1 00:00:00,325 --> 00:00:02,388 ตอนที่ผมเรียนปริญญาเอกนั้น 2 00:00:02,388 --> 00:00:05,850 ผมติดแหงกเลยครับ 3 00:00:05,850 --> 00:00:07,630 ทุกหนทางการวิจัยที่ผมได้ลอง 4 00:00:07,630 --> 00:00:09,246 นำไปสู่ทางตัน 5 00:00:09,246 --> 00:00:11,148 มันเหมือนกับว่าความเชื่อพื้นฐานของผม 6 00:00:11,148 --> 00:00:13,076 หยุดทำงาน 7 00:00:13,076 --> 00:00:16,075 ผมรู้สึกเหมือนนักบินที่บินผ่านหมอก 8 00:00:16,075 --> 00:00:18,870 แล้วหลงทิศทาง 9 00:00:18,870 --> 00:00:20,351 ผมเลิกโกนหนวด 10 00:00:20,351 --> 00:00:23,092 ผมไม่ยอมลุกออกจากเตียงในตอนเช้า 11 00:00:23,092 --> 00:00:24,825 ผมรู้สึกไม่คู่ควร 12 00:00:24,825 --> 00:00:27,978 กับการเดินเข้าประตูมหาวิทยาลัย 13 00:00:27,978 --> 00:00:30,126 เพราะผมไม่ใช่ไอสไตน์ หรือนิวตัน 14 00:00:30,126 --> 00:00:32,279 หรือนักวิทยาศาสตร์ท่านใด 15 00:00:32,279 --> 00:00:33,810 ที่ผมได้เรียนรู้ผลงานของพวกท่าน เพราะในวิทยาศาสตร์ 16 00:00:33,810 --> 00:00:37,192 เราเรียนเกี่ยวกับผลลัพธ์เท่านั้น ไม่ใช่กระบวนการ 17 00:00:37,192 --> 00:00:41,893 และเห็นชัดๆ เลยว่า ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ 18 00:00:41,893 --> 00:00:43,557 แต่ผมมีแรงสนับสนุนมากพอ 19 00:00:43,557 --> 00:00:44,954 และผมก็ผ่านมันไปได้ 20 00:00:44,954 --> 00:00:47,174 และค้นพบความรู้ใหม่เกี่ยวกับธรรมชาติ 21 00:00:47,174 --> 00:00:49,917 มันเป็นความรู้สึกสงบอันน่าทึ่ง 22 00:00:49,917 --> 00:00:51,249 ที่เป็นบุคคลเดียวในโลก 23 00:00:51,249 --> 00:00:53,474 ที่รู้ถึงกฎใหม่แห่งธรรมชาติ 24 00:00:53,474 --> 00:00:56,516 และผมเริ่มโครงงานที่สอง ในการเรียนปริญญาเอก 25 00:00:56,516 --> 00:00:57,880 และมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง 26 00:00:57,880 --> 00:01:00,169 ผมเจออุปสรรค์ แล้วก็ผ่านมันไปได้ 27 00:01:00,169 --> 00:01:01,555 และผมก็เริ่มคิด 28 00:01:01,555 --> 00:01:02,712 บางที มันอาจมีรูปแบบอยู่ก็เป็นได้ 29 00:01:02,712 --> 00:01:04,553 ผมถามบัณฑิตทั้งหลาย แล้วพวกเขาก็บอกว่า 30 00:01:04,553 --> 00:01:06,596 "ใช่เลย เกิดอย่างนั้นกับพวกเขาเป๊ะๆ เลย 31 00:01:06,596 --> 00:01:08,945 เว้นแต่ว่าไม่มีใครบอกเรา" 32 00:01:08,945 --> 00:01:10,895 พวกเราอาจเรียนวิทยาศาสตร์อย่างกับว่า 33 00:01:10,895 --> 00:01:14,471 มันเป็นชุดขั้นตอนเชิงตรรกะ ระหว่างคำถามและคำตอบ 34 00:01:14,471 --> 00:01:17,217 แต่การทำวิจัยไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้น 35 00:01:17,217 --> 00:01:19,551 ในเวลาเดียวกัน ผมยังได้เรียน 36 00:01:19,551 --> 00:01:21,638 การแสดงละครเวทีแบบด้นสด 37 00:01:21,638 --> 00:01:23,072 ฉะนั้น กลางวันเรียนฟิสิกส์ 38 00:01:23,072 --> 00:01:25,090 และกลางคืน หัวเราะ กระโดด ร้องเพลง 39 00:01:25,090 --> 00:01:26,402 เล่นกีต้าร์ของผม 40 00:01:26,402 --> 00:01:27,881 ละครเวทีแบบด้นสด 41 00:01:27,881 --> 00:01:30,890 ก็เหมือนกับวิทยาศาสตร์ คือ การเข้าหาสิ่งที่ไม่รู้ 42 00:01:30,890 --> 00:01:32,302 เพราะคุณต้องเล่นกันบนเวที 43 00:01:32,302 --> 00:01:34,005 โดยปราศจากผู้กำกับ ปราศจากบทละคร 44 00:01:34,005 --> 00:01:36,283 ไม่รู้เลยว่า คุณจะเล่นเป็นอะไร 45 00:01:36,283 --> 00:01:38,689 หรือตัวละครอื่นจะทำอะไร 46 00:01:38,689 --> 00:01:40,538 แต่ไม่เหมือนวิทยาศาสตร์ 47 00:01:40,538 --> 00:01:43,561 ในละครเวทีด้นสด พวกเขาบอกคุณแต่วันแรกว่า 48 00:01:43,561 --> 00:01:45,776 อะไรจะเกิดขึ้นกับคุณเมื่อคุณอยู่บนเวที 49 00:01:45,776 --> 00:01:48,548 คุณจะทำพลาดไม่เป็นท่า 50 00:01:48,548 --> 00:01:49,725 คุณจะเจออุปสรรค 51 00:01:49,725 --> 00:01:51,843 และเราก็จะฝึกฝนให้มีความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ 52 00:01:51,843 --> 00:01:53,046 ในสถานการณ์ที่เจออุปสรรค 53 00:01:53,046 --> 00:01:54,951 ตัวอย่างเช่น เรามีแบบฝึกหัด 54 00:01:54,951 --> 00:01:56,093 ที่เราทุกคนยืนเป็นวงกลม 55 00:01:56,093 --> 00:01:59,058 และแต่ละคนต้องเต้นแท๊ปให้แย่สุดๆ 56 00:01:59,058 --> 00:02:00,644 และคนอื่นๆ ปรบมือ 57 00:02:00,644 --> 00:02:01,886 และเชียร์คุณ 58 00:02:01,886 --> 00:02:04,649 ให้กำลังใจคุณบนเวที 59 00:02:04,649 --> 00:02:06,557 เมื่อผมเป็นศาสตราจารย์ 60 00:02:06,557 --> 00:02:07,938 และต้องแนะแนวนักเรียนของผม 61 00:02:07,938 --> 00:02:09,911 ผ่านโครงงานวิจัยของพวกเขา 62 00:02:09,911 --> 00:02:11,278 ผมตระหนักอีกครั้งว่า 63 00:02:11,278 --> 00:02:12,990 ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร 64 00:02:12,990 --> 00:02:14,984 ผมอาจเรียนฟิสิกส์ ชีววิทยา เคมี 65 00:02:14,984 --> 00:02:16,598 มาหลายพันชั่วโมง 66 00:02:16,598 --> 00:02:18,970 แต่ไม่มีสักชั่วโมง ไม่มีสักแนวคิดเดียว ที่จะสอนผมว่า 67 00:02:18,970 --> 00:02:21,556 จะให้คำปรึกษาอย่างไร แนะแนวใครสักคนอย่างไร 68 00:02:21,556 --> 00:02:23,293 เพื่อให้เดินไปด้วยกันสู่สิ่งที่ไม่รู้ 69 00:02:23,293 --> 00:02:25,214 เพื่อสร้างแรงผลักดัน 70 00:02:25,214 --> 00:02:27,144 ผมจึงหันไปพึ่งละครเวทีด้นสด 71 00:02:27,144 --> 00:02:29,317 และผมบอกนักเรียนตั้งแต่วันแรกว่า 72 00:02:29,317 --> 00:02:32,218 อะไรกำลังจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มทำงานวิจัย 73 00:02:32,218 --> 00:02:33,944 เรื่องนี้เกี่ยวกับมโนภาพที่เราคาดหวัง (schema) 74 00:02:33,944 --> 00:02:35,956 ว่างานวิจัยจะเป็นเช่นไร 75 00:02:35,956 --> 00:02:38,234 เพราะว่า เมื่อคนเราทำอะไรก็ตามแต่ 76 00:02:38,234 --> 00:02:40,876 ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมต้องการจะจับกระดานดำนี้ 77 00:02:40,876 --> 00:02:42,536 สมองของผมจะคาดมโนภาพขึ้นก่อน 78 00:02:42,536 --> 00:02:44,395 ทำนายว่ากล้ามเนื้อของผมจะทำอะไร 79 00:02:44,395 --> 00:02:46,551 ก่อนที่ผมจะเริ่มขยับมือเสียอีก 80 00:02:46,551 --> 00:02:48,399 และถ้าผมถูกขัดขวาง 81 00:02:48,399 --> 00:02:50,274 ถ้ามโนภาพของผมไม่เข้ากับความเป็นจริง 82 00:02:50,274 --> 00:02:52,558 จะเกิดความเครียดขึ้น เรียกว่า การรับรู้ไม่ลงรอยกัน (cognitive dissonance) 83 00:02:52,558 --> 00:02:55,467 จึงเป็นการดีกว่า ถ้ามโนภาพของคุณ ตรงกับความเป็นจริง 84 00:02:55,467 --> 00:02:58,622 แต่ถ้าคุณเชื่อในวิทยาศาสตร์แบบที่ถูกสอนกันมา 85 00:02:58,622 --> 00:03:00,519 และถ้าคุณเชื่อตามตำรา ก็มีแนวโน้ม 86 00:03:00,519 --> 00:03:06,813 ว่าคุณน่าจะมีมโนภาพของงานวิจัย ตามนี้ครับ 87 00:03:06,813 --> 00:03:10,131 ถ้า เอ เป็นคำถาม 88 00:03:10,131 --> 00:03:13,531 และ บี เป็นคำตอบ 89 00:03:13,531 --> 00:03:18,124 ดังนั้นแล้ว งานวิจัยก็เป็นทางตรง 90 00:03:18,127 --> 00:03:21,242 ปัญหาคือว่า ถ้าการทดลองไม่สำเร็จ 91 00:03:21,242 --> 00:03:24,904 หรือนักเรียนเกิดความเครียด 92 00:03:24,904 --> 00:03:26,990 เรื่องแบบนี้ จะถูกมองว่าผิดปกติอย่างยิ่ง 93 00:03:26,990 --> 00:03:30,020 และทำให้เกิดความเครียดอย่างมาก 94 00:03:30,020 --> 00:03:31,803 ด้วยเหตุนี้ ผมจึงสอนให้นักเรียนของผม 95 00:03:31,803 --> 00:03:35,665 สร้างมโนภาพที่ยึดความเป็นจริงมากกว่า 96 00:03:38,860 --> 00:03:40,384 นี่คือตัวอย่าง 97 00:03:40,384 --> 00:03:43,520 เวลาที่อะไรๆ ไม่เป็นไปตามมโนภาพของคุณครับ 98 00:03:46,379 --> 00:03:49,641 (เสียงหัวเราะ) 99 00:03:49,641 --> 00:03:52,840 (เสียงปรบมือ) 100 