แนวคิดพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน
คือการที่เราแต่ละคน
ไม่ว่าเราจะเป็นใครหรือเกิดที่ไหน
มีสิทธิ
และอิสรภาพพื้นฐานเหมือนกัน
สิทธิมนุษยชนไม่ใช่สิทธิพิเศษ
และไม่สามารถยกให้หรือถอดถอนไปได้
มันไม่สามารถถ่ายโอนให้กันได้
และมันเป็นสากล
มันอาจฟังดูง่าย
แต่มันก็ซับซ้อนอย่างน่าเหลือเชื่อ
ทันทีที่ใครก็ตาม
พยายามนำแนวคิดไปปฏิบัติจริง
สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานจริง ๆ แล้วคืออะไร
ใครเป็นคนเลือก
ใครบังคับใช้ และอย่างไร
ประวัติศาสตร์เบื้องหลังแนวคิด
ของสิทธิมนุษยชนนั้นยาวนาน
ตลอดหลายศตวรรษ
และหลากสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม
เราพยายามให้คำจำกัดความ
ความถูกต้อง ความยุติธรรม และสิทธิ
แต่การประกาศในยุคใหม่หนึ่ง
ของสิทธิมนุษยชนสากล
เกิดจากความเสียหายของสงครามโลกครั้งที่สอง
พร้อมกับการก่อตั้งสหประชาชาติ
สนธิสัญญาที่ถูกบัญญัติ
สหประชาชาติมอบให้เพราะหนึ่งในจุดประสงค์
เพื่อย้ำเตือนจุดยืนทางความเชื่อ
ในพื้นฐานสิทธิมนุษยชน
และด้วยเจตนาเดียวกันนี้
ในปี 1948 สหประชาชาติลงมติ
ยอมรับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
เอกสารถูกร่างโดยกรรมการระหว่างประเทศ
ในขณะนั้น เอเลนอร์ รูสเวลต์ (Eleanor Roosevelt)
แสดงหลักพื้นฐาน
สำหรับกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากลสมัยใหม่
แถลงการณ์นี้อิงจากกฏ
ที่ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาอย่างอิสระ
และเท่าเทียมในเกียรติและสิทธิ
มีรวมรายละเอียดกว่า 30 มาตรา
ซึ่งมีข้อย้ำเตือนเหนือสิ่งอื่นใด
คือกฎของการไม่เลือกปฏิบัติ
และสิทธิต่อชีวิตและอิสรภาพ
มันกล่าวถึงเสรีภาพเชิงลบ
เช่น อิสรภาพจากการทรมาณหรือความเป็นทาส
เช่นเดียวกับเสรีภาพเชิงบวก
เช่น เสรีภาพในการเคลื่อนย้าย
และที่อยู่อาศัย
มันรวมสิทธิพลเมืองพื้นฐาน
และสิทธิทางการเมืองไว้ด้วยกัน
เช่น เสรีภาพในการแสดงออก
ทางศาสนา หรือการชุมนุมอย่างสงบ
รวมถึงสิทธิทางสังคม
เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
เช่น สิทธิในการศึกษา
สิทธิการเลือกประกอบอาชีพอย่างเสรี
และได้รับค่าจ้าง
และการปฏิบัติอย่างยุติธรรม
คำแถลงการณ์ไม่เลือกฝักฝ่าย
ว่าสิทธิ์ใดสำคัญกว่า
ซึ่งตอกย้ำในความเป็นสากล
การไม่แบ่งแยก
และการพึ่งพาอาศัยกัน
หลายทศวรรษที่ผ่านมา
กฎหมายสิทธิมนุษยชนสากลได้เติบโตขึ้น
ขยายขอบเขตและสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้ง
ว่าสิทธิมนุษยชนคืออะไร
และทำไมเราควรจะปกป้องมัน
ดังนั้น ถ้ากฏเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างดี
แล้วทำไมสิทธิมนุษยชนจึงถูกใช้ในทางที่ผิด
และถูกละเลยครั้งแล้วครั้งเล่า
ทั่วทุกมุมโลก
ปัญหาโดยรวมคือ มันไม่ง่ายเลย
ที่จะบังคับใช้สิทธิเหล่านี้อย่างเป็นสากล
หรือในการทำโทษผู้ฝ่าฝืน
แม้ UDHR จะมีอำนาจ
ได้รับการเคารพอย่างสูง
แต่มันคือคำแถลงกาารณ์
ไม่ใช่กฎหมายที่เข้มงวด
ดังนั้น เมื่อประเทศหนึ่งฝ่าฝืน
กลไกในการจัดการ
การละเมิดนั้นทำได้ไม่เต็มที่
ตัวอย่างเช่น ประเทศหลักในสหประชาชาติ
รับผิดชอบในการปกป้องสิทธิมนุษยชน
ส่วนมากโดยการเฝ้าระวัง
และไต่สวนการละเมิด
และไม่สามารถบังคับให้รัฐ
เปลี่ยนนโยบายหรือชดใช้เหยื่อ
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักวิจารณ์กล่าวว่า
มันง่ายที่จะพิจารณาว่าสิทธิมนุษยชน
ที่กำหนดในโลกที่ผลประโยชน์ของรัฐ
มีอำนาจอย่างมาก
นักวิจารณ์ยังตั้งคำถาม
ในความเป็นสากลของสิทธิมนุษยชน
และตอกย้ำว่าการพัฒนาสิทธิมนุษยชน
ถูกชี้นำอย่างหนักจากประเทศตะวันตก
เพียงไม่กี่ประเทศ
ที่สร้างความเสียหายในวงกว้าง
ผลลัพธ์นะหรือ
คือความลำเอียงในการยก
เสรีภาพทางการเมืองของพลเมือง
เหนือสิทธิทางสังคมและการเมือง
และปัจเจกเหนือสิทธิโดยรวมหรือกลุ่ม
กลุ่มอื่นนั้นปกป้องกฎหมาย
สิทธิมนุษยชนสากล
และชี้ให้เห็นบทบาทในแง่บวก
ที่สิทธิเหล่านี้มีในการวางมาตรฐานสากล
และในการช่วยนักเคลื่อนไหวในการรณรงค์
ทั้งยังชี้ให้เห็นว่า
เครื่องมือด้านสิทธิมนุษยชนสากล
ไม่ได้ไร้อำนาจไปเสียหมด
ตัวอย่างเช่น ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป
จัดตั้งศาลที่ประเทศสมาชิก
และพลเมืองของทั้ง 47 ประเทศ
สามารถยื่นคดีความได้
ศาลมอบคำตัดสินที่รัดกุม
ที่แต่ละรัฐต้องยอมปฏิบัติตาม
กฎหมายสิทธิมนุษยชนค่อย ๆ พัฒนา
เช่นเดียวกับมุมมองของเราและคำนิยาม
ว่าสิทธิมนุษยชนพื้นฐานควรเป็นอย่างไร
ตัวอย่างเช่น สิทธิในประชาธิปไตย
หรือสิทธิด้านการพัฒนา
มีพื้นฐานหรือสำคัญอย่างไร
และในขณะที่ชีวิตเรา
เป็นดิจิตอลมากขึ้น
เราควรจะมีสิทธิ
ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตหรือไม่
สิทธิด้านความเป็นส่วนตัวทางดิจิตอล
แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไร