ผมเติบโตมากับคู่แฝดเหมือนของผม ซึ่งเป็นพี่ชายที่ผมรักมาก การที่คุณมีคู่แฝด จะทำให้คุณเชี่ยวชาญ ว่า มีการลำเอียงเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เช่น ถ้าคู่แฝดผมได้คุ้กกี้ที่ ใหญ่กว่าผมนิดนึง ผมก็จะมีคำถาม ทั้งที่จริงๆ ผมก็ไม่ได้หิวอะไรนัก (เสียงหัวเราะ) เมื่อผมได้เป็นนักจิตวิทยา ผมได้เห็นความลำเอียงในรูปแบบต่างออกไป นั่นคือ เราให้ความสำคัญกับร่างกายเรา มากกว่าจิตใจของเราเท่าไหร่ ผมใช้เวลา 9 ปีในมหาวิทยาลัย เพื่อที่จะได้ปริญญาเอกด้านจิตวิทยา ผมบอกคุณไม่ได้หรอกว่ามีกี่คน ที่ดูนามบัตรของผมแล้วเอ่ยว่า "อ่อ นักจิตวิทยา.... ไม่ใช่หมอจริง ๆ นี่" เหมือนกับที่เขียนบนนามบัตรผมหละ (นามบัตรเขียน : นักจิตวิทยา ไม่ใช่หมอ) (เสียงหัวเราะ) ผมเห็นความลำเอียงที่เราให้กับร่างกาย มากกว่าจิตใจ ทุกที่เลยละ ผมเพิ่งไปแวะบ้านเพื่อนมา และ ลูกห้าขวบของเขา กำลังจะไปนอน ลูกเขากำลังยืนบนม้านั่งหน้าอ่างล้างมือ แปรงฟันอยู่ ตอนที่เขาตก แล้วขาของเขาถลอก กับม้านั่งที่เขาตกลงมา เขาร้องไห้ประมาณนาทีนึง แต่ก็กลับมายืนใหม่ บนม้านั่ง และยื่นมือไปหากล่องพยาบาลเพื่อ เอาพลาสเตอร์มาปิดแผล เด็กคนนี้ผูกเชือกรองเท้าเองแทบจะยังไม่ได้ แต่เขารู้ว่าต้องปิดแผล เพื่อไม่ให้ติดเชื้อ และ รู้ด้วยว่าคุณต้องแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง เพื่อรักษาฟันของตัวเอง พวกเราทุกคนรู้ว่าควรดูแลร่างกายเราอย่างไร เช่น จะดูแลรักษาฟันตัวเองอย่างไร ใช่ไหม? เรารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เราห้าขวบเลยด้วยซ้ำ แต่ เรารู้หรือปล่าวว่าเราจะดูแล สุขภาพจิตของเราอย่างไร? เราไม่รู้เลย แล้วเราสอนอะไรเด็ก ๆ บ้าง ให้ดูแลสุขอนามัยทางอารมณ์? ไม่มีเลย ทำไมเราใช้เวลาดูแลฟันของเรา มากกว่าเวลาดูแลจิตใจเราละ? ทำไมสุขภาพของร่างกายถึงสำคัญกว่า สุขภาพจิตของเราอย่างมากล่ะ? คุณรู้ไหม? ..เราปล่อยแผลทางจิตใจเรา ทิ้งไว้บ่อยกว่าแผลของร่างกายเรา แผล เช่น ความผิดพลาด การโดนปฏิเสธ หรือ ความเหงา และ แผลเหล่านี้ยิ่งร้ายแรง ถ้าเราทิ้งไว้อย่างนั้น และ อาจมีผลกระทบอย่างมาก กับชีวิตเรา ถึงแม้จะมีวิธีที่มีการยืนยันทาง วิทยาศาสตร์มากมาย ที่ช่วยรักษาแผลทางจิตใจเหล่านี้ได้ แต่เราก็ไม่ใช้มัน เราไม่เคยรักษาจิตใจตัวเอง อย่างที่ควร "โอ้ คุณรู้สึกเศร้ามาใช่ไหม? เอามันออกไปสิ มันแค่อยู่ในหัวคุณนั่นแหละ" คุณลองจินตนาการสิครับ ถ้ามีคนขาหักเข้ามา "โอ้ แค่เดินให้มันออกไปสิ มันแค่อยู่บนขาคุณนั่นแหละ" (เสียงหัวเราะ) ถึงเวลาแล้วที่เราความลำเอียงระหว่าง ร่างกาย กับ จิตใจของเรา