1 00:00:00,000 --> 00:00:07,000 สวัสดีครับ เป็นอย่างไรกันบ้าง? เยี่ยมไปเลยใช่มั้ยครับ? (มีสัมมนาก่อนหน้านี้ -- ผู้แปล) 2 00:00:07,000 --> 00:00:11,000 ผมน่ะ ประทับใจมากเลย 3 00:00:11,000 --> 00:00:15,000 ผมก็เลยจะกลับแล้วล่ะ (เสียงหัวเราะ) 4 00:00:15,000 --> 00:00:19,000 เห็นด้วยไหมครับว่ามีแนวคิดอยู่ 3 รูปแบบ 5 00:00:19,000 --> 00:00:23,000 ในการสัมนาครั้งนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ 6 00:00:23,000 --> 00:00:25,000 สิ่งที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไป 7 00:00:25,000 --> 00:00:29,000 เรื่องแรกคือ หลักฐานที่มหัศจรรย์เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ 8 00:00:29,000 --> 00:00:32,000 ในการนำเสนอทั้งหมดที่เราได้รับทราบมา 9 00:00:32,000 --> 00:00:35,000 และในตัวของทุกๆ ท่าน ที่อยู่ ณ ที่นี้ มันช่างหลากหลาย 10 00:00:35,000 --> 00:00:38,000 และกว้างไกลเหลือเกินครับ และเรื่องที่สองก็คือ 11 00:00:38,000 --> 00:00:41,000 ความคิดสร้างสรรค์ได้นำพวกเราไปสู่ที่แห่งหนึ่ง ที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น 12 00:00:41,000 --> 00:00:43,000 ในอนาคต ไม่รู้เลยจริงๆ 13 00:00:43,000 --> 00:00:45,000 ว่ามันจะเป็นอย่างไร 14 00:00:45,000 --> 00:00:48,000 ผมมีความสนใจในเรื่องการศึกษา 15 00:00:48,000 --> 00:00:51,000 ที่จริงแล้ว ผมพบว่า ทุกๆ คน มีความสนใจในเรื่องของการศึกษา 16 00:00:51,000 --> 00:00:53,000 จริงไหมครับ น่าสนใจนะครับ 17 00:00:53,000 --> 00:00:56,000 สมมติว่าคุณอยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ แล้วคุณพูดว่า 18 00:00:56,000 --> 00:00:59,000 คุณทำงานด้านการศึกษา 19 00:00:59,000 --> 00:01:06,000 ทั้งที่จริง ถ้าคุณทำงานในแวดวงการศึกษา คุณจะไม่ค่อยได้อยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำบ่อยนักหรอก 20 00:01:06,000 --> 00:01:09,000 (หัวเราะ) คือว่าคุณจะไม่ได้รับเชิญตั้งแต่แรกน่ะ 21 00:01:09,000 --> 00:01:14,000 ประหลาดนะครับ คุณไม่แย้งผมด้วย 22 00:01:14,000 --> 00:01:16,000 เอาเป็นว่าถ้าคุณได้รับเชิญไปงาน แล้วคุยกับคนอื่นๆ ในงาน 23 00:01:16,000 --> 00:01:18,000 เกิดมีคนถามคุณว่า "คุณทำงานอะไร" 24 00:01:18,000 --> 00:01:20,000 แล้วคุณตอบว่า ผมทำงานด้านการศึกษา 25 00:01:20,000 --> 00:01:24,000 คุณจะเห็นว่า หน้าพวกเขาจะซีดลงทันที พวกเค้าจะคิดในใจว่า 26 00:01:24,000 --> 00:01:30,000 โธ่ ซวยจริง ๆ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย ค่ำคืนแห่งอิสระภาพของฉันในอาทิตย์นี้ (หัวเราะ) 27 00:01:30,000 --> 00:01:32,000 แต่ถ้าคุณถามเกี่ยวกับการศึกษาของพวกเขา 28 00:01:32,000 --> 00:01:34,000 เค้าจะตอบมาเป็นฉากๆ เลยครับ เพราะว่าการศึกษา 29 00:01:34,000 --> 00:01:37,000 เป็นเรื่องที่คนยึดถืออย่างลึกซึ้ง จริงไหมครับ? 30 00:01:37,000 --> 00:01:40,000 เหมือนกับเรื่องของศาสนา ความร่ำรวย และอีกหลายๆ เรื่อง 31 00:01:40,000 --> 00:01:44,000 ผมมีความสนใจอย่างมากในเรื่องของการศึกษา และผมคิดว่าทุกคนก็คงเหมือนกัน 32 00:01:44,000 --> 00:01:46,000 พวกเราสนใจมัน 33 00:01:46,000 --> 00:01:49,000 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า การศึกษาคือสิ่งที่ 34 00:01:49,000 --> 00:01:52,000 จะนำเราไปสู่อนาคตที่เราคาดไม่ถึง 35 00:01:52,000 --> 00:01:55,000 ลองคิดดูซิครับ เด็กที่เริ่มเข้าโรงเรียนในปีนี้ (2006) 36 00:01:55,000 --> 00:02:01,000 จะเกษียณอายุในปี 2065 ไม่มีใครรู้เลยครับ 37 00:02:01,000 --> 00:02:04,000 แม้แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ที่มาร่วมในการสัมนาช่วง 4 วันที่ผ่านมา 38 00:02:04,000 --> 00:02:06,000 ไม่รู้เลยครับว่าโลกจะเป็นอย่างไร 39 00:02:06,000 --> 00:02:08,000 แม้แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้า และพวกเรานั่นแหละที่จะต้อง 40 00:02:08,000 --> 00:02:11,000 สอนเด็กๆ ให้รับมือกับสิ่งที่จะมาถึง ดังนั้น ผมคิดว่าความยากที่จะคาดเดานั้น 41 00:02:11,000 --> 00:02:13,000 มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน 42 00:02:13,000 --> 00:02:15,000 และแนวคิดสุดท้าย แนวคิดที่สามก็คือ 43 00:02:15,000 --> 00:02:20,000 พวกเราทุกคนเห็นด้วย ใช่ไหมครับว่า 44 00:02:20,000 --> 00:02:23,000 เด็กๆ มีความสามารถที่วิเศษ 45 00:02:23,000 --> 00:02:25,000 ความสามารถของพวกเขาในเรื่องของนวัตกรรม ดูจากเด็กหญิงซิรีนาเมื่อคืนนี้ซิครับ เธอเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์จริงๆ 46 00:02:25,000 --> 00:02:28,000 ใช่มั้ยครับ ในสิ่งที่เธอสามารถทำได้ 47 00:02:28,000 --> 00:02:33,000 เธอทำได้เยี่ยมไปเลยครับ แต่ผมก็ยังคิดว่าเธอคงไม่ได้ 48 00:02:33,000 --> 00:02:36,000 เก่งไปทั้งหมดในเรื่องของวัยเด็ก 