WEBVTT 00:00:07.053 --> 00:00:09.173 สิ่งเหล่านี้มาจากไหนกันนะ 00:00:09.173 --> 00:00:10.267 หินก้อนนี้ 00:00:10.267 --> 00:00:11.327 วัวตัวนี้ 00:00:11.327 --> 00:00:12.482 หัวใจของเธอ 00:00:12.482 --> 00:00:15.602 ไม่ได้ถามถึงของที่ว่าเองหรอก แต่สิ่งที่ประกอบเป็นของพวกนั้นน่ะ: 00:00:15.602 --> 00:00:18.555 อะตอมที่เป็นโครงสร้างของทุกสิ่ง 00:00:18.555 --> 00:00:22.893 เพื่อตอบปัญหานั้น เราต้องมาดูที่กฎทรงมวลของสสาร 00:00:22.893 --> 00:00:25.757 กฎนี้กล่าวว่าให้เอาระบบ ที่ถูกแยกออกมาต่างหากระบบหนึ่ง 00:00:25.757 --> 00:00:29.969 ที่ถูกล้อมขอบเขตให้สสาร และพลังงานไม่สามารถข้ามผ่านได้ 00:00:29.969 --> 00:00:34.248 ภายในระบบนี้ มวล หรืออีกนัยหนึ่งคือ สสารและพลังงาน 00:00:34.248 --> 00:00:37.068 ไม่สามารถถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หรือถูกทำลายลงได้ 00:00:37.068 --> 00:00:39.775 จักรวาล เท่าที่เรารู้ 00:00:39.775 --> 00:00:41.828 เป็นระบบที่ถูกแยกออกมาต่างหาก 00:00:41.828 --> 00:00:45.931 แต่ก่อนที่เราจะไปถึงตรงนั้น เรามาดู ระบบที่เล็กกว่าและง่ายกว่านั้นกันเถอะ 00:00:45.931 --> 00:00:49.118 ที่นี่เรามีคาร์บอนอยู่หกอะตอม ไฮโดรเจน 12 อะตอม 00:00:49.118 --> 00:00:51.912 และออกซิเจน 18 อะตอม 00:00:51.912 --> 00:00:55.605 ด้วยพลังงานเพียงน้อยนิด โมเลกุลของเราก็เคลื่อนที่ได้จริงๆแล้ว 00:00:55.605 --> 00:00:58.692 อะตอมเหล่านี้สามารถยึดติดกันได้ ทำให้เกิดเป็นโมเลกุลที่เราคุ้นเคย 00:00:58.692 --> 00:00:59.946 นี่คือน้ำ 00:00:59.946 --> 00:01:01.743 และนี่คือคาร์บอนไดออกไซด์ 00:01:01.743 --> 00:01:04.157 เราไม่สามารถสร้างมวลใหม่หรือทำลายมวลลงได้ 00:01:04.157 --> 00:01:07.811 เรามีแค่ไหนเราก็ต้องใช้แค่นั้น แล้วเราจะทำอย่างไรดี 00:01:07.811 --> 00:01:09.768 อา... พวกมันมีความคิดจิตใจของตัวเอง 00:01:09.768 --> 00:01:14.341 มาดูกัน มันประกอบเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำเพิ่มขึ้น เป็นอย่างละหก 00:01:14.341 --> 00:01:19.185 เติมพลังงานลงไปหน่อย เราก็สามารถทำให้มัน สลับสับเปลี่ยนกันจนได้เป็นน้ำตาลธรรมดา ๆ 00:01:19.185 --> 00:01:21.183 กับก๊าซออกซิเจนอีกหน่อยได้ 00:01:21.183 --> 00:01:26.997 อะตอมของเราทั้งหมดถูกนำมาใช้ทั้งหมด: คาร์บอน 6 ไฮโดรเจน 12 และออกซิเจน 18 00:01:26.997 --> 00:01:31.170 พลังงานที่เราใส่เข้าไปนั้น