WEBVTT 00:00:06.828 --> 00:00:08.654 คุณคงจะเข้าใจความรู้สึก 00:00:08.654 --> 00:00:12.509 เวลาโทรศัพท์ของคุณส่งเสียง คร่ำครวญครั้งสุดท้าย "ปี๊ป" 00:00:12.509 --> 00:00:14.917 แล้วตัดสายคุณทิ้งไป โดยที่คุณยังพูดไม่จบ 00:00:14.917 --> 00:00:18.802 ตอนนั้น คุณอาจจะอยาก เขวี้ยงแบตเตอรี่ทิ้ง 00:00:18.802 --> 00:00:20.855 มากกว่าจะชื่นชมมัน 00:00:20.855 --> 00:00:24.683 แต่แบตเตอรี่เป็นชัยชนะ ของวงการวิทยาศาสตร์ 00:00:24.683 --> 00:00:28.027 มันทำให้สมาร์ทโฟนและเทคโนโลยีอื่นๆ ทำงานต่อไปได้ 00:00:28.027 --> 00:00:32.484 โดยเราที่ไม่ต้องไปวุ่นวาย กับสายไฟยุ่งเหยิง 00:00:32.484 --> 00:00:35.769 แต่แบตเตอรี่ที่ดีที่สุด ก็ยังเสื่อมสภาพลงทุกวัน 00:00:35.769 --> 00:00:39.717 มันค่อยๆ สูญเสียประสิทธิภาพ และหมดอายุในที่สุด 00:00:39.717 --> 00:00:41.101 แล้วทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น 00:00:41.101 --> 00:00:45.571 แบตเตอรี่สามารถเก็บประจุไฟฟ้า มากมายได้อย่างไร 00:00:45.571 --> 00:00:50.249 ทุกอย่างเริ่มขึ้นในช่วงทศวรรษ 1780 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีสองคน 00:00:50.249 --> 00:00:53.655 ลุยจิ กัลวานี และ อเลสซานโดร โวลตา 00:00:53.655 --> 00:00:55.356 และกบตัวหนึ่ง 00:00:55.356 --> 00:00:58.596 เล่ากันว่าขณะที่กัลวานีกำลังศึกษาขาของกบ 00:00:58.596 --> 00:01:02.233 เขาเอาเครื่องมือโลหะ เขี่ยไปที่เส้นประสาทเส้นหนึ่ง 00:01:02.233 --> 00:01:04.674 ทำให้กล้ามเนื้อที่ขากบกระตุก 00:01:04.674 --> 00:01:07.403 กัลวานีเรียกมันว่า ไฟฟ้าจากสัตว์ 00:01:07.403 --> 00:01:12.225 โดยเชื่อว่าไฟฟ้าประเภทนั้น ถูกเก็บไว้ในสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง 00:01:12.225 --> 00:01:13.854 แต่โวลตาไม่เห็นด้วย 00:01:13.854 --> 00:01:17.834 แย้งว่าโลหะต่างหากที่ทำให้ขากระตุก 00:01:17.834 --> 00:01:22.463 ในที่สุดการโต้เถียงก็ตกลงกันได้ ด้วยการทดลองสุดล้ำของโวลตา 00:01:22.463 --> 00:01:27.858 เขาทดสอบความคิดของเขา ด้วยแท่งสังกะสีสลับกับทองแดง 00:01:27.858 --> 00:01:32.486 คั่นด้วยกระดาษหรือผ้า ชุบด้วยน้ำเกลือ 00:01:32.486 --> 00:01:38.947 สิ่งที่เกิดขึ้นในแท่งของโวลตาคือสิ่งที่ นักเคมีเรียกว่า ออกซิเดชั่นและรีดัคชั่น 00:01:38.947 --> 00:01:42.796 สังกะสีทำปฏิกริยาออกซิไดซ์ ซึ่งก็คือ มันเสียอิเลคตรอน 00:01:42.796 --> 00:01:48.587 ประจุในน้ำรับอิเลคตรอนมา ผ่านทางปฏิกริยารีดัคชั่น 00:01:48.587 --> 00:01:50.966 แล้วกลายเป็นแกสไฮโดรเจนออกมา 00:01:50.966 --> 00:01:53.736 โวลตาอาจจะช็อค ถ้าได้รู้เรื่องสุดท้ายนี่ 00:01:53.736 --> 00:01:56.369 เขาคิดว่าปฏิกริยาเกิดขึ้นในสังกะสี 00:01:56.369 --> 00:01:58.359 ไม่ใช่ในสารละลาย 00:01:58.359 --> 00:02:01.206 อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ เราให้เกียรติการค้นพบของโวลตา 00:02:01.206 --> 00:02:05.967 ด้วยการตั้งชื่อหน่วยมาตรฐาน ของไฟฟ้าว่า "โวลต์" 00:02:05.967 --> 00:02:11.680 