คุณรู้ไหม ว่าในบางครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นกลับเดินทางมา ในภาชนะที่เล็กที่สุด และดิฉันจะพยายามทำให้คุณเชื่อ ภายในระยะเวลา 15 นาทีที่ดิฉันมี ว่าจุลินทรีย์นั้น สามารถตอบคำถามเรา ได้มากมาย อย่างเช่น "เราอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือเปล่า" และพวกมันเองก็ไม่ได้บอกเรามากขึ้นเพียงแค่ ในเรื่องของสิ่งมีชีวิตในระบบสุริยะนี้ แต่ยังอาจรวมไปถึงชีวิตนอกระบบสุริยะด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมดิฉันถึงได้ติดตาม พวกมันไปยังสถานที่ต่าง ๆ บนโลกที่แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่อาศัย ในสภาพแวดล้อมสุดโต่งที่ที่สภาวะแวดล้อมนั้น คอยกดดันพวกมันทุกรูปแบบ ให้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ที่จริงแล้ว บางทีดิฉันเองก็โดนไปด้วย เวลาที่พยายามติดตามพวกมันจนใกล้เกินไป แต่ทีนี้ประเด็นมีอยู่ว่า พวกเราเป็นเพียงอารยธรรมก้าวหน้า หนึ่งเดียวในระบบสุริยะแห่งนี้ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่า ในดาวแถบนี้ไม่มีจุลินทรีย์อยู่เลย อันที่จริงแล้ว ดาวเคราะห์และ ดวงจันทร์ทุกดวงที่พวกคุณเห็นตรงนี้ สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตได้ และพวกเราเองต่างก็รู้กันดีในเรื่องนั้น และความเป็นไปได้นั้นก็สูงมาก และถ้าวันหนึ่งเราสามารถค้นพบสิ่งมีชีวิต บนดวงจันทร์และดาวเคราะห์เหล่านั้นได้ เมื่อนั้น เราจะสามารถ ตอบคำถามต่าง ๆ ได้ อย่างเช่น เราอยู่อย่างเดียวดายในระบบสุริยะนี้หรือไม่ เรามาจากที่ไหน เรามีญาติอยู่บนดวงดาวใกล้เคียงไหม นอกระบบสุริยะของเรา มีสิ่งมีชีวิตอยู่หรือไม่? และพวกเราสามารถตั้งคำถามทั้งหมดนี้ได้ เพราะว่าการปฏิวัติทางความคิดได้เกิดขึ้น ในแง่ของความเข้าใจของเราที่มีต่อ ลักษณะของดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัยได้ และจากนิยามในทุกวันนี้ ดาวเคราะห์ ที่สามารถอยู่อาศัยได้ ก็คือดาวเคราะห์ ที่มีพื้นที่ที่น้ำสามารถอยู่ได้อย่างเสถียร (มีครบทุก สถานะ พร้อม ๆ กันในสภาพเดียวกัน) แต่สำหรับดิฉันแล้ว นี่เป็นนิยามใน แนวนอนของความสามารถในการอยู่อาศัย เพราะมันเป็นเรื่องของระยะทางจากดาวฤกษ์ แต่มันยังมีอีกมิติหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า ความสามารถในการอยู่อาศัย และนี่คือมิติในแนวตั้ง ให้คุณมองว่ามันคือ สภาพใต้พื้นผิวของดาวเคราะห์สักดวงหนึ่ง ที่อยู่ห่างมาก ๆ จากดวงอาทิตย์ แต่คุณก็ยังมีน้ำ พลังงาน สารอาหาร ซึ่งบางส่วนก็อาจเป็นอาหาร และที่คุ้มกัน และเมื่อเรามามองที่โลกของเรา ในทะเลลึกที่แสงแดดไม่สามารถเข้าถึงได้ คุณจะเห็นชีวิตที่เติบโตอยู่ และพวกมันก็อาศัยเพียงแค่ กระบวนการทางเคมีในการดำรงชีวิต ดังนั้น เมื่อคุณคิดอย่างนั้นแล้ว กำแพงทางความคิดทั้งหมดก็จะพังทลายลง อันที่จริงแล้ว คุณจะมองไม่เห็นขอบเขตเลย และถ้าคุณได้ติดตามหัวข่าวต่าง ๆ เมื่อไม่นานมานี้ คุณจะเห็นว่า เราได้ค้นพบ มหาสมุทรใต้พื้นผิวดาวแล้ว บนดวงจันทร์ยูโรปา แกนีมีด เอนเซลาดัส ไททัน และตอนนี้เราก็กำลังค้นหาไกเซอร์ และน้ำพุร้อนบนดวงจันทร์เอนเซลาดัสอยู่ ระบบสุริยะของเรานั้นกำลัง กลายเป็นเหมือนสปายักษ์ สำหรับใครที่เคยไปสปาคงทราบว่า จุลินทรีย์ชอบสปาขนาดไหน ใช่ไหมคะ (เสียงหัวเราะ) ดังนั้น เมื่อคิดถึงจุดนั้นแล้ว เราลองมานึกถึงดาวอังคารกันบ้าง ในทุกวันนี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถ อยู่อาศัยบนพื้นผิวของดาวอังคารได้เลย แต่ว่าพวกมันอาจ ซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นผิวนั้นก็เป็นได้ สรุปว่า พวกเราต่างมีความเข้าใจมากขึ้น เกี่ยวกับความสามารถในการอยู่อาศัย แต่พวกเราเองก็ยังเข้าใจ มากขึ้นด้วย ว่าสิ่งที่ทำให้ชีวิตบนโลก มีความโดดเด่นนั้นคืออะไร ทีนี้ เราอาจมีสิ่งที่เราต่างเรียกว่า โมเลกุลอินทรีย์ ซึ่งเป็นเหมือนกับก้อนอิฐของชีวิต เราอาจมีฟอสซิล เราอาจมีแร่ธาตุ แร่ชีวภาพ ที่เกิดมาจากปฏิกิริยาระหว่าง แบคทีเรียกับก้อนหินต่าง ๆ และแน่นอน เราอาจมีแก๊สต่าง ๆ ที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ และเมื่อเรามองไปที่สาหร่าย สีเขียวเล็ก ๆ เหล่านั้น ที่ด้านขวาของจอตรงนี้ พวกมันคือลูกหลานโดยตรงของ สิ่งมีชีวิตที่สร้างออกซิเจน เมื่อหนึ่งพันล้านปีที่แล้ว ให้กับชั้นบรรยากาศโลก เมื่อพวกมันทำเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าพวกมัน วางยาพิษชีวิตที่เหลืออีก 90 เปอร์เซ็นต์ ที่อยู่บนพื้นผิวโลก แต่พวกมันเองก็เป็นสาเหตุ ที่ทำให้คุณมีอากาศหายใจอยู่ทุกวันนี้ แต่ต่อให้เราเข้าใจสิ่งเหล่านี้ มากขึ้นแค่ไหนก็ตาม เราก็ยังไม่อาจหาคำตอบให้กับ คำถาม ๆ หนึ่งได้ และคำถามนั้นก็คือ "เรามาจากไหน" แล้วคุณรู้ไหมว่า มันกำลังแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะว่าเราไม่สามารถหา หลักฐานทางกายภาพได้เลย ที่บอกว่าเรามาจากที่ไหน บนดาวเคราะห์ดวงนี้ และเหตุผลก็คือว่าอะไรก็ตามที่ มีอายุมากกว่า 4 พันล้านปีได้หายไปแล้ว บันทึกทั้งหมด ได้หายไปแล้ว ลบหายไปโดยการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก และการกัดกร่อนจากน้ำและลม นี่คือสิ่งที่ฉันเรียกว่า ขอบฟ้าทางชีววิทยาของโลก เมื่อเลยขอบฟ้านี้ไป เราต่างไม่รู้เลยว่า เรามาจากที่ไหนกันแน่ แล้วทุกอย่างได้สูญหายไปแล้วหรอ? ก็ อาจจะไม่ทั้งหมด และพวกเราก็อาจพบหลักฐานที่บ่งบอกถึง จุดกำเนิดที่แท้จริงของเรา ในที่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย และที่นั่นก็คือดาวอังคาร แล้วทำไมมันถึงเป็นไปได้ล่ะ จริง ๆ แล้ว เห็นได้ชัดว่า ในช่วงแรกเริ่มของระบบสุริยะนั้น ทั้งดาวอังคารและโลกต่างถูกถล่มด้วย อุกกาบาตและดาวหางยักษ์จำนวนมาก และการพุ่งชนเหล่านั้นก็ก่อให้เกิด เศษกระจัดกระจายไปทั่วทุกที่ แล้วโลกและดาวอังคาร ต่างก็ผลัดกันโยนหิน ใส่อีกฝ่ายอยู่เป็นเวลานานมาก ชิ้นส่วนของหินมากมายก็ตกลงมายังโลก ชิ้นส่วนของโลกก็ตกลงไปบนดาวอังคาร เห็นได้ชัดว่า ดาวเคราะห์ทั้ง 2 ดวงนี้ อาจก่อกำเนิดขึ้นมาจากวัตถุดิบเดียวกัน ฉะนั้น ไม่แน่ว่า อาจมีผู้เฒ่าคนหนึ่ง กำลังนั่งรอเราอยู่บนนั้นก็เป็นได้ แต่นั่นก็ยังหมายความว่าพวกเราสามารถไปยัง ดาวอังคารเพื่อตามหาจุดกำเนิดของเราได้ด้วย ดาวอังคารอาจกุมกุญแจสู่ความลับไว้ให้เรา นี่คือเหตุผลว่าทำไมดาวอังคาร จึงมีความพิเศษกับเรามาก แต่การที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ ดาวอังคารจะต้องเคยเป็นที่ที่อยู่อาศัยได้ ในตอนที่สภาพแวดล้อมต่าง ๆ นั้นลงตัวแล้ว ว่าแต่ดาวอังคารเคยอยู่อาศัยได้หรือเปล่าล่ะ เรามีภารกิจมากมาย ที่บอกกับเราเหมือน ๆ กันในทุกวันนี้ ในช่วงเวลาที่ชีวิตก่อกำเนิดขึ้นบนโลก ดางอังคารเองก็มีมหาสมุทร มีภูเขาไฟ มีทะเลสาบ และก็ยังมีดินดอนสามเหลี่ยมมากมายเหมือนกับ ในรูปอันสวยงามที่คุณเห็นอยู่ตรงนี้ รูปนี้ถูกส่งมาโดยยานสำรวจ Curiosity เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ มันแสดงให้เห็นถึงเศษที่เหลืออยู่ของ ดินดอนแห่งหนึ่ง และรูปนี้ก็บอกกับเรา ว่าน้ำนั้นเคยมีอยู่มากมาย และอยู่บนพื้นผิวดาวดวงนี้มาเป็นเวลานาน นี่เป็นข่าวดีสำหรับสิ่งมีชีวิต กระบวนการทางชีวเคมีนั้น ใช้เวลานานมากกว่าจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ฉะนั้น นี่คือข่าวที่ดีมาก ๆ เลยทีเดียว ว่าแต่นั่นหมายความว่าถ้าเราไปที่ดาวอังคาร เราจะพบสิ่งมีชีวิตได้อย่างง่ายดายหรือไม่ ไม่จำเป็นเสมอไป นี่คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ตอนที่สิ่งมีชีวิตต่างผุดขึ้นมา บนพื้นผิวโลก ทุกอย่างบนดาวอังคาร นั้นกลับกลับตาลปัตร จากหน้ามือเป็นหลังมือ ชั้นบรรยากาศนั้นถูกทำลายด้วยลมสุริยะ ดาวอังคารสูญเสียสนามแม่เหล็ก จากนั้นรังสีคอสมิกและยูวีก็ ถล่มลงบนพื้นผิวดาวอย่างหนักหน่วง และน้ำก็หลุดลอยไปสู่อวกาศ หรือไม่ก็ลงสู่ใต้ดิน ดังนั้น ถ้าเราอยากที่จะเข้าใจ ถ้าเราอยากที่จะค้นพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิต บนพื้นผิวของดาวอังคาร หากว่าพวกมันมีอยู่ที่นั่นจริง ๆ เราจะต้องเข้าใจก่อนว่าผลกระทบของ เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ ต่อการเก็บรักษาบันทึกของมันคืออะไร มีเพียงตอนนั้นเท่านั้น ที่เราจะสามารถ รู้ได้ว่าร่องรอยเหล่านั้นซ่อนอยู่ที่ไหน และมีเพียงตอนนั้นเท่านั้น ที่เราจะสามารถ ส่งยานสำรวจของเราไปได้ถูกที่ ซึ่งเป็นที่ที่เราสามารถเก็บตัวอย่างหิน ที่อาจกำลังบอกอะไรเราบางอย่าง ที่สำคัญมากเกี่ยวกับตัวเราได้ หรือไม่ ก็อาจบอกเราว่า ณ ที่ใดที่หนึ่งข้างนอกนั้น ชีวิตก็ได้ก่อกำเนิดขึ้นบน ดาวเคราะห์ดวงอื่นเช่นเดียวกัน และการที่จะทำแบบนั้นได้ก็ไม่ยากเลย คุณเพียงแค่ต้องย้อนเวลากลับไป ยัง 3.5 พันล้านปีที่แล้ว ไปยังอดีตของดาวเคราะห์ดวงนี้ พวกเราแค่ต้องการเครื่องเดินทางข้ามเวลา ง่าย ใช่ไหมละ ที่จริงแล้ว มันก็ง่าย มองไปรอบ ๆ ตัวคุณสิ โลกของคุณนั่นแหละ นี่แหละคือเครื่องเดินทางข้ามเวลาของเรา นักธรณีวิทยาต่างกำลังใช้มันเพื่อย้อนกลับ ไปสู่อดีตของดาวเคราะห์ของเรา ในขณะที่ดิฉันใช้มันในทางที่ต่างออกไปหน่อย ฉันใช้โลกใบนี้เพื่อไปดู สภาพแวดล้อมสุดโต่งต่าง ๆ ที่ที่สภาวะต่าง ๆ นั้น ใกล้เคียงกับดาวอังคาร ในช่วงที่สภาพอากาศได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และที่นั่น ดิฉันก็พยายาม ทำความเข้าใจสิ่งที่เคยเกิดขึ้น อะไรคือลักษณะเด่นของสิ่งมีชีวิต มีอะไรที่หลงเหลืออยู่บ้าง เราจะหามันได้อย่างไร และในตอนนี้ ฉันจะพาคุณไปกับฉัน เดินทางข้ามเวลาด้วยเครื่องข้ามเวลานั้น และตอนนี้ สิ่งที่คุณเห็นอยู่ตรงนี้ก็คือ เทือกเขาแอนดีสที่ระดับความสูง 4,500 เมตร แต่ที่จริงแล้ว เราอยู่ห่างจากช่วงเวลาที่โลก และดาวอังคารก่อตัวขึ้นไม่ถึง 1 พันล้านปี โลกและดาวอังคารในตอนนั้น มีหน้าตาแทบจะไม่ต่างจากรูปนี้ ภูเขาไฟ กระจายอยู่ทุกแห่ง ทะเลสาบที่ระเหยอยู่ กระจายอยู่ทุกที่ แร่ธาตุต่าง ๆ น้ำพุร้อนมากมาย และคุณเห็นเนินพวกนั้น ตรงชายฝั่งทะเลสาบนั่นไหม เนินพวกนั้นถูกสร้างขึ้น โดยลูกหลานของสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรก ๆ ที่ต่างกลายเป็นฟอสซิลชิ้นแรก ๆ ของโลกให้กับเรา แต่ถ้าเราอยากจะเข้าใจว่า มีอะไรขึ้น กันแน่ เราจะต้องย้อนกลับไปอีกสักหน่อย และอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสถานที่พวกนั้น ก็คือว่าพวกมันมีลักษณะเหมือนกับดาวอังคาร เมื่อ 3,500 ล้านปีก่อนเป๊ะ ๆ เลย สภาพอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก ส่วนน้ำและน้ำแข็งก็กำลังค่อย ๆ หายไป แต่เราต้องกลับไปยังช่วงเวลาที่ ทุกอย่างบนดาวอังคารได้เปลี่ยนไปแล้ว และการที่จะทำแบบนั้นได้ เราจะต้องขึ้นไปสูงกว่านี้ ทำไมน่ะหรอ เพราะว่าเมื่อคุณขึ้นไปสูงขึ้น ชั้นบรรยากาศจะเบาบางลง สภาพต่าง ๆ จะเริ่มเสถียรน้อยลง อุณหภูมิจะลดลง