1 00:00:00,926 --> 00:00:03,571 มันคงจะดีนะ ถ้าชีวิตไม่มีความลำเอียง 2 00:00:03,571 --> 00:00:05,593 ในหลายๆ ทาง 3 00:00:05,593 --> 00:00:08,971 ปัญหาก็คือ เราต่างก็มีแว่นหลากสี 4 00:00:08,971 --> 00:00:13,650 ที่เราใส่เมื่อมองดูเหตุการณ์ต่างๆ กัน 5 00:00:13,650 --> 00:00:17,366 ยกตัวอย่างเรื่องธรรมดาๆ เช่น เรื่องเบียร์ 6 00:00:17,366 --> 00:00:19,548 ถ้าผมเอาเบียร์ให้คุณชิมซัก 3-4 ยี่ห้อ 7 00:00:19,548 --> 00:00:23,356 แล้วให้คุณจัดลำดับตามความเข้มข้นและความขม 8 00:00:23,356 --> 00:00:27,053 เบียร์ต่างยี่ห้อ ก็จะถูกจัดลำดับต่างกันไป 9 00:00:27,053 --> 00:00:29,810 แต่ถ้าเราพยายามที่จะพิจารณาอย่างยุติธรรม 10 00:00:29,810 --> 00:00:31,970 ในกรณีของเบียร์ ก็คงทำได้ง่ายๆ 11 00:00:31,970 --> 00:00:34,122 แต่ถ้าเราให้ทดสอบรสชาติแบบปิดตาล่ะ 12 00:00:34,122 --> 00:00:36,846 เราทำเหมือนเดิม ชิมเบียร์กลุ่มเดิม 13 00:00:36,846 --> 00:00:40,817 ทีนี้การปิดตา ผลลัพธ์อาจต่างออกไปเล็กน้อย 14 00:00:40,817 --> 00:00:43,039 เบียร์ส่วนใหญ่ ถูกจัดไปรวมอยู่ในกลุ่มเดียว 15 00:00:43,039 --> 00:00:45,484 คุณจะไม่สามารถแยกแยะมันพวกออกจากกันได้ 16 00:00:45,484 --> 00:00:48,573 และข้อยกเว้นคือ แน่ล่ะ คงเป็นเบียร์กินเนส 17 00:00:48,573 --> 00:00:50,801 (เสียงหัวเราะ) 18 00:00:50,801 --> 00:00:53,587 เช่นกัน เราลองคิดถึงเรื่องทางสรีระศาสตร์ 19 00:00:53,587 --> 00:00:56,629 จะเป็นอย่างไรถ้าคนคาดหวังกับ เรื่องทางกายภาพของเขา 20 00:00:56,629 --> 00:00:59,137 ตัวอย่างเช่น เมื่อเราขายยาแก้ปวดให้กับคน 21 00:00:59,137 --> 00:01:01,876 แล้วบอกกับบางคนว่า ยานั้นมีราคาแพง 22 00:01:01,876 --> 00:01:03,757 แต่บางคน เราก็บอกว่ามันเป็นของราคาถูก 23 00:01:03,757 --> 00:01:06,729 ปรากฎว่ายากลุ่มที่บอกราคาแพงให้ผลดีกว่า 24 00:01:06,729 --> 00:01:09,283 มันช่วยแก้ปวดได้ดีกว่า 25 00:01:09,283 --> 00:01:12,787 เพราะความคาดหวังนั้น ส่งผลต่อการเปลี่ยนทางกายภาพได้ 26 00:01:12,787 --> 00:01:14,849 และแน่นอน พวกเรารู้กันว่าในเรื่องกีฬา 27 00:01:14,849 --> 00:01:16,734 ถ้าคุณเป็นแฟนของทีมใดทีมหนึ่ง 28 00:01:16,744 --> 00:01:19,036 มันช่วยไม่ได้ที่คุณเห็นการที่ 29 00:01:19,036 --> 00:01:21,596 เกมพัฒนาไป โดยมุมมองของทีมที่คุณชอบ 30 00:01:22,756 --> 00:01:26,717 ซึ่งในกรณีทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องที่เราอุปาทานขึ้น 31 00:01:26,717 --> 00:01:30,157 และความคาดหวังของเราก็ระบายสีสันให้กับโลก 32 00:01:30,157 --> 00:01:33,559 แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับคำถามที่สำคัญยิ่งกว่า 33 00:01:33,559 --> 