วงจรออกซิเดชั่น-รีดัคชั่น สร้างกระแสการไหล ของอิเลคตรอนระหว่างสารสองชนิด 00:02:11.680 --> 00:02:15.301 และถ้าคุณต่อหลอดไฟหรือเครื่องดูดฝุ่น ระหว่างสองสารนี้ 00:02:15.301 --> 00:02:17.066 คุณจะให้พลังงานกับมัน 00:02:17.066 --> 00:02:21.369 ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 นักวิทยาศาสตร์ ได้พัฒนารูปแบบของโวลตา 00:02:21.369 --> 00:02:26.621 พวกเขาแทนที่สารละลายด้วยเซลล์แห้ง ที่บรรจุด้วยสารเคมีแบบเปียก 00:02:26.621 --> 00:02:28.389 แต่หลักการยังคงเหมือนเดิม 00:02:28.389 --> 00:02:32.006 โลหะทำปฏิกริยาออกซิไดซ์ ปล่อยอิเลคตรอนออกทำงาน 00:02:32.006 --> 00:02:35.969 และรับอิเลคตรอนกลับมา โดยการเกิดปฏิกริยารีดัคชั่น 00:02:35.969 --> 00:02:38.500 แต่แบตเตอรี่มีปริมาณโลหะจำกัด 00:02:38.500 --> 00:02:42.355 และเมื่อส่วนใหญ่ถูกออกซิไดซ์ แบตเตอรี่ก็หมด 00:02:42.355 --> 00:02:46.559 แบตเตอรี่ชาร์จได้จึงเป็น การแก้ปัญหาชั่วคราวสำหรับปัญหานี้ 00:02:46.559 --> 00:02:50.823 ด้วยการทำให้ปฏิกริยา ออกซิเดชั่น-รีดัคชั่นย้อนกลับได้ 00:02:50.823 --> 00:02:53.683 อิเลคตรอนสามารถไหลย้อน ในทิศทางตรงข้าม 00:02:53.683 --> 00:02:56.181 ด้วยการชาร์จไฟ 00:02:56.181 --> 00:02:59.614 การเสียบปลั๊กเพื่อดึงกระแสไฟฟ้า มาจากเต้าไฟที่ผนัง 00:02:59.614 --> 00:03:02.799 ทำให้เกิดปฏิกริยา สร้างโลหะขึ้นใหม่ 00:03:02.799 --> 00:03:07.577 ทำให้มีอิเลคตรอนมากพอสำหรับออกซิเดชั่น เมื่อคุณต้องการมันในครั้งต่อไป 00:03:07.577 --> 00:03:10.377 ทว่า แม้แต่แบตเตอรี่ชาร์จได้ ก็ไม่คงทนตลอดกาล 00:03:10.377 --> 00:03:14.228 เมื่อเวลาผ่านไป การเกิดซ้ำๆของปฏิกริยา ทำให้เกิดความไม่สมบูรณ์ 00:03:14.228 --> 00:03:19.530 และความไม่สม่ำเสมอที่ผิวโลหะ ทำให้มันไม่สามารถออกซิไดซ์ได้อย่างสมบูรณ์ 00:03:19.530 --> 00:03:22.940 อิเลคตรอนจะไม่ไหลผ่านวงจรอีก 00:03:22.940 --> 00:03:24.836 แบตเตอรี่ก็จะเสีย 00:03:24.836 --> 00:03:27.021 แบตเตอรี่ชาร์จได้บางตัว 00:03:27.021 --> 00:03:31.348 จะเสียหลังจากการชาร์จซ้ำ ไม่กี่ร้อยครั้ง 00:03:31.348 --> 00:03:36.687 ในขณะที่แบตเตอรี่รุ่นใหม่จะไม่เสีย และใช้งานได้หลายพันครั้ง 00:03:36.687 --> 00:03:39.410 แบตเตอรี่ในอนาคต อาจจะเป็นแผ่นบางๆ เบาๆ 00:03:39.410 --> 00:03:42.173 และทำงานด้วยหลักการควอนตัมฟิสิกส์ 00:03:42.173 --> 00:03:45.908 ใช้ชาร์จซ้ำได้หลายแสนครั้ง 00:03:45.908 --> 00:03:49.276 แต่จนกว่านักวิทยาศาสตร์จะหาทาง ใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนที่ 00:03:49.276 --> 00:03:51.968 เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ของคุณ เหมือนรถยนต์ 00:03:51.968 --> 00:03:54.697 หรือการติดแผ่นโซลาร์เซลล์ บนอุปกรณ์ของคุณ 00:03:54.697 --> 00:03:56.815 การเสียบปลั๊กสายชาร์จเข้าที่ผนัง 00:03:56.815 --> 00:03:59.798 แทนที่จะใช้แบตเตอรี่จนหมด 00:04:19.336 --> 00:04:19.586 เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันไม่ให้เกิด "เสียงปิ๊ป" แบตหมดอีก