และรังสียูวีก็จะเข้มข้นมากขึ้นด้วย โดยพื้นฐานแล้ว เราจะได้เห็นสภาพแวดล้อมของดาวอังคาร ในตอนที่ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว ทว่า ฉันไม่ได้บอกนะว่าการเดินทางด้วย เครื่องข้ามเวลานั้นจะเป็นเรื่องสบาย ๆ คุณจะไม่ได้นั่งไปบนเครื่องข้ามเวลานั้น คุณจะต้องลากอุปกรณ์น้ำหนักรวมกันกว่า 1000 ปอนด์ (453 กก.) ขึ้นไปบนยอด ของภูเขาไฟสูง 20,000 ฟุต ที่อยู่ในเทือกเขาแอนดีส นั่นคือประมาณ 6,000 เมตร และคุณก็ยังต้องนอน บนพื้นเอียง 42 องศาอีกด้วย และตั้งความหวังอย่างมากว่า จะไม่มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในคืนนั้น แต่เมื่อเราไปถึงยอดแล้ว เราก็ได้พบกับทะเลสาบที่เราตามหา ที่ความสูงระดับนี้ ทะเลสาบแห่งนี้ กำลังเผชิญกับสภาวะแบบเดียวกับ สภาวะบนดาวอังคาร เมื่อ 3,500 ล้านปีก่อนโดยสิ้นเชิง และทีนี้ เราจะต้องเปลี่ยน การเดินทางของเรา เพื่อเข้าไปแหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบนั้น และการที่จะทำแบบนั้นได้ เราก็จะต้องถอดอุปกรณ์ปืนเขาของเรา และสวมชุดดำน้ำ แล้วจึงเริ่มลุยได้ แต่วินาทีที่เราก้าวขาลงไปในทะเลสาบแห่งนั้น ทันทีที่เราเข้าไปในทะเลสาบ พวกเราก็กำลังเดินทางย้อนกลับไปยัง อดีตของดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งเมื่อ 3500 ล้านปีก่อน และจากนั้นพวกเราก็จะได้คำตอบ ที่พวกเราต่างมาเพื่อตามหา สิ่งมีชีวิตต่างกระจายอยู่ทั่วทุกที่ ทั่วทุกที่อย่างแท้จริง ทุกสิ่งที่คุณเห็นในรูปนี้ คือ สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้หมายถึงนักประดาน้ำหรอกนะคะ แต่หมายถึงสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมดน่ะ แต่รูปนี้นั้นตบตาเราอย่างมาก สิ่งมีชีวิตมากมายต่างอาศัย อยู่ในทะเลสาบเหล่านั้นก็จริง แต่ก็เหมือนกับหลาย ๆ ที่บนโลกในตอนนี้ เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ความหลากหลายทางชีวภาพนั้นถูกทำลายไปมาก ในตัวอย่างที่เรานำกลับมา แบคทีเรีย 36 เปอร์เซ็นในทะเลสาบเหล่านั้น ประกอบไปด้วย 3 สายพันธุ์ และทั้ง 3 สายพันธุ์นั้น คือ สายพันธุ์มีชีวิตรอดตลอดการกลับมา นี่เป็นทะเลสาบอีกแห่งหนึ่ง ที่อยู่ถัดจากทะเลสาบแห่งแรกไป สีแดงที่คุณเห็นอยู่นี่ ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากแร่ธาตุ จริง ๆ แล้วมันเกิดขึ้นมาจากสาหร่าย ขนาดเล็กมากที่อยู่บริเวณนั้น ในบริเวณนี้ รังสียูวีนั้นรุนแรงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตามบนโลกใบนี้ ค่าดัชนียูวี 11 ถือว่าเข้มข้นที่สุดแล้ว แต่ในช่วงที่มีพายุรังสียูวีโถมกระหน่ำ ที่นั่น ค่าดัชนียูวีนั้นกลับพุ่งไปถึง 43 ค่า SPF 30 จะไม่มีประโยชน์ อะไรเลยเมื่ออยู่ที่นั่น และน้ำก็ในทะเลสาบเหล่านั้นก็ใส มากจนกระทั่งสาหร่ายเหล่านั้น ไม่มีที่ให้หลบซ่อนเลย ฉะนั้น พวกมันจึงพัฒนาวิธีกันแดดของตัวเอง และนั่นก็คือสีแดงที่พวกคุณเห็นอยู่ แต่ว่าพวกมันก็ปรับตัวได้อยู่เพียงเท่านั้น และเมื่อน้ำทั้งหมดได้หายไปจากพื้นผิวแล้ว จุลินทรีย์เหล่านั้นก็เหลือทางออก เพียงแค่ทางเดียวซึ่งก็คือ พวกมันลงไปใต้ดิน และจุลินทรีย์เหล่านั้น พวกก้อนหิน ที่คุณเห็นอยู่ในสไลด์นี้ จริง ๆ แล้วพวกมันกำลังอาศัย อยู่ในก้อนหินพวกนี้เอง และพวกมันก็ใช้ความโปร่งแสง ของหินเหล่านั้นเป็นที่กำบัง เพื่อให้ได้รับรังสียูวีส่วนที่ดี และละทิ้งส่วนที่จะทำร้าย DNA ของพวกมัน และนี่คือสาเหตุว่าทำไม พวกเราถึงนำยานสำรวจ มาเตรียมความพร้อมเพื่อให้ค้นหาสิ่งมีชีวิต บนดาวอังคารในพื้นที่เหล่านี้ได้ เพราะว่าถ้าสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวอังคาร เมื่อ 3500 ล้านปีก่อนจริง ๆ พวกมันก็จะต้องใช้กลยุทธ์เดียวกัน เพื่อปกป้องตัวมันเอง ตอนนี้ เห็นได้ค่อนข้างชัดเจน ว่าการเดินทางไปยังสภาพแวดล้อม สุดโต่งต่าง ๆ นั้นกำลังช่วยอะไรเรามากมาย ในการสำรวจดาวอังคาร และในการเตรียมภารกิจต่าง ๆ จนถึงตอนนี้ มันได้ช่วยเราให้เข้าใจ สภาพทางธรณีวิทยาของดาวอังคาร มันได้ช่วยให้เราเข้าใจสภาพอากาศของ ดาวอังคารในอดีตและการเปลี่ยนแปลงของมัน แต่ก็ยังรวมไปถึงความสามารถ ในการอยู่อาศัยของมันด้วย ยานสำรวจล่าสุดของเราที่อยู่บนดาวอังคาร ได้ค้นพบร่องรอยของสารอินทรีย์ ใช่แล้ว บนดาวอังคารนั้น มีสารอินทรีย์ต่าง ๆ อยู่ และมันก็ยังค้นพบร่องรอยของแก๊สมีเทน แต่พวกเราก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า แก๊สมีเทนที่ว่านี้ เกิดมาจากปฏิกิริยาทางธรณีวิทยา หรือชีววิทยากันแน่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรารู้ก็คือว่า เนื่องจากการค้นพบนั้น สมมุติฐานที่ว่าสิ่งมีชีวิต ยังคงมีอยู่บนดาวอังคาร ก็ยังคงใช้การได้อยู่ จนถึงตอนนี้ ฉันคิดว่าฉันได้ทำให้คุณเชื่อ แล้วว่าดาวอังคารนั้นพิเศษต่อเรามากจริง ๆ แต่มันอาจไม่ถูกเสียทีเดียวที่จะคิดว่า ดาวอังคารเป็นสถานที่แห่งเดียว ในระบบสุริยะแห่งนี้ที่เหมาะสำหรับ การค้นหาสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กต่าง ๆ และเหตุผลก็คือว่าทั้งดาวอังคารและโลกนั้น อาจมีแหล่งกำเนิดของสายใยแห่งชีวิตร่วมกัน แต่ถ้าคุณไปไกลกว่าดาวอังคารแล้ว มันก็ไม่ได้ง่ายแบบนั้น หลักการทางกลศาสตร์ท้องฟ้าทำให้ การแลกเปลี่ยนวัตถุระหว่างดวงดาว เกิดขึ้นได้ไม่ง่ายนัก และสมมติว่าเราค้นพบชีวิต บนดาวเคราะห์เหล่านั้น มันก็จะแตกต่างจากเรา มันจะเป็นชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ทั้งหมดอาจมีแค่เรา