00:01:37,111 เกิดอะไรขึ้นกับคำถามที่มีผล ต่อความยุติธรรมในสังคม 34 00:01:37,111 --> 00:01:40,516 ดังนั้นเราจึงอยากจะลองคิดถึง วิธีการทดสอบแบบปิดตา 35 00:01:40,516 --> 00:01:43,581 ในเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันดูบ้าง 36 00:01:43,581 --> 00:01:45,880 เราเริ่มต้นโดยมองไปที่ ความไม่เท่าเทียมกัน 37 00:01:45,880 --> 00:01:47,830 และเราก็ทำการสำรวจขนาดใหญ่ 38 00:01:47,830 --> 00:01:50,384 ทั่วทั้งสหรัฐและประเทศอื่นๆ 39 00:01:50,384 --> 00:01:52,335 เราตั้งคำถาม 2 ข้อว่า 40 00:01:52,335 --> 00:01:55,701 ผู้คนทราบหรือไม่ว่า เรามีระดับ ความไม่เท่าเทียมกันแบบไหนบ้าง 41 00:01:55,701 --> 00:01:59,812 แล้วค่อยถามต่อว่า เราอยากให้มีความไม่เท่าเทียมกันที่ระดับไหน 42 00:01:59,812 --> 00:02:02,226 มาลองคิดถึงคำถามแรกกันก่อน 43 00:02:02,226 --> 00:02:04,339 จินตนาการดูว่าผมนำประชาชนทั้งหมดในสหรัฐฯ 44 00:02:04,339 --> 00:02:07,264 มาแบ่งประเภทเรียงกัน จากคนที่ยากจนที่สุดให้อยู่ทางขวา 45 00:02:07,264 --> 00:02:09,656 คนที่รวยที่สุดให้อยู่ทางซ้าย 46 00:02:09,656 --> 00:02:12,318 จากนั้นจึงแบ่งคนทั้งหมดออกเป็น 5 กลุ่ม 47 00:02:12,318 --> 00:02:14,616 เริ่มจากคนจนที่สุด 20 % ถัดมาอีก 20% 48 00:02:14,616 --> 00:02:17,472 และถัดกันมาเรื่อยๆ จนถึง กลุ่มคนที่รวยที่สุด 20% 49 00:02:17,472 --> 00:02:20,468 และผมค่อยถามคุณว่า ความมั่งคั่งแค่ไหนที่คุณคิดว่า 50 00:02:20,468 --> 00:02:23,417 รวมกันอยู่ในคนกลุ่มต่างๆ 51 00:02:23,417 --> 00:02:25,878 เพื่อทำให้มันง่ายมากขึ้น ลองจินตนาการว่าผมถามคุณว่า 52 00:02:25,878 --> 00:02:28,138 ความมั่งคั่งแค่ไหนที่รวมกันอยู่ 53 00:02:28,138 --> 00:02:30,398 ใน 2 กลุ่มคนที่อยู่ล่างสุด 54 00:02:30,398 --> 00:02:32,659 รวมเป็นคนกลุ่มล่าง 40% 55 00:02:32,659 --> 00:02:35,351 ลองใช้เวลาสักครู่ คิดถึงเรื่องนี้ และนึกถึงตัวเลขไว้ 56 00:02:35,351 --> 00:02:37,255 โดยทั่วไปเราไม่ทันคิด 57 00:02:37,255 --> 00:02:39,740 ลองคิดซักนิด แล้วเก็บตัวเลขไว้ในใจ 58 00:02:39,740 --> 00:02:41,365 ได้หรือยังครับ 59 00:02:41,365 --> 00:02:44,430 โอเคและนี่คือสิ่งที่ คนอเมริกันจำนวนมากบอกเรา 60 00:02:44,430 --> 00:02:46,357 พวกเขาคิดว่ากลุ่มล่างสุด 20% 61 00:02:46,357 --> 00:02:48,679 มีความมั่งคั่งประมาณ 2.9% 62 00:02:48,679 --> 00:02:50,862 กลุ่มถัดมา 6.4% 63 00:02:50,862 --> 00:02:53,369 รวมกันก็เกิน 9% มานิดหน่อย 64 00:02:53,369 --> 00:02:56,782 กลุ่มต่อมา พวกเขาบอกว่ามี 12% 65 00:02:56,782 --> 00:02:58,431 20% 66 00:02:58,431 --> 00:03:03,075 และกลุ่มคนที่รวยที่สุด 20% นั้น