ปีนี้ เยอรมัน กำลังเฉลิมฉลอง
ครบรอบปีที่ 25 ของการปฏิวัติอย่างสันติ
ในเยอรมันตะวันออก
ในปี 1989 ระบอบคอมมิวนิสต์ ถูกขจัดออกไป
กำแพงเบอร์ลินถูกพังลงมา และหนึ่งปีต่อมา
สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน หรือ จีดีอาร์
ในฝั่งตะวันออกได้รวมกัน
กับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันในฝั่งตะวันตก
ก่อตั้งเป็นประเทศเยอรมันในปัจจุบัน
ในบรรดาสมบัติหลายๆ อย่าง
ที่ประเทศเยอรมันนีได้รับมรดกตกทอดมา
มีเอกสารสำคัญของตำรวจลับ
เยอรมันตะวันออก
ที่รู้จักกันในนาม สตาซิ (Stasi)
เพียงสองปีหลังการสลายตัว
ของหน่วยงานนี้
เอกสารของหน่วยงาน
ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ
และนักประวัติศาสตร์ เช่นผม
ก็เริ่มต้นศึกษาเอกสารเหล่านี้
เพื่อเรียนรู้เพิ่มขึ้นว่า
หน่วยสอดแนมจีดีอาร์ของรัฐ
ทำงานอย่างไร
คุณอาจจะเคยได้ชมภาพยนต์ เรื่อง
"วิกฤติรักแดนเบอร์ลิน"
(The Lives of Others)
ภาพยนต์เรื่องนี้ ทำให้สตาซิ
เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
และเพราะเราอยู่ในยุคที่ ถ้อยคำ
เช่น "การสอดแนม" หรือ
"การดักฟังโทรศัพท์"
อยู่บนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์
ผมอยากจะพูดเรื่อง หน่วยสตาซิ
ว่าจริงๆ แล้ว ทำงานอย่างไร
เริ่มต้นโดย เรามาดูกันสั้นๆ
เรื่องประวัติของสตาซิ
เพราะว่า มันสำคัญอย่างยิ่ง
ต่อการทำความเข้าใจ
ว่าองค์กรนี้รับรู้ภาพลักษณ์
และตัวตนของตนเองอย่างไร
จุดเริ่มต้นของมัน อยู่ในรัสเซีย
ในปี 1917 คอมมิวนิสต์รัสเซียได้ก่อตั้ง
คณะกรรมการฉุกเฉินเพื่อต่อสู้กับ
การต่อต้านการปฏิวัติ และการก่อวินาศกรรม
เรียกสั้นๆ ว่า เชกา (Cheka)
โดยการนำของฟีลิกซ์ เชอร์ชินสกี
เชกา เป็นเครื่องมือของคอมมิวนิสต์
เพื่อสร้างระบบการปกครอง
โดยการทำให้ประชาชนหวาดกลัว
และสังหารศัตรูของพวกเขา
มันได้พัฒนาต่อมาเป็น เคจีบี ที่รู้จักกันดี
เชกา เป็นฮีโรในใจของนายตำรวจสตาซิ
พวกเขาเรียกตัวเองว่า เชคิสท์ (Chekists)
และแม้กระทั่งตราสัญญลักษณ์
ก็คล้ายกันมาก
อย่างที่คุณสามารถเห็นได้ตรงนี้
ที่จริงแล้ว ตำรวจลับรัสเซีย
เป็นผู้สร้างและผู้ฝึกสอนหน่วยสตาซิ
เมื่อกองทัพแดงยึดครองเยอรมันตะวันออก
ในปีค.ศ.1945
มันก็ขยายไปที่นั่นทันที
และไม่นาน ก็เริ่มฝึกคอมมิวนิสต์เยอรมัน
ให้สร้างตำรวจลับของตัวเองขึ้นมา
อ้อ ห้องประชุมที่เรานั่งอยู่กันนี้เอง
