ฉันจะปกป้องคุณพ่อ จากกลุ่มอิสลามติดอาวุธ ด้วยมีดปอกผลไม้ได้ไหม นั่นเป็นคำถามที่ดิฉันได้เผชิญ ในเช้าวันอังคารวันหนึ่ง เดือนมิถุนายน 1993 ขณะยังเป็นนักศึกษากฎหมายอยู่ ดิฉันตื่นขึ้นเช้าตรู่ในวันนั้น ในอพาร์ทเม้นท์ของคุณพ่อ แถบชานเมืองอัลเจียร์ ประเทศอัลจีเรีย จากเสียงคนทุบประตูหน้าถึ่ยิบ เป็นช่วงเวลา ตามที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นบอก ที่ทุกวันอังคาร นักวิชาการจะถูกยิง จากกระสุนของนักฆ่า ผู้นิยมจารีตดั้งเดิมในศาสนา ก่อนหน้านี้ การสอน ที่มหาวิทยาลัยดาร์วินของคุณพ่อ ได้ยั่วยุห้วหน้ากลุ่ม ที่เรียกกันว่า แนวหน้าผู้ปลดปล่อยอิสลามิก มาหาพ่อถึงห้องเรียน กล่าวหาว่า สนับสนุนกลุ่มอธิบายพฤติกรรม มนุษย์โดยใช้หลักชีววิทยา ก่อนที่คุณพ่อจะไล่ชายคนนั้นออกไป ตอนนั้น ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วย ก็จะไม่ระบุตัวตน หรือจะไม่หนีไปไหน คุณพ่อจึงพยายามโทรศัพท์หาตำรวจ แต่อาจจะเป็นเพราะกลัว จากกระแสที่เพิ่มขึ้น จากพวกสุดโต่งติดอาวุธ ซึ่งได้สังหารชีวิต นายตำรวจอัลจีเรียไปหลายคนแล้ว พวกเขาจึงไม่ แม้แต่จะรับโทรศัพท์ และนั่นคือตอนที่ดิฉันเข้าไปในครัว ไปเอามีดปอกผลไม้มา และไปตั้งท่าอยู่ด้านในของทางเข้า นั่นช่างเป็นการกระทำที่น่าตลกเสียจริงๆ แต่ดิฉันคิดอย่างอื่นไม่ออกเลย ฉันจึงยืนอยู่ตรงนั้นเอง เมื่อมองย้อนไป ฉันคิดว่ามันเป็นชั่วขณะที่ ทำให้ฉันสู่เส้นทาง ของการเขียนหนังสือ ชื่อ "คำตัดสินทางศาสนาของคุณ ใช้ไม่ได้ที่นี่: เรื่องที่ไม่ได้บอกเล่ากัน จากการต่อสู้กับมุสลิมที่นิยมจารีตดั้งเดิม" ชื่อเรื่องมาจากละครปากีสถาน ดิฉันคิดว่าเป็นชั่วขณะนั้นเองจริงๆ ที่นำดิฉันสู่การเดินทาง ไปสัมภาษณ์ คนสืบเชื้อสายมุสลิม 300 คน จากเกือบ 30 ประเทศ จากอัฟกานิสถาน จนถึงประเทศมาลี เพื่อหาวิธีต่อสู้ ลัทธินิยมจารีตดั้งเดิมทางศาสนา อย่างสันติ เหมือนกับที่คุณพ่อทำ และวิธีที่จะจัดการกับความเสี่ยง ที่เกี่ยวข้องได้อย่างไร โชคดี ย้อนหลังไปในเดือนมิถุนายน ของปี 1993 ผู้มาเยือนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครนั้น กลับออกไป แต่ครอบครัวอื่นๆ โชคร้ายกว่านี้มาก และนั่นเป็นแนวคิด ที่เป็นแรงจูงใจ งานวิจัยของฉัน อย่างไรก็ตาม บางคนอาจกลับมาก็ได้ สองสามเดือนต่อมา และก็ทิ้งโน้ตไว้ บนโต๊ะในครัวของคุณพ่อ แค่เขียนไว้ว่า "แกตายแน่" ต่อมาภายหลัง กลุ่มนิยมจารีตดั้งเดิมติดอาวุธอัลจีเรีย น่าจะฆ่าประชาชนไปถึง 200,000 คน ในสิ่งที่ต่อมา รู้จักกันว่า เป็นทศวรรษมืดยุค 1990 ซึ่งรวมทั้งผู้หญิงแต่ละคน ที่คุณเห็นอยู่ตรงนี้ ในการตอบโต้อย่างแข็งกร้าว กับผู้ก่อการร้าย รัฐได้หันไปใช้วิธี ทารุณกรรม และการใช้กำลัง ทำให้สูญหายไป และที่น่ากลัวพอๆกับ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คือ สังคมระดับประเทศ ส่วนใหญ่ไม่สนใจพวกเขา