1 00:00:07,223 --> 00:00:12,010 ภาษาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตเรา ที่เรามักมองข้ามความสำคัญของมันไป 2 00:00:12,010 --> 00:00:15,389 ด้วยการใช้ภาษา พวกเราสามารถที่จะสื่อสาร ความคิดและความรู้สึกของเรา 3 00:00:15,389 --> 00:00:17,370 หลงเข้าไปในนิยาย 4 00:00:17,370 --> 00:00:18,938 ส่งข้อความ 5 00:00:18,938 --> 00:00:21,124 และทักทายเพื่อน ๆ 6 00:00:21,124 --> 00:00:25,468 มันยากที่จะจินตนาการ ถึงการที่เรา ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดให้กลายเป็นคำได้ 7 00:00:25,468 --> 00:00:29,304 แต่ถ้าหากเครือข่ายภาษา อันละเอียดอ่อนในสมองของคุณ 8 00:00:29,304 --> 00:00:33,556 ถูกรบกวนด้วยโรคหลอดเลือดในสมอง, ความเจ็บป่วย หรือการบาดเจ็บที่สมอง 9 00:00:33,556 --> 00:00:37,484 คุณจะพบว่าตนเองนั้นจะอยู่ใน ภาวะพูดไม่ออกอย่างแท้จริง 10 00:00:37,484 --> 00:00:43,505 โรคนี้ถูกเรียกว่า อะเฟเชีย ซึ่งสามารถทำให้เกิด การเสื่อมสภาพในทุกแง่มุมของการสื่อสาร 11 00:00:43,505 --> 00:00:47,035 คนที่เป็นโรคอะเฟเชียนั้น ยังคงมีเชาวน์ปัญญาเหมือนเดิม 12 00:00:47,035 --> 00:00:48,985 พวกเขารู้ว่า พวกเขาต้องการจะพูดอะไร 13 00:00:48,985 --> 00:00:52,246 แต่ก็ไม่สามารถเลือกหาคำเหล่านั้น และพูดออกมาได้อย่างถูกต้องเสมอไป 14 00:00:52,246 --> 00:00:56,559 พวกเขาอาจจะใช้วิธีการแทนที่คำ อย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งเรียกว่า การใช้คำไม่ถูก 15 00:00:56,559 --> 00:00:59,684 ซึ่งก็คือ การสับเปลี่ยนคำที่เกี่ยวข้องกัน อย่างเช่น พูดว่า "หมา" แทนที่จะพูดว่า "แมว" 16 00:00:59,684 --> 00:01:06,055 หรือคำที่เสียงใกล้เคียงกัน เช่น "เฮาส์" (บ้าน) แทนที่ "ฮอสส์" (ม้า) 17 00:01:06,055 --> 00:01:09,254 บางครั้ง คำพูดของพวกเขา อาจจะไม่สามารถเข้าใจได้ 18 00:01:09,254 --> 00:01:13,995 โรคอะเฟเชียมีอยู่หลายขนิด ที่ถูกจัดกลุ่มได้เป็นสองประเภท 19 00:01:13,995 --> 00:01:16,325 อะเฟเชียแบบพูดได้อย่างคล่องแคล่ว หรือที่เกี่ยวกับการรับรู้ผิดปกติ 20 00:01:16,325 --> 00:01:19,966 และ อะเฟเชียแบบพูดไม่คล่องแคล่ว หรือมีการแสดงออกผิดปกติ 21 00:01:19,966 --> 00:01:23,776 คนที่เป็นอะเฟเชียแบบพูดอย่างคล่องแคล่ว อาจใช้น้ำเสียงปกติ 22 00:01:23,776 --> 00:01:26,457 หากแต่กลับใช้คำที่ไม่มีความหมาย 23 00:01:26,457 --> 00:01:29,526 พวกเขามีปัญหา ในการทำความเข้าใจคำพูดของผู้อื่น 24 00:01:29,526 --> 00:01:33,535 และบ่อยครั้ง พวกเขาไม่สามารถ รู้ถึงข้อผิดพลาดในการพูดของตนเอง 25 00:01:33,535 --> 00:01:36,305 ในทางตรงกันข้าม คนที่เป็นอะเฟเชียแบบพูดไม่คล่องแคล่ว 26 00:01:36,305 --> 00:01:38,206 จะมีการเข้าใจความหมายที่ดี 27 00:01:38,206 --> 00:01:43,367 แต่จะลังเลอยู่นานกว่าจะพูดแต่ละคำ และมักใช้ไวยากรณ์ผิด 28 00:01:43,367 --> 00:01:46,607 พวกเราล้วนแล้วแต่มีอาการติดอยู่ที่ริมผีปาก บ้างเป็นบางครั้ง 29 00:01:46,607 --> 00:01:48,488 เมื่อพวกเรานึกคำไม่ออก 30 00:01:48,488 --> 00:01:52,818 แต่โรคอะเฟเชียทำให้การเรียกชื่อ สิ่งของในชีวิตประจำวันกลายเป็นเรื่องยาก 31 00:01:52,818 --> 00:01:56,518 แม้แต่การอ่าน และการเขียนก็เป็น เรื่องยาก และน่าหงุดหงิดใจ 32 00:01:56,518 --> 00:01:59,308 แล้วการสูญหายไปของภาษานี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร 33 00:01:59,308 --> 00:02:01,807 สมองของมนุษย์มีสองซีก 34 00:02:01,807 --> 00:02:05,567 ในคนส่วนใหญ่ สมองซึกซ้าย ควบคุมด้านภาษา 35 00:02:05,567 --> 00:02:07,978 พวกเรารู้เรื่องนี้เป็นเพราะ ในปี ค.ศ. 1861 36 00:02:07,978 --> 00:02:10,677 นายแพทย์ พอล โบรคาได้ทำการศึกษาคนไข้ 37 00:02:10,677 --> 00:02:15,506 ที่สูญเสียความสามารถในการใช้ภาษาทั้งหมด เว้นแต่ คำ ๆ เดียวคือ "แทน" (tan) 38 00:02:15,506 --> 00:02:17,998 ระหว่างการศึกษาโดยการชันสูตร สมองของผู้ป่วย 39 00:02:17,998 --> 00:02:21,338 โบรคาได้ค้นพบบาดแผลขนาดใหญ่ ในซีกซ้ายของสมอง 40 00:02:21,338 --> 00:02:23,727 ซึ่งตอนนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ บริเวณ โบรคา (Broca's area) 41 00:02:23,727 --> 00:02:28,158 นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเชื่อว่า บริเวณโบรคา เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการเรียกชื่อสิ่งของ 42 00:02:28,158 --> 00:02:31,078 และประสานงานกับกล้ามเนื้อ ที่เกี่ยวข้องกับการพูด 43 00:02:31,078 --> 00:02:35,878 หลังบริเวณโบรคา คือ บริเวณเวอร์นิกี (Wernicke's area) ซึ่งอยู่ใกล้กับสมองส่วนการได้ยิน 44 00:02:35,878 --> 00:02:39,008 ซึ่งเป็นบริเวณที่สมอง เชื่อมโยงความหมายกับเสียงพูดเข้าด้วยกัน 45 00:02:39,008 --> 00:02:43,338 บริเวณเวอร์นิกีที่ได้รับความเสียหาย จะบั่นทอน ความสามารถของสมองในการเข้าใจภาษา 46 00:02:43,338 --> 00:02:48,489 อะเฟเชียเกิดจากความเสียหายในหนึ่ง หรือทั้งสองบริเวณที่เกี่ยวกับภาษาโดยเฉพาะ 47 00:02:48,489 --> 00:02:50,829 โชคดีที่มีบริเวณอื่น ๆ ในสมอง 48 00:02:50,829 --> 00:02:52,779 ที่สนับสนุนศูนย์กลางด้านภาษาเหล่านี้ 49 00:02:52,779 --> 00:02:55,218 และสามารถช่วยเหลือในการสื่อสารได้ 50 00:02:55,218 --> 00:02:59,078 แม้แต่บริเวณของสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ก็ถูกเชื่อมต่อกับภาษา 51 00:02:59,078 --> 00:03:04,478 จากการศึกษาโดยใช้ FMRI พบว่าเมื่อเราได้ยิน คำที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว เช่น "วิ่ง" หรือ "เต้น" 52 00:03:04,478 --> 00:03:07,600 ส่วนของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับ การเคลื่อนไหวจะมีการตอบสนอง 53 00:03:07,600 --> 00:03:10,969 ราวกับว่าร่างกายกำลังวิ่งหรือเต้นอยู่จริง ๆ 54 00:03:10,969 --> 00:03:13,929 สมองอีกซีกหนึ่งของเรา ก็มีส่วนในเรื่องของภาษาด้วยเช่นกัน 55 00:03:13,929 --> 00:03:17,369 โดยทำหน้าที่เพิ่มจังหวะ และการใช้เสียงสูงต่ำในการพูดของเรา 56 00:03:17,369 --> 00:03:21,099 ตำแหน่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาษาเหล่านี้ บางครั้งก็ช่วยเหลือคนที่เป็นโรคอะเฟเชีย 57 00:03:21,099 --> 00:03:23,469 เมื่อมีปัญหาในการสื่อสาร 58 00:03:23,469 --> 00:03:25,668 แล้วโรคอะเฟเชียพบได้มากแค่ไหน 59 00:03:25,668 --> 00:03:28,913 เพียงแค่ในสหรัฐอเมริกาแห่งเดียว มีคนประมาณ 1 ล้านคนที่เป็นโรคนี้ 60 00:03:28,913 --> 00:03:32,530 และมีผู้ป่วยใหม่ประมาณ 80,000 คน ต่อปี 61 00:03:32,530 --> 00:03:35,669 ประมาณหนึ่งในสามของผู้รอดชีวิตจาก โรคหลอดเลือดสมองมีอาการอะเฟเชีย 62 00:03:35,669 --> 00:03:38,260 ทำให้โรคนี้ถูกพบได้มากกว่า ผู้ป่วยโรคพาคินสัน 63 00:03:38,260 --> 00:03:40,180 หรือคิดเป็นสองเท่าของผู้ป่วยเส้นเลือดตีบ 64 00:03:40,180 --> 00:03:42,469 แต่ทว่ามันยังเป็นที่รู้จักในวงแคบกว่า 65 00:03:42,469 --> 00:03:47,880 มีรูปแบบหนึ่งที่หายากของอะเฟเชีย ที่เรียกว่า ภาวะเสียการสื่อความแบบปฐมภูมิ หรือ PPA 66 00:03:47,880 --> 00:03:50,771 ซึ่งไม่ได้เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง หรือการได้รับบาดเจ็บที่สมอง 67 00:03:50,771 --> 00:03:53,209 แต่เป็นรูปแบบหนึ่งของโรคสมองเสื่อม 68 00:03:53,209 --> 00:03:56,061 ซึ่งการสูญเสียภาษาเป็น อาการอันดับแรกของโรคนี้ 69 00:03:56,061 --> 00:04:01,232 เป้าหมายในการรักษา PPA คือการประคับประคอง ด้านภาษาให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 70 00:04:01,232 --> 00:04:04,560 ก่อนที่อาการอื่น ๆ ของโรคสมองเสื่อม จะเกิดขึ้นในท้ายที่สุด 71 00:04:04,560 --> 00:04:08,330 อย่างไรก็ดี เมื่อโรคอะเฟเชียพัฒนามาจาก โรคหลอดเลือดสมอง หรือการบาดเจ็บที่สมอง 72 00:04:08,330 --> 00:04:12,041 การปรับปรุงด้านภาษาอาจทำได้ โดยการบำบัดเกี่ยวกับการพูด 73 00:04:12,041 --> 00:04:15,911 สมองของเรามีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเอง ที่เรียกกันว่า ความยืดหยุ่นของสมอง 74 00:04:15,911 --> 00:04:18,480 ที่ทำให้ส่วนที่อยู่รอบ ๆ บริเวณที่บาดเจ็บของสมอง 75 00:04:18,480 --> 00:04:21,994 เข้ามาควบคุมบางหน้าที่แทน ในระหว่างกระบวนการฟื้นฟู 76 00:04:21,994 --> 00:04:26,405 นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลอง โดยใช้เทคโนโลยีรูปแบบใหม่ 77 00:04:26,405 --> 00:04:31,340 ที่พวกเขาเชื่อว่าอาจจะช่วยส่งเสริม ความยืดหยุ่นของสมองในคนที่เป็นอะเฟเชีย 78 00:04:31,340 --> 00:04:35,254 ในระหว่างนั้น คนที่เป็นโรคอะเฟเชีย จำนวนมากก็ยังคงรู้สึกแปลกแยก 79 00:04:35,254 --> 00:04:39,941 เกรงว่าคนอื่น ๆ จะไม่เข้าใจพวกเขา หรือจะไม่ยอมเสียเวลาให้พวกเขาได้พูด 80 00:04:39,941 --> 00:04:44,311 ด้วยการให้เวลาและความยืดหยุ่นในการสื่อสาร ในรูปแบบใดก็ตามที่พวกเขาสามารถทำได้ 81 00:04:44,311 --> 00:04:47,079 คุณสามารถช่วยเปิดประตูภาษา ของพวกเขาได้อีกครั้ง 82 00:04:47,109 --> 00:04:50,019 ให้พวกเขาก้าวขึ้นไป เหนือกว่าขีดจำกัดของโรคอะเฟเชีย