00:04:01,564 --> 00:04:05,010 ผมจึงสอนมโนภาพแบบใหม่ ให้นักเรียนของผม 101 00:04:05,010 --> 00:04:07,204 ถ้า เอ เป็นคำถาม 102 00:04:07,204 --> 00:04:09,385 บี เป็นคำตอบ 103 00:04:13,320 --> 00:04:14,855 คิดสร้างสรรค์ฝันฟุ้งในเมฆไปเรื่อยๆ 104 00:04:14,855 --> 00:04:16,830 และคุณก็เริ่มลงมือ 105 00:04:16,830 --> 00:04:19,193 และการทดลองมันไม่ได้ผล และก็ไม่ได้ผล 106 00:04:19,193 --> 00:04:21,728 และก็ไม่ได้ผล และก็ไม่ได้ผล 107 00:04:21,728 --> 00:04:24,404 จนคุณไปถึงดินแดนที่เชื่อมกับอารมณ์ด้านลบ 108 00:04:24,404 --> 00:04:26,682 ที่ซึ่งกระทั่ง ความเชื่อพื้นฐานของคุณ 109 00:04:26,682 --> 00:04:27,798 ยังดูไม่เป็นเหตุเป็นผล 110 00:04:27,798 --> 00:04:30,853 เหมือนมีใครมากระชากพรมใต้เท้าคุณ 111 00:04:30,853 --> 00:04:34,181 และผมเรียกที่นั่นว่า เมฆ 112 00:04:47,685 --> 00:04:50,363 คุณอาจหลงอยู่ในเมฆนี้ 113 00:04:50,363 --> 00:04:52,871 สักวัน สัปดาห์ เดือน ปี 114 00:04:52,871 --> 00:04:54,369 หรือชั่วชีวิตทำงานของคุณ 115 00:04:54,369 --> 00:04:56,531 แต่บางที ถ้าคุณโชคดีพอ 116 00:04:56,531 --> 00:04:58,387 และคุณได้แรงสนับสนุนพอ 117 00:04:58,387 --> 00:05:00,377 คุณจะเห็นได้ เมื่อดูสิ่งที่อยู่ในมือ 118 00:05:00,377 --> 00:05:03,625 หรือ ตั้งสติศึกษารูปร่างของเมฆ 119 00:05:03,625 --> 00:05:05,627 ถึงคำตอบแบบใหม่ 120 00:05:07,285 --> 00:05:10,969 นั่นคือ ซี แล้วตกลงใจลองทางใหม่ดู 121 00:05:10,969 --> 00:05:13,338 และการทดลองก็ไม่ได้ผล การทดลองไม่ได้ผล 122 00:05:13,338 --> 00:05:14,807 แต่คุณก็ถึงในที่สุด 123 00:05:14,807 --> 00:05:16,027 จากนั้น คุณก็บอกเรื่องนี้กับทุกคน 124 00:05:16,027 --> 00:05:19,529 โดยตีพิมพ์ผลงานที่บอกว่า เอ ไปยัง ซี 125 00:05:19,529 --> 00:05:21,488 ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสื่อสาร 126 00:05:21,488 --> 00:05:23,832 ตราบใดที่คุณยังไม่ลืมหนทาง 127 00:05:23,832 --> 00:05:25,631 ที่นำคุณไปตรงนั้น 128 00:05:25,631 --> 00:05:27,606 ทีนี้ เมฆที่ว่านี้มีอยู่ตามปกติวิสัย 129 00:05:27,606 --> 00:05:30,210 ของการวิจัย ตามปกติวิสัยของงานประดิษฐ์ 130 00:05:30,210 --> 00:05:33,420 เพราะว่า เมฆจะลอยขวาง ตรงพรมแดน 131 00:05:37,721 --> 00:05:39,990 มันจะอยู่ตรงพรมแดน 132 00:05:39,990 --> 00:05:42,962 ระหว่าง ความรู้ 133 00:05:45,795 --> 00:05:49,399 และความไม่รู้ 134 00:05:53,110 --> 00:05:55,385 เพราะถ้าอยากค้นพบบางอย่างที่ใหม่จริงๆ นั้น 135 00:05:55,385 --> 00:05:58,962 อย่างน้อย ความเชื่อพื้นฐานสักอย่างของคุณ จะต้องเปลี่ยนไป 136 00:05:58,962 --> 00:06:00,216 ฉะนั้น การศึกษาวิทยาศาสตร์ 137 00:06:00,216 --> 00:06:02,178 จึงเป็นเรื่องกล้าหาญชาญชัยทีเดียว 138 00:06:02,178 --> 00:06:03,999 ทุกๆ วัน เราพยายามเดินทาง 139 00:06:03,999 --> 00:06:05,811 สู่พรมแดนระหว่างความรู้ และความไม่รู้ 140 00:06:05,811 --> 00:06:07,632 และเผชิญหน้ากับเมฆ 141 00:06:07,632 --> 00:06:09,337 ทีนี้ สังเกตว่าผมเขียน บี 142 00:06:09,337 --> 00:06:10,080 ไว้ในดินแดนของความรู้ 143 00:06:10,080 --> 00:06:11,891 เพราะเรารู้จักมันตั้งแต่แรกแล้ว 144 00:06:11,891 --> 00:06:15,540 แต่ ซี นั้น น่าสนใจยิ่งกว่า 145 00:06:15,540 --> 00:06:18,263 และสำคัญเสียยิ่งกว่า บี 146 00:06:18,263 --> 00:06:20,456 บี ก็สำคัญสำหรับการดำเนินงานวิจัย 147 00:06:20,456 --> 00:06:22,274 แต่ ซี เป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่า 148 00:06:22,274 --> 00:06:26,771 และนั่นคือสิ่งมหัศจรรย์เกี่ยวกับงานวิจัย 149 00:06:26,771 --> 00:06:28,959 ทีนี้ แค่รู้จักคำนั้น 'เมฆ' 150 00:06:28,959 --> 00:06:31,514 