ผู้คนคิดว่าเขามั่งคั่งถึง 58 % 67 00:03:03,075 --> 00:03:06,210 คุณคงเห็นได้ว่ามันสอดคล้องกับ สิ่งที่คุณเคยคิดอย่างไร 68 00:03:06,210 --> 00:03:07,951 ทีนี้มาดูความเป็นจริงกันบ้าง 69 00:03:07,951 --> 00:03:09,762 ความจริงนั้นต่างออกไปเล็กน้อย 70 00:03:09,762 --> 00:03:13,575 20% ของกลุ่มล่างสุด มีความมั่งคั่งเพียง 0.1% 71 00:03:13,575 --> 00:03:16,065 อีก20% ถัดมามีความมั่งคั่งที่ 0.2% 72 00:03:16,995 --> 00:03:19,816 รวมกันเป็น 0.3% 73 00:03:19,816 --> 00:03:22,117 กลุ่มถัดมามี 3.9% 74 00:03:22,117 --> 00:03:24,651 รวมเป็น 11.3 75 00:03:24,651 --> 00:03:30,392 และกลุ่มคนที่รวยที่สุด มีความมั่งคั่งรวมกันถึง 84-85% 76 00:03:30,392 --> 00:03:33,358 จะเห็นว่า สิ่งที่เรามีจริงๆ กับสิ่งที่เราคิดว่าเรามี 77 00:03:33,358 --> 00:03:35,331 นั้นช่างแตกต่างกัน 78 00:03:35,331 --> 00:03:37,421 แล้วสิ่งที่เราต้องการล่ะ 79 00:03:37,421 --> 00:03:39,418 เราจะรู้ได้อย่างไร 80 00:03:39,418 --> 00:03:40,829 ลองดูนี่ 81 00:03:40,829 --> 00:03:42,407 เพื่อหาสิ่งที่เราต้องการจริงๆ 82 00:03:42,407 --> 00:03:45,472 เราคิดถึงนักปรัชญาชื่อ จอห์น รอลส์ 83 00:03:45,472 --> 00:03:47,307 ถ้าคุณจำ จอห์น รอลส์ ได้ 84 00:03:47,307 --> 00:03:50,557 เขาให้เหตุผลว่า สังคมที่เป็นธรรมเป็นอย่างไร 85 00:03:50,557 --> 00:03:52,039 เขาบอกว่าสังคมที่เป็นธรรม 86 00:03:52,039 --> 00:03:54,754 ก็คือสังคมที่ หากว่าคุณ รู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมัน 87 00:03:54,754 --> 00:03:57,187 คุณก็จะยินดีที่จะก้าวเข้ามาในที่ใดก็ได้ 88 00:03:57,187 --> 00:03:58,711 และมันก็เป็นคำจำกัดความที่สวยงาม 89 00:03:58,711 --> 00:04:01,189 เพราะหากว่าคุณเป็นคนร่ำรวย คุณก็อาจต้องการให้คนร่ำรวย 90 00:04:01,189 --> 00:04:03,226 มีเงินมากกว่า ให้คนจนมีน้อยกว่า 91 00:04:03,226 --> 00:04:05,335 ถ้าคุณเป็นคนจน คงต้องการ ความเท่าเทียมมากขึ้น 92 00:04:05,335 --> 00:04:07,339 แต่ถ้าคุณจะเข้าไปในสังคมนั้น 93 00:04:07,339 --> 00:04:10,659 ในทุกสถานการณ์ที่อาจเป็นไปได้ ซึ่งคุณไม่รู้ 94 00:04:10,659 --> 00:04:12,865 คุณก็ต้องพิจารณาในทุกแง่มุม 95 00:04:12,865 --> 00:04:15,791 ก็คล้ายๆ กับการทดสอบแบบปิดตา ซึ่งคุณไม่รู้ 96 00:04:15,791 --> 00:04:18,461 ว่าผลจะเป็นอย่างไร เมื่อคุณตัดสินใจไป 97 00:04:18,461 --> 00:04:22,176 และรอลส์เรียกสิ่งนี้ว่า "ผ้าคลุมหน้าของความไม่รู้" 98 00:04:22,176 --> 00:04:25,783 เรามาดูกลุ่มอื่นดู กลุ่มใหญ่ของชาวอเมริกัน 99 00:04:25,783 --> 00:04:28,538 แล้วเราถามคำถามพวกเค้าเรื่องของ ผ้าคลุมหน้าของความไม่รู้ 100 00:04:28,538 --> 00:04:32,648 อะไรคือคุณลักษณะของประเทศ ที่คุณอยากจะไปอยู่ 101 00:04:32,648 --> 00:04:35,806 โดยรู้ว่าคุณไปอยู่ที่ไหนก็ได้ 102 00:04:35,806 --> 00:04:37,285 และนี่ก็คือคำตอบที่เราได้ 103 00:04:37,285 --> 00:04:39,544 อะไรคือสิ่งที่ผู้คนอยากให้ ในกลุ่มแรก 104 00:04:39,544 --> 00:04:41,727 กลุ่มที่เป็น 20% สุดท้าย 105 00:04:41,727 --> 00:04:44,421 พวกเขาอยากให้มีความมั่งคั่งที่ 10% 106 00:04:44,421 --> 00:04:47,021 กลุ่มถัดไปที่ 14% ของความมั่งคั่ง 107 00:04:47,021 --> 00:04:52,384 21, 22 และ 32 108 00:04:52,384 --> 00:04:55,890 ทีนี้ ไม่มีใครเลยในกลุ่มตัวอย่างที่อยากให้ กลายเป็นความเท่าเทียมเต็มๆ 109 00:04:55,890 --> 00:05:00,323 ไม่มีใครคิดเลยว่า ระบบสังคมนิยม คือความคิดอันสุดวิเศษในกลุ่มตัวอย่างของเรา 110 00:05:00,323 --> 00:05:01,611 แต่ มันหมายความว่าอย่างไร 111 00:05:01,611 --> 00:05:03,649 มันหมายความว่า เรามีช่องว่างของความรู้อยู่ 112 00:05:03,649 --> 00:05:06,307 ระหว่างสิ่งที่เรามี กับสิ่งที่เราคิดว่าเรามี 113 00:05:06,307 --> 00:05:10,022 แต่อย่างน้อยก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ ระหว่างสิ่งที่เราคิดว่าถูก 114 00:05:10,022 --> 00:05:12,820 กับสิ่งที่เราคิดว่าเรามีอยู่ 115 00:05:12,820 --> 00:05:16,012 ทีนี้ เราสามารถถามคำถามเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เรื่องความมั่งคั่ง 116 00:05:16,012 --> 00:05:18,427 เราสามารถถามเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆได้ด้วย 117 00:05:18,427 --> 00:05:22,630 ยกตัวอย่างเช่น เราถามผู้คน ที่มาจากที่ต่างๆของโลก 118 00:05:22,630 --> 00:05:24,348 เกี่ยวกับคำถามนี้ 119 00:05:24,348 --> 00:05:26,691 คนที่เป็นพวกเสรีนิยม และ อนุรักษ์นิยม 120 00:05:26,691 --> 00:05:28,735 แล้วพวกเขาให้คำตอบเหมือนๆกัน 121 00:05:28,735 --> 00:05:31,217 เราถามกลุ่มคนรวยและจน แล้วเขาให้คำตอบที่เหมือนกัน 122 00:05:31,217 --> 00:05:32,518 ชายและหญิง 123 00:05:32,518 --> 00:05:35,211 กลุ่มคนที่ฟังเอ็นพีอาร์ (NPR) และคนที่อ่านฟอร์ปส์ (Forbes) 124 00:05:35,211 --> 00:05:38,440 เราถามคนที่อังกฤษ ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ 125 00:05:38,440 --> 00:05:40,157 คำตอบที่ได้คล้ายๆ กัน 126 00:05:40,157 --> 00:05:42,928 เราถามแม้กระทั่งคนจากต่างคณะในมหาวิทยาลัย 127 00:05:42,928 --> 00:05:45,686 เราไปที่ฮาวาร์ด และเข้าไปเช็คเกือบทุกคณะ 128 00:05:45,686 --> 00:05:47,698 อันที่จริง จากโรงเรียนธุรกิจฮาวาร์ด 129 00:05:47,698 --> 00:05:51,340 ที่ๆซึ่งมีไม่กี่คนที่ต้องการให้มีความมั่งคั่งมากขึ้น