WEBVTT 00:00:00.926 --> 00:00:03.571 มันคงจะดีนะ ถ้าชีวิตไม่มีความลำเอียง 00:00:03.571 --> 00:00:05.593 ในหลายๆ ทาง 00:00:05.593 --> 00:00:08.971 ปัญหาก็คือ เราต่างก็มีแว่นหลากสี 00:00:08.971 --> 00:00:13.650 ที่เราใส่เมื่อมองดูเหตุการณ์ต่างๆ กัน 00:00:13.650 --> 00:00:17.366 ยกตัวอย่างเรื่องธรรมดาๆ เช่น เรื่องเบียร์ 00:00:17.366 --> 00:00:19.548 ถ้าผมเอาเบียร์ให้คุณชิมซัก 3-4 ยี่ห้อ 00:00:19.548 --> 00:00:23.356 แล้วให้คุณจัดลำดับตามความเข้มข้นและความขม 00:00:23.356 --> 00:00:27.053 เบียร์ต่างยี่ห้อ ก็จะถูกจัดลำดับต่างกันไป 00:00:27.053 --> 00:00:29.810 แต่ถ้าเราพยายามที่จะพิจารณาอย่างยุติธรรม 00:00:29.810 --> 00:00:31.970 ในกรณีของเบียร์ ก็คงทำได้ง่ายๆ 00:00:31.970 --> 00:00:34.122 แต่ถ้าเราให้ทดสอบรสชาติแบบปิดตาล่ะ 00:00:34.122 --> 00:00:36.846 เราทำเหมือนเดิม ชิมเบียร์กลุ่มเดิม NOTE Paragraph 00:00:36.846 --> 00:00:40.817 ทีนี้การปิดตา ผลลัพธ์อาจต่างออกไปเล็กน้อย 00:00:40.817 --> 00:00:43.039 เบียร์ส่วนใหญ่ ถูกจัดไปรวมอยู่ในกลุ่มเดียว 00:00:43.039 --> 00:00:45.484 คุณจะไม่สามารถแยกแยะมันพวกออกจากกันได้ 00:00:45.484 --> 00:00:48.573 และข้อยกเว้นคือ แน่ล่ะ คงเป็นเบียร์กินเนส 00:00:48.573 --> 00:00:50.801 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:00:50.801 --> 00:00:53.587 เช่นกัน เราลองคิดถึงเรื่องทางสรีระศาสตร์ 00:00:53.587 --> 00:00:56.629 จะเป็นอย่างไรถ้าคนคาดหวังกับ เรื่องทางกายภาพของเขา 00:00:56.629 --> 00:00:59.137 ตัวอย่างเช่น เมื่อเราขายยาแก้ปวดให้กับคน 00:00:59.137 --> 00:01:01.876 แล้วบอกกับบางคนว่า ยานั้นมีราคาแพง 00:01:01.876 --> 00:01:03.757 แต่บางคน เราก็บอกว่ามันเป็นของราคาถูก 00:01:03.757 --> 00:01:06.729 ปรากฎว่ายากลุ่มที่บอกราคาแพงให้ผลดีกว่า 00:01:06.729 --> 00:01:09.283 มันช่วยแก้ปวดได้ดีกว่า 00:01:09.283 --> 00:01:12.787 เพราะความคาดหวังนั้น ส่งผลต่อการเปลี่ยนทางกายภาพได้ 00:01:12.787 --> 00:01:14.849 และแน่นอน พวกเรารู้กันว่าในเรื่องกีฬา 00:01:14.849 --> 00:01:16.734 ถ้าคุณเป็นแฟนของทีมใดทีมหนึ่ง 00:01:16.744 --> 00:01:19.036 มันช่วยไม่ได้ที่คุณเห็นการที่ 00:01:19.036 --> 00:01:21.596 เกมพัฒนาไป โดยมุมมองของทีมที่คุณชอบ NOTE Paragraph 00:01:22.756 --> 00:01:26.717 ซึ่งในกรณีทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องที่เราอุปาทานขึ้น 00:01:26.717 --> 00:01:30.157 และความคาดหวังของเราก็ระบายสีสันให้กับโลก 00:01:30.157 --> 00:01:33.559 แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับคำถามที่สำคัญยิ่งกว่า 