าเชื้ออะไรเลย เขาจะตัดส่วนนอกของอวัยวะเพศหญิงออก และบางที ในกรณีที่สุดโต่ง ซึ่งก็ไม่ได้หายากหรอก เขาจะเย็บปิดให้เด็กผู้หญิง ได้แค่ถ่ายปัสสาวะและระบายเลือดประจำเดือน หลังจากนั้น เมื่อเธอแต่งงาน มือมีดคนเดิมก็กลับมา ผ่าเปิดปากช่องคลอด เพื่อให้เธอมีเพศสัมพันธ์ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้ยาก แม้มันจะขัดกับกฎหมายในประเทศส่วนใหญ่ เช่นที่อียิปต์ 91 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงทั้งหมด ที่อยู่ในอียิปต์วันนี้ ได้ถูกขลิบอวัยวะเพศแบบนั้นมาแล้ว ในบางประเทศ มากกว่า 98 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิง ถูกขลิบแบบนั้นก่อนจะโตเป็นสาว นี่เป็นการกระทำที่เลวร้าย ที่กระทำต่อผู้หญิง ที่อาศัยอยู่ในประเทศเหล่านั้น อีกอย่างที่เป็นปัญหามาก คือการฆ่าเพื่อรักษาเกียรติ เมื่อครอบครัวตีความคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ผิดเพี้ยนไป อีกแล้ว ไม่มีตรงเลยไหนในคัมภีร์กุรอ่าน ที่กำหนดว่า ให้ฆ่าเด็กผู้หญิงในครอบครัวเสีย ถ้าเธอถูกข่มขืน หรือถ้าเธอแต่งงานกับผู้ชาย ที่พ่อของเธอไม่ยอมรับ หรือบางที แค่เธอสวมเสื้อผ้าไม่เหมาะสม และสิ่งนี้ทำโดยสมาชิกในครอบครัวของเธอเอง ดังนั้น ครอบครัวจึงกลายเป็นฆาตกร เมื่อเด็กผู้หญิง นำสิ่งที่เรียกว่า 'ความเสื่อมเสีย' มาสู่ครอบครัว มีการวิเคราะห์งานชิ้นหนึ่งที่ทำในอียิปต์ โดยสหประชาชาติเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า 75% ของการฆาตกรรมเด็กหญิง กระทำโดยพ่อ ลุง หรือพี่ชายน้องชาย แต่อีก 25% ของการฆาตกรรม ทำโดยผู้หญิง อีกปัญหาที่เรามีในโลกนี้ ซึ่งเกี่ยวกับผู้หญิงมากเป็นพิเศษ คือการบังคับเป็นทาส หรือที่ทุกวันนี้เรียกว่า การค้ามนุษย์ มีคนจากแอฟริกา 12.5 ล้านคน ถูกขายมาเป็นทาส ใน 'โลกใหม่' [อเมริกาฯ] ย้อนไปในศตวรรษที่ 18 และ 19 ขณะที่ปัจจุบันมีคนเป็นทาสอยู่ 30 ล้านคน กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ได้รับคำสั่งจากรัฐสภา ให้รายงานเรื่องนี้ทุกปี กระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า คน 800,000 คน ถูกขายข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ เพื่อนำไปเป็นทาสทุกปี และ 80 เปอร์เซ็นต์ของคนเหล่านั้น เป็นผู้หญิง ถูกขายเป็นทาสกามารมณ์ ในสหรัฐอเมริกา ณ ขณะนี้ มีคน 60,000 คน มีชีวิตที่ตกเป็นทาส ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ที่ตั้งของศูนย์คาร์เตอร์ และเมืองที่ผมสอนหนังสืออยู่ ที่มหาวิทยาลัยอีมอรี่ มีผู้หญิง 200 ถึง 300 คน ถูกขายเป็นทาสทุกเดือน มันเป็นเมืองที่มีปัญหาค้าทาส เป็นอันดับหนึ่งในประเทศก็เพราะเหตุนี้ เมืองแอตแลนตามีสนามบิน ที่จอแจที่สุดในโลก และมีผู้โดยสารจำนวนมาก มาจากซีกโลกใต้ ถ้าเจ้าของซ่อง ต้องการซื้อเด็กสาวผิวสีน้ำตาลหรือดำ เขาก็ซื้อได้ด้วยราคา 1,000 ดอลลาร์ เด็กสาวผิวขาวจะราคาสูงกว่านั้นหลายเท่า โดยเฉลี่ย เจ้าของซ่องในแอตแลนตา และในสหรัฐอเมริกา สามารถทำเงินได้ประมาณ 35,000 ดอลลาร์ต่อทาสหนึ่งคน การค้ากามในแอตแลนตา จอร์เจีย ทำเงินได้มากกว่าการค้ายาเสียอีก ดังนั้น นี่คือปัญหาที่ร้ายแรงมาก และปัญหาพื้นฐานเลยคือการค้าประเวณี เพราะว่า ไม่มีซ่องไหนในอเมริกา ที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไม่รู้จัก ทั้งตำรวจ ผู้กำกับการตำรวจ หรือนายกเทศมนตรี หรืออะไรก็ตาม และนี่นำไปสู่ปัญหา ที่เลวร้ายที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นคือ มีผู้หญิงถูกซื้อมาเป็นทาส ในการค้ากามมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกประเทศทั่วโลก สวีเดนมีแนวทางจัดการที่ดีสำหรับเรื่องนี้ สัก 15 ถึง 20 ปีที่แล้ว สวีเดนตัดสินใจเปลี่ยนกฎหมาย โดยผู้หญิงไม่ถูกลงโทษ จากการถูกบังคับค้ากาม แต่เจ้าของซ่องและคนคุมซ่อง และผู้ชายที่ไปเที่ยวจะถูกดำเนินคดี (เสียงปรบมือ) และการค้าประเวณีก็ลดลง ในสหรัฐอเมริกา เราทำตรงกันข้ามเลย ถ้ามีผู้ชายถูกจับหนึ่งคน ในข้อหาค้าประเวณีโดยผิดกฎหมาย จะมีผู้หญิงถูกจับ 25 คนด้วยข้อหานี้ ในสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศแคนาดา ไอร์แลนด์ และสวีเดนที่ผมพูดไปแล้ว รวมทั้งฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ กำลังเปลี่ยนสู่สิ่งที่เรียกว่าโมเดลสวีดิช นั่นคืออีกอย่างหนึ่งที่สามารถทำได้ เรามีสถาบันที่ยิ่งใหญ่สองสถาบัน ในประเทศนี้ที่เราล้วนชื่นชม นั่นคือกองทัพ และระบบมหาวิทยาลัยที่ยอดเยี่ยม ตอนนี้ในกองทัพกำลังวิเคราะห์กัน ว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นกี่ครั้ง รายงานล่าสุดที่ผมได้รับ พบว่า มีการล่วงละเมิดทางเพศ 26,000 ครั้ง ที่เกิดขึ้นในกองทัพ 26,000 มีแค่ 3,000 กรณี แค่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์นิดๆ ที่มีการดำเนินคดี และเหตุผลก็คือ ผู้บังคับการของหน่วยไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยเรือดำน้ำ หรือกองพันทหารบก หรือกองร้อยนาวิกโยธิน ผู้บังคับการมีสิทธิภายใต้กฎหมาย ที่จะตัดสินใจว่า จะดำเนินคดีกับผู้ข่มขืนหรือไม่ และแน่นอน สิ่งสุดท้าย ที่เขาต้องการให้คนอื่นรู้ ก็คือข้อมูลที่ว่า ภายใต้การบังคับบัญชาของเขา มีการล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้น เขาก็เลยไม่ดำเนินคดี กฎนั้นต้องเปลี่ยน ประมาณหนึ่งในสี่ของเด็กผู้หญิง ที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยในอเมริกา จะถูกล่วงละเมิดทางเพศก่อนที่จะเรียนจบ และเรื่องนี้ได้รับการเผยแพร่ สู่สาธารณะมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะหนังสือของผม นอกจากอย่างอื่นแล้ว ดังนั้น ตอนนี้มหาวิทยาลัย 89 