แล้วคนรวยมีน้อยลง 130 00:05:51,340 --> 00:05:53,950 เป็นความคล้ายคลึงกันที่น่าทึ่ง 131 00:05:53,950 --> 00:05:56,774 ผมรู้ว่าพวกคุณบางคนที่นี่เคยเรียนที่นั่น 132 00:05:56,774 --> 00:06:00,120 เรายังถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องอื่นด้วย 133 00:06:00,120 --> 00:06:05,089 เราถามถึงสัดส่วน ที่ผู้บริหารจ่ายให้กับแรงงานไร้ฝีมือ 134 00:06:05,089 --> 00:06:08,246 ดังนั้นคุณจะได้เห็นสิ่งที่ ผู้คนคิดเป็นอัตราส่วน 135 00:06:08,246 --> 00:06:12,147 แล้วเราจะถามคำถามว่า คุณคิดว่าอัตราส่วนจะเป็นเท่าไหร่ 136 00:06:12,147 --> 00:06:14,774 เสร็จแล้วเราถึงจะถามได้ว่า แล้วความจริงเป็นอย่างไร 137 00:06:14,774 --> 00:06:18,052 อะไรคือความจริง แล้วคุณพูดได้ว่า อืม มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ใช่มั้ย 138 00:06:18,052 --> 00:06:20,205 สีแดง และสีเหลือง มันก็ไม่ได้ต่างกันมาก 139 00:06:20,205 --> 00:06:24,125 แต่ข้อเท็จจริงคือ เป็นเพราะว่า ผมไม่ได้วาดมันลงไปโดยใช้สเกลเดียวกัน 140 00:06:26,105 --> 00:06:30,015 มันยากที่จะเห็นว่า มีสีเหลืองและสีฟ้า อยู่ในนั้น 141 00:06:30,015 --> 00:06:32,360 แล้วผลลัพธ์อื่นๆ ในเรื่องความมั่งคั่งล่ะ 142 00:06:32,360 --> 00:06:34,055 ความมั่งคั่ง ไม่ใช่แค่นี้อย่างเดียว 143 00:06:34,055 --> 00:06:36,679 เราถามว่า แล้วเรื่องของสุขภาพล่ะ 144 00:06:36,679 --> 00:06:40,812 แล้วเรื่องการหาใบสั่งยามาได้ล่ะ 145 00:06:40,812 --> 00:06:42,832 แล้วเรื่องของอายุขัย 146 00:06:42,832 --> 00:06:45,247 เรื่องอายุขัยของเด็กทารก 147 00:06:45,247 --> 00:06:47,592 เราอยากให้เรื่องนี้ กระจายไปอย่างไร 148 00:06:47,592 --> 00:06:50,401 แล้วเรื่องการศึกษาของเด็กๆ 149 00:06:50,401 --> 00:06:52,271 และผู้สูงอายุ 150 00:06:52,271 --> 00:06:55,254 และจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สิ่งที่เราเรียนรู้นั่นคือ 151 00:06:55,254 --> 00:06:58,412 ผู้คนไม่ชอบเรื่องความไม่เท่าเทียม ในเรื่องความมั่งคั่ง 152 00:06:58,412 --> 00:07:01,918 แต่มันมีอย่างอื่น ที่ความไม่เท่าเทียม ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของความมั่งคั่ง 153 00:07:01,918 --> 00:07:03,961 ซึ่งยิ่งสร้างความไม่ชอบใจต่อพวกเขา 154 00:07:03,961 --> 00:07:07,932 ตัวอย่างเช่น ความไม่เท่าเทียมในเรื่อง สุขภาพและการศึกษา 155 00:07:07,932 --> 00:07:10,393 เราเรียนรู้มาว่าผู้คนจะเปิดเผย 156 00:07:10,393 --> 00:07:12,947 ที่จะเปลี่ยนแปลง ความเท่าเทียม เวลาที่มันมาถึงพวกเขา 157 00:07:12,947 --> 00:07:14,991 เรามีตัวแทนน้อยลง 158 00:07:14,991 --> 00:07:17,336 โดยพื้นฐานแล้วคือ ลูกๆ ของคุณ 159 00:07:17,336 --> 00:07:22,003 เพราะเราไม่ได้คิดว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบ กับสถานการณ์ของเขา 160 00:07:22,003 --> 00:07:24,348 แล้วบทเรียนที่ได้ในเรื่องนี้คืออะไร 161 00:07:24,348 --> 00:07:25,508 เรามีช่องว่าง 2 แบบ 162 00:07:25,508 --> 00:07:28,088 และช่องว่างทางความรู้ และ ช่องว่างของความพึงพอใจ 163 00:07:28,088 --> 00:07:30,710 และช่องว่างทางความรู้ เป็นบางสิ่งที่เราคิดไว้ 164 00:07:30,710 --> 00:07:32,080 เราให้ความรู้กับผู้คนอย่างไร 165 00:07:32,080 --> 00:07:34,796 เราทำให้เขาคิดต่าง อย่างไร ในเรื่องความไม่เท่าเทียม 166 00:07:34,796 --> 00:07:38,558 แล้วผลที่ได้จากความไม่เท่าเทียม ในเรื่องของสุขภาพและการศึกษา 167 00:07:38,558 --> 00:07:40,949 ความริษยา อัตราการเกิดอาชญากรรม และเรื่องอื่นๆ 168 00:07:40,949 --> 00:07:42,830 แล้วเราก็มีช่วงว่างของความพึงพอใจ 169 00:07:42,830 --> 00:07:46,653 เราทำให้คนอื่นๆ คิดต่างอย่างไร ในเรื่องของสิ่งที่เราต้องการ จริงๆ 170 00:07:46,653 --> 00:07:50,028 คุณเห็นมั้ย คำจำกับความของ รอลส์ และสิ่งที่ รอลส์ มองโลกนี้ 171 00:07:50,028 --> 00:07:51,770 การทดสอบแบบปิดตา 172 00:07:51,770 --> 00:07:54,695 จะดึงเอาสิ่งเร้าที่เห็นแก่ตัวของเราออกมา 173 00:07:54,695 --> 00:07:57,272 เราจะนำสิ่งนั้นไปใช้อย่างไรในทางที่สูงขึ้น 174 00:07:57,272 --> 00:07:59,896 หรือในสเกลที่ขยายเพิ่มขึ้น 175 00:07:59,896 --> 00:08:02,752 และท้ายสุด เราก็ยังคงมีช่องว่างของการกระทำ 176 00:08:02,752 --> 00:08:05,701 เราจะทำอย่างไรกับสิ่งนี้จริงๆ ดี 177 00:08:05,701 --> 00:08:08,603 ผมคิดว่า ส่วนหนึ่งของคำตอบก็คือ การคิดถึงผู้คน 178 00:08:08,603 --> 00:08:11,715 เช่นเด็กๆ และทารก ที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไรมาก 179 00:08:11,715 --> 00:08:15,523 เพราะคนเราดูเหมือนจะยอมทำสิ่งนี้ 180 00:08:15,523 --> 00:08:20,793 โดยสรุปแล้ว ผมอยากบอกว่า คราวหน้า ตอนที่คุณดื่มเบียร์ หรือไวน์ 181 00:08:20,793 --> 00:08:24,880 ก่อนอื่นให้คิดว่า โดยประสบการณ์ ของคุณแล้ว อะไรเป็นของจริง 182 00:08:24,880 --> 00:08:28,154 แล้วอะไรที่เป็นประสบการณ์ของคุณ ที่มันเป็น ปรากฎการณ์ยาหลอก 183 00:08:28,154 --> 00:08:29,758 ที่มาจากความคาดหวัง 184 00:08:29,758 --> 00:08:33,287 และคิดไปถึงว่า มันไปมีผลต่อ การตัดสินใจอื่นๆ ในชีวิตคุณอย่างไร 185 00:08:33,287 --> 00:08:35,362 แล้วหวังว่าจะมีผลต่อคำถามเรื่องนโยบาย 186 00:08:35,362 --> 00:08:36,667 ที่ส่งผลกระทบต่อเราทุกคน 187 00:08:36,667 --> 00:08:38,394 ขอบคุณมากครับ 188 00:08:38,394 --> 00:08:40,731 (เสียงปรบมือ)