00:01:33.559 --> 00:01:37.111 เกิดอะไรขึ้นกับคำถามที่มีผล ต่อความยุติธรรมในสังคม 00:01:37.111 --> 00:01:40.516 ดังนั้นเราจึงอยากจะลองคิดถึง วิธีการทดสอบแบบปิดตา 00:01:40.516 --> 00:01:43.581 ในเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันดูบ้าง 00:01:43.581 --> 00:01:45.880 เราเริ่มต้นโดยมองไปที่ ความไม่เท่าเทียมกัน 00:01:45.880 --> 00:01:47.830 และเราก็ทำการสำรวจขนาดใหญ่ 00:01:47.830 --> 00:01:50.384 ทั่วทั้งสหรัฐและประเทศอื่นๆ 00:01:50.384 --> 00:01:52.335 เราตั้งคำถาม 2 ข้อว่า 00:01:52.335 --> 00:01:55.701 ผู้คนทราบหรือไม่ว่า เรามีระดับ ความไม่เท่าเทียมกันแบบไหนบ้าง 00:01:55.701 --> 00:01:59.812 แล้วค่อยถามต่อว่า เราอยากให้มีความไม่เท่าเทียมกันที่ระดับไหน 00:01:59.812 --> 00:02:02.226 มาลองคิดถึงคำถามแรกกันก่อน 00:02:02.226 --> 00:02:04.339 จินตนาการดูว่าผมนำประชาชนทั้งหมดในสหรัฐฯ 00:02:04.339 --> 00:02:07.264 มาแบ่งประเภทเรียงกัน จากคนที่ยากจนที่สุดให้อยู่ทางขวา 00:02:07.264 --> 00:02:09.656 คนที่รวยที่สุดให้อยู่ทางซ้าย 00:02:09.656 --> 00:02:12.318 จากนั้นจึงแบ่งคนทั้งหมดออกเป็น 5 กลุ่ม 00:02:12.318 --> 00:02:14.616 เริ่มจากคนจนที่สุด 20 % ถัดมาอีก 20% 00:02:14.616 --> 00:02:17.472 และถัดกันมาเรื่อยๆ จนถึง กลุ่มคนที่รวยที่สุด 20% 00:02:17.472 --> 00:02:20.468 และผมค่อยถามคุณว่า ความมั่งคั่งแค่ไหนที่คุณคิดว่า 00:02:20.468 --> 00:02:23.417 รวมกันอยู่ในคนกลุ่มต่างๆ 00:02:23.417 --> 00:02:25.878 เพื่อทำให้มันง่ายมากขึ้น ลองจินตนาการว่าผมถามคุณว่า 00:02:25.878 --> 00:02:28.138 ความมั่งคั่งแค่ไหนที่รวมกันอยู่ 00:02:28.138 --> 00:02:30.398 ใน 2 กลุ่มคนที่อยู่ล่างสุด 00:02:30.398 --> 00:02:32.659 รวมเป็นคนกลุ่มล่าง 40% 00:02:32.659 --> 00:02:35.351 ลองใช้เวลาสักครู่ คิดถึงเรื่องนี้ และนึกถึงตัวเลขไว้ 00:02:35.351 --> 00:02:37.255 โดยทั่วไปเราไม่ทันคิด 00:02:37.255 --> 00:02:39.740 ลองคิดซักนิด แล้วเก็บตัวเลขไว้ในใจ 00:02:39.740 --> 00:02:41.365 ได้หรือยังครับ NOTE Paragraph 00:02:41.365 --> 00:02:44.430 โอเคและนี่คือสิ่งที่ คนอเมริกันจำนวนมากบอกเรา 00:02:44.430 --> 00:02:46.357 พวกเขาคิดว่ากลุ่มล่างสุด 20% 00:02:46.357 --> 00:02:48.679 มีความมั่งคั่งประมาณ 2.9% 00:02:48.679 --> 00:02:50.862 กลุ่มถัดมา 6.4% 00:02:50.862 --> 00:02:53.369 รวมกันก็เกิน 9% มานิดหน่อย 00:02:53.369 --> 00:02:56.782 กลุ่มต่อมา พวกเขาบอกว่ามี 12% 00:02:56.782 --> 00:02:58.431 20% 00:02:58.431 --> 00:03:03.075 และกลุ่มคนที่รวยที่สุด 