คือที่ที่พรรคจีดีอาร์ที่เป็นรัฐบาลสมัยนั้น
ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1946
ห้าปีต่อมา สตาซิก็ถูกตั้งขึ้นมา
และงานกดขี่ที่สกปรก
ก็ถูกส่งมาให้ทำทีละเล็กละน้อย
ตัวอย่างเช่น เรือนจำกลาง
สำหรับนักโทษการเมือง
ซึ่งตั้งขึ้นโดยฝ่ายรัสเซีย
ก็ถูกสตาซิเข้ามาครอบครอง
และใช้มาจนถึงยุคสิ้นสุด
ของลัทธิคอมมิวนิสต์
ที่คุณเห็นอยู่นี่ล่ะ
ในตอนต้นๆ ทุกขั้นตอนสำคัญ
เกิดขึ้นภายใต้การดูแลของฝ่ายรัสเซีย
แต่เยอรมันนั้น เป็นที่รู้กัน
ว่าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สตาซิจึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
แล้วในปี 1953 ก็มีพนักงาน
มากกว่าเกสตาโป
หรือตำรวจลับของนาซีเยอรมันเสียอีก
จำนวนคนเพิ่มเป็นสองเท่า
ในแต่ละทศวรรษ
ในปี 1989 มีพนักงานมากกว่า 90,000 คน
ทำงานให้กับสตาซิ
นี่ก็หมายความว่า พนักงานหนึ่งคน
รับผิดชอบคนที่อยู่ในคุกนั้น 180 คน
ซึ่งไม่เหมือนกับใครๆ ในโลกเป็นอย่างยิ่ง
ที่ยอดบนสุดของกลไกที่ใหญ่ยิ่งนี้
มีชาย ชื่อ อีริค มีเอลเก (Mielke)
เขาควบคุมกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ
มานานกว่า 30 ปี
เขาเป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งเคร่งครัดรอบคอบ
ในอดีต เขาฆ่าตำรวจสองคน
ไม่ไกลจากที่นี่นัก
ที่จริง เขาคือต้นแบบของสตาซิเลย
แล้วสตาซินี่มีความพิเศษยังไง
ที่สำคัญที่สุดคือ อำนาจอันมหาศาล
เพราะว่ามันรวบเอาหน้าที่งานหลายๆ อย่าง
มาไว้ในองค์กรเดียว
เรื่องแรก สตาซินั้น
เป็นหน่วยสืบราชการลับ
ที่ใช้เครื่องมือทุกอย่างที่จินตนาการได้
เพื่อให้ได้ข้อมูลมาอย่างลับๆ
เช่น สายข่าว หรือ การดักฟังทางโทรศัพท์
อย่างที่คุณเห็นในภาพตรงนี้
และมันไม่ได้แค่ปฏิบัติการอยู่
ในเยอรมันตะวันออกเท่านั้น
แต่มีอยู่ทั่วทั้งโลก
เรื่องที่สอง สตาซินั้นเป็นตำรวจลับ
ที่นึกจะไปดักผู้คนบนท้องถนน
แล้วก็จับกุมคนเหล่านั้นเข้าคุกก็ได้
เรื่องที่สาม สตาซิทำงาน
คล้ายกับเป็นพนักงานอัยการ
มีสิทธิที่จะเปิดการสืบสวนเบื้องต้น
และสอบสวนผู้คนอย่างเป็นทางการ
เรื่องสุดท้าย แต่ก็สำคัญไม่น้อยกว่า
คือ สตาซิ มีกองกำลังติดอาวุธของตัวเอง
มีทหารร่วมทำงานกว่า 11,000 คน
ภายในกรมทหารที่เรียกว่า
กรมเฝ้าระวังภัย
ก่อตั้งขึ้นเพื่อสลายการประท้วงและจลาจล
เนื่องจากการกระจุกตัวของอำนาจแบบนี้