ในที่สุด คุณพ่อ ลูกชาวนาอัลจีเรีย ซึ่งกลายมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็ถูกบังคับให้เลิกสอนที่มหาวิทยาลัย และต้องหลบหนีจากอพาร์ทเม้นท์ แต่สิ่งที่ดิฉัน จะไม่ลืมเลย เกี่ยวกับ มะฮ์ฟูด เบ็นนูน คุณพ่อดิฉัน คือ ก็เหมือนๆ กับปัญญาชนอัลจีเรีย คนอื่นๆ อีกหลายคน คุณพ่อปฏิเสธ ที่จะออกจากประเทศ และยังคงพิมพ์เผยแพร่ คำวิพากษ์วิจารณ์ตรงๆ ทั้งกับพวกนิยมจารีตดั้งเดิมพวกนั้น และบางครั้งกับรัฐบาล ที่คนพวกนั้นต่อสู้อยู่ ตัวอย่างเช่น ในฉบับเดือนพฤษจิกายน 1994 ของหนังสือพิมพ์ เอล วาทัน เรื่อง "ลัทธินิยมจารีตดั้งเดิม ก่อให้เกิดลัทธิการก่อการร้าย ซึ่งไม่เคยมีแบบอย่างมาก่อน ได้อย่างไร พ่อประนามสิ่งที่พ่อเรียกว่า การแตกแยกอย่างรุนแรงของผู้ก่อการร้าย กับศาสนาอิสลามที่แท้จริง ที่บรรพบุรุษของเรา ปฏิบัติสืบเนื่องกันมา ถ้อยคำเหล่านี้ อาจทำให้คุณถูกฆ่าได้ ประเทศของคุณพ่อ ได้สอนดิฉัน ในทศวรรษมืดของยุค 1990 นั้นว่า การต่อต้านล้ทธินิยมจารีตดั้งเดิมมุสลิม ที่แพร่หลายอยู่นั้น เป็นหนึ่งในการต่อสู้ ที่สำคัญที่สุด เพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ถูกมองข้ามไป ในโลกใบนี้ เรื่องนี้ยังคงเป็นจริงอยู่ เกือบ 20 ปีต่อมาจนถึงทุกวันนี้ คุณคงเห็นในทุกๆ ประเทศ ที่คุณได้ยินเรื่องของ พวกญิฮาดติดอาวุธ พุ่งเป้าทำร้ายชาวบ้าน ก็ยังมีคนที่ไม่มีอาวุธ ที่ขัดขืนกองกำลังเหล่านั้น ที่คุณไม่ได้ยินเรื่องของพวกเขา และคนเหล่านั้น จำต้องมีการสนับสนุนของเรา เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ในโลกตะวันตก มักจะคิดเอาเองบ่อยๆว่า มุสลิมโดยทั่วไป รับได้กับการก่อการร้าย ฝ่ายขวาบางคนคิดอย่างนี้ เพราะพวกเขามอง วัฒนธรรมของมุสลิมว่า โดยเนื้อแท้แล้วรุนแรง ฝ่ายซ้ายบางคน ก็จินตนาการแบบนี้ เพราะว่า พวกเขามองรุนแรงของมุสลิม ความรุนแรงแบบจารีตดั้งเดิม ว่าเป็นผลโดยตรงจากความเดือดร้อน อันมีเหตุผลชอบธรรม แต่ความเห็นทั้งสองนั้น ผิดทั้งหมด ที่จริงแล้ว คนเชื้อสายมุสลิมมากมาย ทั่วทั้งโลก เป็นฝ่ายต่อต้านอย่างแข็งขัน ทั้งกับลัทธินิยมจารีตดั้งเดิม และกับลัทธิก่อการร้าย และส่วนใหญ่ ก็ด้วยเหตุผลที่ดีมากๆ คงเห็นนะคะ พวกเขาน่าจะเป็นเหยื่อ ของความรุนแรงนี้ มากกว่าผู้ก่อความรุนแรงเหล่านั้น ขอยกให้เห็น เพียงหนึ่งตัวอย่าง การสำรวจในปี 2009 โดยแหล่งข้อมูลสื่อมวลชนภาษาอาหรับ ระหว่างปี 2004 และปี 2008 ไม่เกินร้อยละ 15 ของเหยื่ออัลกออิดะฮ์ เป็นชาวตะวันตก นั่นเป็น การสูญเสียอย่างมหันต์ แต่ส่วนใหญ่ ของเหยื่อเป็นคนสืบเชื้อสายมุสลิม ถูกฆ่าโดยพวกนิยมจารีตดั้งเดิมมุสลิม ค่ะ ดิฉันได้พูดคุยในห้านาทีหลังนี้ ถึงลัทธินิยมจารีตดั้งเดิม และคุณมีสิทธิที่จะทราบ ให้แน่ชัดว่า ดิฉันหมายถึงอะไร อ้างคำจำกัดความ โดยนักสังคมวิทยาอัลจีเรีย ชื่อ มารีเอเม อิลี ลูคัส เธอบอกว่า ลัทธินิยมจารีตดั้งเดิมนั้น สังเกตว่ามีตัวต่อท้าย "s" เช่นเดียวกับ ชื่อศาสนาสำคัญทั้งหมดของโลก "ลัทธินิยมจารีตดั้งเดิม เป็น การเคลื่อนไหว ทางการเมืองของพวกขวาจัด ซึ่งในบริบทของโลกาภิวัตน์นั้น เอาศาสนามาปรับเปลี่ยนเพื่อให้บรรลุ จุดมุ่งหมายทางการเมืองของพวกตน" ซาเดีย แอบบาส (Sadia Abbas) เรียกสิ่งนี้ การทำให้เป็นการเมืองที่รุนแรง ในเรื่องของศาสนา ค่ะ ดิฉันต้องการจะเลี่ยง การเสนอแนวคิดที่ คล้ายกับว่า มีแม่พิมพ์ใหญ่ ที่เรียกว่า ลัทธินิยมจารีตดั้งเดิมมุสลิม ที่มีเหมือนๆ กันในทุกๆ ที่ เพราะการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ยังมีความหลากหลายของมันอีกด้วย บางพวกก็ใช้ และสนับสนุน ความรุนแรง บ้างก็ไม่ใช้ แต่บ่อยครั้งที่มันเกี่ยวพันกัน มันมีรูปแบบต่างๆ กันไป บางพวกอาจจะ ไม่ใช่องค์กรของรัฐบาล แม้แต่ที่นี่ ในอังกฤษ เช่น เคจพริซันเนอร์ บางพวกอาจกลายมาเป็น พรรคการเมือง อย่างเช่น มุสลิมบราเทอร์ฮูด และบางกลุ่มอาจจะติดอาวุธอย่างเปิดเผย เช่น พวกตาลีบัน (Taliban) แต่ไม่ว่ากรณีไหน ทั้งหมดนี้เป็นโครงการที่รุนแรง ไม่ใช้วิธีการแบบอนุรักษ์ หรือตามประเพณีนิยม พวกเขามักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยน ความสัมพันธ์ของผู้คน กับศาสนาอิสลาม แทนที่จะอนุรักษ์ศาสนาไว้ สิ่งที่ดิฉันกำลังพูดถึง คือ พวกมุสลิมขวาจัด และข้อเท็จจริงที่ว่า พลพรรคของกลุ่มเป็น พรืออ้างว่าเป็น มุสลิม ไม่ได้ทำให้เขาก้าวร้าวน้อยกว่า พวกขวาจัดในที่อื่นๆ ฉันจึงเห็นว่า ถ้าเราพิจารณา ตัวเองว่าเป็น เสรีนิยม หรือปีกซ้าย ผู้รักสิทธิมนุษยชน หรือ สิทธิสตรี เราก็ต้องต่อต้าน การเคลื่อนไหวเหล่านี้ และสนับสนุนสามัญชน ฝ่ายตรงข้ามพวกเขา ค่ะ ขอให้ชัดเจนตรงนี้เลย ว่า ดิฉันสนับสนุน การดิ้นรนที่ก่อให้เกิดผล ต่อลัทธินิยมจารีตดั้งเดิม แต่ต้องเป็นการต่อสู้ ที่ในตัวของมันเองแล้ว เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ อีกด้วย สิ่งที่ฉันพูดจึงไม่มีอะไร ที่จะถือเป็น เหตุผลเอามาอ้างได้ว่า เป็นการปฏิเสธ ประชาธิปไตย ตรงนี้ ฉันขอส่งเสียงสนับสนุน เพื่อการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ในอัลจีเรียวันนี้ ขอพรให้การสรรเสริญ และก็ไม่มีอะไร ที่ดิฉันพูด น่าจะถูกเอาไป เป็นการอ้างเหตุผล ของการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การลงโทษประหารคนจำนวนมาก ที่ตัดสินกันไปแล้ว ในอียิปต์ ตอนต้นสัปดาห์นี้ แต่สิ่งที่ฉันกำลังพูดคือ เราต้องท้าทายการเคลื่อนไหว ของกลุ่มนิยมจารีตดั้งเดิมมุสลิมเหล่านี้ เพราะว่า พวกเขาคุกคามสิทธิมนุษยชน ไปทั่วในบริบทส่วนใหญ่ของมุสลิม และพวกเขากระทำสิ่งนี้ ด้วยวิธีการหลายแบบ ที่ชัดที่สุด คือการทำร้าย ประชาชนพลเมืองโดยตรง โดยกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งปฏิบัติงานเหล่านั้น