ถึงเวลาแล้วที่เราควรให้ความสำคัญเท่ากัน เหมือนคู่แฝด นอกจากนั้น คู่แฝดของผมก็เป็นนักจิตวิทยาเหมือนกัน เขาก็ไม่ใช่หมอจริง ๆ เหมือนกัน (เสียงหัวเราะ) แต่เราไม่ได้เรียนด้วยกันนะครับ ที่จริงแล้วสิ่งที่ยากที่สุด ที่ผมเคยทำมาในชีวิต คือการย้ายข้ามฝั่งแอตแลนติก เพื่อมานิวยอร์ค เพื่อจะได้ปริญญาเอกด้านจิตวิทยา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราถูกแยกออกจากกัน ตอนแยกจากกัน เราทั้งคู่รู้สึกแย่มาก แต่ในขณะที่เขาอยู่กับครอบครัวและเพื่อน ผมอยู่คนเดียวในประเทศใหม่ เราคิดถึงกันมากๆ แต่ในตอนนั้นโทรศัพท์ข้ามประเทศ แพงเหลือเกิน และเงินที่เรามี ก็ใช้คุยกันได้แค่ 5 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วงที่วันเกิดของเราใกล้เข้ามา เป็นครั้งแรกที่เราไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน อาทิตย์นั้น เราวางแผนจะใช้เงินเยอะเกินตัว เราจะคุยกัน 10 นาที ผมเดินวนไปมารอบห้อง รอเขาโทรมา รอแล้วรออีก แต่โทรศัพท์ก็ไม่ดังสักที คงเป็นเรื่องเวลาที่ต่างกัน ผมคิด "โอเค เขาอาจจะอยู่กับเพื่อน เขาคงโทรมาทีหลังละ" แต่ก็ไม่มีโทรศัพท์มาเลย เขาไม่ได้โทรมา แล้วผมก็เริ่มคิดว่าหลังจากที่ เราห่างกันมา 10 เดือน เขาไม่ได้คิดถึงผมแล้วเหมือนที่ผมคิดถึงเขา ผมคิดว่าเขาจะโทรมาตอนเช้า แต่ คืนนั้นเป็นคืนที่เศร้า และ ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม ผมตื่นขึ้นมาเช้าวันถัดมา ผมมองไปที่โทรศัพท์ แล้วเพิ่งรู้ว่าตัวว่าผม เผลอไปเตะให้สายมันหลุด ตอนที่เดินไปเดินมาวันก่อน ผมรีบลุกจากเตียง วางหูโทรศัพท์กลับไปที่เครื่อง แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังทันที เป็นคู่แฝดผมอยู่ในสาย เขาโกรธมาก (เสียงหัวเราะ) มันก็เป็นคืนที่เศร้าและยาวนานที่สุด ของเขาเช่นกัน ผมพยายามอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาพูดว่า "เราไม่เข้าใจว่า ถ้านายเห็นว่าเราไม่โทรหา แล้วทำไมนายไม่โทรมาหาเราละ?" เขาพูดถูกนะ ทำไมผมไม่โทรหาเขา? วันนั้นผมไม่มีคำตอบ แต่วันนี้ผมได้คำตอบแล้ว คำตอบสั้นๆคำเดียวคือ : ความเหงา ความเหงาทำให้เกิดบาดแผลลึกทางจิตใจ เปลี่ยนแปลงการรับรู้ของเรา ปั่นความคิดของเราปนกันไปหมด ให้เราเชื่อว่าคนรอบตัวใส่ใจเรา น้อยกว่าความเป็นจริง ทำให้เรากลัวที่จะเข้าหาพวกเขา เพราะฉะนั้นทำให้คุณเจอแต่ การปฏิเสธและเรื่องปวดใจ ในขณะที่ใจของคุณก็เจ็บปวดเกินทนอยู่แล้ว? ผมถูกความเหงาครอบงำไปในตอนนั้น แต่ถ้า ผมอยู่รายล้อมไปด้วยผู้คนทั้งวัน มันก็คงไม่เกิดขึ้นกับผม