มันทำให้กลุ่มวิจัยของผมเปลี่ยนไปเลย 151 00:06:31,514 --> 00:06:33,384 เพราะนักเรียนเข้ามาหาผม แล้วบอกว่า 152 00:06:33,384 --> 00:06:34,982 "ยูริ ผมติดอยู่ในเมฆ" 153 00:06:34,982 --> 00:06:38,148 และผมก็บอกว่า "ยอดเลย รู้สึกเศร้าระทมเลยล่ะสิตอนนี้" 154 00:06:38,148 --> 00:06:40,290 (เสียงหัวเราะ) 155 00:06:40,290 --> 00:06:42,203 แต่ผมมีความสุขนะครับ 156 00:06:42,203 --> 00:06:43,881 เพราะเราอาจใกล้ถึงพรมแดน 157 00:06:43,881 --> 00:06:45,777 ระหว่างความรู้และความไม่รู้ 158 00:06:45,777 --> 00:06:47,323 และเรายังมีโอกาสในการค้นพบ 159 00:06:47,323 --> 00:06:49,184 อะไรบางอย่างที่ใหม่จริงๆ 160 00:06:49,184 --> 00:06:50,526 เพราะวิธีที่สมองของเราทำงานนั้น 161 00:06:50,526 --> 00:06:53,674 พอสมองรู้แล้วว่า เมฆนั้น 162 00:06:53,674 --> 00:06:58,100 เป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งจำเป็น 163 00:06:58,100 --> 00:06:59,305 และอันที่จริงสวยงาม 164 00:06:59,305 --> 00:07:02,928 เราก็จะได้เข้าร่วมชมรมคนรักมวลเมฆ 165 00:07:02,928 --> 00:07:04,846 และบำบัดความรู้สึกที่ว่า 166 00:07:04,846 --> 00:07:07,408 ฉันมีอะไรที่ผิดปกติมากๆ 167 00:07:07,408 --> 00:07:09,858 และในฐานะผู้เป็นอาจารย์ ผมรู้ว่าต้องทำอย่างไร 168 00:07:09,858 --> 00:07:12,060 นั่นคือ เพิ่มกำลังใจให้นักเรียนของผม 169 00:07:12,060 --> 00:07:13,541 เพราะการวิจัยทางจิตวิทยาแสดงว่า 170 00:07:13,541 --> 00:07:17,100 ถ้าคุณรู้สึกกลัว หรือหมดหวัง 171 00:07:17,100 --> 00:07:18,097 จิตใจคุณจะตีกรอบ 172 00:07:18,097 --> 00:07:20,928 กลับไปใช้วิธีคิดแบบปลอดภัย และระมัดระวัง 173 00:07:20,928 --> 00:07:22,503 ถ้าคุณอยากสำรวจหนทางที่เสี่ยงกว่า 174 00:07:22,503 --> 00:07:23,891 ถ้าจะหนีออกจากเมฆ 175 00:07:23,891 --> 00:07:25,652 คุณต้องพึ่งอารมณ์แบบอื่นด้วย 176 00:07:25,652 --> 00:07:27,853 ความสามัคคี กำลังใจ ความหวัง 177 00:07:27,853 --> 00:07:29,590 ซึ่งได้จากความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ 178 00:07:29,590 --> 00:07:31,140 มันก็เหมือนกับละครเวทีด้นสด 179 00:07:31,140 --> 00:07:33,441 ในวิทยาศาสตร์ มันดีที่สุดที่จะเดินทางสู่ความไม่รู้ 180 00:07:33,441 --> 00:07:35,410 ไปด้วยกัน 181 00:07:35,410 --> 00:07:37,852 การที่รู้ถึงเรื่องเมฆ 182 00:07:37,852 --> 00:07:41,176 คุณยังได้เรียนรู้จากละครเวทีด้นสด 183 00:07:41,176 --> 00:07:43,778 ถึงวิธีการสนทนาอย่างมีประสิทธิภาพ 184 00:07:43,778 --> 00:07:45,538 เมื่ออยู่ในเมฆ 185 00:07:45,538 --> 00:07:47,515 มันตั้งอยู่บนหลักการสำคัญ 186 00:07:47,515 --> 00:07:49,282 ของละครเวทีด้นสด 187 00:07:49,282 --> 00:07:50,375 ตรงนี้ ละครเวทีด้นสด 188 00:07:50,375 --> 00:07:51,671 ได้ช่วยผมไว้อีกครั้ง 189 00:07:51,671 --> 00:07:53,962 เป็นการตอบว่า "ใช่ แล้วก็" 190 00:07:53,962 --> 00:07:57,427 กับสิ่งที่นักแสดงคนอื่นเสนอมาให้ 191 00:08:04,297 --> 00:08:07,191 ความหมายของมันคือ การรับคำเสนอ 192 00:08:07,191 --> 00:08:09,702 และต่อยอดจากนั้น โดยบอกว่า "ใช่ แล้วก็" 193 00:08:09,702 --> 00:08:10,941 ตัวอย่างเช่น ถ้านักแสดงคนหนึ่งบอกว่า 194 00:08:10,941 --> 00:08:12,096 "นี่คือสระนำ้" 195 00:08:12,096 --> 00:08:13,141 และอีกคนบอกว่า 196 00:08:13,141 --> 00:08:15,010 "ไม่หนิ นี่มันเวที" 197 00:08:15,010 --> 00:08:16,748 การด้นสดก็จบ 198 00:08:16,748 --> 00:08:20,520 มันตายสนิท และทุกคนก็จะสับสนหงุดหงิด 199 00:08:20,520 --> 00:08:21,868 มันเรียกว่า ติดทางตัน 200 00:08:21,868 --> 00:08:23,475 ถ้าคุณไม่ใส่ใจเรื่องวิธีสนทนาแล้ว 201 00:08:23,475 --> 00:08:26,412 การสนทนาทางวิทยาศาสตร์ ก็จะติดทางตันได้ง่ายมากครับ 202 00:08:26,412 --> 00:08:28,648 การตอบ "ใช่ แล้วก็" เป็นแบบนี้ครับ 203 00:08:28,648 --> 00:08:31,156 "นี่คือบ่อน้ำ" "ช่าย โดดลงไปกันเหอะ" 204 00:08:31,156 --> 00:08:34,165 "ดูสิ มีปลาวาฬด้วย จับหางมันเลย 205 00:08:34,165 --> 00:08:36,266 มันดึงเราไปดวงจันทร์แล้ว" 206 00:08:36,266 --> 00:08:39,286 การบอกว่า "ใช่ แล้วก็" จึงข้ามผ่านการวิพากษ์ในใจเรา 207 00:08:39,286 --> 00:08:40,980 เราทุกคนมีข้อวิพากษ์ในใจ 208 00:08:40,980 --> 00:08:42,221 ซึ่งคอยจับผิด ว่าเราจะพูดอะไร 209 00:08:42,221 --> 00:08:44,144 คนอื่นจะได้ไม่คิดว่า เราน่ารังเกียจ 210 00:08:44,144 --> 00:08:45,259 หรือบ้า หรือซ้ำซาก 211 00:08:45,259 --> 00:08:46,519 และในวิทยาศาสตร์ ใครๆ ก็กลัว 212 00:08:46,519 --> 00:08:48,076 ว่าตัวเองจะดูซ้ำซาก 213 00:08:48,076 --> 00:08:50,243 การบอกว่า "ใช่ แล้วก็" ก้าวผ่านการวิพากษ์วิจารณ์ 214 00:08:50,243 --> 00:08:52,855 และปลดปล่อยความสร้างสรรค์แอบแฝง 215 00:08:52,855 --> 00:08:54,380 ที่คุณไม่อาจรู้ด้วยซ้ำว่าคุณมี 216 00:08:54,380 --> 00:08:56,410 และพวกมันมักให้คำตอบ 217 00:08:56,410 --> 00:08:58,815 เกี่ยวกับเมฆด้วย 218 00:08:58,815 --> 00:09:01,416 ครับ การรู้เกี่ยวกับเมฆ 219 00:09:01,416 --> 00:09:02,820 และการพูดว่า "ใช่ แล้วก็" 220 00:09:02,820 --> 00:09:05,679 ทำให้ห้องทดลองของผมมีความคิดสร้างสรรค์มาก 221 00:09:05,679 --> 00:09:08,207 นักเรียนเริ่มเล่นกับความคิดของคนอื่นๆ 222 00:09:08,207 --> 00:09:10,321 จนค้นพบความรู้ใหม่อันน่าประหลาดใจ 223 00:09:10,321 --> 00:09:13,190 ในส่วนเชื่อมต่อระหว่างฟิสิกส์กับชีววิทยา 224 00:09:13,190 --> 00:09:16,140 ตัวอย่างเช่น เราง่วนอยู่เป็นปี 225 00:09:16,140 --> 00:09:17,289 ในการทำความเข้าใจ 226 00:09:17,289 --> 00:09:19,982 เครือข่ายชีวเคมีอันซับซ้อนในเซลล์ของเรา 227 00:09:19,982 --> 00:09:22,439 และพวกเราบอกว่า "เราอยู่ในกลุ่มเมฆทึบ" 228 00:09:22,439 --> 00:09:24,419 แล้วก็คุยกันสนุกๆ ไปเรื่อย 229 00:09:24,419 --> 00:09:26,207 จนนักเรียนของผม ไช เชน ออร์ (Shai Shen Orr) พูดขึ้นว่า 230 00:09:26,207 --> 00:09:29,050 "มาวาดเครือข่ายที่ว่าบนกระดาษกันเหอะ" 231 00:09:29,050 --> 00:09:30,503 และแทนที่จะบอกว่า 232 00:09:30,503 --> 00:09:32,654 "แต่เราทำอย่างนั้นมาตั้งหลายครั้งแล้ว 233 00:09:32,654 --> 00:09:33,688 และมันก็ไม่เห็นจะได้อะไรเลย" 234 00:09:33,688 --> 00:09:36,631 ผมกลับบอกว่า "เอาสิ แล้วก็ 235 00:09:36,631 --> 00:09:38,672 ใช้กระดาษใหญ่ๆ นะ" 236 00:09:38,672 --> 00:09:39,764 จากนั้น รอน ไมโล (Ron Milo) ก็บอกว่า 237 00:09:39,764 --> 00:09:41,984 "เอากระดาษใหญ่ๆ 238 00:09:41,984 --> 00:09:43,780 แบบที่นักออกแบบใช้ทำพิมพ์เขียวดีกว่า ผมรู้ว่าจะเอาไปพิมพ์ได้ที่ไหน" 239 00:09:43,780 --> 00:09:46,280 และพวกเราก็พิมพ์เครือข่าย และมองดูมัน 240 00:09:46,280 --> 00:09:48,789 ตอนนั้นเอง ที่เราค้นพบความรู้ข้อสำคัญที่สุด 241 00:09:48,789 --> 00:09:50,990 ซึ่งก็คือ เครือข่ายอันซับซ้อนนี้มันก็แค่ 242 00:09:50,990 --> 00:09:54,453 เครือข่ายรูปแบบง่ายๆ จำนวนมากซ้ำๆ กัน 243 00:09:54,453 --> 00:09:57,616 เหมือนกับแม่ลายของกระจกสี (motif) 244 00:09:57,616 --> 00:09:59,664 พวกเราเรียกมันว่า เครือข่ายแม่ลาย (network motifs) 245 00:09:59,664 --> 00:10:01,816 และพวกมันเป็นวงจรพื้นฐาน 246 00:10:01,816 --> 00:10:03,201 ที่ช่วยให้เราเข้าใจ 247 00:10:03,201 --> 00:10:05,901 ตรรกะของการตัดสินใจของเซลล์ 248 00:10:05,901 --> 00:10:08,750 ในทุกสิ่งมีชีวิต รวมถึงร่างกายของคุณ 249 00:10:08,750 --> 00:10:10,675 ไม่นาน หลังจากนั้น 250 00:10:10,675 --> 