แต่ความรุนแรงนั้น เป็นเพียงยอดภูเขานํ้าแข็ง การเคลื่อนไหวเหล่านี้โดยรวม ทำให้เกิดการแตกแยกเลือกปฏิบัติ ต่อศาสนาและรสนิยมทางเพศ ของคนกลุ่มน้อย มันมุ่งที่จะบั่นทอน เสรีภาพทางศาสนา ของทุกคน ซึ่งอาจจะปฏิบัติ ในแบบที่ต่างออกไป หรือไม่ก็ เลือกที่จะไม่ปฏิบัติ นิยามชัดเจนที่สุด คือ มันนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ ต่อสิทธิของสตรี เมื่อได้เผชิญกับการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ไม่กี่ปีมานี้ วาทะกรรมตะวันตก บ่อยที่สุด ให้คำตอบ ที่มีช่องโหว่ สองประการ ประการแรก ที่เราบางครั้งพบเห็น กับพวกฝ่ายขวา ชี้แนะว่า มุสลิมส่วนมาก เป็นผู้นิยมจารีตดั้งเดิม หรือบางอย่างเกี่ยวกับอิสลาม เนื้อแท้แล้ว ยึดถือหลักความเชื่อดั้งเดิม นี่เป็นความคิดอันก้าวร้าวและผิด แต่ก็โชคร้าย ทางพวกฝ่ายซ้าย บางครั้งเราก็พบ วาทะกรรม ที่ถูกต้องเชิงการเมืองจนเกินไป จนต้องยอมรับปัญหาทุกอย่าง ของลัทธินิยมจารีตดั้งเดิมมุสลิม หรือยิ่งแย่กว่านั้น คือกลับต้องขอโทษเสียด้วยซํ้า และสิ่งนี้ก็ยอมรับไม่ได้ เช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่ฉันแสวงหาจึงเป็น วิธีการใหม่ ในการพูดคุยกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนประสบการณ์ชีวิตจริง และความหวังของผู้คนที่อยู่แนวหน้า ฉันทราบอย่างเจ็บปวดว่า ได้มี การเลือกปฏิบัติต่อมุสลิม เพิ่มมากขึ้น ในไม่กี่ปีมานี้ ในประเทศ เช่น อังกฤษ และสหรัฐฯ และนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าห่วงใย อย่างยิ่งด้วย แต่ฉันเชื่ออย่างมั่นคง ว่า การบอกเล่าเรื่องราว ที่ต่างจากมุมมองโดยทั่วไป เกี่ยวกับคนเชื้อสายมุสลิม ที่ได้เคยเผชิญกับพวกที่นิยมจารีตดั้งเดิม และเป็นเหยื่อกลุ่มหลักของคนเหล่านั้น เป็นวิธีสำคัญ ในการต่อต้านการเลือกปฏิบัติ ดิฉันจึงขอแนะนำท่าน ให้รู้จัก คนสี่คน ซึ่งเรื่องของพวกเขานั้น ดิฉันได้รับเกียรติยิ่งใหญ่ ที่นำมาเล่าให้ฟัง ไฟซาน เพียร์ซาดา และโรงละครราฟิเพียร์ โรงละคร ที่ตั้งชื่อเป็นเกียรติ แก่พ่อของเขา ได้ส่งเสริมศิลปะการแสดง มานานหลายปี ในปากีสถาน เมื่อความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น พวกเขาก็เริ่มได้รับคำขู่ ให้เลิกล้มงานแสดง ซึ่งพวกเขาก็ไม่เอาใจใส่ จึงมีระเบิดขึ้นในงานปี 2008 งานศิลปะการแสดงโลกครั้งที่แปด ที่ลาฮอร์ ทำให้กระจกแตกลงมาราวกับฝน ลงมาที่สถานที่จัดงาน ทำให้คนบาดเจ็บไปเก้าคน และต่อมา ตอนกลางคืนวันเดียวกัน ตระกูลเพียร์ซาดาส ต้องตัดสินใจที่ยากเย็นมากๆ โดยประกาศว่า งานเทศกาลของพวกเขานั้น ยังคงมีต่อไปในวันรุ่งขี้น ตามที่ได้วางแผนไว้ ตามที่ไฟซานได้พูดในเวลานั้น ว่า ถ้าเราก้มหัวให้กับกลุ่มอิสลามิก เราก็เหมือนกับว่า กำลังนั่งอยู่ในมุมมืด แต่เขาไม่รู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีก จะมีใครมางานหรือไม่? จริงๆ แล้ว คนจำนวนมากมางาน ในวันรุ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนงานศิลปะการแสดงในเมืองลาฮอร์ เรื่องนี้ในเวลาเดียวกัน ทำให้ไฟซาน ทั้งตื่นเต้นและกลัว และเขาวิ่งไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เข้ามาในงาน พร้อมกับเด็กเล็กๆ สองคน พูดว่า "คุณรู้ใช่ไหมว่ามีระเบิดที่นี่เมื่อวาน และคุณรู้ใช่ไหมว่าวันนี้ก็มีคำขู่ด้วย" เธอบอกว่า "ฉันทราบเรื่องนั้นค่ะ แต่ฉันมาที่งานเทศกาลของคุณ กับแม่เมื่อตอนฉันอายุเท่าพวกเขาตอนนี้ และฉันก็ยังคงเห็นภาพเหล่านั้น ติดอยู่ในใจ เราจึงต้องมาที่นี่กัน" กับผู้ชมที่กล้าไม่ย่อท้อ เช่นนี้ ตระกูลเพียร์ซาดาส จึงสามารถทำให้ งานเทศกาลของพวกเขา จบลงได้ตามกำหนดการ แล้วในปีถัดมา พวกเขาสูญเสียผู้สนับสนุนรายการ ทั้งหมดไป เนื่องมาจาก ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ดังนั้น เมื่อดิฉันพบพวกเขาในปี 2010 พวกเขาอยู่ระหว่างงานครั้งต่อมา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเขาสามารถจัดงาน ในสถานที่เดิมได้ และครั้งนี้เป็นเทศกาล ศิลปะการแสดงเยาวชนครั้งที่ห้า จัดขึ้นในเมืองลาฮอร์ ในปีที่เมืองนี้ ได้ประสบการจู่โจมก่อการร้าย มาแล้ว 44 ครั้ง เป็นช่วงเวลาที่ เมื่อ กลุ่มตาลีบันในปากีสถาน ได้เริ่มต้นเล็งเป้าหมายอย่างเป็นระบบ มาที่โรงเรียนสตรี ซึ่งมาสิ้นสุดลงที่ การทำร้าย มาลาลา ยูซัฟซาย เพียร์เซดาสทำอะไร ในสภาพแวดล้อมนั้น? พวกเขาจัดแสดงละครเวทีโรงเรียนสตรี ดิฉันจึงได้สิทธิพิเศษเข้าชม "แนงวัล" ซึ่งเป็นละครเพลง ในภาษาปัญจาบ และเด็กหญิงของโรงเรียนมัธยมลาฮอร์ แสดงในทุกๆ บททุกตอน พวกเธอร้องเพลงและเต้นรำ เล่นเป็นตัวหนู และกระบือ และดิฉันหายใจไม่เต็มปอด, สงสัยอยู่ว่า เราจะไปได้จนถึงตอนจบ ของการแสดงที่น่าอัศจรรย์ใจนี้ไหม? และเมื่อถึงตอนจบ ผู้ชมทั้งหมด ก็ถอนหายใจพร้อมกัน มีบางคนถึงกับร้องไห้ แล้วพวกเขาก็ทำให้ห้องประชุมนั้น เต็มไปด้วย เสียงเสียงปรบมือที่ดังสนั่นอย่างเป็นสุข และดิฉันในชั่วขณะนั้น จำได้ว่าคิดถึง ว่า มือระเบิดทำให้ที่นี่ขึ้นพาดหัวข่าว เมื่อสองปีก่อน แต่ในคืนนี้และผู้คนเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องราวที่สำคัญ เช่นเดียวกัน มาเรีย บาเชียร์ เป็นผู้หญิงคนแรก และเพียงคนเดียว ที่เป็นอัยการสูงสุด ในอัฟกานิสถาน เธออยู่ในตำแหน่งนี้ มาตั้งแต่ 2008 และจริงๆ ก็ได้เปิดสำนักงานขึ้น เพื่อตรวจสอบ กรณีความรุนแรงต่อผู้หญิง ซึ่งเธอบอกว่า เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในหน้าที่ของเธอ เมื่อดิฉันพบเธอในสำนักงานของเธอ ในเมืองเฮรัท เธอเข้ามา ล้อมรอบไปด้วย ชายร่างใหญ่สี่คน พร้อมกับปืนกระบอกโต จริงๆแล้ว ปัจจุบันเธอมีผู้คุ้มกัน 23 คน เพราะเธอรอดพ้นการปาระเบิดใส่ ซึ่งเกือบจะฆ่าลูกๆ ของเธอ และทำให้คนคุ้มกันขาขาดไปข้างหนึ่ง แล้วทำไมเธอยังคงทำงานต่อไปอีก? เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า นั่นเป็นคำถาม ที่ทุกคนถามเธอ-- ตามคำพูดของเธอ "ทำไมคุณจึงเสี่ยง ที่จะไม่ดำรงชีวิตอยู่เล่า?" และมันก็แค่นั้นเอง สำหรับเธอ อนาคตที่ดีกว่า สำหรับมาเรีย บาเชียร์ ทั้งหมด ที่จะมีต่อมาในวันหน้า ก็คุ้มค่าแล้ว สำหรับความเสี่ยง และเธอรู้ว่า ถ้าหากคนอย่างเช่นเธอ ไม่กล้าเสี่ยง ก็จะไม่มีอนาคตที่ดีกว่านี้ ต่อมาในการสัมภาษณ์ของเรา อัยการ บาเชียร์ บอกให้ทราบ ถึงความห่วงใยของเธอ เกี่ยวกับผลที่อาจเป็นไปได้ จากการเจรจาต่อรอง ของรัฐบาลกับกลุ่มตาลีบัน ซึ่งเป็นพวกที่พยายามจะฆ่าเธออยู่ "ถ้าเราให้ตำแหน่งพวกเขา ในรัฐบาล" เธอตั้งคำถาม "แล้วใครเล่าจะปกป้องสิทธิสตรี" และเธอเร่งเร้าให้สังคมนานาชาติ อย่าลืมคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับสตรี เพราะขณะนี้พวกเขาต้องการสันติภาพ กับตาลีบัน สองสามสัปดาห์ หลังจากฉันออกจากอัฟกานิสถาน ดิฉันเห็นหัวข่าวในอินเทอร์เน็ต อัยการชาวอัฟกันคนหนึ่งถูกลอบฆ่า ดิฉันค้นหาในกูเกิลอย่างสิ้นหวัง และขอบคุณที่ว่า ในวันนั้นฉันพบ ว่ามาเรียไม่ได้เป็นเหยื่อคนนั้น แม้จะเศร้าใจว่า อัยการอัฟกันอีกคนหนึ่ง ถูกยิงตาย ขณะกำลังเดินทางไปทำงาน เมื่อดิฉันได้ยินหัวข่าวแบบนั้นอีก ในขณะนี้ ก็คิดว่า เมื่อกองกำลังนานาชาติ ถอนกำลังจากอัฟกานิสถานในปีนี้ และในอนาคต เรายังคงต้องดูแลเอาใจใส่ เกี่ยวกับ สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนที่นั่น ที่จะเกิดกับ มาเรีย บาเชียร์ ทั้งหลาย บางครั้งดิฉันยังคงได้ยินเสียงเธอ ในหัวสมอง บอกว่า ถ้าไม่มีความอวดกล้า หรืออะไรก็ตาม "สถานการณ์ของผู้หญิงอัฟกานิสถาน จะดีขึ้น ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราควรเตรียมพื้นที่ให้พร้อมสำหรับเรื่องนี้ แม้ว่าเราจะถูกฆ่าตายก็ตาม" ไม่มีคำใดที่เหมาะสม ที่จะประนาม พวกก่อการร้ายอัลชาบาบ ที่ได้เข้าจู่โจม เวสท์เกทมอล ในประเทศไนโรบี ในวันเดียวกับที่ มีการแข่งขันทำอาหารของเด็กๆ ในเดือนกันยายน 2013 ฆ่าคนไป 67 คน รวมทั้งนักกวี และหญิงมีครรภ์ ไกลออกไปในตะวันตกตอนกลาง ของอเมริกา ดิฉันโชคดีที่ได้พบ คนอเมริกันเชื้อสายโซมาลี กำลังทำงานเพื่อต่อต้าน ความพยายามของ อัล ชาบาบ ในการระดมเด็กหนุ่มสาว จำนวนไม่มากนัก จากเมืองมินนีแอโพลิส เพื่อเข้าไปร่วมในการกระทำที่ชั่วร้าย เช่นที่ เวสท์เกท หลานชายที่ขยันเรียนของ อับดิริสัค บิฮิ อายุ 17 ชื่อ เบอร์ฮาน ฮัสซัน ถูกเกณฑ์ไปที่นี่ ในปี 2008 โดยความมุ่งมั่นต่อประเทศโซมาเลีย แล้วก็ถูกฆ่าตาย เมื่อเขาพยายามจะกลับบ้าน แต่นั้นมา คุณบิฮิ ซึ่งจัดการศูนย์การศึกษาและสนับสนุน โซมาเลีย โดยไม่ใช้งบประมาณ ได้พูดกล่าวประนาม การระดมคนที่ว่านั่น