แต่ความเหงาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแต่บุคคล มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคุณเองว่า คุณถูกตัดขาดทางอารมณ์และ สังคมจากคนรอบข้างคุณหรือไม่? ซึ่งใช่สำหรับผมตอนนั้น มีงานวิจัยหลายชิ้นเกี่ยวกับความเหงา และทุกชิ้นล้วนน่ากลัว ความเหงาไม่ได้ทำให้คุณเป็นทุกข์นะ มันจะฆ่าคุณเลยละ ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ภาวะเหงาเรื้อรังจะเพิ่ม โอกาสของการตายก่อนวัยอันควร ถึง 14 เปอร์เซนต์ ความเหงา ทำให้ความดันโลหิตสูง คลอเรสเตอรอลสูง ซ้ำยังไปกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้คุณอ่อนแอต่อความเจ็บป่วยและโรคภัย นักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปว่า การเหงาต่อเนื่องเป็นภัยต่อสุขภาพระยะยาว ไม่ต่างกับการสูบบุหรี่ ปัจจุบันข้างซองบุหรี่จะเขียนว่า "บุหรี่อาจฆ่าคุณได้" แต่ ความเหงาไม่มีการเตือนทั้งสิ้น และนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญว่า ทำไมเราถึงให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกาย มากกว่าสุขภาพทางจิตใจของเรา เพราะคุณไม่สามารถจะรักษาแผลทางใจได้ ถ้าคุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังมีแผลอยู่ (อย่าลืมสำรวจความเจ็บป่วยทางจิตใจ) ความเหงาไม่ใช่แผลทางจิตใจ เพียงประเภทเดียว ที่เปลี่ยนการรับรู้และทำให้เราไขว้เขว ความล้มเหลวก็เช่นกัน ครั้งหนึ่ง ผมไปสถานเลี้ยงเด็กภาคกลางวัน ผมเห็นเด็กตัวเล็กๆสามคน กำลังเล่นของเล่นที่เหมือนกัน 3 ชิ้น ถ้าคุณเลื่อนปุ่มสีแดง จะมีหมาน่ารักโผล่ออกมา เด็กผู้หญิงคนนึงพยายามจะดึงปุ่มสีม่วง และก็ดันมันเข้าไป และ เธอก็นั่งเอนหลัง มองที่กล่อง ด้วยริมฝีปากสั่น เด็กชายข้างๆเธอเห็นเหตุการณ์ แล้วกลับมาที่กล่องตัวเอง แล้วก็ร้องไห้ใหญ่ ทั้งๆที่ยังไม่ได้แตะอะไรเลย ขณะเดียวกัน เด็กหญิงอีกคนกำลังพยายามทุกทาง จนกระทั่งเธอเลื่อนปุ่มสีแดง หมาที่น่ารักก็ออกมา และ เธอก็ร้องด้วยความยินดี! เพราะฉะนั้นถึงแม้เด็กทั้งสามจะเล่น ของเล่นที่เหมือนกัน แต่กลับมีปฏิกิริยาต่างกันต่อความล้มเหลว สองคนแรกมีความสามารถจะเลื่อนปุ่มสีแดง อยู่แล้วแหละครับ มีอย่างเดียวเท่านั้นละครับที่หยุดไม่ให้ เขาประสบความสำเร็จ นั่นก็คือว่าจิตใจของพวกเขาตกหลุมพราง ว่าพวกเขาทำไม่ได้ ผู้ใหญ่เองก็ตกหลุมนี้เหมือนกันตลอดเวลา ซึ่งแท้จริงแล้ว พวกเรามีความรู้สึกพื้นฐาน และความเชื่อที่พร้อมจะผุดขึ้นมา เมื่อเราเผชิญความผิดหวังและย่อท้อ คุณรู้สึกตัวไหมว่าคุณตอบสนองกับ ความล้มเหลวอย่างไร? คุณจำเป็นต้องรู้สึกนะครับ เพราะถ้าจิตใจของคุณพยายามกล่อมว่า