00:10:12,295 ผมเริ่มได้รับเชิญไปบรรยาย 251 00:10:12,295 --> 00:10:15,306 ให้กับนักวิทยาศาสตร์หลายพันทั่วโลก 252 00:10:15,306 --> 00:10:17,139 แต่ความรู้เกี่ยวกับเมฆ 253 00:10:17,139 --> 00:10:18,271 และการพูดว่า "ใช่ แล้วก็" 254 00:10:18,271 --> 00:10:20,110 ยังคงอยู่แต่ในห้องทดลองของผม 255 00:10:20,110 --> 00:10:22,241 เพราะว่า ในวิทยาศาสตร์ เราไม่พูดกันถึงกระบวนการ 256 00:10:22,241 --> 00:10:24,674 สิ่งที่เกี่ยวกับความรู้สึก หรืออารมณ์ 257 00:10:24,674 --> 00:10:26,537 เราพูดถึงผลลัพธ์ 258 00:10:26,537 --> 00:10:28,606 จึงไม่มีทางจะได้พูดถึงมันในงานสัมมนา 259 00:10:28,606 --> 00:10:30,530 นึกภาพไม่ออกเลยครับ 260 00:10:30,530 --> 00:10:32,606 และผมเห็นนักวิทยาศาสตร์กลุ่มอื่นๆ ติดอยู่ที่ทางตัน 261 00:10:32,606 --> 00:10:34,380 หาคำมาบรรยายไม่ได้ด้วยซ้ำ 262 00:10:34,380 --> 00:10:35,701 ถึงสิ่งที่พวกเขาเผชิญ 263 00:10:35,701 --> 00:10:37,056 และวิธีการที่พวกเขาคิด 264 00:10:37,056 --> 00:10:38,584 ก็บีบแคบลงมาที่ทางปลอดภัย 265 00:10:38,584 --> 00:10:40,244 วิทยาศาสตร์ของพวกเขาไม่อาจไปถึงศักยภาพสูงสุด 266 00:10:40,244 --> 00:10:41,997 จนพวกเขาดูซึมกันมากๆ 267 00:10:41,997 --> 00:10:43,936 ผมคิดว่า มันก็ธรรมดาอย่างนี้แหละ 268 00:10:43,936 --> 00:10:45,957 ผมจะพยายามทำให้ห้องทดลองของผม มีความสร้างสรรค์มากเท่าที่จะทำได้ 269 00:10:45,957 --> 00:10:47,637 และถ้าคนอื่นๆ ทำอย่างนี้เช่นกัน 270 00:10:47,637 --> 00:10:49,827 ถึงวันหนึ่ง วิทยาศาสตร์ 271 00:10:49,827 --> 00:10:52,041 ก็จะดีขึ้นกว่าเดิมในที่สุด 272 00:10:52,041 --> 00:10:54,961 แต่ความคิดนั้น เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง 273 00:10:54,961 --> 00:10:57,300 เมื่อผมได้ฟัง เอวลิน ฟ๊อกส์ เคลเลอร์ (Evelyn Fox Keller) โดยบังเอิญ 274 00:10:57,300 --> 00:10:58,658 ตอนเธอพูดถึงประสบการณ์ของเธอ 275 00:10:58,658 --> 00:11:00,349 ในฐานะผู้หญิงในวงการวิทยาศาสตร์ 276 00:11:00,349 --> 00:11:02,172 และเธอถามคำถามว่า 277 00:11:02,172 --> 00:11:04,120 "ทำไมเราไม่พูดถึงการทำงานทางวิทยาศาตร์ 278 00:11:04,120 --> 00:11:06,306 ในแง่มุมเชิงความรู้สึก และอารมณ์กันบ้าง?" 279 00:11:06,306 --> 00:11:10,298 ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย นี่เป็นเรื่องของค่านิยม" 280 00:11:10,298 --> 00:11:12,476 คืออย่างนี้ครับ วิทยาศาสตร์ค้นหาความรู้ 281 00:11:12,476 --> 00:11:14,271 ซึ่งมีรากฐานจากหลักเหตุผล และข้อเท็จจริง 282 00:11:14,271 --> 00:11:16,469 นั่นคือความงดงามของวิทยาศาสตร์ 283 00:11:16,469 --> 00:11:18,425 แต่เรายังมีมายาคติอีกด้วยว่า 284 00:11:18,425 --> 00:11:19,679 การทำงานทางวิทยาศาสตร์ 285 00:11:19,679 --> 00:11:21,979 สิ่งที่เราทำกันทุกวัน เพื่อเสาะหาความรู้ 286 00:11:21,979 --> 00:11:24,419 ก็ใช้แค่หลักเหตุผล และข้อเท็จจริงเช่นกัน 287 00:11:24,419 --> 00:11:26,851 เหมือน มิสเตอร์ สป๊อค (Mr. Spock) 288 00:11:26,851 --> 00:11:28,265 พอคุณตีตราอะไรก็ตาม 289 00:11:28,265 --> 00:11:30,078 ว่ามีแค่ข้อเท็จจริง และหลักเหตุผล 290 00:11:30,078 --> 00:11:31,720 โดยอัตโนมัติ ขั้วตรงข้าม 291 00:11:31,720 --> 00:11:33,177 คือความรู้สึก และอารมณ์ 292 00:11:33,177 --> 00:11:35,279 ย่อมถูกตีตราว่า 'ไม่เป็นวิทยาศาสตร์' 293 00:11:35,279 --> 00:11:37,250 หรือต่อต้านวิทยาศาสตร์ หรือเป็นภัยต่อวิทยาศาสตร์ 294 00:11:37,250 --> 00:11:39,061 เราก็เลยไม่พูดถึงมันกัน 295 00:11:39,061 --> 00:11:41,015 และเมื่อผมได้ยินอย่างนั้น 296 00:11:41,015 --> 00:11:43,182 ว่าวิทยาศาสตร์มีวัฒนธรรม 297 00:11:43,182 --> 00:11:44,729 ทุกอย่างเข้าล๊อคสำหรับผม 298 