20% นั้น ผู้คนคิดว่าเขามั่งคั่งถึง 58 % 00:03:03.075 --> 00:03:06.210 คุณคงเห็นได้ว่ามันสอดคล้องกับ สิ่งที่คุณเคยคิดอย่างไร NOTE Paragraph 00:03:06.210 --> 00:03:07.951 ทีนี้มาดูความเป็นจริงกันบ้าง 00:03:07.951 --> 00:03:09.762 ความจริงนั้นต่างออกไปเล็กน้อย 00:03:09.762 --> 00:03:13.575 20% ของกลุ่มล่างสุด มีความมั่งคั่งเพียง 0.1% 00:03:13.575 --> 00:03:16.065 อีก20% ถัดมามีความมั่งคั่งที่ 0.2% 00:03:16.995 --> 00:03:19.816 รวมกันเป็น 0.3% 00:03:19.816 --> 00:03:22.117 กลุ่มถัดมามี 3.9% 00:03:22.117 --> 00:03:24.651 รวมเป็น 11.3 00:03:24.651 --> 00:03:30.392 และกลุ่มคนที่รวยที่สุด มีความมั่งคั่งรวมกันถึง 84-85% 00:03:30.392 --> 00:03:33.358 จะเห็นว่า สิ่งที่เรามีจริงๆ กับสิ่งที่เราคิดว่าเรามี 00:03:33.358 --> 00:03:35.331 นั้นช่างแตกต่างกัน NOTE Paragraph 00:03:35.331 --> 00:03:37.421 แล้วสิ่งที่เราต้องการล่ะ 00:03:37.421 --> 00:03:39.418 เราจะรู้ได้อย่างไร 00:03:39.418 --> 00:03:40.829 ลองดูนี่ 00:03:40.829 --> 00:03:42.407 เพื่อหาสิ่งที่เราต้องการจริงๆ 00:03:42.407 --> 00:03:45.472 เราคิดถึงนักปรัชญาชื่อ จอห์น รอลส์ 00:03:45.472 --> 00:03:47.307 ถ้าคุณจำ จอห์น รอลส์ ได้ 00:03:47.307 --> 00:03:50.557 เขาให้เหตุผลว่า สังคมที่เป็นธรรมเป็นอย่างไร 00:03:50.557 --> 00:03:52.039 เขาบอกว่าสังคมที่เป็นธรรม 00:03:52.039 --> 00:03:54.754 ก็คือสังคมที่ หากว่าคุณ รู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมัน 00:03:54.754 --> 00:03:57.187 คุณก็จะยินดีที่จะก้าวเข้ามาในที่ใดก็ได้ 00:03:57.187 --> 00:03:58.711 และมันก็เป็นคำจำกัดความที่สวยงาม 00:03:58.711 --> 00:04:01.189 เพราะหากว่าคุณเป็นคนร่ำรวย คุณก็อาจต้องการให้คนร่ำรวย 00:04:01.189 --> 00:04:03.226 มีเงินมากกว่า ให้คนจนมีน้อยกว่า 00:04:03.226 --> 00:04:05.335 ถ้าคุณเป็นคนจน คงต้องการ ความเท่าเทียมมากขึ้น 00:04:05.335 --> 00:04:07.339 แต่ถ้าคุณจะเข้าไปในสังคมนั้น 00:04:07.339 --> 00:04:10.659 ในทุกสถานการณ์ที่อาจเป็นไปได้ ซึ่งคุณไม่รู้ 00:04:10.659 --> 00:04:12.865 คุณก็ต้องพิจารณาในทุกแง่มุม 00:04:12.865 --> 00:04:15.791 ก็คล้ายๆ กับการทดสอบแบบปิดตา ซึ่งคุณไม่รู้ 00:04:15.791 --> 00:04:18.461 ว่าผลจะเป็นอย่างไร เมื่อคุณตัดสินใจไป 00:04:18.461 --> 00:04:22.176 และรอลส์เรียกสิ่งนี้ว่า "ผ้าคลุมหน้าของความไม่รู้" NOTE Paragraph 00:04:22.176 --> 00:04:25.783 เรามาดูกลุ่มอื่นดู กลุ่มใหญ่ของชาวอเมริกัน 00:04:25.783 --> 00:04:28.538 แล้วเราถามคำถามพวกเค้าเรื่องของ ผ้าคลุมหน้าของความไม่รู้ 