สตาซิจึงถูกเรียกว่า เป็นรัฐซ้อนรัฐ
แต่เรามาดูในรายละเอียดกัน
ให้มากยิ่งขึ้น
ในเรื่องเครื่องมือที่สตาซิใช้
ขอให้รำลึกด้วยว่า ในขณะนั้น
และอินเตอร์เน็ต และสมาร์ทโฟน
ยังไม่ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา
แน่นอนว่า สตาซิใช้เครื่องมือ
ทางเทคนิคทุกชนิดเพื่อสำรวจผู้คน
โทรศัพท์ถูกดักฟัง
รวมถึงโทรศัพท์ของนายกรัฐมนตรี
ในฟากตะวันตก
และบ่อยครั้งในอพาร์ทเม้นต์ต่างๆ ด้วย
ทุกๆ วัน จดหมาย 90,000 ฉบับ
ถูกเปิดอ่าน
โดยเครื่องกลไกเหล่านี้
สตาซินั้นยังเฝ้าติดตามผู้คนหลายหมื่นคน
โดยใช้สายลับที่ฝึกมาเป็นพิเศษ
พร้อมกล้องถ่ายรูปลับ
เพื่อเก็บข้อมูลทุกย่างก้าวของบุคคลนั้น
ในภาพนี้ คุณจะเห็นผม
ตอนยังหนุ่ม อยู่หน้าอาคารหลังนี้
ที่เรากำลังอยู่ในขณะนี้
ภาพนี้ถ่ายโดยสายสตาซิคนหนึ่ง
สตาซิ เก็บรวบรวม
แม้กระทั่งกลิ่นตัวของผู้คน
เก็บตัวอย่างไว้ ในขวดที่ปิดฝาสนิท
ซึ่งถูกพบ หลังการปฏิวัติอย่างสงบนั้น
งานทั้งหมดนี้ มีกองเชี่ยวชาญพิเศษ
เป็นผู้รับผิดชอบ
กองพิเศษซึ่งดักฟังโทรศัพท์
ถูกแยกต่างหาก
จากหน่วยที่ควบคุมเรื่องจดหมาย
ด้วยเหตุผลที่ดี
เพราะว่า ถ้าสายลับคนหนึ่ง
เลิกทำงานให้สตาซิ
เรื่องที่เขารู้ก็จะมีน้อยมาก
ตรงกันข้ามกับ สโนวเดน เป็นตัวอย่าง
การสร้างความชำนาญในเชิงลึก
ก็สำคัญด้วยเหมือนกัน
ในการป้องกันความเห็นอกเห็นใจ
ทุกรูปแบบ
ที่มีต่อบุคคลเป้าหมายของการสังเกต
สายลับที่ติดตามผม
ไม่รู้ว่า ผมเป็นใคร
หรือทำไมผมจึงถูกตาม
ที่จริง ผมลักลอบนำหนังสือต้องห้าม
จากฟากตะวันตก เข้ามาตะวันออก
แต่ที่เป็นแบบฉบับของสตาซิยิ่งกว่านั้น
คือ พนักงานสอดแนม
ที่ทำงานให้สตาซิอย่างลับๆ
สำหรับรัฐมนตรีความมั่นคงนั้น
พวกที่เรียกว่า
พนักงานที่ไม่เป็นทางการเหล่านี้
เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุด
จากปี 1975 เป็นต้นมา คนเกือบสองแสนคน
ร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับสตาซิ
นั่นคือมากกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของประชากร
และในแบบนี้ รัฐมนตรีนั้นก็ทำถูกต้องแล้ว
เพราะเครื่องมือทางเทคนิค
ทำได้เพียงลงบันทึก สิ่งที่คนกำลังทำ
แต่สายสืบและสายลับ
สามารถรายงานได้อีกด้วย
ว่าผู้คนกำลังวางแผนจะทำอะไร
และเขากำลังคิดอะไร
ดังนั้น สตาซิจึงรับสายข่าว เข้ามาจำนวนมาก
ระบบการรับคนเหล่านั้นเข้ามา
และวิธีการให้การศึกษา
มีความซ้บซ้อนอย่างมาก
สตาซินั้นมีมหาวิทยาลัยของตนเอง
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่
เป็นสถานที่สำหรับทดสอบวิธีการต่างๆ
แล้วนำไปสอนให้กับเจ้าพนักงาน
คู่มือเล่มนี้ ให้คำอธิบายอย่างละเอียด
ในทุกขั้นตอน ที่คุณจะต้องปฏิบัติ
ถ้าคุณต้องการทำให้มนุษย์
ทรยศเพื่อนร่วมชาติของเขา
บางครั้งก็ว่ากันว่า สายข่าวต่างๆ
ถูกกดดันให้ทำงานนี้
แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่จริง
เพราะสายข่าวที่ถูกบังคับให้ทำ
จะเป็นสายข่าวที่แย่
มีเพียงบางคนเท่านั้น
ที่อยากให้ข้อมูลที่คุณต้องการ
เขาจึงจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพ
เหตุผลสำคัญ ที่ผู้คนร่วมมือกับสตาซิ
คือ ความเชื่อมั่นทางการเมือง
และผลประโยชน์ทางวัตถุ
เจ้าพนักงานยังพยายาม
สร้างความผูกพันส่วนตัว
ระหว่างตัวเขาเอง กับสายข่าว
พูดตรงๆ นะครับ
ตัวอย่างของสตาซิแสดงให้เห็นว่า
ไม่ยากเกินไปนัก
ที่จะกล่อมคนบางคน
ให้เขาทรยศหักหลังคนอื่นๆ
แม้หัวโจกของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลบางคน
ในเยอรมันตะวันออก
ก็ยังร่วมมือกับสตาซิ
ตัวอย่างเช่น อิบราฮีม โบฮ์ม
ปี 1989 เขาเป็นผู้นำการปฏิวัติอย่างสงบ
เกือบได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของจีดีอาร์
ที่มาจากการเลือกตั้งเสรี
จนกระทั่งเรื่องแดงออกมาว่า
เขาเคยเป็นสายข่าวให้สตาซิ
เครือข่ายของสายลับนั้น กว้างขวางจริงๆ
ในเกือบจะทุกๆ สถาบัน
แม้กระทั่งในโบสถ์ หรือในเยอรมันตะวันตก
มีคนพวกนี้อยู่มากมาย
ผมจำได้ว่า
เคยบอกเจ้าหน้าที่สตาซิระดับผู้นำ
ว่า "ถ้าคุณได้ส่งสายสืบมาที่ผม
ผมแน่ใจว่า ผมจะดูออกว่าเป็นใคร"
คำตอบของเขาคือ
"เราไม่ได้ส่งใครไป
เราใช้พวกที่อยู่รอบๆ ตัวคุณนั่นแหละ"
และจริงๆ แล้ว เพื่อนที่ดีที่สุดของผมสองคน
รายงานข้อมูลเกี่ยวกับผมให้กับสตาซิ
ไม่เพียงกรณีผมเท่านั้น
ที่สายสืบอยู่ชิดตัวมาก
ตัวอย่างเช่น วีรา เลงส์เฟลด์
ผู้คัดค้านระดับผู้นำอีกคนหนึ่ง
ในกรณีของเธอ
สามีกลับเป็นสายสืบเสียเอง
นักเขียนมีชื่อคนหนึ่ง
ก็ถูกน้องชายหักหลัง
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงนวนิยายเรื่อง "1984"
โดย จอร์จ ออเวลล์
ซึ่งคนเพียงคนเดียว ที่ไว้ใจได้
กลับกลายเป็นสายสืบเสียเอง
แต่ทำไมสตาซิ จึงรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนี้
ใว้ในแฟ้มข้อมูลสำคัญของพวกเขา?