00:11:44,729 --> 00:11:46,393 เพราะว่า ถ้าวิทยาศาสตร์มีวัฒนธรรมแล้ว 299 00:11:46,393 --> 00:11:47,649 วัฒนธรรมก็สามารถเปลี่ยนได้ 300 00:11:47,649 --> 00:11:49,242 โดยมีผมเป็นตัวกระตุ้น 301 00:11:49,242 --> 00:11:51,954 ให้วัฒนธรรมของวิทยาศาสตร์เปลี่ยนไป ในที่ๆ ผมทำได้ 302 00:11:51,954 --> 00:11:55,023 พอถึงการบรรยายถัดไปที่งานสัมมนา 303 00:11:55,023 --> 00:11:56,635 ผมจึงพูดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของผม 304 00:11:56,635 --> 00:11:58,147 และเมื่อผมพูดถึงความสำคัญ 305 00:11:58,147 --> 00:12:00,329 ของแง่มุมด้านอารมณ์ และความรู้สึกของวิทยาศาสตร์ 306 00:12:00,329 --> 00:12:01,449 และวิธีการที่เราควรพูดถึงมัน 307 00:12:01,449 --> 00:12:02,683 และผมก็มองไปยังผู้ชม 308 00:12:02,683 --> 00:12:05,043 พวกเขาดูด้านชา 309 00:12:05,043 --> 00:12:08,334 พวกเขาไม่ได้ยินว่าผมกำลังพูดอะไร 310 00:12:08,334 --> 00:12:09,585 ในบริบทของ การบรรยายผ่านเพาเวอร์พอยท์ 311 00:12:09,585 --> 00:12:11,424 10 สไลด์ต่อกัน 312 00:12:11,424 --> 00:12:13,906 และผมลองอีกครั้ง และอีกครั้ง สัมมนาครั้งแล้วครั้งเล่า 313 00:12:13,906 --> 00:12:16,279 แต่ผมก็ยังคงติดชะงัก 314 00:12:16,279 --> 00:12:19,185 ผมติดอยู่ในเมฆ 315 00:12:19,185 --> 00:12:22,699 แต่ในที่สุด ผมก็หลุดออกมาจากเมฆได้ 316 00:12:22,699 --> 00:12:25,510 โดยใช้การด้นสดและดนตรี 317 00:12:25,510 --> 00:12:28,249 ตั้งแต่นั้น ทุกงานสัมมนาที่ผมไป 318 00:12:28,249 --> 00:12:31,111 ผมจะบรรยายทางวิทยาศาสตร์ และแถมด้วยการบรรยายพิเศษ 319 00:12:31,111 --> 00:12:33,104 ชื่อว่า "ความรักและความกลัวในห้องทดลอง" 320 00:12:33,104 --> 00:12:35,321 ผมจะเริ่มต้นด้วยเพลง 321 00:12:35,321 --> 00:12:37,893 เกี่ยวกับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กลัวที่สุด 322 00:12:37,893 --> 00:12:40,805 ซึ่งคือ การที่เราทำงานอย่างหนัก 323 00:12:40,805 --> 00:12:43,147 เราค้นพบสิ่งใหม่บางอย่าง 324 00:12:43,147 --> 00:12:46,504 แต่ดันมีคนอื่น ชิงตีพิมพ์มันไปก่อนเราเสีย 325 00:12:46,504 --> 00:12:49,120 เราเรียกมันว่า โดนงาบไปรับประทาน 326 00:12:49,120 --> 00:12:52,334 และการโดนงาบไปรับประทานนั้น รู้สึกแย่มากๆ 327 00:12:52,334 --> 00:12:54,547 ทำให้เราไม่กล้าคุยกัน 328 00:12:54,547 --> 00:12:55,380 ซึ่งไม่สนุกเลย 329 00:12:55,380 --> 00:12:58,140 เพราะเราเข้าวงการวิทยาศาสตร์มา เพื่อแบ่งปันความคิด 330 00:12:58,140 --> 00:12:59,451 และเรียนรู้จากกันและกัน 331 00:12:59,451 --> 00:13:02,940 และผมก็เลยเล่นเพลงบลู 332 00:13:05,040 --> 00:13:10,544 ซึ่งมันก็ - (เสียงปรบมือ) - 333 00:13:10,544 --> 00:13:13,767 เรียกว่า "โดนงาบไปอีกแล้ว" 334 00:13:13,767 --> 00:13:16,425 และผมก็ขอผู้ชมเป็นนักร้องลูกคู่ให้ผม 335 00:13:16,425 --> 00:13:20,405 และผมพวกบอกพวกเขาว่า "เนื้อร้องคือ 'งาบ งาบ'" 336 00:13:20,405 --> 00:13:23,050 ทำนองประมาณนี้ครับ "งาบ งาบ" 337 00:13:23,050 --> 00:13:24,013 มันออกมาแบบนี้ครับ 338 00:13:24,013 --> 00:13:26,232 ♪ โดนงาบไปอีกแล้ว ♪ 339 00:13:26,232 --> 00:13:27,975 ♪ งาบ งาบ ♪ 340 00:13:27,975 --> 00:13:29,253 และเมื่อผมร้อง 341 00:13:29,253 --> 00:13:31,298 ♪ โดนงาบไปอีกแล้ว ♪ 342 00:13:31,298 --> 00:13:32,584 ♪ งาบ งาบ ♪ 343 00:13:32,584 --> 00:13:34,479 ♪ โดนงาบไปอีกแล้ว ♪ 344 00:13:34,479 --> 00:13:35,785 ♪ งาบ งาบ ♪ 345 00:13:35,785 --> 00:13:37,568 ♪ โดนงาบไปอีกแล้ว ♪ 346 00:13:37,568 --> 00:13:39,207 ♪ งาบ งาบ ♪ 347 00:13:39,207 --> 00:13:40,875 ♪ โดนงาบไปอีกแล้ว ♪ 348 00:13:40,875 --> 00:13:42,637 ♪ งาบ งาบ ♪ 349 00:13:42,637 --> 