คุณไม่สามารถทำอะไรบางอย่างได้ และ คุณเชื่อมัน คุณก็จะเหมือนเด็กสองคน คุณจะรู้สึกทำอะไรไม่ได้เลย และ คุณก็จะหยุดพยายาม หรือหนักกว่านั้นก็คือไม่พยายามแต่แรก จากนั้นคุณจะยิ่งเชื่อว่า คุณประสบความสำเร็จไม่ได้ คุณเห็นไหม ว่าทำไมหลายคนถึงทำงานได้ ต่ำกว่าความสามารถที่แท้จริงของเขา เพราะ เมื่อทุกอย่างผ่านไป บางที แค่ความล้มเหลวอันใดอันหนึ่ง ก็สามารถทำให้เขาเชื่อว่าเขาไม่สามารถ ประสบความสำเร็จและเชื่ออย่างนั้น เมื่อเราเชื่อไปแล้วว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งยาก มันก็ยากที่จะเปลี่ยนความคิดคืน ผมเรียนรู้บทเรียนบนความยากลำบาก ช่วงที่ผมเป็นวัยรุ่นกับคู่แฝดของผม เราขับรถกับเพื่อนบนถนนที่มืดตอนกลางคืน ตอนนั้นตำรวจหยุดรถของเรา เพิ่งมีการปล้นในย่านนั้น และ เขากำลังตามหาผู้ต้องสงสัย เจ้าหน้าเข้ามาที่รถของเราและ เขาก็เอาไฟฉายส่องมาที่คนขับ แล้วก็เลื่อนมาที่พี่ชายของผมด้านหน้า แล้วก็มาที่ผม ทันใดนั้นตาเขาก็โต และพูดว่า "ผมเคยเห็นคุณที่ไหนมาก่อนนะ?" (เสียงหัวเราะ) ผมก็ตอบว่า "ก็พี่ชายที่นั่งเบาะหน้าไงครับ" (เสียงหัวเราะ) แต่ คำพูดนั้นเหมือนว่าไม่สมเหตุสมผลกับเขา เขาเลยคิดว่าผมกำลังเมายาอยู่ (เสียงหัวเราะ) เขาลากผมออกมาจากรถ แล้วก็ค้นตัวผม พาผมเดินไปยังรถตำรวจ แล้ว ตอนที่เขาตรวจเสร็จแล้ว ว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมถึงมีโอกาสบอกเขาว่าผมมี คู่แฝดนั่งหน้ามาด้วย แต่ ถ้าแม้ตอนเรากำลังขับออกไป คุณก็จะเห็นใบหน้าของเขาว่า เขายังคงเชื่อว่าผมซ่อนสิ่งของบางอย่างไว้ ความคิดของเรายากที่จะเปลี่ยน เมื่อเราเชื่อไปแล้ว ดังนั้นเป็นธรรมชาติที่คุณอาจรู้สึก เสียขวัญ พ่ายแพ้ เมื่อคุณล้มเหลว แต่คุณต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองยอมรับว่า คุณไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ คุณจะต้องสู้กับความรู้สึกเหล่านั้น แล้วกลับมาควบคุมตัวเอง ให้อยู่เหนือเหตุการณ์ และ คุณจะต้องหยุดวงจรความรู้สึกลบ เหล่านี้ก่อนที่มันจะเริ่มต้น ความคิดและจิตใจของเรา ไม่ใช่เพื่อนที่ไว้ใจได้อย่างที่เราคิด มันเหมือนเพื่อนที่อารมณ์แปรปรวน ซึ่งอาจจะช่วยเหลือเราในนาทีแรก แล้วก็เปลี่ยนเป็นเลวร้ายในนาทีให้หลัง ผมเคยทำงานกับผู้หญิงคนนึง ที่แต่งงานกว่า 20 ปี แล้วเพิ่งหย่าด้วยสภาวะที่แย่มาก จนที่สุดก็พร้อมที่จะมีเดทครั้งแรก เธอเจอผู้ชายคนนึงผ่านออนไลน์ และ เขาก็ดูดี ประสบความสำเร็จ และที่สำคัญ เขาดูชอบเธอมาก เธอเลยตื่นเต้นมาก เธอไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ พวกเขาก็นัดพบกันที่ บาร์หรูแห่งหนึ่งในนิวยอร์ค สิบนาทีหลังจากพบกัน ผู้ชายกลับยืนขึ้นแล้วบอกว่า "ผมไม่สนใจ" แล้วก็เดินหนีไป การปฏิเสธนั้นเจ็บปวดมาก ผู้หญิงคนนั้นเจ็บปวดมาก เธอไปไหนไม่ได้ เธอทำได้แค่โทรหาเพื่อน นี่คือที่เพื่อนบอก: "แล้ว เธอคาดหวังอะไรละ? เธอมีสะโพกที่ใหญ่ เธอไม่มีอะไรที่น่าสนใจให้พูดถึง แล้วทำไมผู้ชายหล่อ ประสบความสำเร็จ จะมา ออกเดทกับคนขี้แพ้แบบเธอละ?" น่าตกใจครับ เพื่อนช่างโหดร้ายขนาดนี้เชียว? แต่คุณจะบอกว่ามันไม่ได้น่าตกใจเท่าไหร่ ถ้าผมบอกคุณว่า คนที่พูดนั้นไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดกับตัวเอง และ นั่นเป็นบางอย่างที่เราทำ โดยเฉพาะหลังจากถูกปฏิเสธ เราจะเริ่มคิดถึง จุดที่เราทำผิด ข้อเสียของเรา เราน่าจะเป็นแบบนี้ เราไม่น่าจะเป็นแบบนี้ แล้วก็ต่อว่าตัวเอง มันอาจจะไม่ได้ร้ายแรง แต่พวกเราทำกันทุกคน ที่น่าสนใจคือเราทำแบบนี้ เพราะ ความมั่นใจตัวเองของเรากำลังสั่นคลอน แต่ทำไมเราต้องทำให้เสียหายมากกว่าเดิม? เราไม่เคยตั้งใจทำให้บาดแผลทางร่างกายเรา แย่ลง คุณไม่น่าจะมีรอยแผลบนแขน แล้วตัดสินใจว่า "ผมรู้ละ! ผมจะไปเอามีดมากรีดต่อ อยากรู้ว่าจะลึกได้แค่ไหน" แต่เราทำแบบนี้กับบาดแผลทางจิตใจตลอดเวลา ทำไม? เพราะสุขอนามัยด้านจิตใจเราแย่ เพราะเราไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของเรา เรารู้จากงานวิจัยเป็นสิบๆชิ้นว่า เมื่อความภูมิใจในตนเองลดลง คุณจะอ่อนแอต่อความเครียด และความกังวลมากขึ้น ความล้มเหลว การโดนปฏิเสธ ยิ่งทำให้เจ็บขึ้น และใช้เวลานานกว่าจะฟื้น เพราะฉะนั้น ถ้าคุณถูกปฏิเสธ สิ่งแรกที่คุณทำ คือเอาความมั่นใจคุณกลับมา ไม่ใช่ซ้ำเติมตัวเองให้จิตใจแหลกละเอียด ถ้าคุณมีความเจ็บปวดทางใจ ให้รางวัลตัวเองด้วยความเห็นใจ แบบที่คุณจะได้จากเพื่อนแท้ของคุณ คุณต้องจับให้ได้ว่าอะไรเป็นพฤติกรรมทางจิต ที่ไม่ดีของคุณ แล้วเปลี่ยนมัน สิ่งหนึ่งที่แย่ที่สุดและพบบ่อยที่สุดคือ การรำพึง การที่คุณรำพึง หมายถึง ครุ่นคิด เมื่อหัวหน้าคุณตะโกนใส่คุณ หรือ อาจารย์ ทำให้คุณรู้สึกโง่ในห้องเรียน หรือ เมื่อคุณโต้เถียงกับเพื่อน และ คุณไม่สามารถหยุดนึกถึงเรื่องเก่า เป็นเวลาหลายวัน หรือบางทีหลายสัปดาห์ การรำพึงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เราผิดหวัง จะกลายเป็นนิสัยได้ง่าย ซึ่งจะเสียหายมาก เพราะ ถ้าใช้เวลามากไปกับเรื่องเสียอารมณ์ และความคิดด้านลบ คุณจะพาตัวเองไปเสี่ยงอย่างมาก ต่อภาวะความเครียดสูง ติดเหล้า กินอาหารไม่ปกติ หรือ อาจเป็นโรคหัวใจ ก็ได้ ปัญหาคือสิ่งเร้าที่ให้เกิดการรำพึงมัก เป็นสิ่งที่รุนแรงและสำคัญมาก ทำให้ยากที่จะหยุดพฤติกรรมนี้ ผมรู้ความจริงข้อนี้เพราะเมื่อไม่นานนี้ ประมาณปีเศษๆ ผมมีพฤติกรรมเหล่านี้เช่นเดียวกัน คุณรู้ไหม? พี่คู่แฝดของผมได้รับการวินิจฉัย ว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นที่ 3 มะเร็งของเขาร้ายแรงมาก เขามีเนื้อร้ายที่มองเห็นได้เลยตามร่างกาย และเขาเริ่มเข้ารับการฉายรังสีบำบัด อย่างเข้มข้น ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาต้องผ่านอะไรบ้าง อดคิดไม่ได้ว่า เขาจะทรมานแค่ไหน กระนั้น เขาก็ไม่เคยบ่นเลยสักครั้ง เขาก็ยังมีทัศนคติที่ดีแบบนี้ สุขภาพจิตของเขาน่าทึ่งมาก ผมมีสุขภาพกายที่ดี แต่สุขภาพจิตผมยับเยิน แต่ผมรู้ว่าจะทำอะไร การศึกษามากมายบอกเราว่า ขอแค่เพียงมีเรื่องดึงความสนใจเราแค่ 2 นาที ก็เพียงพอที่จะหลุดพ้นจากอารมณ์รำพึงได้ ทุกครั้งที่ผมกังวล เสียใจ หรือ มีความคิดแง่ลบ ผมจะบังคับตัวเองให้มีสมาธิอยู่ กับสิ่งอื่นๆ จนความรู้สึกแย่ๆผ่านไป และ ภายในหนึ่งสัปดาห์ มุมมองของผมทั้งหมดก็เปลี่ยนไป กลายเป็นมองในแง่ดีมากขึ้น มีหวังมากขึ้น เก้าสัปดาห์หลังจากที่เขาเริ่มรับรังสีคีโม พี่ชายของผมก็ไปตรวจเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ ผมอยู่ข้างๆเขาจนกระทั่ง เขาได้รับผลตรวจ เนื้อร้ายทั้งหมดได้หายไป เขายังต้องผ่านการรับรังสีคีโมอีก 3 ครั้ง แต่พวกเรารู้ว่าเขาจะกลับมาดีเหมือนเดิม นี่เป็นรูปที่ถ่ายเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ถ้าคุณทำอะไรสักอย่างเมื่อคุณเหงา ถ้าคุณเปลี่ยนการตอบสนองต่อความล้มเหลว ถ้าปกป้องความมั่นใจของตนเอง ถ้าคุณสู้กับความรู้สึกเชิงลบ คุณจะไม่ได้แค่รักษาแผลทางจิตใจ คุณจะสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ คุณจะเติบโต หลายร้อยปีก่อน ผู้คนเริ่มดูแลสุขนามัยของตนเอง ทำให้อายุขัยคนเพิ่มขึ้นกว่า 50 เปอร์เซนต์ โดยใช้เวลาแค่ไม่กี่สิบปีเอง ผมเชื่อว่าคุณภาพชีวิตของเรา จะดีขึ้นได้อย่างมาก ถ้าเราเริ่มดูแลสุขอนามัยทางอารมณ์ คุณจินตนาการได้ไหมว่า โลกเราจะเป็นอย่างไร ถ้าทุกคนมีสุขภาพจิตดีขึ้น? มีความเหงาน้อยลง มีโรคซึมเศร้าน้อยลง? ถ้าผู้คนรู้วิธีเอาชนะความล้มเหลวได้? ถ้าพวกเขารู้สึกดีกับตัวเอง เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น? ถ้าพวกเขามีความสุขและเติมเต็มมากขึ้น? ผมจินตนาการได้ เพราะเป็นโลกที่ผมอยากอาศัยอยู่ และก็จะเป็นโลกที่พี่ชายผม อยากอยู่ด้วยเช่นกัน และถ้าพวกคุณรับรู้สิ่งเหล่านี้ และเปลี่ยนนิสัยพื้นฐานบางอย่าง ก็จะเป็นโลกที่เราทุกคนอยากอาศัยอยู่ ขอบคุณมากครับ (เสียงปรบมือ)