49 00:02:36,000 --> 00:02:39,000 แต่สิ่งที่พวกเราได้เห็นคือ คนที่มีความมุ่งมั่นเป็นเลิศ 50 00:02:39,000 --> 00:02:41,000 คือคนที่หาความสามารถเฉพาะตัวของตนเองเจอ ข้อโต้แย้งของผมก็คือ 51 00:02:41,000 --> 00:02:43,000 ผมคิดว่า เด็กทุกคน มีความสามารถเฉพาะตัว 52 00:02:43,000 --> 00:02:45,000 แต่พวกเรากลับทำลายมันอย่างน่าเสียดาย 53 00:02:45,000 --> 00:02:48,000 ดังนั้น วันนี้ ผมอยากจะพูดถึง การศึกษา และ 54 00:02:48,000 --> 00:02:51,000 ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดที่ผมต้องการนำเสนอคือ 55 00:02:51,000 --> 00:02:54,000 ความคิดสร้างสรรค์นั้นมีความสำคัญ ในด้านการศึกษาพอๆ กับการรู้หนังสือ 56 00:02:54,000 --> 00:02:58,000 และเราควรที่จะให้ความสำคัญ กับมันอย่างเท่าเทียมกัน 57 00:02:58,000 --> 00:03:06,000 (เสียงปรบมือ) ขอบคุณครับ อันที่จริงก็เท่านั้นล่ะครับ 58 00:03:06,000 --> 00:03:10,000 ขอบคุณมากครับ (หัวเราะ) เอาล่ะ เหลืออีก 15 นาที 59 00:03:10,000 --> 00:03:17,000 อืม ตอนที่ผมเกิด....ไ่ม่ล่ะ (หัวเราะ) 60 00:03:17,000 --> 00:03:21,000 เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ยินเรื่องๆ หนึ่ง ที่ผมชอบที่จะเล่าต่อให้กับคนอื่นๆ ฟัง 61 00:03:21,000 --> 00:03:25,000 มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็ก ผู้หญิงอายุ 6 ขวบคนหนึ่งในชั่วโมงศิลปะ 62 00:03:25,000 --> 00:03:27,000 เธอนั่งวาดรูปอยู่หลังห้อง 63 00:03:27,000 --> 00:03:29,000 คุณครูของเธอบอกว่า 64 00:03:29,000 --> 00:03:33,000 เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่เคยให้ความสนใจในสิ่งใดๆ เลย นอกจากในชั่วโมงศิลปะของวันนี้ 65 00:03:33,000 --> 00:03:35,000 คุณครูรู้สึกประหลาดใจมาก จึงเดินเข้าไปหาเด็กน้อย 66 00:03:35,000 --> 00:03:38,000 แล้วถามเธอว่า "หนูกำลังวาดอะไรอยู่จ๊ะ" 67 00:03:38,000 --> 00:03:41,000 เด็กน้อยตอบว่า "หนูกำลังวาดรูปพระเจ้าค่ะ" 68 00:03:41,000 --> 00:03:44,000 แล้วคุณครูก็ถามต่อว่า "แต่ว่าไม่มีใครรู้นะจ๊ะว่าพระเจ้าหน้าตาเป็นยังไง" 69 00:03:44,000 --> 00:03:51,000 เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า "อีกแป๊บนึงพวกเค้าก็จะรู้แล้วล่ะค่ะ" 70 00:03:51,000 --> 00:03:52,000 (หัวเราะ) 71 00:03:52,000 --> 00:03:57,000 ตอนที่ลูกชายของผมอายุ 4 ขวบ ในอังกฤษ 72 00:03:57,000 --> 00:04:00,000 อืม อันที่จริงแล้วเขาก็อายุ 4 ขวบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแหละครับ (หัวเราะ) 73 00:04:00,000 --> 00:04:06,000 ถ้าจะพูดให้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนในปีนั้นเขาก็อายุ 4 ขวบ 74 00:04:06,000 --> 00:04:08,000 เขาได้ร่วมแสดงในการแสดง เกี่ยวกับวันประสูติของพระเยซู 75 00:04:08,000 --> 00:04:11,000 คุณจำเรื่องราวได้ไหมครับ มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากนะครับ 76 00:04:11,000 --> 00:04:14,000 เมล กิ๊บสัน ถึงขั้นทำภาคต่อเลยทีเดียว 77 00:04:14,000 --> 00:04:19,000 คุณคงเคยได้ชมแล้ว "กำเนิดพระเยซู ภาค 2" เจมส์ ลูกชายของผม ได้เล่นเป็น โจเซฟ 78 00:04:19,000 --> 00:04:22,000 ซึ่งพวกเราตื่นเต้นกันมาก 79 00:04:22,000 --> 00:04:24,000 เราถือว่านี่เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงนำเลยทีเดียว 80 00:04:24,000 --> 00:04:26,000 ตอนไปดูเรายกทีมกันใส่เสื้อยืดที่สกรีนว่า 81 00:04:26,000 --> 00:04:29,000 "เจมส์ โรบินสัน เป็น โจเซฟ" (หัวเราะ) 82 00:04:29,000 --> 00:04:31,000 เขาไม่มีบทพูดเลยครับ แต่คุณก็คงรู้ว่าเค้าบทเป็นอย่างไร 83 00:04:31,000 --> 00:04:34,000 ตอนที่กษัตริย์ 3 พระองค์เดินทางมาถึง พวกเขานำของขวัญมาด้วย 84 00:04:34,000 --> 00:04:36,000 ซึ่งได้แก่ ทอง ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ น้ำมันหอม 85 00:04:36,000 --> 00:04:38,000 เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงครับ พวกเรานั่งดูอยู่ที่นั่น 86 00:04:38,000 --> 00:04:40,000 ผมคิดว่าเกิดการผิดคิวกันเกิดขึ้น 87 00:04:40,000 --> 00:04:42,000 เพราะว่าเราคุยกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง หลังจากที่ตัวละครเดินเข้ามาบนเวที เราถามเขาว่า 88 00:04:42,000 --> 00:04:44,000 "หนูว่านี่โอเคมั๊ย" เด็กน้อยตอบว่า "ครับ ทำไมเหรอครับ?" "มีอะไรผิดปกติเหรอครับ" 89 00:04:44,000 --> 00:04:46,000 พวกเขาแค่ยืนสลับที่กัน 90 00:04:46,000 --> 00:04:47,000 อย่างไรก็ตาม เด็กชายสามคนเดินเข้ามาบนเวที 91 00:04:47,000 --> 00:04:49,000 เด็กอายุ 4 ขวบ ที่มีผ้าเช็ดจานวางอยู่บนศีรษะ 92 00:04:49,000 --> 00:04:52,000 แล้วพวกเขาก็วางกล่องของขวัญลง 93 00:04:52,000 --> 00:04:54,000 เด็กชายคนแรกพูดว่า "ข้านำทองมาให้เจ้า" 94 00:04:54,000 --> 00:04:57,000 เด็กชายคนที่สองพูดว่า "ข้านำน้ำมันหอม มาให้เจ้า" 95 00:04:57,000 --> 00:05:11,000 แล้วเด็กชายคนสุดท้ายก็พูดว่า "อันนี้แฟรงค์ส่งมา" (หัวเราะ เพราะศัพท์ที่ควรพูดคือ Frankincense) 96 00:05:11,000 --> 00:05:13,000 ทั้งสองเรื่องที่ผมเล่ามา มีสิ่งที่เหมือนกันคือ เด็กทุกคนกล้าที่จะลอง 97 00:05:13,000 --> 00:05:16,000 ถึงพวกเขาจะไม่รู้ พวกเขาก็จะลองดู 98 00:05:16,000 --> 00:05:19,000 จริงไหมครับ? เด็กไม่กลัวที่จะทำผิดพลาด 99 00:05:19,000 --> 00:05:24,000 เอาล่ะ แต่นี่ผมไม่ได้หมายความว่าการทำผิดพลาด เป็นสิ่งเดียวกันกับการมีความคิดสร้างสรรค์นะครับ 100 00:05:24,000 --> 00:05:25,000 แต่เราทุกคนทราบว่า 101 00:05:25,000 --> 00:05:28,000 ถ้าหากเราไม่พร้อมยอมรับกับการกระทำที่ผิดพลาด 102 00:05:28,000 --> 00:05:31,000 เราจะไม่มีวันสร้างสรรค์สิ่งที่แปลกใหม่ขึ้นมาได้ 103 00:05:31,000 --> 00:05:34,000 ถ้าเราไม่พร้อมยอมรับกับการทำผิดพลาด และรู้ไหมครับว่าเมื่อเวลาที่เด็กๆ โตเป็นผู้ใหญ่ 104 00:05:34,000 --> 00:05:36,000 เด็กส่วนใหญ่สูญเสียความสามารถ ในการยอมรับความผิดพลาด 105 00:05:36,000 --> 00:05:39,000 พวกเขาจะกลายเป็นคน ที่กลัวต่อการทำผิดพลาด 106 00:05:39,000 --> 00:05:41,000 คิดดูซิ พวกเราบริหารบริษัทแบบนี้ 107 00:05:41,000 --> 00:05:44,000 แบบที่เราทำให้การทำผิดพลาด เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และตอนนี้ 108 00:05:44,000 --> 00:05:47,000 เราก็บริหารระบบการศึกษา แบบที่ยอมรับความผิดพลาดไม่ได้ด้วย 109 00:05:47,000 --> 00:05:50,000 การทำผิด กลายเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด ที่คุณจะสามารถทำได้ 110 00:05:50,000 --> 00:05:53,000 ดังนั้น ผลของมันก็คือ เรากำลังให้การศึกษาแก่คน เพื่อให้ละทิ้ง 111 00:05:53,000 --> 00:05:56,000 ความสามารถในด้านความคิดสร้างสรรค์ 112 00:05:56,000 --> 00:05:59,000 ครั้งหนึ่ง ปิกัสโซ่ (ศิลปินด้านการวาดภาพ) เคยกล่าวไว้ว่า เด็กทุกคนเกิดมาเป็นศิลปิน 113 00:05:59,000 --> 00:06:03,000 ปัญหาก็คือ จะทำอย่างไรให้ความเป็นศิลปินนั้น ยังคงอยู่เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ 114 00:06:03,000 --> 00:06:05,000 ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พวกเราไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์ มากขึ้นตามการเจริญเติบโต 115 00:06:05,000 --> 00:06:08,000 แต่พวกเรากลับมีลดน้อยลง ตามอายุที่มากขึ้น หรืออาจจะพูดได้ว่า พวกเราได้รับการศึกษาให้มีความถดถอยด้านความคิดสร้างสรรค์ 116 00:06:08,000 --> 00:06:10,000 มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรล่ะ? 117 00:06:10,000 --> 00:06:14,000 ผมอาศัยอยู่ที่เมือง Stratford-on-Avon เมื่อ 5 ปีก่อน 118 00:06:14,000 --> 00:06:16,000 หลังจากนั้น ครอบครัวเราก็ได้ย้ายย้ายจาก Stratford มาที่ Los Angeles 119 00:06:16,000 --> 00:06:20,000 ลองจินตนาการดูซิครับว่า มันเป็นการเปลี่ยนแปลง จากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดไหน 120 00:06:20,000 --> 00:06:22,000 (หัวเราะ) จริงๆ แล้ว 121 00:06:22,000 --> 00:06:24,000 พวกเราอยู่ในเมืองที่เรียกว่า Snitterfield 122 00:06:24,000 --> 00:06:26,000 ซึ่งอยู่ในรอบนอกของ Stratford มันเป็นสถานที่ที่ 123 00:06:26,000 --> 00:06:31,000 เป็นบ้านเกิดของคุณพ่อของ Shakespeare คุณได้ยินอย่างนี้เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นรึเปล่า? ผมเป็นนะ 124 00:06:31,000 --> 00:06:33,000 คุณไม่เคยคิดว่า Shakespeare มีพ่อใช่ไหมครับ 125 00:06:33,000 --> 00:06:35,000 จริงไหม คุณคงไม่เคยคิดถึง 126 00:06:35,000 --> 00:06:37,000 Shakespeare ตอนเป็นเด็กใช่ไหมครับ? 127 00:06:37,000 --> 00:06:40,000 Shakespeare อายุ 7 ขวบเหรอ? ผมไม่เคยคิดถึงหรอก แต่จริงๆ แล้ว 128 00:06:40,000 --> 00:06:42,000 ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เขาเคยอายุ 7 ขวบ 129 00:06:42,000 --> 00:06:51,000 เขาเคยเรียนอยู่ในวิชาภาษาอังกฤษของครูสักคนหนึ่ง ใชไหมครับ? มันจะน่ารำคาญสักแค่ไหนนะ? 130 00:06:51,000 --> 00:07:05,000 (หัวเราะ) ครูของเขาคงจะเขียนรายงานผลการเรียนว่า "ต้องพยายามมากกว่านี้" หรืออย่างตอนที่พ่อของ Shakespeare ส่งเขาเข้านอน 131 00:07:05,000 --> 00:07:08,000 "ไปนอนได้แล้ว" 132 00:07:08,000 --> 00:07:10,000 "วางดินสอลง 133 00:07:10,000 --> 00:07:18,000 แล้วก็หยุดพูดแบบนี้ซะที มันทำให้คนอื่นเค้าสับสนกันไปหมด" 134 00:07:18,000 --> 00:07:23,000 (หัวเราะ) 135 00:07:23,000 --> 00:07:26,000 เอาล่ะครับ กลับมาเข้าเรื่อง ก็คือครอบครัวของผม ย้ายจากเมือง Stratford มาที่ Los Angeles 136 00:07:26,000 --> 00:07:30,000 ที่ผมอยากจะเล่าเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ 137 00:07:30,000 --> 00:07:33,000 ลูกชายของผมไม่อยากย้ายมาเลย 138 00:07:33,000 --> 00:07:36,000 ผมมีลูกสองคนครับ ลูกชายตอนนี้อายุ 21 ส่วนลูกสาวอายุ 16 139 00:07:36,000 --> 00:07:38,000 เจ้าลูกชายผมเค้าไม่อยากย้ายไป Los Angeles จริงๆ เขาชอบเมืองนี้นะครับ 140 00:07:38,000 --> 00:07:43,000 แต่ว่า ณ ตอนนั้น เขามีแฟนอยู่ในอังกฤษ ชื่อ ซาร่าห์ รักเดียวของเขาเลยล่ะครับ 141 00:07:43,000 --> 00:07:45,000 เขารู้จักเธอมาได้ประมาณเดือนนึง 142 00:07:45,000 --> 00:07:48,000 แต่จะว่าไป อาจจะเรียกได้ว่า พวกเขาเหมือนแต่งงานกันมาแล้วครบ 4 ปี 143 00:07:48,000 --> 00:07:52,000 เพราะว่าการคบกับใครได้ 1 เดือนสำหรับเด็กอายุ 16 แล้ว มันเหมือนเป็นระยะเวลายาวนาน 144 00:07:52,000 --> 00:07:54,000 ดังนั้น ลูกชายผมจึงเสียใจมาก ตอนที่อยู่บนเครื่อง 145 00:07:54,000 --> 00:07:56,000 เขาบอกว่า "ผมคงไ่ม่มีทางเจอผู้หญิงอย่างซาร่าห์อีกแล้ว" 146 00:07:56,000 --> 00:07:58,000 จริงๆ แล้ว ผมกับภรรยา ดีใจครับที่เป็นแบบนั้น 147 00:07:58,000 --> 00:08:10,000 เพราะว่า ซาร่าห์ คือเหตุผลหลัก ที่เราตัดสินใจย้ายออกจากอังกฤษ 148 00:08:10,000 --> 00:08:13,000 (หัวเราะ) 149 00:08:13,000 --> 00:08:16,000 แต่การย้ายมาอเมริกาทำให้เราฉุกคิดครับ 150 00:08:16,000 --> 00:08:18,000 เมื่อคุณได้ท่องเที่ยวมาแล้วทั่วโลก 151 00:08:18,000 --> 00:08:22,000 คุณจะพบว่า ระบบการศึกษา ทุกที่บนโลกนี้ มีการจัดระดับของวิชาต่าง ๆ แบบเดียวกัน 152 00:08:22,000 --> 00:08:24,000 ทุกที่เลยครับ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน 153 00:08:24,000 --> 00:08:26,000 คุณอาจคิดว่ามันน่าจะต่างกัน แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ 154 00:08:26,000 --> 00:08:29,000 ระดับบนสุดก็คือ คณิตศาสตร์ และ ภาษา 155 00:08:29,000 --> 00:08:31,000 จากนั้นก็มนุษยศาสตร์ และล่างสุดคือศิลปะ 156 00:08:31,000 --> 00:08:33,000 เป็นแบบนี้ทั้งโลกเลยครับ 157 00:08:33,000 --> 00:08:36,000 และเป็นแบบนี้ในทุกระบบด้วยครับ 158 00:08:36,000 --> 00:08:38,000 นอกจากนี้ข้างในสาขาศิลปะเอง ก็ยังแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ 159 00:08:38,000 --> 00:08:40,000 ในสถานศึกษา จิตรกรรม และ ดนตรี จะมีสถานะที่สูงกว่า 160 00:08:40,000 --> 00:08:43,000 การแสดง และการเต้นรำ ไม่มีระบบการศึกษาใดเลยในโลกนี้ 161 00:08:43,000 --> 00:08:45,000 ที่เราสอนให้เด็กๆ เต้นรำ ทุกวัน 162 00:08:45,000 --> 00:08:48,000 เหมือนกับที่เราสอนคณิตศาสตร์ ทำไมล่ะครับ 163 00:08:48,000 --> 00:08:50,000 ทำไมเราถึงไม่ทำอย่างนั้น ผมว่าเรื่องนี้สำคัญมากทีเดียว 164 00:08:50,000 --> 00:08:53,000 ใช่ครับ ผมยอมรับว่าความรู้ด้านคณิตศาสตร์นั้นสำคัญ แต่ผมว่าการเต้นก็สำคัญเหมือนกัน 165 00:08:53,000 --> 00:08:56,000 เด็กๆ เต้นตลอดเวลา ถ้าพวกเขาได้รับอนุญาต 166 00:08:56,000 --> 00:08:59,000 พวกเราก็มีร่างกายด้วยกันทั้งนั้นใช่ไหมครับ ผมไม่ได้พลาดอะไรไปใช่ไหม 167 00:08:59,000 --> 00:09:03,000 (หัวเราะ) จริงๆ นะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ 168 00:09:03,000 --> 00:09:05,000 เมื่อเด็กๆ โตขึ้น พวกเราก็ค่อยๆ สอนเด็กเหล่านั้น 169 00:09:05,000 --> 00:09:08,000 ให้ใช้ความสามารถตั้งแต่เอวขึ้นไป แล้วเราก็เน้นเฉพาะการใช้สมอง 170 00:09:08,000 --> 00:09:10,000 และค่อนข้างจะไปทางซีกหนึ่งของสมองด้วย 171 00:09:10,000 --> 00:09:14,000 ถ้าหากคุณเป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วได้เข้าไปเยี่ยมชมงานด้านการศึกษา 172 00:09:14,000 --> 00:09:17,000 เพื่อตอบคำถามว่า "การศึกษา มีไว้เพื่ออะไร?" 173 00:09:17,000 --> 00:09:19,000 คุณคงจะได้ข้อสรุป จากการพิจารณาจากผลผลิตที่ออกมา 174 00:09:19,000 --> 00:09:21,000 จากคนที่ได้รับผลประโยชน์จากมัน 175 00:09:21,000 --> 00:09:23,000 คนที่ทำในสิ่งที่คิดว่าสมควรทำ 176 00:09:23,000 --> 00:09:26,000 คนที่ประสบความสำเร็จ 177 00:09:26,000 --> 00:09:29,000 คุณน่าจะได้ข้อสรุปว่า วัตถุประสงค์ของการศึกษา 178 00:09:29,000 --> 00:09:30,000 ของทั้งโลกใบนี้ คือ 179 00:09:30,000 --> 00:09:34,000 การผลิตอาจารย์มหาวิทยาลัย ว่ามั้ยครับ 180 00:09:34,000 --> 00:09:36,000 พวกเขาเหล่านั้นคือ คนที่อยู่อันดับต้นๆ ของการจัดอันดับครับ 181 00:09:37,000 --> 00:09:40,000 ผมก็เคยอยู่ในคนกลุ่มนั้นครับ เป็นยังไงล่ะ (หัวเราะ) 182 00:09:40,000 --> 00:09:44,000 ผมชอบอาจารย์มหาวิทยาลัยนะครับ แต่ผมว่า 183 00:09:44,000 --> 00:09:48,000 เราไม่ควรยกย่องพวกเขา ว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุด 184 00:09:48,000 --> 00:09:50,000 พวกเขาก็แค่สิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งเท่านั้นครับ 185 00:09:50,000 --> 00:09:52,000 ที่ค่อนข้างจะมีความช่างคิด ช่างสงสัย 186 00:09:52,000 --> 00:09:54,000 และผมพูดอย่างนี้โดยไม่คิดถึงความชื่นชม ที่มีต่อพวกเขานะครับ 187 00:09:54,000 --> 00:09:57,000 จากประสบการณ์ที่ผมมี มีบางอย่างน่าสนใจเกี่ยวกับบรรดาศาสตราจารย์เหล่านี้ครับ 188 00:09:57,000 --> 00:10:00,000 ไม่ใ่ช่ทุกคนนะครับ แค่บางคน ที่มีชีวิตอยู่แต่กับความคิดในหัวของตัวเอง 189 00:10:00,000 --> 00:10:02,000 อยู่อย่างนั้นเลยครับ แล้วค่อนข้างไปทางสมองซีกหนึ่ง 190 00:10:02,000 --> 00:10:06,000 พวกเขาไม่สนใจร่างกายของพวกเขาหรอกครับ 191 00:10:06,000 --> 00:10:08,000 พวกเขามองว่าร่างกายนั้น 192 00:10:08,000 --> 00:10:17,000 ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ทำให้ศีรษะของพวกเขา เคลื่อนที่ไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ 193 00:10:17,000 --> 00:10:24,000 (หัวเราะ) ร่างกายก็เป็นแค่สิ่งที่ พาศีรษะของเขาไปประชุม 194 00:10:24,000 --> 00:10:27,000 ถ้าคุณอยากเห็นหลักฐาน เกี่ยวกับประสบการณ์การละทิ้งร่างกาย 195 00:10:27,000 --> 00:10:30,000 ลองไปเข้าร่วมงานสัมนา ของอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยซิครับ 196 00:10:30,000 --> 00:10:32,000 บรรดาผู้มีคุณวุฒิทางการศึกษา 197 00:10:32,000 --> 00:10:35,000 ไปงานเต้นรำในคืนสุดท้ายของการสัมนานะครับ 198 00:10:35,000 --> 00:10:39,000 (หัวเราะ) ณ ที่นั่น คุณจะได้เห็น ชาย หญิง ที่โตแล้ว 199 00:10:39,000 --> 00:10:43,000 ขยับแข้ง ขยับขา แบบไม่เข้าจังหวะเอาเสียเลยครับ 200 00:10:43,000 --> 00:10:47,000 อยู่จนงานเลิก แล้วไปเขียนบนความเกี่ยวกับเรื่องนั้นนะครับ 201 00:10:47,000 --> 00:10:53,000 ทีนี้ ระบบการศึกษาของเรา เกิดจากความคิดเกี่ยวกับความสามารถทางวิชาการ 202 00:10:53,000 --> 00:10:56,000 แ่ต่มันก็มีเหตุผลจากว่า 203 00:10:56,000 --> 00:10:58,000 ระบบนี้ในทั่วโลก ถูกสร้างขึ้นในช่วง 204 00:10:58,000 --> 00:11:00,000 ก่อนศตวรรษที่ 19 ซึ่งตอนนั้น ยังไม่มีระบบการศึกษาสาธารณะเกิดขึ้นเลยครับ 205 00:11:00,000 --> 00:11:03,000 มันถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อ 206 00:11:03,000 --> 00:11:04,000 ตอบสนองความต้องการในยุค ปฏิวัติอุตสาหกรรม 207 00:11:04,000 --> 00:11:07,000 ดังนั้น อันดับความสำคัญของวิชาต่างๆ ถูกจัดโดยพิจารณาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ 208 00:11:07,000 --> 00:11:11,000 ปัจจัยแรก วิชาที่มีประโยชน์ กับลักษณะงานที่มีอยู่ในยุคนั้นมากที่สุด 209 00:11:11,000 --> 00:11:13,000 จะถูกจัดไว้สูงสุด ดังนั้นคุณจะได้รับการชี้นำให้ออกห่าง 210 00:11:13,000 --> 00:11:15,000 จากสิ่งที่คุณชอบ ณ ตอนที่คุณเป็นเด็ก 211 00:11:15,000 --> 00:11:17,000 ด้วยเหตุผลที่ว่า 212 00:11:17,000 --> 00:11:20,000 คุณไม่มีทางทำมาหากินได้ จากวิชาความรู้ที่คุณชอบ จริงรึเปล่าครับ 213 00:11:20,000 --> 00:11:22,000 ไม่ต้องเรียนดนตรีหรอก โตขึ้นจะเป็นนักดนตรีไม่ได้นะ 214 00:11:22,000 --> 00:11:24,000 ไม่ต้องเีรียนศิลปะหรอก โตขึ้นไม่ได้จะเป็นศิลปินเสียหน่อย 215 00:11:25,000 --> 00:11:29,000 คำแนะนำเหล่านี้ ณ ตอนนี้เราพบแล้วว่า เป็นความคิดที่ผิด 216 00:11:29,000 --> 00:11:30,000 โลกเราตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงการปฏิวัติ 217 00:11:30,000 --> 00:11:33,000 ถัดมาคือความสามารถในด้านวิชาการ ที่มีผลเป็นอย่างมาก 218 00:11:33,000 --> 00:11:34,000 กับมุมมองของพวกเราในเรื่องของสติปัญญา 219 00:11:34,000 --> 00:11:37,000 นั่นเป็นเพราะว่ามหาวิทยาลัยได้ออกแบบ ระบบการศึกษาจากภาพลักษณ์ของตัวมันเอง 220 00:11:37,000 --> 00:11:39,000 ลองนึกดูซิครับว่า 221 00:11:39,000 --> 00:11:41,000 ระบบการศึกษาสาธารณะทุกที่ในโลกนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ 222 00:11:41,000 --> 00:11:43,000 ในการเข้าสู่มหาวิทยาลัย 223 00:11:43,000 --> 00:11:46,000 และผลก็คือ มีหลายคนที่มีพรสวรรค์ มีความสามารถเฉพาะตัว 224 00:11:46,000 --> 00:11:48,000 เก่ง และมีความสร้างสรรค์ กลับคิดว่าพวกเขาไม่มีความสามารถอะไรเลย 225 00:11:48,000 --> 00:11:50,000 เพียงเพราะว่า พวกเขาเรียนไม่เก่ง 226 00:11:50,000 --> 00:11:54,000 ไม่มีใครมองเห็นคุณค่า แล้วกลับถูกมองว่าผิดปกติ 227 00:11:54,000 --> 00:11:56,000 ผมว่า เราไม่ควรปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปนะครับ 228 00:11:56,000 --> 00:11:58,000 ด้วยข้อมูลจากองค์กรยูเนสโก ภายใน 30 ปี จากนี้ 229 00:11:58,000 --> 00:12:01,000 ทั่วโลกจะมีคนจบการศึกษา 230 00:12:01,000 --> 00:12:03,000 มากกว่าจำนวนคนทั้งหมด ณ จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ 231 00:12:03,000 --> 00:12:05,000 จะมีคนจำนวนมากขึ้น 232 00:12:05,000 --> 00:12:07,000 แล้วก็มีสิ่งต่างๆ ที่เราได้พูดถึงก่อนหน้านี้ 233 00:12:07,000 --> 00:12:10,000 ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี และการเปลี่ยนรูปร่างของมัน ที่มีผลต่องาน และลักษณะโครงสร้างของประชากร 234 00:12:10,000 --> 00:12:12,000 และจำนวนของประชากรที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล 235 00:12:12,000 --> 00:12:15,000 ถึงตอนนั้น การมีปริญญาจะไ่ม่มีความหมายอีกต่อไป จริงไหมครับ 236 00:12:15,000 --> 00:12:19,000 ตอนที่ผมเป็นนักศึกษา ตอนนั้นถ้าคุณมีปริญญา คุณก็จะมีงานทำ 237 00:12:19,000 --> 00:12:22,000 แล้วถ้าหากคุณไม่มีงานทำ นั่นเป็นเพราะว่าคุณไม่ต้องการมัน 238 00:12:22,000 --> 00:12:25,000 แล้วจริงๆ แล้วผมก็ไม่อยากได้มันหรอกครับ (หัวเราะ) 239 00:12:25,000 --> 00:12:30,000 แต่คนรุ่นใหม่ที่มีปริญญาตอนนี้ 240 00:12:30,000 --> 00:12:31,000 หลายคนกลับไปอยู่บ้าน แล้วยังคงเล่นวีดีโอเกมส์ 241 00:12:31,000 --> 00:12:34,000 เพราะคุณต้องมีปริญญาโท เพื่อขยับจากงานเก่าที่ต้องการคนจบปริญญาตรี 242 00:12:34,000 --> 00:12:37,000 แล้วตอนนี้คุณก็ต้องมีปริญญาเอก เพื่อให้ได้อีกงานหนึ่ง 243 00:12:37,000 --> 00:12:39,000 มันเป็นกระบวนการเฟ้อของการศึกษา 244 00:12:39,000 --> 00:12:41,000 และมันชี้ให้เป็นว่าโครงสร้างของการศึกษา 245 00:12:41,000 --> 00:12:43,000 ได้มีการเปลี่ยนแปลงแล้วในช่วงชีวิตของพวกเรา เราจึงจำเป็นต้องคิดใหม่ 246 00:12:43,000 --> 00:12:44,000 เกี่ยวกับมุมมองของเรา ในเรื่องของสติปัญญา 247 00:12:44,000 --> 00:12:46,000 เรารู้อยู่ 3 อย่างเกี่ยวกับสติปัญญา 248 00:12:46,000 --> 00:12:49,000 สิ่งแรกคือมันหลากหลาย เรามองโลกในมุมมองที่หลากหลาย 249 00:12:49,000 --> 00:12:51,000 จากสิ่งที่เราได้ประสบ เราคิดจากสิ่งที่เห็น 250 00:12:51,000 --> 00:12:54,000 จากสิ่งที่ได้ยิน จากการลงมือทำ 251 00:12:54,000 --> 00:12:57,000 เราคิดในแบบที่เป็นนามธรรม เราคิดในการเคลื่อนไหว 252 00:12:57,000 --> 00:12:59,000 สิ่งที่สองคือ สติปัญญานั้น มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 253 00:12:59,000 --> 00:13:02,000 ถ้าคุณมองการปฏิสัมพันธ์ ในเซลล์ต่างๆ ของสมอง 254 00:13:02,000 --> 00:13:05,000 จากที่เราได้ฟังจากหลายการนำเสนอเมื่อวานนี้ 255 00:13:05,000 --> 00:13:07,000 สติปัญญาเป็นการปฏิสัมพันธ์ที่มหัศจรรย์ 256 00:13:07,000 --> 00:13:10,000 สมองของเราไม่ได้ถูกแบ่งออก เป็นชิ้นส่วนต่างๆ 257 00:13:10,000 --> 00:13:13,000 ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ที่ผมนิยามไว้ว่าเป็นกระบวนการ 258 00:13:13,000 --> 00:13:15,000 ในการสร้างให้เกิดแนวความคิด ที่เป็นต้นฉบับ ที่มีคุณค่า 259 00:13:15,000 --> 00:13:18,000 หลายครั้งมันไม่ได้มาจากการปฏิสัมพันธ์ 260 00:13:18,000 --> 00:13:21,000 ของการมองสิ่งต่างๆ ในรูปแบบที่ต่างกันไป 261 00:13:21,000 --> 00:13:23,000 สมองนั้นถูกออกแบบ 262 00:13:23,000 --> 00:13:26,000 ให้มีการประสานกันของเส้นประสาท ที่ได้หลอมรวมสมองทั้งสองส่วน 263 00:13:26,000 --> 00:13:28,000 เรียกว่า Corpus Collosum ซึ่งในผู้หญิงนั้นพบว่าจะมีความหนากว่าผู้ชาย 264 00:13:28,000 --> 00:13:30,000 ซึ่งก็เป็นไปตามที่ เฮเลน ได้พูดไว้เมื่อวานนี้ 265 00:13:30,000 --> 00:13:34,000 ผมคิดว่า มันคือเหตุผลว่าทำไมผู้หญิง จึงสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กันได้ดีกว่าผู้ชาย 266 00:13:34,000 --> 00:13:36,000 เพราะว่าพวกคุณเก่งกว่าจริงๆ ใช่มั้ย 267 00:13:36,000 --> 00:13:39,000 มีงานวิจัยสนับสนุนความคิดนี้มากมายเลยครับ แต่ผมรู้ได้จากชีวิตของผมเอง 268 00:13:39,000 --> 00:13:41,000 ถ้าหากภรรยาของผมทำอาหารที่บ้าน 269 00:13:41,000 --> 00:13:45,000 โชคดีครับที่เธอไม่ได้ทำมันบ่อยนัก (หัวเราะ) 270 00:13:45,000 --> 00:13:48,000 เธอทำอาหารบางจานอร่อยนะครับ 271 00:13:48,000 --> 00:13:50,000 เอาเป็นว่า ถ้าภรรยาผมทำอาหาร 272 00:13:50,000 --> 00:13:52,000 เธอสามารถคุยโทรศัพท์ 273 00:13:52,000 --> 00:13:55,000 คุยกับลูกๆ พร้อมกับทาสีผนังไปด้วย 274 00:13:55,000 --> 00:13:58,000 ให้ผ่าตัดหัวใจไปด้วยก็ยังได้ 275 00:13:58,000 --> 00:14:01,000 แต่ถ้าตอนผมทำอาหาร ประตูครัวจะถูกปิด เด็กๆ จะต้องออกไปข้างนอก 276 00:14:01,000 --> 00:14:04,000 หูโทรศัพท์ต้องยกออก ถ้าภรรยาผมเข้ามาในครัว ผมจะรำคาญมาก 277 00:14:04,000 --> 00:14:17,000 ผมจะบอกว่า เทอรี่ ได้โปรดเถอะ ขอเวลาส่วนตัวหน่อยได้ไหม ผมกำลังทอดไข่ดาวอยู่นะ 278 00:14:17,000 --> 00:14:19,000 คุณเคยได้ยินคำพูดนี้รึเปล่า 279 00:14:19,000 --> 00:14:22,000 ถ้าต้นไม้ต้นหนึ่งในป่าล้มลง แล้วไม่มีใครได้ยิน 280 00:14:22,000 --> 00:14:25,000 เรายังคิดว่ามันเกิดขึ้นจริงรึเปล่า จำเรื่องต้น Chestnut ต้นนั้นได้ไหมครับ 281 00:14:25,000 --> 00:14:28,000 เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเห็นเสื้อยืดตัวหนึ่งสกรีนคำว่า "ถ้าชายคนหนึ่งบอกความในใจของเขาในป่า 282 00:14:28,000 --> 00:14:31,000 และไม่มีผู้หญิงคนไหนได้ยิน 283 00:14:31,000 --> 00:14:40,000 เขาจะยังผิดรึเปล่า?" (หัวเราะ) 284 00:14:40,000 --> 00:14:42,000 เอาล่ะครับ มาถึงลักษณะที่ 3 ของความฉลาด ซึ่งก็คือ 285 00:14:43,000 --> 00:14:45,000 มันมีความเป็นแตกต่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ตอนนี้ผมกำลังเขียนหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง 286 00:14:45,000 --> 00:14:47,000 ชื่อว่า Epiphany ซึ่งเนื้อหานำมาจาก 287 00:14:47,000 --> 00:14:49,000 บทสัมภาษณ์บุคคลหลายๆ ท่าน เกี่ยวกับการค้นพบ 288 00:14:49,000 --> 00:14:51,000 ความสามารถพิเศษของพวกเขา ผมหลงไหลกับวิธีการที่คนเหล่านั้นก้าวมาถึงจุดที่พวกเขายืนอยู่ 289 00:14:51,000 --> 00:14:54,000 แนวคิดของหนังสือนี้ มาจากการที่ผมได้พูดคุย 290 00:14:54,000 --> 00:14:56,000 กับผู้หญิงที่วิเศษคนหนึ่ง ซึ่งคนส่วนใหญ่ 291 00:14:56,000 --> 00:14:58,000 อาจจะไม่รู้จัก เธอคนนั้นชื่อ จิลเลี่ยน ลินน์ ครับ 292 00:14:58,000 --> 00:15:00,000 คุณเคยได้ยินชื่อเธอมาบ้างรึเปล่า? บางคน ณ ที่นี้รู้จักนะครับ เธอเป็นนักออกแบบท่าเต้นครับ 293 00:15:00,000 --> 00:15:02,000 ทุกคนจะต้องรู้จักผลงานของเธอ 294 00:15:02,000 --> 00:15:04,000 เธอทำละครเวทีเรื่อง Cats และ Phantom of the Opera ครับ 295 00:15:04,000 --> 00:15:08,000 เธอเยี่ยมมากเลย ผมเคยเป็นกรรมการบริหาร ของ Royal Ballet ในประเทศอังกฤษ 296 00:15:08,000 --> 00:15:10,000 พอจะเดาออกไหมครับ 297 00:15:10,000 --> 00:15:12,000 เอาล่ะ วันหนึ่งผมกับจิลเลี่ยน ทานอาหารกลางวันด้วยกัน 298 00:15:12,000 --> 00:15:14,000 ผมถามเธอว่า "จิลเลี่ยน คุณมาเป็นนักเต้นได้อย่างไร" 299 00:15:14,000 --> 00:15:16,000 เธอตอบว่า ตอนที่เธอเป็นนักเรียน 300 00:15:16,000 --> 00:15:19,000 การเรียนของเธอย่ำแย่มาก ตอนนั้นก็ยุค 30s ครับ โรงเรียนของเธอ 301 00:15:19,000 --> 00:15:21,000 ส่งจดหมายถึงพ่อแม่ของเธอ ในนั้นเขียนว่า 302 00:15:21,000 --> 00:15:23,000 "เราคิดว่าจิลเลี่ยนมีปัญหาในการเรียนรู้" เธอไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดได้ 303 00:15:23,000 --> 00:15:25,000 ผมคิดว่าถ้าเป็นสมัยนี้ เราเรียกอาการนี้ว่า 304 00:15:25,000 --> 00:15:29,000 เธอเป็นโรคสมาธิสั้น ว่าไหมครับ แต่ในยุค 1930s 305 00:15:29,000 --> 00:15:32,000 โรคสมาธิสั้นยังไม่ถูกค้นพบ 306 00:15:32,000 --> 00:15:35,000 มันก็เลยไม่ได้เป็นอาการ ที่คนจะเลือกเป็นกันได้ (หัวเราะ) 307 00:15:35,000 --> 00:15:39,000 คนก็เลยไม่ทราบว่า พวกเขาอาจจะมีปัญหาเรื่องนี้ 308 00:15:39,000 --> 00:15:43,000 จิลเลี่ยนก็ได้ไปพบผู้เชี่ยวชาญ 309 00:15:43,000 --> 00:15:46,000 กับคุณแม่ของเธอ 310 00:15:46,000 --> 00:15:49,000 เธอนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านหนึ่ง 311 00:15:49,000 --> 00:15:51,000 เธอนั่งทับมือเธอไว้ 20 นาที 312 00:15:51,000 --> 00:15:53,000 ในระหว่างที่ผู้เชี่ยวชาญคนนี้คุยกับคุณแม่ของเธอ 313 00:15:53,000 --> 00:15:57,000 เกี่ยวกับปัญหาของจิลเลี่ยนที่โรงเรียนว่า 314 00:15:57,000 --> 00:15:59,000 เธอรบกวนเด็กคนอื่นๆ 315 00:15:59,000 --> 00:16:01,000 เธอส่งการบ้านสายเสมอ 316 00:16:01,000 --> 00:16:04,000 เด็กอายุ 8 ขวบ เท่านั้นครับ ในตอนสุดท้าย คุณหมอท่านนี้ก็เดินมานั่งข้างๆ จิลเลี่ยน 317 00:16:04,000 --> 00:16:06,000 แล้วเขาก็บอกกับจิลเลี่ยนว่า 318 00:16:06,000 --> 00:16:08,000 หมอได้ฟังเรื่องต่างๆ ของหนู จากคุณแม่แล้วนะจ๊ะ 319 00:16:08,000 --> 00:16:10,000 หมอต้องขอคุยกับคุณแม่ เป็นการส่วนตัวเสียหน่อย 320 00:16:10,000 --> 00:16:13,000 รอพวกเราอยู่ในห้องนี้สักพักนะจ๊ะ เราจะไปไม่นานหรอก 321 00:16:13,000 --> 00:16:15,000 แล้วคุณหมอกับคุณแม่ของเธอ ก็เดินออกไปจากห้อง 322 00:16:15,000 --> 00:16:17,000 ก่อนที่คุณหมอจะออกไปจากห้อง เขาก็เปิดวิทยุ 323 00:16:17,000 --> 00:16:19,000 ที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา 324 00:16:19,000 --> 00:16:21,000 เมื่อพวกเขาอยู่ข้างนอก คุณหมอก็พูดกับคุณแม่ของจิลเลี่ยนว่า 325 00:16:21,000 --> 00:16:24,000 คอยยืนดูจิลเลี่ยนอยู่ตรงนี้นะครับ และตั้งแต่เมื่อคุณหมอและคุณแม่ของเธอออกจากห้องไป 326 00:16:24,000 --> 00:16:28,000 จิลเลี่ยนบอกว่าเธอก็ลุกขึ้นยืน แล้วก็เต้นไปตามเสียงเพลง 327 00:16:28,000 --> 00:16:30,000 คุณหมอกับคุณแม่ มองเธออยู่จากด้านนอกประมาณ 2-3 นาที 328 00:16:30,000 --> 00:16:33,000 คุณหมอก็หันไปบอกกับคุณแม่ของเธอว่า 329 00:16:33,000 --> 00:16:37,000 คุณนายลินน์ครับ จิลเลี่ยนไม่ได้ป่วยหรอกครับ เธอเป็นนักเต้นต่างหาก 330 00:16:37,000 --> 00:16:39,000 ส่งเธอไป โรงเรียนสอนเต้นรำเถอะ 331 00:16:39,000 --> 00:16:41,000 ผมถามจิลเลี่ยนว่า แล้วจากนั้นเกิดอะไรขึ้น 332 00:16:41,000 --> 00:16:44,000 จิลเลี่ยนบอกว่า แม่ส่งฉันไปค่ะ ฉันบรรยายไม่ถูกเลยว่ามันมหัศจรรย์ขนาดไหน 333 00:16:44,000 --> 00:16:46,000 เราเดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วย 334 00:16:46,000 --> 00:16:49,000 คนที่เหมือนๆ กับฉัน คนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ 335 00:16:49,000 --> 00:16:52,000 คนที่ต้องขยับตัวตลอดเวลาเพื่อคิด 336 00:16:52,000 --> 00:16:54,000 ที่นั่นสอนเต้นบัลเล่ต์ แท๊บ แจ๊ส 337 00:16:54,000 --> 00:16:56,000 การเต้นสมัยใหม่ และแบบร่วมสมัย 338 00:16:56,000 --> 00:16:59,000 เธอได้ไปคัดเลือกตัวที่ Royal Ballet School 339 00:16:59,000 --> 00:17:01,000 แล้วเธอก็ได้เป็นนักเต้นเดี่ยว มีอาชีพวิเศษ 340 00:17:01,000 --> 00:17:03,000 ที่คณะ Royal Ballet แล้วเธอก็เรียนจบ 341 00:17:03,000 --> 00:17:05,000 จาก The Royal Ballet School จากนั้น 342 00:17:05,000 --> 00:17:08,000 เธอก็เปิดบริษัทสอนเต้นรำของตัวเอง ชื่อ The Gillian Lynne Dance Company 343 00:17:08,000 --> 00:17:11,000 เธอได้เจอกับ แอนดรู ลอยด์ เว๊บเบอร์ (ผู้สร้าง Phantom of the Opera) เธอได้ร่วมงานกับเขา และมีส่วนร่วม 344 00:17:11,000 --> 00:17:13,000 กับละครเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด 345 00:17:13,000 --> 00:17:18,000 ในประประวัติศาสตร์ เธอได้ให้ความสุขกับคนนับล้าน 346 00:17:18,000 --> 00:17:21,000 เธอกลายเป็นมหาเศรษฐี 347 00:17:21,000 --> 00:17:25,000 ถ้าเธอไม่ได้เจอคุณหมอคนนั้น เธออาจได้รับยา 348 00:17:25,000 --> 00:17:27,000 แล้วก็บอกให้เธออยู่นิ่งๆ สงบสติอารมณ์ 349 00:17:27,000 --> 00:17:30,000 เอาล่ะ ทีนี้ผมคิดว่า (เสียงปรบมือ) มาถึงเรื่องที่ 350 00:17:30,000 --> 00:17:32,000 อัล กอร์ พูดเมื่อคืนก่อน 351 00:17:32,000 --> 00:17:35,000 เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และที่ Rachel Carson กล่าวถึงเรื่องของวิวัฒนาการ 352 00:17:35,000 --> 00:17:39,000 ผมเชื่อว่า สิ่งเดียวที่เราสามารถฝากอนาคตของเราไว้ได้คือ 353 00:17:39,000 --> 00:17:42,000 แนวความคิดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของมนุษย์ 354 00:17:42,000 --> 00:17:46,000 เราจะต้องเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนวิธีการคิด 355 00:17:46,000 --> 00:17:48,000 เกี่ยวกับสามารถอันมหาศาล ของความสามารถของมนุษย์ 356 00:17:48,000 --> 00:17:52,000 ระบบการศึกษาของเรา ได้ปลูกฝังความคิดของเราในรูปแบบที่ 357 00:17:52,000 --> 00:17:54,000 เราใช้ทรัพยากรของเรา เพื่อให้ได้มาเพียงผลผลิตบางอย่าง 358 00:17:54,000 --> 00:17:57,000 ที่ในอนาคตจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเราได้ 359 00:17:57,000 --> 00:18:00,000 เราจะต้องคิดใหม่ เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานหลัก 360 00:18:00,000 --> 00:18:02,000 ในการให้การศึกษาแก่ลูกหลานของเรา 361 00:18:02,000 --> 00:18:06,000 ผมขอยกคำพูดหนึ่งของ Jonas Salk ที่ว่า 362 00:18:06,000 --> 00:18:09,000 ถ้าพวกแมลงทั้งหมดหายไปจากโลกนี้ 363 00:18:09,000 --> 00:18:12,000 ภายใน 50 ปี ทุกชีวิตบนโลกก็จะสิ้นไป 364 00:18:12,000 --> 00:18:15,000 แต่หากมนุษย์หายไปจากโลกนี้ 365 00:18:15,000 --> 00:18:19,000 ภายใน 50 ปี สิ่งมีชีวิตทุกชนิดก็จะขยายเผ่าพันธุ์ได้สมบูรณ์ 366 00:18:19,000 --> 00:18:21,000 เขาพูดถูกนะครับ 367 00:18:21,000 --> 00:18:24,000 สิ่งที่ TED ส่งเสริม คือของขวัญจากจินตนาการของมนุษย์ 368 00:18:24,000 --> 00:18:28,000 เราจะต้องระวังว่า เราได้ใช้ของขวัญนี้ 369 00:18:28,000 --> 00:18:31,000 อย่างรู้ค่า และเราได้ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องราวอย่างที่ 370 00:18:31,000 --> 00:18:34,000 เราได้พูดถึงกันในวันนี้ และมีเพียงวิธีการเดียว 371 00:18:35,000 --> 00:18:38,000 ที่เราจะทำอย่างนั้นได้ คือการที่เรามองความสามารถในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 372 00:18:38,000 --> 00:18:40,000 ว่ามันมีมากมายมหาศาล 373 00:18:40,000 --> 00:18:43,000 และมองลูกหลานของเราว่าพวกเขามีสิ่งเหล่านั้น 374 00:18:43,000 --> 00:18:46,000 และหน้าที่ของเราก็คือสอนพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเผชิญกับอนาคตได้ 375 00:18:46,000 --> 00:18:49,000 พวกเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นอนาคตนั้น 376 00:18:49,000 --> 00:18:52,000 แต่ลูกหลานของเราจะได้เห็น ดังนั้น มันเป็นหน้าที่ของพวกเรา 377 00:18:52,000 --> 00:18:54,000 ที่จะช่วยให้ลูกหลานของเรา อยู่กับอนาคตนั้นได้ ขอบคุณมากครับ