แห่งในอเมริกาฯ จึงถูกประณามว่าทำผิด ข้อบังคับมาตราเก้าของกระทรวงศึกษาธิการ เพราะเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ไม่ได้ดูแลผู้หญิง เพื่อปกป้องพวกเธอจากการล่วงละเมิดทางเพศ กระทรวงยุติธรรมรายงานว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของการข่มขืน ภายในมหาวิทยาลัย เกิดจากผู้กระทำผิดคนเดิมซ้ำๆ เพราะนอกระบบมหาวิทยาลัย ถ้าเขาข่มขืนใคร เขาจะต้องถูกดำเนินคดี แต่เมื่อเขาเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัย เขาข่มขืนได้โดยไม่ถูกลงโทษ เขาไม่ถูกดำเนินคดี เหล่านี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในสังคมของเรา อีกอย่างหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่มาก ของการกดขี่ผู้หญิงและเด็ก คือการจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียม สำหรับงานที่เท่ากัน อย่างที่คุณรู้อยู่แล้ว (เสียงปรบมือ) เรื่องนี้ บางทีก็ถูกตีความบิดเบือนไป แต่ในส่วนของงานประจำเต็มเวลา ตอนนี้ผู้หญิงในอเมริกาฯ ได้รับค่าจ้างน้อยกว่าผู้ชายอยู่ 23 เปอร์เซ็นต์ ตอนผมเป็นประธานาธิบดี ส่วนต่างนี้มากถึง 39 เปอร์เซ็นต์ นั่นแสดงว่าเรามีความก้าวหน้าไปบ้าง ส่วนหนึ่งเพราะผมเคยเป็นประธานาธิบดี และเหตุผลอื่นๆ (เสียงปรบมือ) (เสียงหัวเราะ) แต่ใน 15 ปีหลังมานี้ ไม่มีความก้าวหน้าเลย ส่วนต่างนี้อยู่ประมาณ 23 ถึง 24 เปอร์เซ็นต์ มาตลอด 15 ปีหลังนี้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าคุณนับบริษัทชั้นนำในกลุ่ม ฟอร์จูน 500 มีแค่ 23 บริษัทที่มีผู้หญิงเป็น ซีอีโอ จาก 500 บริษัท ซึ่งผมคงไม่ต้องบอกคุณก็รู้ ว่าซีอีโอหญิงเหล่านั้น ได้ค่าตอบแทนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย ของซีอีโออื่นๆ นั่นล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศของเรา อีกปัญหาหนึ่งที่เกิดกับสหรัฐอเมริกา คือ เราเป็นประเทศบ้าสงครามที่สุดในโลก เราไปทำสงครามกับประเทศต่างๆ 25 ประเทศ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา บางครั้ง เราก็มีทหารไปรบบนบก บางครั้ง เราก็บินเหนือหัว แล้วทิ้งระเบิดใส่ผู้คน บางครั้ง เดี๋ยวนี้เรามีอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน (drones) ที่โจมตีคน และอื่นๆ เราไปทำสงครามต่างๆ กับ 25 ประเทศ หรือมากกว่านั้น ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา มีอยู่สี่ปี ซึ่งผมไม่บอกแล้วกัน ว่าช่วงไหน เป็นสี่ปีที่เราไม่ทำสงคราม (เสียงปรบมือ) เราไม่ได้ทิ้งระเบิด เราไม่ได้ยิงขีปนาวุธสักลูก เราไม่ได้ยิงกระสุนออกไปสักนัด แต่นั่นแหละ สิ่งเหล่านี้ การพึ่งพาความรุนแรง และการบิดเบือนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ คือสาเหตุ เป็นสาเหตุพื้นฐานเลย ของการกดขี่ข่มเหงผู้หญิงและเด็กหญิง