ทั้งหมดอาจมีแค่เราและดาวอังคาร หรือมันอาจมีสายใยแห่งชีวิตอื่น ๆ อีก มากมายในระบบสุริยะแห่งนี้ ดิฉันยังไม่ทราบคำตอบดี แต่ดิฉันบอกคุณได้เลยว่า ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ไม่ว่าจำนวนนั้นจะออกมาเป็นเท่าไร มันจะเป็นเกณฑ์ให้เรา ที่เราจะนำไปใช้วัด ความเป็นไปได้ของการมีสิ่งมีชีวิต รวมถึงความหนาแน่นและความหลากหลาย ของพวกมันนอกระบบสุริยะของเรา และสิ่งนี้ก็สามารถบรรลุได้ ในรุ่นของเรา สิ่งนี้สามารถเป็นมรดกตกทอดต่อไป เพียงแค่เรากล้าที่จะออกสำรวจ ทีนี้ สรุปว่า หากมีใครซักคนบอกคุณว่าการค้นหาจุลินทรีย์ นอกโลกนั้นไม่เห็นจะเจ๋งตรงไหน เพราะว่าคุณไม่สามารถแลกเปลี่ยนความนึกคิด ในเชิงปรัชญากับพวกมันได้ งั้นฉันขอบอกวิธีที่คุณสามารถใช้ได้ เพื่อบอกว่าพวกเขาผิดอย่างไรและผิดตรงไหน ก็คือ สารอินทรีย์จะบอกกับคุณ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม ในเรื่องความซับซ้อน และในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ดีเอ็นเอหรือสารที่นำพาข้อมูลใด ๆ ก็ตาม จะบอกคุณในเรื่องการปรับตัว ในเรื่องวิวัฒนาการ ในเรื่องการเอาชีวิตรอด ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของดาวเคราะห์ และในเรื่องการขนย้ายข้อมูล ทั้งหมดนั้น พวกมันกำลังบอกเราว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ก่อกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก และทำไมสิ่งที่ก่อกำเนิด ชีวิตเหล่านั้น ในบางครั้ง ก็กลายมา เป็นอารยธรรมในท้ายที่สุด หรือในบางครั้งกลับต้องเจอกับทางตัน ลองมองมาที่ระบบสุริยะของเรา และมองไปที่โลกดูสิ บนโลกนั้น มีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีความฉลาดมากมาย แต่มีเพียงแค่สายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่ สามารถคิดค้นเทคโนโลยีได้สำเร็จ ที่นี่ ในการเดินทาง ไปในระบบสุริยะของเรา มันมีข้อความที่ทรงพลังมาก ๆ ข้อความหนึ่ง ที่บอกว่าเราควรค้นหาชีวิตต่างดาว ทั้งที่มีขนาดเล็กและใหญ่อย่างไร ดังนั้น ใช่แล้ว จุลินทรีย์ต่างกำลังพูดอยู่ ส่วนพวกเราเองก็กำลังฟังมัน และพวกมันก็กำลังพาเราไป ยังดาวเคราะห์แต่ละดวง และดวงจันทร์แต่ละดวง เพื่อไปหาพี่ใหญ่ของพวกมัน ที่อยู่ข้างนอกนั้น และพวกมันก็กำลังบอกเราในเรื่องความหลากหลาย พวกมันกำลังบอกเราถึง ความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิต และพวกมันก็กำลังบอกเราว่า ชีวิตของพวกเราอยู่รอดมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จนก่อให้เกิดอารยธรรม ความฉลาด เทคโนโลยี และแน่นอน ปรัชญา ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ)