สวัสดีครับ เป็นอย่างไรกันบ้าง? เยี่ยมไปเลยใช่มั้ยครับ? (มีสัมมนาก่อนหน้านี้ -- ผู้แปล) ผมน่ะ ประทับใจมากเลย ผมก็เลยจะกลับแล้วล่ะ (เสียงหัวเราะ) เห็นด้วยไหมครับว่ามีแนวคิดอยู่ 3 รูปแบบ ในการสัมนาครั้งนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ สิ่งที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไป เรื่องแรกคือ หลักฐานที่มหัศจรรย์เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ในการนำเสนอทั้งหมดที่เราได้รับทราบมา และในตัวของทุกๆ ท่าน ที่อยู่ ณ ที่นี้ มันช่างหลากหลาย และกว้างไกลเหลือเกินครับ และเรื่องที่สองก็คือ ความคิดสร้างสรรค์ได้นำพวกเราไปสู่ที่แห่งหนึ่ง ที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ในอนาคต ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันจะเป็นอย่างไร ผมมีความสนใจในเรื่องการศึกษา ที่จริงแล้ว ผมพบว่า ทุกๆ คน มีความสนใจในเรื่องของการศึกษา จริงไหมครับ น่าสนใจนะครับ สมมติว่าคุณอยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ แล้วคุณพูดว่า คุณทำงานด้านการศึกษา ทั้งที่จริง ถ้าคุณทำงานในแวดวงการศึกษา คุณจะไม่ค่อยได้อยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำบ่อยนักหรอก (หัวเราะ) คือว่าคุณจะไม่ได้รับเชิญตั้งแต่แรกน่ะ ประหลาดนะครับ คุณไม่แย้งผมด้วย เอาเป็นว่าถ้าคุณได้รับเชิญไปงาน แล้วคุยกับคนอื่นๆ ในงาน เกิดมีคนถามคุณว่า "คุณทำงานอะไร" แล้วคุณตอบว่า ผมทำงานด้านการศึกษา คุณจะเห็นว่า หน้าพวกเขาจะซีดลงทันที พวกเค้าจะคิดในใจว่า โธ่ ซวยจริง ๆ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย ค่ำคืนแห่งอิสระภาพของฉันในอาทิตย์นี้ (หัวเราะ) แต่ถ้าคุณถามเกี่ยวกับการศึกษาของพวกเขา เค้าจะตอบมาเป็นฉากๆ เลยครับ เพราะว่าการศึกษา เป็นเรื่องที่คนยึดถืออย่างลึกซึ้ง จริงไหมครับ? เหมือนกับเรื่องของศาสนา ความร่ำรวย และอีกหลายๆ เรื่อง ผมมีความสนใจอย่างมากในเรื่องของการศึกษา และผมคิดว่าทุกคนก็คงเหมือนกัน พวกเราสนใจมัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า การศึกษาคือสิ่งที่ จะนำเราไปสู่อนาคตที่เราคาดไม่ถึง ลองคิดดูซิครับ เด็กที่เริ่มเข้าโรงเรียนในปีนี้ (2006) จะเกษียณอายุในปี 2065 ไม่มีใครรู้เลยครับ แม้แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ที่มาร่วมในการสัมนาช่วง 4 วันที่ผ่านมา ไม่รู้เลยครับว่าโลกจะเป็นอย่างไร แม้แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้า และพวกเรานั่นแหละที่จะต้อง สอนเด็กๆ ให้รับมือกับสิ่งที่จะมาถึง ดังนั้น ผมคิดว่าความยากที่จะคาดเดานั้น มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน และแนวคิดสุดท้าย แนวคิดที่สามก็คือ พวกเราทุกคนเห็นด้วย ใช่ไหมครับว่า เด็กๆ มีความสามารถที่วิเศษ ความสามารถของพวกเขาในเรื่องของนวัตกรรม ดูจากเด็กหญิงซิรีนาเมื่อคืนนี้ซิครับ เธอเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์จริงๆ ใช่มั้ยครับ ในสิ่งที่เธอสามารถทำได้ เธอทำได้เยี่ยมไปเลยครับ แต่ผมก็ยังคิดว่าเธอคงไม่ได้ เก่งไปทั้งหมดในเรื่องของวัยเด็ก แต่สิ่งที่พวกเราได้เห็นคือ คนที่มีความมุ่งมั่นเป็นเลิศ คือคนที่หาความสามารถเฉพาะตัวของตนเองเจอ ข้อโต้แย้งของผมก็คือ ผมคิดว่า เด็กทุกคน มีความสามารถเฉพาะตัว แต่พวกเรากลับทำลายมันอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น วันนี้ ผมอยากจะพูดถึง การศึกษา และ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดที่ผมต้องการนำเสนอคือ ความคิดสร้างสรรค์นั้นมีความสำคัญ ในด้านการศึกษาพอๆ กับการรู้หนังสือ และเราควรที่จะให้ความสำคัญ กับมันอย่างเท่าเทียมกัน (เสียงปรบมือ) ขอบคุณครับ อันที่จริงก็เท่านั้นล่ะครับ ขอบคุณมากครับ (หัวเราะ) เอาล่ะ เหลืออีก 15 นาที อืม ตอนที่ผมเกิด....ไ่ม่ล่ะ (หัวเราะ) เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ยินเรื่องๆ หนึ่ง ที่ผมชอบที่จะเล่าต่อให้กับคนอื่นๆ ฟัง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็ก ผู้หญิงอายุ 6 ขวบคนหนึ่งในชั่วโมงศิลปะ เธอนั่งวาดรูปอยู่หลังห้อง คุณครูของเธอบอกว่า เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่เคยให้ความสนใจในสิ่งใดๆ เลย นอกจากในชั่วโมงศิลปะของวันนี้ คุณครูรู้สึกประหลาดใจมาก จึงเดินเข้าไปหาเด็กน้อย แล้วถามเธอว่า "หนูกำลังวาดอะไรอยู่จ๊ะ" เด็กน้อยตอบว่า "หนูกำลังวาดรูปพระเจ้าค่ะ" แล้วคุณครูก็ถามต่อว่า "แต่ว่าไม่มีใครรู้นะจ๊ะว่าพระเจ้าหน้าตาเป็นยังไง" เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า "อีกแป๊บนึงพวกเค้าก็จะรู้แล้วล่ะค่ะ" (หัวเราะ) ตอนที่ลูกชายของผมอายุ 4 ขวบ ในอังกฤษ อืม อันที่จริงแล้วเขาก็อายุ 4 ขวบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแหละครับ (หัวเราะ) ถ้าจะพูดให้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนในปีนั้นเขาก็อายุ 4 ขวบ เขาได้ร่วมแสดงในการแสดง เกี่ยวกับวันประสูติของพระเยซู คุณจำเรื่องราวได้ไหมครับ มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากนะครับ เมล กิ๊บสัน ถึงขั้นทำภาคต่อเลยทีเดียว คุณคงเคยได้ชมแล้ว "กำเนิดพระเยซู ภาค 2" เจมส์ ลูกชายของผม ได้เล่นเป็น โจเซฟ ซึ่งพวกเราตื่นเต้นกันมาก เราถือว่านี่เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงนำเลยทีเดียว ตอนไปดูเรายกทีมกันใส่เสื้อยืดที่สกรีนว่า "เจมส์ โรบินสัน เป็น โจเซฟ" (หัวเราะ) เขาไม่มีบทพูดเลยครับ แต่คุณก็คงรู้ว่าเค้าบทเป็นอย่างไร ตอนที่กษัตริย์ 3 พระองค์เดินทางมาถึง พวกเขานำของขวัญมาด้วย ซึ่งได้แก่ ทอง ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ น้ำมันหอม เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงครับ พวกเรานั่งดูอยู่ที่นั่น ผมคิดว่าเกิดการผิดคิวกันเกิดขึ้น เพราะว่าเราคุยกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง หลังจากที่ตัวละครเดินเข้ามาบนเวที เราถามเขาว่า "หนูว่านี่โอเคมั๊ย" เด็กน้อยตอบว่า "ครับ ทำไมเหรอครับ?" "มีอะไรผิดปกติเหรอครับ" พวกเขาแค่ยืนสลับที่กัน อย่างไรก็ตาม เด็กชายสามคนเดินเข้ามาบนเวที เด็กอายุ 4 ขวบ ที่มีผ้าเช็ดจานวางอยู่บนศีรษะ แล้วพวกเขาก็วางกล่องของขวัญลง เด็กชายคนแรกพูดว่า "ข้านำทองมาให้เจ้า" เด็กชายคนที่สองพูดว่า "ข้านำน้ำมันหอม มาให้เจ้า" แล้วเด็กชายคนสุดท้ายก็พูดว่า "อันนี้แฟรงค์ส่งมา" (หัวเราะ เพราะศัพท์ที่ควรพูดคือ Frankincense) ทั้งสองเรื่องที่ผมเล่ามา มีสิ่งที่เหมือนกันคือ เด็กทุกคนกล้าที่จะลอง ถึงพวกเขาจะไม่รู้ พวกเขาก็จะลองดู จริงไหมครับ? เด็กไม่กลัวที่จะทำผิดพลาด เอาล่ะ แต่นี่ผมไม่ได้หมายความว่าการทำผิดพลาด เป็นสิ่งเดียวกันกับการมีความคิดสร้างสรรค์นะครับ แต่เราทุกคนทราบว่า ถ้าหากเราไม่พร้อมยอมรับกับการกระทำที่ผิดพลาด เราจะไม่มีวันสร้างสรรค์สิ่งที่แปลกใหม่ขึ้นมาได้ ถ้าเราไม่พร้อมยอมรับกับการทำผิดพลาด และรู้ไหมครับว่าเมื่อเวลาที่เด็กๆ โตเป็นผู้ใหญ่ เด็กส่วนใหญ่สูญเสียความสามารถ ในการยอมรับความผิดพลาด พวกเขาจะกลายเป็นคน ที่กลัวต่อการทำผิดพลาด คิดดูซิ พวกเราบริหารบริษัทแบบนี้ แบบที่เราทำให้การทำผิดพลาด เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และตอนนี้ เราก็บริหารระบบการศึกษา แบบที่ยอมรับความผิดพลาดไม่ได้ด้วย การทำผิด กลายเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด ที่คุณจะสามารถทำได้ ดังนั้น ผลของมันก็คือ เรากำลังให้การศึกษาแก่คน เพื่อให้ละทิ้ง ความสามารถในด้านความคิดสร้างสรรค์ ครั้งหนึ่ง ปิกัสโซ่ (ศิลปินด้านการวาดภาพ) เคยกล่าวไว้ว่า เด็กทุกคนเกิดมาเป็นศิลปิน ปัญหาก็คือ จะทำอย่างไรให้ความเป็นศิลปินนั้น ยังคงอยู่เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พวกเราไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์ มากขึ้นตามการเจริญเติบโต แต่พวกเรากลับมีลดน้อยลง ตามอายุที่มากขึ้น หรืออาจจะพูดได้ว่า พวกเราได้รับการศึกษาให้มีความถดถอยด้านความคิดสร้างสรรค์ มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรล่ะ? ผมอาศัยอยู่ที่เมือง Stratford-on-Avon เมื่อ 5 ปีก่อน หลังจากนั้น ครอบครัวเราก็ได้ย้ายย้ายจาก Stratford มาที่ Los Angeles ลองจินตนาการดูซิครับว่า มันเป็นการเปลี่ยนแปลง จากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดไหน (หัวเราะ) จริงๆ แล้ว พวกเราอยู่ในเมืองที่เรียกว่า Snitterfield ซึ่งอยู่ในรอบนอกของ Stratford มันเป็นสถานที่ที่ เป็นบ้านเกิดของคุณพ่อของ Shakespeare คุณได้ยินอย่างนี้เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นรึเปล่า? ผมเป็นนะ คุณไม่เคยคิดว่า Shakespeare มีพ่อใช่ไหมครับ จริงไหม คุณคงไม่เคยคิดถึง Shakespeare ตอนเป็นเด็กใช่ไหมครับ? Shakespeare อายุ 7 ขวบเหรอ? ผมไม่เคยคิดถึงหรอก แต่จริงๆ แล้ว ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เขาเคยอายุ 7 ขวบ เขาเคยเรียนอยู่ในวิชาภาษาอังกฤษของครูสักคนหนึ่ง ใชไหมครับ? มันจะน่ารำคาญสักแค่ไหนนะ? (หัวเราะ) ครูของเขาคงจะเขียนรายงานผลการเรียนว่า "ต้องพยายามมากกว่านี้" หรืออย่างตอนที่พ่อของ Shakespeare ส่งเขาเข้านอน "ไปนอนได้แล้ว" "วางดินสอลง แล้วก็หยุดพูดแบบนี้ซะที มันทำให้คนอื่นเค้าสับสนกันไปหมด" (หัวเราะ) เอาล่ะครับ กลับมาเข้าเรื่อง ก็คือครอบครัวของผม ย้ายจากเมือง Stratford มาที่ Los Angeles ที่ผมอยากจะเล่าเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ ลูกชายของผมไม่อยากย้ายมาเลย ผมมีลูกสองคนครับ ลูกชายตอนนี้อายุ 21 ส่วนลูกสาวอายุ 16 เจ้าลูกชายผมเค้าไม่อยากย้ายไป Los Angeles จริงๆ เขาชอบเมืองนี้นะครับ แต่ว่า ณ ตอนนั้น เขามีแฟนอยู่ในอังกฤษ ชื่อ ซาร่าห์ รักเดียวของเขาเลยล่ะครับ เขารู้จักเธอมาได้ประมาณเดือนนึง แต่จะว่าไป อาจจะเรียกได้ว่า พวกเขาเหมือนแต่งงานกันมาแล้วครบ 4 ปี เพราะว่าการคบกับใครได้ 1 เดือนสำหรับเด็กอายุ 16 แล้ว มันเหมือนเป็นระยะเวลายาวนาน ดังนั้น ลูกชายผมจึงเสียใจมาก ตอนที่อยู่บนเครื่อง เขาบอกว่า "ผมคงไ่ม่มีทางเจอผู้หญิงอย่างซาร่าห์อีกแล้ว" จริงๆ แล้ว ผมกับภรรยา ดีใจครับที่เป็นแบบนั้น เพราะว่า ซาร่าห์ คือเหตุผลหลัก ที่เราตัดสินใจย้ายออกจากอังกฤษ (หัวเราะ) แต่การย้ายมาอเมริกาทำให้เราฉุกคิดครับ เมื่อคุณได้ท่องเที่ยวมาแล้วทั่วโลก คุณจะพบว่า ระบบการศึกษา ทุกที่บนโลกนี้ มีการจัดระดับของวิชาต่าง ๆ แบบเดียวกัน ทุกที่เลยครับ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน คุณอาจคิดว่ามันน่าจะต่างกัน แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ ระดับบนสุดก็คือ คณิตศาสตร์ และ ภาษา จากนั้นก็มนุษยศาสตร์ และล่างสุดคือศิลปะ เป็นแบบนี้ทั้งโลกเลยครับ และเป็นแบบนี้ในทุกระบบด้วยครับ นอกจากนี้ข้างในสาขาศิลปะเอง ก็ยังแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ในสถานศึกษา จิตรกรรม และ ดนตรี จะมีสถานะที่สูงกว่า การแสดง และการเต้นรำ ไม่มีระบบการศึกษาใดเลยในโลกนี้ ที่เราสอนให้เด็กๆ เต้นรำ ทุกวัน เหมือนกับที่เราสอนคณิตศาสตร์ ทำไมล่ะครับ ทำไมเราถึงไม่ทำอย่างนั้น ผมว่าเรื่องนี้สำคัญมากทีเดียว ใช่ครับ ผมยอมรับว่าความรู้ด้านคณิตศาสตร์นั้นสำคัญ แต่ผมว่าการเต้นก็สำคัญเหมือนกัน เด็กๆ เต้นตลอดเวลา ถ้าพวกเขาได้รับอนุญาต พวกเราก็มีร่างกายด้วยกันทั้งนั้นใช่ไหมครับ ผมไม่ได้พลาดอะไรไปใช่ไหม (หัวเราะ) จริงๆ นะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อเด็กๆ โตขึ้น พวกเราก็ค่อยๆ สอนเด็กเหล่านั้น ให้ใช้ความสามารถตั้งแต่เอวขึ้นไป แล้วเราก็เน้นเฉพาะการใช้สมอง และค่อนข้างจะไปทางซีกหนึ่งของสมองด้วย ถ้าหากคุณเป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วได้เข้าไปเยี่ยมชมงานด้านการศึกษา เพื่อตอบคำถามว่า "การศึกษา มีไว้เพื่ออะไร?" คุณคงจะได้ข้อสรุป จากการพิจารณาจากผลผลิตที่ออกมา จากคนที่ได้รับผลประโยชน์จากมัน คนที่ทำในสิ่งที่คิดว่าสมควรทำ คนที่ประสบความสำเร็จ คุณน่าจะได้ข้อสรุปว่า วัตถุประสงค์ของการศึกษา ของทั้งโลกใบนี้ คือ การผลิตอาจารย์มหาวิทยาลัย ว่ามั้ยครับ พวกเขาเหล่านั้นคือ คนที่อยู่อันดับต้นๆ ของการจัดอันดับครับ ผมก็เคยอยู่ในคนกลุ่มนั้นครับ เป็นยังไงล่ะ (หัวเราะ) ผมชอบอาจารย์มหาวิทยาลัยนะครับ แต่ผมว่า เราไม่ควรยกย่องพวกเขา ว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุด พวกเขาก็แค่สิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งเท่านั้นครับ ที่ค่อนข้างจะมีความช่างคิด ช่างสงสัย และผมพูดอย่างนี้โดยไม่คิดถึงความชื่นชม ที่มีต่อพวกเขานะครับ จากประสบการณ์ที่ผมมี มีบางอย่างน่าสนใจเกี่ยวกับบรรดาศาสตราจารย์เหล่านี้ครับ ไม่ใ่ช่ทุกคนนะครับ แค่บางคน ที่มีชีวิตอยู่แต่กับความคิดในหัวของตัวเอง อยู่อย่างนั้นเลยครับ แล้วค่อนข้างไปทางสมองซีกหนึ่ง พวกเขาไม่สนใจร่างกายของพวกเขาหรอกครับ พวกเขามองว่าร่างกายนั้น ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ทำให้ศีรษะของพวกเขา เคลื่อนที่ไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ (หัวเราะ) ร่างกายก็เป็นแค่สิ่งที่ พาศีรษะของเขาไปประชุม ถ้าคุณอยากเห็นหลักฐาน เกี่ยวกับประสบการณ์การละทิ้งร่างกาย ลองไปเข้าร่วมงานสัมนา ของอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยซิครับ บรรดาผู้มีคุณวุฒิทางการศึกษา ไปงานเต้นรำในคืนสุดท้ายของการสัมนานะครับ (หัวเราะ) ณ ที่นั่น คุณจะได้เห็น ชาย หญิง ที่โตแล้ว ขยับแข้ง ขยับขา แบบไม่เข้าจังหวะเอาเสียเลยครับ อยู่จนงานเลิก แล้วไปเขียนบนความเกี่ยวกับเรื่องนั้นนะครับ ทีนี้ ระบบการศึกษาของเรา เกิดจากความคิดเกี่ยวกับความสามารถทางวิชาการ แ่ต่มันก็มีเหตุผลจากว่า ระบบนี้ในทั่วโลก ถูกสร้างขึ้นในช่วง ก่อนศตวรรษที่ 19 ซึ่งตอนนั้น ยังไม่มีระบบการศึกษาสาธารณะเกิดขึ้นเลยครับ มันถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อ ตอบสนองความต้องการในยุค ปฏิวัติอุตสาหกรรม ดังนั้น อันดับความสำคัญของวิชาต่างๆ ถูกจัดโดยพิจารณาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยแรก วิชาที่มีประโยชน์ กับลักษณะงานที่มีอยู่ในยุคนั้นมากที่สุด จะถูกจัดไว้สูงสุด ดังนั้นคุณจะได้รับการชี้นำให้ออกห่าง จากสิ่งที่คุณชอบ ณ ตอนที่คุณเป็นเด็ก ด้วยเหตุผลที่ว่า คุณไม่มีทางทำมาหากินได้ จากวิชาความรู้ที่คุณชอบ จริงรึเปล่าครับ ไม่ต้องเรียนดนตรีหรอก โตขึ้นจะเป็นนักดนตรีไม่ได้นะ ไม่ต้องเีรียนศิลปะหรอก โตขึ้นไม่ได้จะเป็นศิลปินเสียหน่อย คำแนะนำเหล่านี้ ณ ตอนนี้เราพบแล้วว่า เป็นความคิดที่ผิด โลกเราตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงการปฏิวัติ ถัดมาคือความสามารถในด้านวิชาการ ที่มีผลเป็นอย่างมาก กับมุมมองของพวกเราในเรื่องของสติปัญญา นั่นเป็นเพราะว่ามหาวิทยาลัยได้ออกแบบ ระบบการศึกษาจากภาพลักษณ์ของตัวมันเอง ลองนึกดูซิครับว่า ระบบการศึกษาสาธารณะทุกที่ในโลกนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ในการเข้าสู่มหาวิทยาลัย และผลก็คือ มีหลายคนที่มีพรสวรรค์ มีความสามารถเฉพาะตัว เก่ง และมีความสร้างสรรค์ กลับคิดว่าพวกเขาไม่มีความสามารถอะไรเลย เพียงเพราะว่า พวกเขาเรียนไม่เก่ง ไม่มีใครมองเห็นคุณค่า แล้วกลับถูกมองว่าผิดปกติ ผมว่า เราไม่ควรปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปนะครับ ด้วยข้อมูลจากองค์กรยูเนสโก ภายใน 30 ปี จากนี้ ทั่วโลกจะมีคนจบการศึกษา มากกว่าจำนวนคนทั้งหมด ณ จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ จะมีคนจำนวนมากขึ้น แล้วก็มีสิ่งต่างๆ ที่เราได้พูดถึงก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี และการเปลี่ยนรูปร่างของมัน ที่มีผลต่องาน และลักษณะโครงสร้างของประชากร และจำนวนของประชากรที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ถึงตอนนั้น การมีปริญญาจะไ่ม่มีความหมายอีกต่อไป จริงไหมครับ ตอนที่ผมเป็นนักศึกษา ตอนนั้นถ้าคุณมีปริญญา คุณก็จะมีงานทำ แล้วถ้าหากคุณไม่มีงานทำ นั่นเป็นเพราะว่าคุณไม่ต้องการมัน แล้วจริงๆ แล้วผมก็ไม่อยากได้มันหรอกครับ (หัวเราะ) แต่คนรุ่นใหม่ที่มีปริญญาตอนนี้ หลายคนกลับไปอยู่บ้าน แล้วยังคงเล่นวีดีโอเกมส์ เพราะคุณต้องมีปริญญาโท เพื่อขยับจากงานเก่าที่ต้องการคนจบปริญญาตรี แล้วตอนนี้คุณก็ต้องมีปริญญาเอก เพื่อให้ได้อีกงานหนึ่ง มันเป็นกระบวนการเฟ้อของการศึกษา และมันชี้ให้เป็นว่าโครงสร้างของการศึกษา ได้มีการเปลี่ยนแปลงแล้วในช่วงชีวิตของพวกเรา เราจึงจำเป็นต้องคิดใหม่ เกี่ยวกับมุมมองของเรา ในเรื่องของสติปัญญา เรารู้อยู่ 3 อย่างเกี่ยวกับสติปัญญา สิ่งแรกคือมันหลากหลาย เรามองโลกในมุมมองที่หลากหลาย จากสิ่งที่เราได้ประสบ เราคิดจากสิ่งที่เห็น จากสิ่งที่ได้ยิน จากการลงมือทำ เราคิดในแบบที่เป็นนามธรรม เราคิดในการเคลื่อนไหว สิ่งที่สองคือ สติปัญญานั้น มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าคุณมองการปฏิสัมพันธ์ ในเซลล์ต่างๆ ของสมอง จากที่เราได้ฟังจากหลายการนำเสนอเมื่อวานนี้ สติปัญญาเป็นการปฏิสัมพันธ์ที่มหัศจรรย์ สมองของเราไม่ได้ถูกแบ่งออก เป็นชิ้นส่วนต่างๆ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ที่ผมนิยามไว้ว่าเป็นกระบวนการ ในการสร้างให้เกิดแนวความคิด ที่เป็นต้นฉบับ ที่มีคุณค่า หลายครั้งมันไม่ได้มาจากการปฏิสัมพันธ์ ของการมองสิ่งต่างๆ ในรูปแบบที่ต่างกันไป สมองนั้นถูกออกแบบ ให้มีการประสานกันของเส้นประสาท ที่ได้หลอมรวมสมองทั้งสองส่วน เรียกว่า Corpus Collosum ซึ่งในผู้หญิงนั้นพบว่าจะมีความหนากว่าผู้ชาย ซึ่งก็เป็นไปตามที่ เฮเลน ได้พูดไว้เมื่อวานนี้ ผมคิดว่า มันคือเหตุผลว่าทำไมผู้หญิง จึงสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กันได้ดีกว่าผู้ชาย เพราะว่าพวกคุณเก่งกว่าจริงๆ ใช่มั้ย มีงานวิจัยสนับสนุนความคิดนี้มากมายเลยครับ แต่ผมรู้ได้จากชีวิตของผมเอง ถ้าหากภรรยาของผมทำอาหารที่บ้าน โชคดีครับที่เธอไม่ได้ทำมันบ่อยนัก (หัวเราะ) เธอทำอาหารบางจานอร่อยนะครับ เอาเป็นว่า ถ้าภรรยาผมทำอาหาร เธอสามารถคุยโทรศัพท์ คุยกับลูกๆ พร้อมกับทาสีผนังไปด้วย ให้ผ่าตัดหัวใจไปด้วยก็ยังได้ แต่ถ้าตอนผมทำอาหาร ประตูครัวจะถูกปิด เด็กๆ จะต้องออกไปข้างนอก หูโทรศัพท์ต้องยกออก ถ้าภรรยาผมเข้ามาในครัว ผมจะรำคาญมาก ผมจะบอกว่า เทอรี่ ได้โปรดเถอะ ขอเวลาส่วนตัวหน่อยได้ไหม ผมกำลังทอดไข่ดาวอยู่นะ คุณเคยได้ยินคำพูดนี้รึเปล่า ถ้าต้นไม้ต้นหนึ่งในป่าล้มลง แล้วไม่มีใครได้ยิน เรายังคิดว่ามันเกิดขึ้นจริงรึเปล่า จำเรื่องต้น Chestnut ต้นนั้นได้ไหมครับ เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเห็นเสื้อยืดตัวหนึ่งสกรีนคำว่า "ถ้าชายคนหนึ่งบอกความในใจของเขาในป่า และไม่มีผู้หญิงคนไหนได้ยิน เขาจะยังผิดรึเปล่า?" (หัวเราะ) เอาล่ะครับ มาถึงลักษณะที่ 3 ของความฉลาด ซึ่งก็คือ มันมีความเป็นแตกต่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ตอนนี้ผมกำลังเขียนหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ชื่อว่า Epiphany ซึ่งเนื้อหานำมาจาก บทสัมภาษณ์บุคคลหลายๆ ท่าน เกี่ยวกับการค้นพบ ความสามารถพิเศษของพวกเขา ผมหลงไหลกับวิธีการที่คนเหล่านั้นก้าวมาถึงจุดที่พวกเขายืนอยู่ แนวคิดของหนังสือนี้ มาจากการที่ผมได้พูดคุย กับผู้หญิงที่วิเศษคนหนึ่ง ซึ่งคนส่วนใหญ่ อาจจะไม่รู้จัก เธอคนนั้นชื่อ จิลเลี่ยน ลินน์ ครับ คุณเคยได้ยินชื่อเธอมาบ้างรึเปล่า? บางคน ณ ที่นี้รู้จักนะครับ เธอเป็นนักออกแบบท่าเต้นครับ ทุกคนจะต้องรู้จักผลงานของเธอ เธอทำละครเวทีเรื่อง Cats และ Phantom of the Opera ครับ เธอเยี่ยมมากเลย ผมเคยเป็นกรรมการบริหาร ของ Royal Ballet ในประเทศอังกฤษ พอจะเดาออกไหมครับ เอาล่ะ วันหนึ่งผมกับจิลเลี่ยน ทานอาหารกลางวันด้วยกัน ผมถามเธอว่า "จิลเลี่ยน คุณมาเป็นนักเต้นได้อย่างไร" เธอตอบว่า ตอนที่เธอเป็นนักเรียน การเรียนของเธอย่ำแย่มาก ตอนนั้นก็ยุค 30s ครับ โรงเรียนของเธอ ส่งจดหมายถึงพ่อแม่ของเธอ ในนั้นเขียนว่า "เราคิดว่าจิลเลี่ยนมีปัญหาในการเรียนรู้" เธอไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดได้ ผมคิดว่าถ้าเป็นสมัยนี้ เราเรียกอาการนี้ว่า เธอเป็นโรคสมาธิสั้น ว่าไหมครับ แต่ในยุค 1930s โรคสมาธิสั้นยังไม่ถูกค้นพบ มันก็เลยไม่ได้เป็นอาการ ที่คนจะเลือกเป็นกันได้ (หัวเราะ) คนก็เลยไม่ทราบว่า พวกเขาอาจจะมีปัญหาเรื่องนี้ จิลเลี่ยนก็ได้ไปพบผู้เชี่ยวชาญ กับคุณแม่ของเธอ เธอนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านหนึ่ง เธอนั่งทับมือเธอไว้ 20 นาที ในระหว่างที่ผู้เชี่ยวชาญคนนี้คุยกับคุณแม่ของเธอ เกี่ยวกับปัญหาของจิลเลี่ยนที่โรงเรียนว่า เธอรบกวนเด็กคนอื่นๆ เธอส่งการบ้านสายเสมอ เด็กอายุ 8 ขวบ เท่านั้นครับ ในตอนสุดท้าย คุณหมอท่านนี้ก็เดินมานั่งข้างๆ จิลเลี่ยน แล้วเขาก็บอกกับจิลเลี่ยนว่า หมอได้ฟังเรื่องต่างๆ ของหนู จากคุณแม่แล้วนะจ๊ะ หมอต้องขอคุยกับคุณแม่ เป็นการส่วนตัวเสียหน่อย รอพวกเราอยู่ในห้องนี้สักพักนะจ๊ะ เราจะไปไม่นานหรอก แล้วคุณหมอกับคุณแม่ของเธอ ก็เดินออกไปจากห้อง ก่อนที่คุณหมอจะออกไปจากห้อง เขาก็เปิดวิทยุ ที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา เมื่อพวกเขาอยู่ข้างนอก คุณหมอก็พูดกับคุณแม่ของจิลเลี่ยนว่า คอยยืนดูจิลเลี่ยนอยู่ตรงนี้นะครับ และตั้งแต่เมื่อคุณหมอและคุณแม่ของเธอออกจากห้องไป จิลเลี่ยนบอกว่าเธอก็ลุกขึ้นยืน แล้วก็เต้นไปตามเสียงเพลง คุณหมอกับคุณแม่ มองเธออยู่จากด้านนอกประมาณ 2-3 นาที คุณหมอก็หันไปบอกกับคุณแม่ของเธอว่า คุณนายลินน์ครับ จิลเลี่ยนไม่ได้ป่วยหรอกครับ เธอเป็นนักเต้นต่างหาก ส่งเธอไป โรงเรียนสอนเต้นรำเถอะ ผมถามจิลเลี่ยนว่า แล้วจากนั้นเกิดอะไรขึ้น จิลเลี่ยนบอกว่า แม่ส่งฉันไปค่ะ ฉันบรรยายไม่ถูกเลยว่ามันมหัศจรรย์ขนาดไหน เราเดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วย คนที่เหมือนๆ กับฉัน คนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ คนที่ต้องขยับตัวตลอดเวลาเพื่อคิด ที่นั่นสอนเต้นบัลเล่ต์ แท๊บ แจ๊ส การเต้นสมัยใหม่ และแบบร่วมสมัย เธอได้ไปคัดเลือกตัวที่ Royal Ballet School แล้วเธอก็ได้เป็นนักเต้นเดี่ยว มีอาชีพวิเศษ ที่คณะ Royal Ballet แล้วเธอก็เรียนจบ จาก The Royal Ballet School จากนั้น เธอก็เปิดบริษัทสอนเต้นรำของตัวเอง ชื่อ The Gillian Lynne Dance Company เธอได้เจอกับ แอนดรู ลอยด์ เว๊บเบอร์ (ผู้สร้าง Phantom of the Opera) เธอได้ร่วมงานกับเขา และมีส่วนร่วม กับละครเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในประประวัติศาสตร์ เธอได้ให้ความสุขกับคนนับล้าน เธอกลายเป็นมหาเศรษฐี ถ้าเธอไม่ได้เจอคุณหมอคนนั้น เธออาจได้รับยา แล้วก็บอกให้เธออยู่นิ่งๆ สงบสติอารมณ์ เอาล่ะ ทีนี้ผมคิดว่า (เสียงปรบมือ) มาถึงเรื่องที่ อัล กอร์ พูดเมื่อคืนก่อน เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และที่ Rachel Carson กล่าวถึงเรื่องของวิวัฒนาการ ผมเชื่อว่า สิ่งเดียวที่เราสามารถฝากอนาคตของเราไว้ได้คือ แนวความคิดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของมนุษย์ เราจะต้องเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนวิธีการคิด เกี่ยวกับสามารถอันมหาศาล ของความสามารถของมนุษย์ ระบบการศึกษาของเรา ได้ปลูกฝังความคิดของเราในรูปแบบที่ เราใช้ทรัพยากรของเรา เพื่อให้ได้มาเพียงผลผลิตบางอย่าง ที่ในอนาคตจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเราได้ เราจะต้องคิดใหม่ เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานหลัก ในการให้การศึกษาแก่ลูกหลานของเรา ผมขอยกคำพูดหนึ่งของ Jonas Salk ที่ว่า ถ้าพวกแมลงทั้งหมดหายไปจากโลกนี้ ภายใน 50 ปี ทุกชีวิตบนโลกก็จะสิ้นไป แต่หากมนุษย์หายไปจากโลกนี้ ภายใน 50 ปี สิ่งมีชีวิตทุกชนิดก็จะขยายเผ่าพันธุ์ได้สมบูรณ์ เขาพูดถูกนะครับ สิ่งที่ TED ส่งเสริม คือของขวัญจากจินตนาการของมนุษย์ เราจะต้องระวังว่า เราได้ใช้ของขวัญนี้ อย่างรู้ค่า และเราได้ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องราวอย่างที่ เราได้พูดถึงกันในวันนี้ และมีเพียงวิธีการเดียว ที่เราจะทำอย่างนั้นได้ คือการที่เรามองความสามารถในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ว่ามันมีมากมายมหาศาล และมองลูกหลานของเราว่าพวกเขามีสิ่งเหล่านั้น และหน้าที่ของเราก็คือสอนพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเผชิญกับอนาคตได้ พวกเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นอนาคตนั้น แต่ลูกหลานของเราจะได้เห็น ดังนั้น มันเป็นหน้าที่ของพวกเรา ที่จะช่วยให้ลูกหลานของเรา อยู่กับอนาคตนั้นได้ ขอบคุณมากครับ