ยังมีสาเหตุพื้นฐานอีกอย่าง ที่ผมคงไม่ต้องสาธยาย นั่นคือ โดยทั่วไปแล้ว พวกผู้ชายไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย (เสียงปรบมือ) จริงๆ นะครับ ผู้ชายทั่วไปที่อาจพูดว่า ฉันต่อต้านการกดขี่ผู้หญิงและเด็กผู้หญิง ยอมรับสิทธิพิเศษที่เหนือกว่า ของตนอยู่เงียบๆ เหมือนกับรูปแบบที่ผมเคยรู้จักสมัยเด็กๆ ที่มีแนวคิดแบ่งแยกแต่เท่าเทียม การแบ่งแยกเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ อย่างถูกกฎหมายเคยมีอยู่เมื่อ 100 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ ค.ศ. 1865 จนสงครามระหว่างรัฐ หรือสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง จนถึงช่วงทศวรรษที่ 1960 เมื่อลินดอน จอห์นสันเสนอกฎหมาย เพื่อสิทธิความเท่าเทียม แต่ระหว่างนั้น มีคนผิวขาวจำนวนมาก ที่ไม่ได้คิดว่าการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เขาก็สงบปากสงบคำ เพราะเขาพึงพอใจกับสิทธิพิเศษ ที่ได้งานดีกว่า สิทธิเฉพาะในการทำหน้าที่ลูกขุน โรงเรียนที่ดีกว่า และทุกอย่างๆ ที่ดีกว่า นั่นคือสิ่งเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในวันนี้ เพราะผู้ชายทั่วไปไม่ได้สนใจจริงจังหรอก แม้เขาจะพูดว่า "ฉันต่อต้าน การเลือกปฏิบัติกับผู้หญิงและเด็กหญิง" แต่เขาได้ประโยชน์จากการ อยู่ในตำแหน่งที่มีสิทธิพิเศษ และมันยากมาก ที่จะโน้มน้าวผู้ชายส่วนใหญ่ ที่ควบคุมมหาวิทยาลัย ผู้ชายส่วนใหญ่ที่ควบคุมระบบกองทัพ ผู้ชายส่วนใหญ่ที่ควบคุมรัฐบาลในโลกนี้ และผู้ชายส่วนใหญ่ที่ควบคุมศาสนาหลักๆ ดังนั้น อะไรคือเรื่องพื้นฐาน ที่เราต้องทำในวันนี้ ผมอยากบอกว่า สิ่งที่ดีที่สุด ที่เราทำได้ในวันนี้ คือขอให้ผู้หญิงในประเทศที่มีอำนาจ เช่นประเทศนี้ และประเทศบ้านเกิด ของพวกคุณเช่นทางยุโรป ผู้หญิงที่มีอิทธิพล และมีเสรีภาพที่จะพูดและทำ ต้องรับเรื่องนี้มาเป็น หน้าที่รับผิดชอบของเรา ต้องหนักแน่นในการเรียกร้อง การยุติการเลือกปฏิบัติต่อสตรีและเด็กหญิง ทั่วทั้งโลก ผู้หญิงทั่วๆ ไปในอียิปต์ พูดอะไรไม่ได้มากนัก เรื่องที่ลูกสาวของเธอ ถูกขลิบอวัยวะเพศ และเรื่องอื่นๆ นี่ผมยังไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องนั้นเลยนะ แต่ผมหวังว่าจากการประชุมนี้ ผู้หญิงทุกคนที่นี่ จะไปบอกสามีของคุณให้เข้าใจ ถึงการกดขี่แและล่วงละเมิดเหล่านี้ ในมหาวิทยาลัย ในกองทัพ และที่อื่นๆ และในตลาดแรงงานในอนาคต และต้องปกป้องลูกสาว และหลานสาวของคุณ ผมมีหลาน 12 คน ลูก 4 คน และเหลนอีก 10 คน ผมคิดถึงพวกเขาบ่อยๆ และคิดถึงสถานการณ์เลวร้าย ที่เขาต้องเจอในอเมริกา ไม่ใช่แค่ในอียิปต์หรือประเทศอื่นๆ ในเรื่องสิทธิความเท่าเทียม และผมหวังว่าพวกคุณทุกคนจะมาร่วมกับผม ในการเป็นแรงสนับสนุนให้แก่ผู้หญิง และเด็กหญิงทั่วโลก และปกป้องสิทธิมนุษยชนของพวกเธอ ขอบคุณมากครับ (เสียงปรบมือ)