00:04:28.538 --> 00:04:32.648 อะไรคือคุณลักษณะของประเทศ ที่คุณอยากจะไปอยู่ 00:04:32.648 --> 00:04:35.806 โดยรู้ว่าคุณไปอยู่ที่ไหนก็ได้ 00:04:35.806 --> 00:04:37.285 และนี่ก็คือคำตอบที่เราได้ 00:04:37.285 --> 00:04:39.544 อะไรคือสิ่งที่ผู้คนอยากให้ ในกลุ่มแรก 00:04:39.544 --> 00:04:41.727 กลุ่มที่เป็น 20% สุดท้าย 00:04:41.727 --> 00:04:44.421 พวกเขาอยากให้มีความมั่งคั่งที่ 10% 00:04:44.421 --> 00:04:47.021 กลุ่มถัดไปที่ 14% ของความมั่งคั่ง 00:04:47.021 --> 00:04:52.384 21, 22 และ 32 NOTE Paragraph 00:04:52.384 --> 00:04:55.890 ทีนี้ ไม่มีใครเลยในกลุ่มตัวอย่างที่อยากให้ กลายเป็นความเท่าเทียมเต็มๆ 00:04:55.890 --> 00:05:00.323 ไม่มีใครคิดเลยว่า ระบบสังคมนิยม คือความคิดอันสุดวิเศษในกลุ่มตัวอย่างของเรา 00:05:00.323 --> 00:05:01.611 แต่ มันหมายความว่าอย่างไร 00:05:01.611 --> 00:05:03.649 มันหมายความว่า เรามีช่องว่างของความรู้อยู่ 00:05:03.649 --> 00:05:06.307 ระหว่างสิ่งที่เรามี กับสิ่งที่เราคิดว่าเรามี 00:05:06.307 --> 00:05:10.022 แต่อย่างน้อยก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ ระหว่างสิ่งที่เราคิดว่าถูก 00:05:10.022 --> 00:05:12.820 กับสิ่งที่เราคิดว่าเรามีอยู่ NOTE Paragraph 00:05:12.820 --> 00:05:16.012 ทีนี้ เราสามารถถามคำถามเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เรื่องความมั่งคั่ง 00:05:16.012 --> 00:05:18.427 เราสามารถถามเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆได้ด้วย 00:05:18.427 --> 00:05:22.630 ยกตัวอย่างเช่น เราถามผู้คน ที่มาจากที่ต่างๆของโลก 00:05:22.630 --> 00:05:24.348 เกี่ยวกับคำถามนี้ 00:05:24.348 --> 00:05:26.691 คนที่เป็นพวกเสรีนิยม และ อนุรักษ์นิยม 00:05:26.691 --> 00:05:28.735 แล้วพวกเขาให้คำตอบเหมือนๆกัน 00:05:28.735 --> 00:05:31.217 เราถามกลุ่มคนรวยและจน แล้วเขาให้คำตอบที่เหมือนกัน 00:05:31.217 --> 00:05:32.518 ชายและหญิง 00:05:32.518 --> 00:05:35.211 กลุ่มคนที่ฟังเอ็นพีอาร์ (NPR) และคนที่อ่านฟอร์ปส์ (Forbes) 00:05:35.211 --> 00:05:38.440 เราถามคนที่อังกฤษ ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ 00:05:38.440 --> 00:05:40.157 คำตอบที่ได้คล้ายๆ กัน 00:05:40.157 --> 00:05:42.928 เราถามแม้กระทั่งคนจากต่างคณะในมหาวิทยาลัย 00:05:42.928 --> 00:05:45.686 เราไปที่ฮาวาร์ด และเข้าไปเช็คเกือบทุกคณะ 00:05:45.686 --> 00:05:47.698 อันที่จริง จากโรงเรียนธุรกิจฮาวาร์ด 00:05:47.698 --> 00:05:51.340 ที่ๆซึ่งมีไม่กี่คนที่ต้องการให้มีความมั่งคั่งมากขึ้น แล้วคนรวยมีน้อยลง 00:05:51.340 --> 00:05:53.950 เป็นความคล้ายคลึงกันที่น่าทึ่ง 00:05:53.950 --> 00:05:56.774 ผมรู้ว่าพวกคุณบางคนที่นี่เคยเรียนที่นั่น NOTE Paragraph 00:05:56.774 --> 00:06:00.120 เรายังถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องอื่นด้วย 00:06:00.120 --> 00:06:05.089 เราถามถึงสัดส่วน ที่ผู้บริหารจ่ายให้กับแรงงานไร้ฝีมือ 00:06:05.089 --> 00:06:08.246 ดังนั้นคุณจะได้เห็นสิ่งที่ ผู้คนคิดเป็นอัตราส่วน 00:06:08.246 --> 00:06:12.147 แล้วเราจะถามคำถามว่า คุณคิดว่าอัตราส่วนจะเป็นเท่าไหร่ 00:06:12.147 --> 00:06:14.774 เสร็จแล้วเราถึงจะถามได้ว่า แล้วความจริงเป็นอย่างไร 00:06:14.774 --> 00:06:18.052 อะไรคือความจริง แล้วคุณพูดได้ว่า อืม มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ใช่มั้ย 00:06:18.052 --> 00:06:20.205 สีแดง และสีเหลือง มันก็ไม่ได้ต่างกันมาก 00:06:20.205 --> 00:06:24.125 แต่ข้อเท็จจริงคือ เป็นเพราะว่า ผมไม่ได้วาดมันลงไปโดยใช้สเกลเดียวกัน 00:06:26.105 --> 00:06:30.015 มันยากที่จะเห็นว่า มีสีเหลืองและสีฟ้า อยู่ในนั้น NOTE Paragraph 00:06:30.015 --> 00:06:32.360 แล้วผลลัพธ์อื่นๆ ในเรื่องความมั่งคั่งล่ะ 00:06:32.360 --> 00:06:34.055 ความมั่งคั่ง ไม่ใช่แค่นี้อย่างเดียว 00:06:34.055 --> 00:06:36.679 เราถามว่า แล้วเรื่องของสุขภาพล่ะ 00:06:36.679 --> 00:06:40.812 แล้วเรื่องการหาใบสั่งยามาได้ล่ะ 00:06:40.812 --> 00:06:42.832 แล้วเรื่องของอายุขัย 00:06:42.832 --> 00:06:45.247 เรื่องอายุขัยของเด็กทารก 00:06:45.247 --> 00:06:47.592 เราอยากให้เรื่องนี้ กระจายไปอย่างไร 00:06:47.592 --> 00:06:50.401 แล้วเรื่องการศึกษาของเด็กๆ 00:06:50.401 --> 00:06:52.271 และผู้สูงอายุ 00:06:52.271 --> 00:06:55.254 และจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สิ่งที่เราเรียนรู้นั่นคือ 00:06:55.254 --> 00:06:58.412 ผู้คนไม่ชอบเรื่องความไม่เท่าเทียม ในเรื่องความมั่งคั่ง 00:06:58.412 --> 00:07:01.918 แต่มันมีอย่างอื่น ที่ความไม่เท่าเทียม ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของความมั่งคั่ง 00:07:01.918 --> 00:07:03.961 ซึ่งยิ่งสร้างความไม่ชอบใจต่อพวกเขา 00:07:03.961 --> 00:07:07.932 ตัวอย่างเช่น ความไม่เท่าเทียมในเรื่อง สุขภาพและการศึกษา 00:07:07.932 --> 00:07:10.393 เราเรียนรู้มาว่าผู้คนจะเปิดเผย 00:07:10.393 --> 00:07:12.947 ที่จะเปลี่ยนแปลง ความเท่าเทียม เวลาที่มันมาถึงพวกเขา 00:07:12.947 --> 00:07:14.991 เรามีตัวแทนน้อยลง 00:07:14.991 --> 00:07:17.336 โดยพื้นฐานแล้วคือ ลูกๆ ของคุณ 00:07:17.336 --> 00:07:22.003 เพราะเราไม่ได้คิดว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบ กับสถานการณ์ของเขา NOTE Paragraph 00:07:22.003 --> 00:07:24.348 แล้วบทเรียนที่ได้ในเรื่องนี้คืออะไร 00:07:24.348 --> 00:07:25.508 เรามีช่องว่าง 2 แบบ 00:07:25.508 --> 00:07:28.088 และช่องว่างทางความรู้ และ ช่องว่างของความพึงพอใจ 00:07:28.088 --> 00:07:30.710 และช่องว่างทางความรู้ เป็นบางสิ่งที่เราคิดไว้ 00:07:30.710 --> 00:07:32.080 เราให้ความรู้กับผู้คนอย่างไร 00:07:32.080 --> 00:07:34.796 เราทำให้เขาคิดต่าง อย่างไร ในเรื่องความไม่เท่าเทียม 00:07:34.796 --> 00:07:38.558 แล้วผลที่ได้จากความไม่เท่าเทียม ในเรื่องของสุขภาพและการศึกษา 00:07:38.558 --> 00:07:40.949 ความริษยา อัตราการเกิดอาชญากรรม และเรื่องอื่นๆ NOTE Paragraph 00:07:40.949 --> 00:07:42.830 แล้วเราก็มีช่วงว่างของความพึงพอใจ 00:07:42.830 --> 00:07:46.653 เราทำให้คนอื่นๆ คิดต่างอย่างไร ในเรื่องของสิ่งที่เราต้องการ จริงๆ 00:07:46.653 --> 00:07:50.028 คุณเห็นมั้ย คำจำกับความของ รอลส์ และสิ่งที่ รอลส์ มองโลกนี้ 00:07:50.028 --> 00:07:51.770 การทดสอบแบบปิดตา 00:07:51.770 --> 00:07:54.695 จะดึงเอาสิ่งเร้าที่เห็นแก่ตัวของเราออกมา 00:07:54.695 --> 00:07:57.272 เราจะนำสิ่งนั้นไปใช้อย่างไรในทางที่สูงขึ้น 00:07:57.272 --> 00:07:59.896 หรือในสเกลที่ขยายเพิ่มขึ้น NOTE Paragraph 00:07:59.896 --> 00:08:02.752 และท้ายสุด เราก็ยังคงมีช่องว่างของการกระทำ 00:08:02.752 --> 00:08:05.701 เราจะทำอย่างไรกับสิ่งนี้จริงๆ ดี 00:08:05.701 --> 00:08:08.603 ผมคิดว่า ส่วนหนึ่งของคำตอบก็คือ การคิดถึงผู้คน 00:08:08.603 --> 00:08:11.715 เช่นเด็กๆ และทารก ที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไรมาก 00:08:11.715 --> 00:08:15.523 เพราะคนเราดูเหมือนจะยอมทำสิ่งนี้ NOTE Paragraph 00:08:15.523 --> 00:08:20.793 โดยสรุปแล้ว ผมอยากบอกว่า คราวหน้า ตอนที่คุณดื่มเบียร์ หรือไวน์ 00:08:20.793 --> 00:08:24.880 ก่อนอื่นให้คิดว่า โดยประสบการณ์ ของคุณแล้ว อะไรเป็นของจริง 00:08:24.880 --> 00:08:28.154 แล้วอะไรที่เป็นประสบการณ์ของคุณ ที่มันเป็น ปรากฎการณ์ยาหลอก 00:08:28.154 --> 00:08:29.758 ที่มาจากความคาดหวัง 00:08:29.758 --> 00:08:33.287 และคิดไปถึงว่า มันไปมีผลต่อ การตัดสินใจอื่นๆ ในชีวิตคุณอย่างไร 00:08:33.287 --> 00:08:35.362 แล้วหวังว่าจะมีผลต่อคำถามเรื่องนโยบาย 00:08:35.362 --> 00:08:36.667 ที่ส่งผลกระทบต่อเราทุกคน NOTE Paragraph 00:08:36.667 --> 00:08:38.394 ขอบคุณมากครับ NOTE Paragraph 00:08:38.394 --> 00:08:40.731 (เสียงปรบมือ)