จุดประสงค์สำคัญ คือ เพื่อควบคุมสังคม
ในปาฐกถาเกือบทุกครั้ง รัฐมนตรีของสตาซิ
จะออกคำสั่งให้ค้นหาว่า ใครเป็นใครบ้าง
ซึ่งก็หมายความถึงว่า ใครคิดอะไร
เขาไม่ต้องการจะรอจนกระทั่งใครสักคน
พยายามลงมือต่อต้านระบบการปกครอง
เขาต้องการจะรู้ล่วงหน้า
ว่าผู้คนกำลังคิด
และกำลังวางแผนการอะไรอยู่
คนเยอรมันตะวันออกนั้นรู้
แน่นอนครับ
ว่าพวกเขาถูกล้อมรอบไปด้วยสายสืบ
ในระบอบเผด็จการ
ที่สร้างความไม่ใว้วางใจกัน
และรัฐที่แผ่ขยายความหวาดกลัว
ซึ่งเครื่องมือสำคัญที่สุด
เพื่อใช้กดขี่ผู้คน
ในทุกระบอบเผด็จการ
นั่นคือสาเหตุว่าทำไมจึงมี
คนเยอรมันตะวันออกไม่มากนัก
ที่พยายามต่อสู้กับระบอบคอมมิวนิสต์
ถ้าใครต่อต้าน สตาซิก็มักใช้วิธีจัดการ
ซึ่งโหดร้ายจริงๆ
เรียกว่า เซอร์เส็ทซุง
ซึ่งถูกบรรยายไว้ในคู่มืออีกเล่มหนึ่ง
คำศัพท์นั้นยากที่จะแปลความหมาย
เพราะเดิมทีมันหมายถึง
"การย่อยสลายทางชีวภาพ"
แต่จริงๆ แล้ว มันอธิบายได้ตรงเผงทีเดียว
เป้าประสงค์ก็คือ
การทำลายความเชื่อมั่นในตนเอง
ของผู้คนเหล่านั้นอย่างลับๆ
ตัวอย่างเช่น การทำให้เสียชื่อเสียง
โดยทำให้การงานของพวกเขาล้มเหลว
และโดยการทำลาย
ความสัมพันธ์ส่วนตัวของพวกเขา
ดูจากวิธีนี้ เยอรมันตะวันออก
เป็นเผด็จการสมัยใหม่มาก
สตาซิไม่ได้พยายามจับกุม
คนไม่เห็นด้วยทุกคน
แต่ชอบที่จะทำให้คนเหล่านั้น
เป็นอัมพาต ทำอะไรไม่ได้
และมันสามารถทำอย่างนั้นได้
เพราะมันสามารถเข้าถึง
ข้อมูลส่วนตัวมากมาย
และเข้าถึงสถาบันได้มากมาย
หลายแห่งเหลือเกิน
การกักขังควบคุมตัวถูกนำมาใช้
เป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น
สตาซิมีคุก 17 แห่ง
ที่ใช้ระหว่างรอพิจารณาคดี
1 คุก ในทุกเขต
และในคุกนี้ สตาซิยังได้พัฒนา
วิธีการกักกันที่สมัยใหม่มากทีเดียว
โดยปกติแล้ว พนักงานสอบสวน
ไม่ได้ทารุณนักโทษ
แต่เขานำระบบที่ซับซ้อน
ของการกดดันทางจิตวิทยามาใช้แทน
ซึ่งใช้การแยกขังเดี่ยวที่เข้มงวดเป็นหลัก
เกือบไม่มีนักโทษคนใดต้านทานได้
โดยไม่เปิดปากให้หลักฐาน
ถ้าคุณมีโอกาส
ขอให้ไปเยือนคุกสตาซิเก่า
ในกรุงเบอร์ลิน
และไปกับมัคคุเทศน์
ที่เคยเป็นนักโทษการเมือง
ซึ่งจะอธิบายให้คุณฟังว่า
วิธีนี้ได้ผลได้อย่างไร
อีกหนึ่งคำถามที่จำเป็นต้องตอบ ได้แก่
ถ้าสตาซิ ปฏิบัติการได้อย่างดีมากแล้ว
ทำไมระบอบคอมมิวนิสต์ จึงล่มสลาย
ประการแรก ในปี 1989
ผู้นำเยอรมันตะวันออก
ไม่แน่ใจว่าจะทำอะไร เพื่อต่อต้าน
ประชาชนที่ประท้วง ซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้น
มันสับสนอย่างยิ่ง
เพราะว่า ในประเทศแม่แบบของสังคมนิยม
หรือสหภาพโซเวียตนั้น
เริ่มเกิดนโยบายที่ให้เสรีภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ระบอบนั้นยังพึ่งพา
เงินกู้จากโลกตะวันตก
จึงหยุดสั่งการปราบปรามการจราจล
มาที่สตาซิ
ประการที่สอง ในอุดมการณ์
ของคอมมิวนิสต์นั้น
ไม่มีที่สำหรับการให้วิพากษ์วิจารณ์
ผู้นำจึงติดอยู่กับความเชื่อที่ว่า
สังคมนิยมเป็นระบบที่สมบูรณ์แบบ
และสตาซิ ก็ต้องยืนยันในเรื่องนั้น
แน่นอนครับ
ผลลัพธ์ก็คือ
แม้ว่าจะได้ข้อมูลทั้งหมดมา
ระบอบการปกครองก็ไม่สามารถวิเคราะห์
ปัญหาที่แท้จริงของมัน
จึงไม่สามารถแก้ปัญหานั้นๆ ได้
ท้ายที่สุด สตาซิก็ตายไป
เหตุเพราะระบบและโครงสร้าง
ที่มันรับผิดชอบปกป้องอยู่นั่นเอง
การจบสิ้นของสตาซินั้น
เป็นอะไรที่เศร้าสลด
เพราะว่าพนักงานเหล่านี้
ตลอดช่วงการปฏิวัติอย่างสงบนั้น
ต้องยุ่งอยู่กับงานเพียงอย่างเดียว
คือ การทำลายเอกสาร
ที่พวกเขาได้ทำขึ้นมา
ตลอดหลายทศวรรษ
แต่โชคดี
ที่นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน
เข้าไปหยุดพวกเขาไว้
นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมทุกวันนี้
เราจึงมีข้อมูลเหล่านี้
ให้นำมาใช้ทำความเข้าใจ
การทำงานสอดแนมของรัฐ
ขอบคุณครับ
(เสียงปรบมือ)
บรูโน เกียสสะนี: ขอบคุณ ขอบคุณมากครับ
ครับ ฮูเบอร์ทุส ผมอยากจะถามคุณ
สักสองคำถาม
เพราะตรงนี้ ผมมี เดอร์ สเปียเกล
จากสัปดาห์ที่แล้ว
"มาย นาชบาร์ เอ็นเอสเอ" เพื่อนบ้านผม
เป็น เอ็นเอสเอ
และคุณก็เพิ่งจะเล่าให้เราฟัง
เกี่ยวกับเพื่อนบ้านผม
ซึ่งเป็นสายลับและสายข่าว
จากเยอรมันตะวันออก
ทั้งสองเรื่องนี้มีการเชื่อมโยงกันโดยตรง
หรือไม่มี? ในฐานะนักประวัติศาสตร์
คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นสิ่งนี้
ฮิวเบอร์ทุส คนาเบ: ผมคิดว่า
มีลักษณะหลายอย่าง ที่จะกล่าวถึง
ตอนแรก ผมคิดว่า มีความแตกต่างกัน
ในเรื่องว่า ทำไมคุณจึงเก็บรวบรวมข้อมูลนี้
คุณทำเพื่อปกป้องประชาชนของคุณ
จากการจู่โจมของผู้ก่อการร้าย
หรือ คุณทำเพื่อกดขี่ประชาชนของคุณ?
นั่นจึงเป็นความแตกต่างพื้นฐาน
แต่อีกแง่หนึ่ง
ในระบอบประชาธิปไตย เครื่องมือเหล่านี้
อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดเช่นกัน
และนั่นเป็นสิ่งที่เราจะต้องตระหนัก
เพื่อจะหยุดยั้งมัน
และงานด้านการสืบราชการลับ
ก็ต้องเคารพกฎเกณฑ์ที่เรามีอยู่ด้วย
ข้อที่สาม น่าจะเป็นว่า
เราควรจะดีใจจริงๆ นะ
ที่เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย
เพราะคุณสามารถมั่นใจได้ว่า รัสเซียและจีน
ก็ทำแบบนี้เหมือนกัน
แต่ไม่มีใครพูดถึง
เพราะว่า ไม่มีใครสามารถพูดถึงมันได้
(เสียงปรบมือ)
บีจี: เมื่อเรื่องแดงออกมาครั้งแรก
เดือนกรกฎาที่แล้ว ปีที่แล้ว
คุณได้ยื่นคำร้องคดีอาญา
ต่อศาลยุติธรรมเยอรมัน ทำไมหรือครับ?
เอชเค: ผมทำก็เพราะเหตุผลข้อสอง
ที่พูดไปแล้ว
ที่ผมคิดว่า โดยเฉพาะในระบอบประชาธิปไตย
กฎเกณฑ์มีไว้สำหรับทุกๆ คน
กฎเหล่านั้นทำขึ้นเพื่อทุกๆ คน
จึงไม่อนุญาตให้สถาบันใดๆ
ไม่เคารพกฎเกณฑ์นั้น
ในประมวลกฎหมายอาญาของเยอรมัน
เขียนไว้ว่า
ไม่อนุญาตให้ดักฟังโทรศัพท์ของผู้ใด
โดยไม่มีคำสั่งจากผู้พิพากษา
โชคดีที่ มีการบัญญัติไว้
ในประมวลกฎหมายอาญา
ดังนั้น ถ้าไม่เคารพกฎหมาย ผมก็คิดว่า
การสืบสวนสอบสวนก็จำเป็น
และมันใช้เวลามาก
กว่าอัยการเยอรมันจะเริ่มต้นทำคดีนี้
และเขาเริ่มต้นทำ เฉพาะในคดีของ
แองเกลา เมอร์เคล
ไม่ได้ทำคดีคนอื่นๆ ทั้งหมด
ที่อยู่ในเยอรมัน
บีจี: เรื่องนั้นไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจ เพราะ
(เสียงปรบมือ)---
เพราะเรื่องที่คุณเล่าไปแล้ว
ถ้าดูจากภายนอก ผมอยู่นอกประเทศเยอรมัน
และผมคาดว่า คนเยอรมันจะมีปฏิกริยา
อย่างเข้มแข็งมากยิ่งกว่า ในทันทีทันใด
แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ปฏิกริยาออกมาจริงๆ
ก็เมื่อมีการเผยว่านายกรัฐมนตรีเมอร์เคล
ถูกดักฟังโทรศัพท์ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
เอชเค: ผมถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี
เพราะคนรู้สึกปลอดภัยในประชาธิปไตยนี้แล้ว
พวกเขาไม่กลัวว่า จะถูกจับ
และถ้าคุณออกจากห้องประชุมนี้ไป
หลังการประชุม
ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีตำรวจลับ
กำลังยืนอยู่ข้างนอกรอจับกุมคุณ
จึงเป็นสัญญาณที่ดี, ผมว่านะ
ผู้คนไม่ต้องกลัวอย่างที่เคยกลัว
แต่แน่นอนครับ ผมคิดว่า สถาบันเหล่านั้น
ต้องรับผิดชอบที่จะหยุดยั้ง
การกระทำผิดกฎหมาย
ในเยอรมัน หรือที่ใดก็ตาม
ที่มีการกระทำผิดเกิดขึ้น
บีจี: คำถามส่วนตัว
และเป็นคำถามสุดท้าย
มีการถกเถียงกันในเยอรมันเกี่ยวกับ
การให้ เอ็ดเวิร์ด สโนวเดน ลี้ภัย
คุณเห็นด้วย หรือคุณต่อต้านครับ
เอชเค: โอ เป็นคำถามที่ยาก
แต่ถ้าคุณถามผม
และถ้าผมตอบอย่างสุจริตใจ
ผมก็จะให้เขาได้ลี้ภัย เพราะ
ผมคิดว่า เขาทำเรื่องที่กล้าหาญอย่างแท้จริง
และเรื่องนั้นได้ทำลายชีวิตทั้งหมดของเขา
และครอบครัวเขา และทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมจึงคิดว่า เพื่อคนเหล่านี้
เราควรทำบางสิ่งบางอย่าง
และโดยเฉพาะ ถ้าคุณดูประวัติศาสตร์เยอรมัน
ที่คนจำนวนมากต้องลี้ภัยไป
และพวกเขาขอลี้ภัยในประเทศอื่น
และพวกเขาไม่ได้การตอบรับ
จึงเป็นสัญญาณที่ดี ที่ให้เขาลี้ภัยเข้ามา
(เสียงปรบมือ)
บีจี: คุณฮูเบอร์ทุส ขอบคุณมากครับ