และความล้มเหลวของรัฐบาล และสถาบันโซมาลี-อเมริกันหลายแห่ง เช่น ศูนย์กลางอิสลามอบูบาการ์ แอส-แซดดิข์ ที่เขาเชื่อว่า หลานชายกลายเป็นคน หัวรุนแรง ระหว่างเข้าโครงการเยาวชน แต่เขาไม่เพียงวิพากษ์วิจารณ์มัสยิดเท่านั้น เขายังเข้าไปสู้กับรัฐบาล เรื่อง ความล้มเหลวของรัฐ ที่ไม่ทำมากกว่านี้ เพื่อสกัดกั้นความยากจน ในชุมชนของเขา เนื่องจากขาดแหล่งเงินทุน คุณบิฮิจำต้องคิดอย่างสร้างสรรค์ เพื่อจะต่อต้านความพยายามของ อัล ชีบาบ ที่จะครอบงำเยาวชนที่ไม่พึงพอใจ ให้เพิ่มจำนวนขึ้น หลังการโจมตีของกลุ่มในปี 2010 ต่อผู้เข้าชมการแข่งชิงแชมป์โลกที่อูกันดา เขาจึงจัดการแข่งขัน บาลเกตบอลรอมฎอนขึ้น ในเมืองมินนีแอโพลิส เพื่อตอบโต้ เด็กอเมริกันเชื้อสายโซมาเลีย มากมาย ได้ออกมา อ้าแขนรับกีฬา แม้ว่าข้อตัดสินทางศาสนา จะต่อต้านเรื่องนี้ พวกเขาเล่นบาสเกตบอล ที่ เบอร์ฮาน ฮัสซัน ไม่ได้เล่นอีกแล้ว ในความพยายามครั้งนี้ของเขา คุณบิฮิ ถูกตัดขาด โดยผู้นำของศูนย์กลางอิสลาม อบูบาการ์ แอส-แซดดิข์ ซึ่งแต่ก่อนก็เคยมี ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขาบอกฉันว่า "วันหนึ่งเราเห็นอิหม่ามในทีวี เรียกพวกเราว่า พวกนอกศาสนา และก็บอกว่า 'ครอบครัวพวกนี้ กำลังพยายามทำลายมัสยิด'" เรื่องนี้ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง กับสิ่งที่อับดิริสัค บิฮิ ก็รู้อยู่ว่า เขากำลังพยายามทำอะไร โดยการเปิดโปงการเกณฑ์คน เข้าไปร่วมกับ อัล ชีบาบ ซึ่งก็คือ การรักษาศาสนาที่ดิฉันรักเอาไว้ จากพวกหัวรุนแรงจำนวนไม่มาก ค่ะ ดิฉันขอเล่าเรื่องสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องของนักศึกษากฎหมาย อายุ 22 ปี ในอัลจี่รีย ชื่อ เอเมล ซีโนเน-โซอะเน ซึ่งมีความใฝ่ฝันในอาชีพกฎหมาย เช่นเดียวที่ดิฉันมี ย้อนไปในยุค 90 เธอไม่ยอมเลิกเรียนหนังสือ แม้ความจริงที่ว่า พวกนิยมจารึตดั้งเดิม ที่กำลังสู้รบกับรัฐบาลอัลจีเรียในตอนนั้น ได้ขู่คุกคามทุกคน ที่ยังคงศึกษาอยู่ ในวันที่ 26 มกราคม 1997 เอเมลขึ้นรถเมล์ ในเมืองแอลเจียร์ ที่เธอกำลังศึกษาอยู่ เพื่อจะกลับบ้าน และใช้เวลาคํ่าคืนของรอมฎอน กับครอบครัวของเธอ และเธอจะไม่มีโอกาสสำเร็จวิชากฎหมาย เมื่อรถเมล์มาถึงชานเมือง บ้านเกิดของเธอ, มันก็ต้องหยุด ที่จุดตรวจหนึ่ง มีคนถืออาวุธประจำการอยู่ จากกลุ่มอิสลามติดอาวุธ มือถือกระเป๋านักเรียนอยู่ เอเมลก็ถูกนำตัวลงจากรถ และถูกฆ่าตายบนถนน ผู้ชายที่เชือดคอเธอ ก็บอกกับคนอื่นๆว่า "ถ้าเธอยังไปมหาวิทยาลัย ก็จะมีวันหนึ่ง ที่เราจะฆ่าพวกเธอทุกๆคน เหมือนอย่างนี้แหละ" เอเมลตายเมื่อเวลา 17.17 น. พอดี ที่เรารู้ก็เพราะว่า เมื่อเธอล้มลงบนถนน นาฬิกาของเธอก็พัง แม่ของเธอเอานาฬิกามาให้ดู เข็มวินาทียังคงชี้ขึ้น เหมือนมองเหตุการณ์ไปในทางที่ดี ไปยัง 17:18 น. ซึ่งจะไม่มีวันมาถึง ไม่นานก่อนเธอเสียชีวิต