00:13:45,912 ♪ โอ้แม่จ๋า รู้ไหมว่ามันเจ็บ ♪ 350 00:13:45,912 --> 00:13:49,698 ♪ สวรรค์ช่วยลูกด้วย โดนงาบอีกแล้ว ♪ 351 00:13:50,925 --> 00:13:57,316 (เสียงปรบมือ) 352 00:13:57,735 --> 00:13:58,965 ขอบคุณครับ 353 00:13:58,965 --> 00:14:00,464 ขอบคุณที่ช่วยเป็นนักร้องลูกคู่นะครับ 354 00:14:00,464 --> 00:14:02,548 ทุกคนก็เริ่มหัวเราะ และหายใจ 355 00:14:02,548 --> 00:14:04,560 รู้สึกตัวกันว่า ยังมีนักวิทยาศาสตร์คนอื่นรอบๆ ตัว 356 00:14:04,560 --> 00:14:05,867 ที่เจอเรื่องอย่างเดียวกันมา 357 00:14:05,867 --> 00:14:07,672 และเราก็เริ่มพูดถึงเรื่องอารมณ์ 358 00:14:07,672 --> 00:14:09,522 และความรู้สึก ที่เกิดขึ้นในงานวิจัย 359 00:14:09,522 --> 00:14:11,706 มันรู้สึกเหมือนกับเรื่องแน่นอกถูกยกออก 360 00:14:11,706 --> 00:14:14,505 แล้วเราก็พูดถึงเรื่องนี้ ในงานสัมมนาวิทยาศาสตร์ได้เสียที 361 00:14:14,505 --> 00:14:16,691 และนักวิทยาศาสตร์ก็ดำเนินการต่อ เพื่อก่อตั้งกลุ่มเพื่อนวิจัย 362 00:14:16,691 --> 00:14:18,301 ที่พวกเขามาพบปะกันเป็นประจำ 363 00:14:18,301 --> 00:14:19,930 และได้มีพื้นที่มาพูดคุยกันเรื่องอารมณ์ 364 00:14:19,930 --> 00:14:22,231 และความรู้สึกที่เกิดขึ้น ตอนที่พวกเขาได้สอน 365 00:14:22,231 --> 00:14:23,594 ตอนที่พวกเขาเดินทางสู่ความไม่รู้ 366 00:14:23,594 --> 00:14:25,164 และแม้กระทั่งเปิดหลักสูตร 367 00:14:25,164 --> 00:14:26,839 เกี่ยวกับกระบวนการในการทำงานทางวิทยาศาสตร์ 368 00:14:26,839 --> 00:14:28,734 เกี่ยวกับการเดินทางสู่ความไม่รู้ไปด้วยกัน 369 00:14:28,734 --> 00:14:30,150 และสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย 370 00:14:30,150 --> 00:14:31,484 วิสัยทัศน์ของผมก็คือ 371 00:14:31,484 --> 00:14:34,946 ก็เหมือนที่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนรู้จักคำว่า "อะตอม" 372 00:14:34,946 --> 00:14:36,913 รู้ว่าสสารประกอบด้วยอะตอม 373 00:14:36,913 --> 00:14:38,397 นักวิทยาศาสตร์ทุกคนจะรู้จักคำศัพท์อย่าง 374 00:14:38,397 --> 00:14:40,741 "เมฆ" การพูดว่า "ใช่ แล้วก็" 375 00:14:40,741 --> 00:14:43,820 และวิทยาศาสตร์จะสร้างสรรค์ขึ้นกว่านี้มาก 376 00:14:43,820 --> 00:14:46,824 จะมีการค้นพบที่ไม่คาดฝันอีกมากมาย 377 00:14:46,824 --> 00:14:49,360 เพื่อประโยชน์สำหรับเราทุกคน 378 00:14:49,360 --> 00:14:51,576 และมันจะมีความสนุกขึ้นอีกมากด้วย 379 00:14:51,576 --> 00:14:54,166 และที่ผมจะขอจากพวกคุณให้จำไปจากการบรรยายนี้ 380 00:14:54,166 --> 00:14:56,862 ก็คือ ครั้งหน้าที่คุณได้เผชิญ 381 00:14:56,862 --> 00:14:58,588 กับปัญหาที่คุณไม่สามารถแก้ได้ 382 00:14:58,588 --> 00:15:01,180 ในการงาน หรือในชีวิต 383 00:15:01,180 --> 00:15:03,056 คุณใช้คำนี้ เรียกสิ่งที่คุณจะเจอได้: 384 00:15:03,056 --> 00:15:04,233 เมฆ 385 00:15:04,233 --> 00:15:05,766 และคุณสามารถผ่านเข้าไปในเมฆ 386 00:15:05,766 --> 00:15:07,174 ไม่ใช่ตัวคนเดียว แต่ไปด้วยกัน 387 00:15:07,174 --> 00:15:09,212 กับใครสักคนที่คอยสนับสนุน 388 00:15:09,212 --> 00:15:11,260 และพูดว่า "ใช่ แล้วก็" ต่อความคิดของคุณ 389 00:15:11,260 --> 00:15:13,577 และช่วยคุณพูดว่า "ใช่ แล้วก็" ต่อความคิดของคุณเอง 390 00:15:13,577 --> 00:15:15,464 เพื่อที่จะเพิ่มโอกาส 391 00:15:15,464 --> 00:15:17,190 เมื่อผ่านก้อนปุยเมฆแล้ว 392 00:15:17,190 --> 00:15:18,688 คุณจะพบกับวินาทีแห่งความสงบ 393 00:15:18,688 --> 00:15:20,491 ที่ซึ่งคุณได้เห็นแสงแวบแรก 394 00:15:20,491 --> 00:15:23,741 จากการค้นพบเหนือความคาดฝัน 395 00:15:23,741 --> 00:15:26,465 ซี ของคุณ 396 00:15:26,465 --> 00:15:28,785 ขอบคุณครับ 397 00:15:28,785 --> 00:15:32,785 (เสียงปรบมือ)