ตอนนี้ถูกกักอยู่ในพันธะระหว่างอะตอม 00:01:31.170 --> 00:01:33.321 เราสามารถปลดปล่อย พลังงานนั้นออกมาได้อีกครั้ง 00:01:33.321 --> 00:01:36.887 โดยการแยกน้ำตาลนั้นออกให้เป็น น้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ 00:01:36.887 --> 00:01:39.556 และยังคง เป็นอะตอมเดิม 00:01:39.556 --> 00:01:44.149 มาแยกเอาอะตอมบางตัวออกไว้ด้านข้างก่อน และมาลองอะไรที่มันตูมตามหน่อยดีกว่า 00:01:44.149 --> 00:01:48.588 นี่ อันนี้คือมีเธน หรือที่รู้จักกันดีว่า เกี่ยวกับตดของวัว 00:01:48.588 --> 00:01:51.132 แต่ยังถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงจรวดอีกด้วย 00:01:51.132 --> 00:01:53.786 ถ้าเราเพิ่มออกซิเจนเข้าไปบ้าง และพลังงานอีกนิดหน่อย 00:01:53.786 --> 00:01:55.616 เหมือนที่คุณอาจจะได้จากการจุดไม้ขีด 00:01:55.616 --> 00:02:00.661 มันจะเผาไหม้กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำและพลังงานที่มากขึ้นอีก 00:02:00.661 --> 00:02:03.775 สังเกตว่ามีเธนของเราเริ่มมาจาก ไฮโดรเจนสี่อะตอม 00:02:03.775 --> 00:02:08.666 และสุดท้ายเราก็ยังคงมีไฮโดรเจน สี่โมเลกุลที่ถูกกักไว้ในโมเลกุลของน้ำ 00:02:08.666 --> 00:02:13.573 ส่วนตอนท้ายสุด ๆ นี้ นี่คือโพรเพน ก๊าซที่ติดไฟได้อีกตัวหนึ่ง 00:02:13.573 --> 00:02:16.731 เราเติมออกซิเจน แล้วจุดไฟ และตู้ม 00:02:16.731 --> 00:02:18.885 ได้น้ำและคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่ม 00:02:18.885 --> 00:02:20.784 คราวนี้เราได้ CO2 สามโมเลกุล 00:02:20.784 --> 00:02:24.443 เพราะโมเลกุลของโพรเพนเริ่มต้นจาก คาร์บอนสามอะตอม 00:02:24.443 --> 00:02:26.590 และไม่มีที่ไปที่อื่น 00:02:26.590 --> 00:02:30.451 มันยังมีอีกหลายปฏิกิริยาที่เราสามารถ จำลองได้ด้วยชุดอะตอมเล็ก ๆ ชุดนี้ 00:02:30.451 --> 00:02:33.764 และกฎทรงมวลยังคงเป็นจริงเสมอ 00:02:33.764 --> 00:02:36.748 ไม่ว่าสสารหรือพลังงานใด ๆ เข้าสู่การกระทำปฏิกิริยาทางเคมี 00:02:36.748 --> 00:02:40.216 ก็จะยังคงปรากฏและมีจำนวนเท่าเดิม เมื่อปฏิกิริยาเสร็จสิ้นแล้ว 00:02:40.216 --> 00:02:42.673 ดังนั้นถ้ามวลไม่สามารถถูกสร้างขึ้น หรือถูกทำลายลงได้ 00:02:42.673 --> 00:02:45.957 แล้วอะตอมเหล่านี้แรกเริ่มเดิมที มาจากไหนล่ะ 00:02:45.957 --> 00:02:49.397 หมุนนาฬิกาย้อนกลับและมาดูกันเถอะ 00:02:49.397 --> 00:02:53.573 ไกลขึ้น ไกลขึ้น ไกลขึ้น ไกลเกินไปแล้ว 00:02:53.573 --> 00:02:54.892 โอเค นั่นแหละ ตรงนั้น 00:02:54.892 --> 00:02:56.378 บิ๊กแบง 00:02:56.378 --> 00:02:59.908 ไฮโดรเจนของเราเกิดมาจากซุปอนุภาคพลังงานสูง 00:02:59.908 --> 00:03:03.979 ในสามนาทีต่อจากกำเนิดแห่งจักรวาลของเรา 00:03:03.979 --> 00:03:07.846 ในที่สุด กลุ่มก้อนอะตอมก็มาเกาะรวมกัน เกิดกลายเป็นดวงดาว 00:03:07.846 --> 00:03:12.085 ในดวงดาวเหล่านี้ ปฏิกิริยานิวเคลียร์หลอมธาตุเบา 00:03:12.085 --> 00:03:13.980 อย่างเช่น ไฮโดรเจนและฮีเลียม 00:03:13.980 --> 00:03:17.706 ให้กลายเป็นธาตุที่หนักขึ้น อย่างเช่น คาร์บอนและออกซิเจน 00:03:17.706 --> 00:03:21.310 ในแวบแรกที่เห็น อาจจะดูเหมือนว่า ปฏิกิริยาเหล่านี้กำลังแหกกฏ 00:03:21.310 --> 00:03:23.847 เพราะพวกมันปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างมหาศาล 00:03:23.847 --> 00:03:25.747 ราวกับหาที่มาไม่เจอ 00:03:25.747 --> 00:03:28.952 อย่างไรก็ดี ก็ต้องขอขอบคุณ สมการอันโด่งดังของไอน์สไตน์ 00:03:28.952 --> 00:03:32.108 เรารู้ว่า พลังงานนั้นเท่ากับมวล 00:03:32.108 --> 00:03:34.871 มันกลายเป็นว่ามวลทั้งหมดของอะตอมตั้งต้น 00:03:34.871 --> 00:03:38.982 นั้นมากกว่ามวลของผลผลิต เพียงนิดเดียว 00:03:38.982 --> 00:03:43.937 และมวลที่สูญหายไปนั้นก็สอดคล้องกับ พลังงานที่ได้เพิ่มมาพอดี 00:03:43.937 --> 00:03:49.587 ซึ่งแผ่รังสีออกจากดวงดาวนั้นในรูปของแสง ความร้อน และอนุภาคพลังงานสูง 00:03:49.587 --> 00:03:52.103 ในที่สุด ดาวดวงนี้ก็เข้าสู่ภาวะมหานวดารา 00:03:52.103 --> 00:03:54.586 ระเบิดกระจายองค์ประกอบของมันไปทั่วอวกาศ 00:03:54.586 --> 00:03:58.380 ย่อให้สั้นเลยก็คือ อะตอมทั้งหลายและ จากมหานวดาราอื่นหากันเองจนพบ 00:03:58.380 --> 00:03:59.889 และเกิดเป็นโลกขึ้นมา 00:03:59.889 --> 00:04:04.003 และ 4.6 พันล้านปีต่อมา มันก็ถูกตักขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่ง 00:04:04.003 --> 00:04:06.892 ในระบบปิดเล็ก ๆ ที่ถูกแยกออกมาของเราอันนี้ 00:04:06.892 --> 00:04:11.619 แต่นั่นมันก็ยังไม่น่าสนใจเท่ากับอะตอม ที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวคุณ 00:04:11.619 --> 00:04:12.941 หรือวัวตัวนั้น 00:04:12.941 --> 00:04:14.190 หรือหินก้อนนี้สักนิด 00:04:14.190 --> 00:04:17.211 และนั่นจึงเป็นเหตุผล อย่างที่คาร์ล เซเกนบอกเราไว้ว่า 00:04:17.211 --> 00:04:19.970 เรานั้นล้วนมาจากธุลีดาว