เอเมลได้พูดกับแม่ เกี่ยวกับตัวเธอเอง และพี่น้องผู้หญิงของเธอว่า "จะไม่มีอะไรเกิดกับเราหรอก อินชาอัลเลาะห์ พระเจ้าทรงโปรด แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเธอต้องรู้ว่า เราตายเพื่อความรู้ พวกเธอและพ่อ ต้องตั้งความหวังให้สูงไว้" การเสียเด็กสาวแบบนี้ ลํ้าลึกยากที่จะหยั่งถึง ดังนั้น เมื่อดิฉันทำการวิจัย พบว่าตัวเองกำลังค้นหา "ความหวัง" ของเอเมล ซํ้าอีก แม้ชื่อของเธอในภาษาอาหรับ ก็ยังแปลว่า "ความหวัง" ดิฉันคิดว่าได้พบมันแล้ว ในสองแห่ง แห่งแรก คือ ความแข็งแกร่งของครอบครัวเธอ และ ครอบครัวอื่นๆทั้งหมด ที่ยังคงเล่าขานเรื่องราวของพวกเขา และดำเนินชิวิตต่อไป แม้จะมีลัทธิก่อการร้าย จริงๆ แล้ว น้องสาวเอเมล ลาเมีย เอาชนะความโศรกเศร้าได้ เข้าเรียนกฎหมายในมหาวิทยาลัย และประกอบอาชีพทนายความ ในเมืองแอลเจียร์ ในปัจจุบัน เป็นบางอย่าง ที่เป็นไปได้ เพราะพวกนิยมจารึตดั้งเดิม ที่ติดอาวุธ ส่วนใหญ่พ่ายแพ้ไปแล้ว ในประเทศนั้น แห่งที่สอง ที่ดิฉันพบความหวังของเอเมล คือ ทุกๆ แห่งที่ผู้หญิง และผู้ชาย ยังคงขัดขืนพวกญิฮาด เราต้องสนับสนุนคนเหล่านั้นทั้งหมด ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่เอเมล ที่ยังคงดิ้นรนต่อสู้ เพื่อสิทธิมนุษยชนในทุกวันนี้ เช่น เครือช่ายผู้หญิง ที่อยู่ภายใต้กฏหมายมุสลิม ยังไม่พอ ตามที่ผู้สนับสนุน ในเรื่องสิทธิของเหยื่อ เชริฟะ เคดดา บอกกับฉันในเมืองแอลเจียร์ แค่สู้รบกับการก่อการร้าย เท่านี้ยังไม่พอ พวกเรายังต้องท้าทาย ลัทธินิยมจารีตดั้งเดิมอีกด้วย เพราะลัทธินิยมจารีตดั้งเดิมนั้น เป็นอุดมการณ์ ที่เป็นรากฐานของลัทธิก่อการร้ายนี้ ทำไมผู้คนอย่างเช่นเธอนั้น อย่างเช่น พวกเขาทั้งหมดนั้น ไม่เป็นที่รู้จักกันมากกว่านี้ ทำไมทุกคนรู้ว่า โอซามา บิน ลาเด็น เป็นใคร แต่คนน้อยมาก รู้เรื่องของคนทั้งหมดนั้น ที่ต่อต้านพวกบิน ลาเด็น ในแบบของพวกเขาเอง เราต้องเปลี่ยนสิ่งนี้ ดิฉันจึงขอร้องท่าน กรุณาช่วยกันเผยแพร่เรื่องราวเหล่านี้ ผ่านทางเครือข่ายของท่าน มาดูนาฬิกาของเอเมล ซีโนเน อีกสักครั้งสิคะ นิ่งไม่ขยับไปไหน ตลอดกาล และตอนนี้ กรุณาดูที่นาฬิกาของคุณเอง และตัดสินใจว่า ขณะนี้คุณได้ตั้งมั่นไว้ว่า จะสนับสนุนคน อย่างเช่น เอเมล เราไม่มีสิทธิที่จะไม่ปริปาก เรื่องเกี่ยวกับพวกเขา เพราะมันเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า หรือ เพราะนโยบายของตะวันตก ก็มีมลทิน เช่นกัน เพราะว่า 17:17 น. ก็ยังคงมาสู่ เอเมล ซีโนเน อีกมากมายหลายคนนัก ในที่ต่างๆ อย่างเช่น ไนจีเรียตอนเหนือ ที่ซึ่งพวกญิฮาด ยังคงฆ่านักศึกษาอยู่ เวลาที่จะส่งเสียงให้ดังขึ้น เพื่อสนับสนุนคนเหล่านั้นทุกคน ผู้ท้าทายลัทธินิยมจารีตดั้งเดิม และลัทธิก่อการร้ายในชุมชนพวกเขาเอง อย่างสงบ คือ เวลานี้ ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ)