1 00:00:00,998 --> 00:00:03,001 ทำไมจักรวาลถึงมีอยู่ 2 00:00:03,001 --> 00:00:06,996 ทำไมมันถึงมี - เอาล่ะครับ (เสียงหัวเราะ) 3 00:00:06,996 --> 00:00:09,838 นี่มันเป็นปริศนาจักรวาลนะครับ กรุณาอยู่ในความสงบด้วย 4 00:00:09,838 --> 00:00:13,414 ทำไมถึงมีโลก ทำไมพวกเราถึงอยู่ที่นี่ 5 00:00:13,414 --> 00:00:15,293 และทำไมจึงมีอะไร แทนที่จะไม่มีอะไรเลย 6 00:00:15,293 --> 00:00:19,939 ผมหมายถึง นี่มันเป็นสุดยอดคำถาม "ทำไม" 7 00:00:19,939 --> 00:00:22,174 ฉะนั้น ผมกำลังจะพูดถึงปริศนาของการมีอยู่ 8 00:00:22,174 --> 00:00:23,730 ภาพปะติดปะต่อของการมีอยู่ 9 00:00:23,730 --> 00:00:26,644 ที่เราอยู่ตอนนี้เพื่อที่จะกล่าวถึงมัน 10 00:00:26,644 --> 00:00:28,894 และทำไมเราจะต้องใส่ใจ 11 00:00:28,894 --> 00:00:30,810 และผมหวังว่าคุณจะใส่ใจ 12 00:00:30,810 --> 00:00:33,636 นักปรัชญา อาเทอร์ โชเพนเฮอร์ บอกว่า 13 00:00:33,636 --> 00:00:37,416 ผู้ที่ไม่นึกสงสัยถึงความมีอยู่ของตัวเขาเอง 14 00:00:37,416 --> 00:00:40,273 หรือความมีอยู่ของโลก 15 00:00:40,273 --> 00:00:41,936 เป็นผู้สติไม่ครบถ้วน 16 00:00:41,936 --> 00:00:45,883 พูดแบบนั้นออกจะใจร้ายไปหน่อย แต่มันก็จริง (เสียงหัวเราะ) 17 00:00:45,883 --> 00:00:47,560 มันถูกเรียกว่าเป็นปริศนา 18 00:00:47,560 --> 00:00:49,854 ที่สูงค่าที่สุดและน่าทึ่งที่สุด 19 00:00:49,854 --> 00:00:52,523 เป็นคำถามที่ลูกที่สุด และไกลเอื้อมที่สุด 20 00:00:52,523 --> 00:00:53,583 เท่าที่คนจะถามได้ 21 00:00:53,583 --> 00:00:55,297 มันครอบงำนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ 22 00:00:55,297 --> 00:00:56,901 ลุดวิก วิทเจนสเตน ซึ่งอาจเป็น 23 00:00:56,901 --> 00:00:59,231 นักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 24 00:00:59,231 --> 00:01:01,714 ตกตะลึงว่ามันควรจะมีโลก 25 00:01:01,714 --> 00:01:05,718 เขาเขียนใน "ทราคทาทัส" หัวข้ออภิปราย 4.66 26 00:01:05,718 --> 00:01:08,408 "มันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับว่า สิ่งต่าง ๆ ในโลกเป็นอย่างไร 27 00:01:08,408 --> 00:01:09,760 ปริศนามันอยู่ที่ 28 00:01:09,760 --> 00:01:12,095 การมีอยู่ของโลกนี้ต่างหาก" 29 00:01:12,095 --> 00:01:14,313 และถ้าคุณไม่ชอบคำคม 30 00:01:14,313 --> 00:01:17,224 จากนักปรัชญา ก็ลองนักวิทยาศาสตร์ดู 31 00:01:17,224 --> 00:01:19,825 จอห์น อาร์คิบัล วีลเลอร์ หนึ่งในนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ 32 00:01:19,825 --> 00:01:21,051 แห่งศตวรรษที่ 20 33 00:01:21,051 --> 00:01:22,976 ผู้เป็นอาจารย์ของริชาร์ด เฟห์นแมน 34 00:01:22,976 --> 00:01:25,636 ผู้ให้กำเนิดคำว่า "หลุมดำ" 35 00:01:25,636 --> 00:01:28,059 เขาพูดว่า "ผมอยากที่จะรู้ 36 00:01:28,059 --> 00:01:29,792 ว่าควอนตัมมาได้อย่างไร 37 00:01:29,792 --> 00:01:32,936 จักรวาลมาได้อย่างไร ความมีอยู่มาได้อย่าไร" 38 00:01:32,936 --> 00:01:34,935 และเพื่อนของผม มาร์ติน อมิส -- 39 00:01:34,935 --> 00:01:37,612 ขอโทษด้วย เพราะผมจะเอ่ยชื่อคนมากมาย สำหรับการบรรยายนี้ 40 00:01:37,612 --> 00:01:38,987 ทำความคุ้นเคยกันไว้นะครับ -- 41 00:01:38,987 --> 00:01:43,963 เพื่อของผม มาร์ติน อมิส กล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า 42 00:01:43,963 --> 00:01:47,183 เราตามหลังอยู่ประมาณห้าไอน์สไตน์ สำหรับการได้คำตอบ 43 00:01:47,183 --> 00:01:49,219 ของปริศนาที่ว่าจักรวาลมาจากไหน 44 00:01:49,219 --> 00:01:51,200 และผมไม่ประหลาดใจเลยที่จะมีสักห้าไอน์ไตน์ 45 00:01:51,200 --> 00:01:53,387 ในกลุ่มผู้ฟังคืนนี้ 46 00:01:53,387 --> 00:01:54,890 มีไอสไตน์ไหมครับ ยกมือหน่อย ไม่ ไม่ ไม่ 47 00:01:54,890 --> 00:01:56,052 ไม่มีไอสไตน์ โอเคครับ 48 00:01:56,052 --> 00:02:00,274 ดังนั้นคำถามนี้ ทำไมจึงมีแทนที่จะไม่มี 49 00:02:00,274 --> 00:02:02,242 คำถามสุดเจ๋งนี้ ถูกถามขึ้นมาไม่นาน 50 00:02:02,242 --> 00:02:04,552 ในยุคประวัติศาสตร์แห่งความรู้ 51 00:02:04,552 --> 00:02:07,031 ประมาณช่วงท้ายศตวรรษที่ 17 52 00:02:07,031 --> 00:02:09,993 นักปรัชญานามลิบนิสซึ่งเป็นผู้ตั้งคำถาม 53 00:02:09,993 --> 00:02:11,736 เขาเป็นชายที่ฉลาดมาก 54 00:02:11,736 --> 00:02:13,886 เป็นผู้ประดิษฐ์ศาสตร์แคลคูลัส 55 00:02:13,886 --> 00:02:16,740 อย่างอิสระจากไอแซค นิวตัน ในเวลาเดียวกัน 56 00:02:16,740 --> 00:02:19,342 แต่สำหรับลิบนิส ผู้ซึ่งถามว่าทำไมจึงมีแทนที่จะไม่มี 57 00:02:19,342 --> 00:02:21,535 มันไม่ใช่ปริศหายิ่งใหญ่อะไร 58 00:02:21,535 --> 00:02:23,931 เขาเป็น หรืออาจทำเป็นว่า 59 00:02:23,931 --> 00:02:26,687 เขาเป็นชาวคริสนิกายออโธดอกซ์ ในทัศนคติทางอภิปรัชญาของเขา 60 00:02:26,687 --> 00:02:29,702 และเขาบอกว่า มันชัดเจนว่าทำไมโลกจึงมีอยู่ 61 00:02:29,702 --> 00:02:32,164 เพราะว่าพระเจ้าสร้างมันขึ้นมาไงล่ะ 62 00:02:32,164 --> 00:02:35,449 และแน่นอนพระเจ้าก็สร้างมันขึ้น จากความว่างเปล่า 63 00:02:35,449 --> 00:02:36,960 นั่นแหละความทรงฤทธิ์ของพระเจ้า 64 00:02:36,960 --> 00:02:40,602 พระองค์ไม่ต้องการวัสดุที่ปรากฎอยู่แล้วใดๆ ในการออกแบบสร้างโลก 65 00:02:40,602 --> 00:02:42,762 พระองค์สามารถสร้างมันขึ้นจากความว่างเปล่า 66 00:02:42,762 --> 00:02:44,236 creation ex nihilo [ลาติน: การสร้างจากความว่างเปล่า] 67 00:02:44,236 --> 00:02:45,181 และจะว่าไป 68 00:02:45,181 --> 00:02:48,020 นี่คือสิ่งที่คนอเมริกันส่วนหใญ่ตอนนี้เชื่อ 69 00:02:48,020 --> 00:02:49,734 ไม่มีปริศนาใดสำหรับพวกเขา 70 00:02:49,734 --> 00:02:51,302 ก็พระเจ้าทรงสร้างมัน 71 00:02:51,302 --> 00:02:53,888 เอาล่ะ ลองนำมันเข้าไปในสมการ 72 00:02:53,888 --> 00:02:56,515 ผมไม่มีสไลด์ ดังนั้นผมจะเลียนแบบภาพที่ผมเห็ย 73 00:02:56,515 --> 00:02:57,950 ฉะนั้นใช้จินตนาการของคุณ 74 00:02:57,950 --> 00:03:03,804 ฉะนั้น พระเจ้า + ความว่างเปล่า = โลก 75 00:03:03,804 --> 00:03:07,118 โอเคนะครับ นี่คือสมการ 76 00:03:07,118 --> 00:03:08,851 และบางทีคุณอาจไม่เชื่อในพระเจ้า 77 00:03:08,851 --> 00:03:10,681 บางทีคุณเป็นชาวอเทวนิยมแนววิทยาศาสตร์ 78 00:03:10,681 --> 00:03:14,015 หรือชาวอเทวนิยมที่ไม่ใช่แนววิทยาศาสตร์ และคุณไม่เชื่อในพระเจ้า 79 00:03:14,015 --> 00:03:15,433 และคุณก็จะไม่ชอบใจ 80 00:03:15,433 --> 00:03:18,137 แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าคุณจะมีสมการ 81 00:03:18,137 --> 00:03:20,039 พระเจ้า + ความว่างเปล่า = โลก 82 00:03:20,039 --> 00:03:21,725 มันก็มีปัญหาแล้ว: 83 00:03:21,725 --> 00:03:24,759 ทำไมพระเจ้าจึงมีอยู่ 84 00:03:24,759 --> 00:03:26,962 พระเจ้าไม่ได้มีอยู่ด้วยตรรกะอย่างเดียว 85 00:03:26,962 --> 00:03:28,775 เว้นแต่ว่าคุณเชื่อการให้เหตุผลทางภววิทยา (ontological argument) 86 00:03:28,775 --> 00:03:31,102 และผมหวังว่าคุณจะไม่ เพราะว่ามันไม่ใช่การให้เหตุผลที่ดีเลย 87 00:03:31,102 --> 00:03:34,263 ดังนั้นเป็นที่เข้าใจได้ ถ้าพระเจ้านั้นมีอยู่ 88 00:03:34,263 --> 00:03:37,413 พระองค์อาจนึกสงสัย ข้าเป็นอมตะ ข้าทรงพลัง 89 00:03:37,413 --> 00:03:39,843 แต่ข้ามาจากไหนนะ 90 00:03:39,843 --> 00:03:42,013 (เสียงหัวเราะ) 91 00:03:42,013 --> 00:03:43,432 ข้ามาจากหนใดกัน 92 00:03:43,432 --> 00:03:46,640 พระเจ้าพูดภาษาอังกฤษแบบเป็นทางการ 93 00:03:46,640 --> 00:03:48,629 (เสียงหัวเราะ) 94 00:03:48,629 --> 00:03:51,677 และทฤษฎีหนึ่งก็คือ พระเจ้าเบื่อหนักหนา 95 00:03:51,677 --> 00:03:53,466 กับการครุ่นคิดปริศนาการมีอยู่ของตัวเอง 96 00:03:53,466 --> 00:03:56,388 และ "พระองค์" สร้างโลก ก็เพื่อละความสนใจจากตัวเอง 97 00:03:56,388 --> 00:03:58,500 แต่ว่านะ ลืมเรื่องพระเจ้าไปเถอะครับ 98 00:03:58,500 --> 00:03:59,857 เอาพระเจ้าออกจากสมการ เราก็จะได้ 99 00:03:59,857 --> 00:04:02,980 ________ + ความว่างเปล่า = โลก 100 00:04:02,980 --> 00:04:04,761 ทีนี้ ถ้าคุณเป็นชาวพุทธ 101 00:04:04,761 --> 00:04:06,505 คุณอาจต้องการหยุดตรงนี้ 102 00:04:06,505 --> 00:04:08,474 เพราะว่าใจความสำคัญที่คุณได้ก็คือ 103 00:04:08,474 --> 00:04:10,050 ความว่างเปล่า = โลก 104 00:04:10,050 --> 00:04:11,563 และด้วยคุณสมบัติความเหมือนกัน นั่นหมายถึง 105 00:04:11,563 --> 00:04:13,918 โลก = ความว่างเปล่า โอเคไหมครับ 106 00:04:13,918 --> 00:04:16,337 และสำหรับชาวพุทธแล้ว โลกก็เป็นความไร้ตัวตนอันไพศาล 107 00:04:16,337 --> 00:04:19,443 มันเป็นแค่ความว่างเปล่าในเอกภพ 108 00:04:19,443 --> 00:04:21,995 และเราคิดว่ามีอะไรข้างนอกนั่นมากมาย 109 00:04:21,995 --> 00:04:24,560 แต่นั่นเป็นเพราะว่าเราเป็นทาสของกิเลส 110 00:04:24,560 --> 00:04:27,271 ถ้าเราทำให้กิเลสของเราหลอมละลายไป 111 00:04:27,271 --> 00:04:30,151 เราจะเห็นโลกในแบบที่แท้จริง 112 00:04:30,151 --> 00:04:32,131 ความว่างเปล่า ความไม่มีอะไร 113 00:04:32,131 --> 00:04:34,313 และเราก็จะหลุดไปสู่สถานะแห่งความสุข ของนิพพาน 114 00:04:34,313 --> 00:04:36,136 ซึ่งถูกให้ความหมายว่า 115 00:04:36,136 --> 00:04:39,454 มีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง ที่จะยินดีกับการตาย (เสียงหัวเราะ) 116 00:04:39,454 --> 00:04:41,333 นั่นคือสิ่งที่ชาวพุทธคิด 117 00:04:41,333 --> 00:04:44,832 ผมเป็นชาวตะวันตก และผมก็ยังกังวล 118 00:04:44,832 --> 00:04:46,815 กับปริศนาของการมีอยู่ ผมก็เลยได้ 119 00:04:46,815 --> 00:04:48,423 ________ + — 120 00:04:48,423 --> 00:04:50,581 เรากำลังจะจริงจังในอีกอึดใจนี้ล่ะ 121 00:04:50,581 --> 00:04:53,607 ________ + ความว่างเปล่า = โลก 122 00:04:53,607 --> 00:04:54,830 เราจะเอาอะไรใส่ในช่องว่าง 123 00:04:54,830 --> 00:04:56,678 แล้ววิทยาศาสตร์ล่ะ 124 00:04:56,678 --> 00:05:00,229 วิทยาศาสตร์เป็นคู่มือที่ดีที่สุดของเรา สู่ธรรมชาติแห่งความจริง 125 00:05:00,229 --> 00:05:03,244 และวิทยาศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานที่สุด คือฟิสิกส์ 126 00:05:03,244 --> 00:05:06,214 มันบอกเราว่าความเป็นจริงแบบหมดเปลือก นั้นคืออะไร 127 00:05:06,214 --> 00:05:08,840 และเปิดเผยสิ่งที่ผมเรียกว่า TAUFOTU 128 00:05:08,840 --> 00:05:11,830 เครื่องตกแต่งจักรวาลอันจริงแท้ และเป็นที่สุด 129 00:05:11,830 --> 00:05:14,482 ดังนั้น บางที ฟิสิกส์อาจเติมช่องว่างนี้ให้เราได้ 130 00:05:14,482 --> 00:05:19,544 และแน่นอน ตั้งแต่ประมาณช่วงยุค 1960 ตอนปลาย หรือราว ๆ ยุค 1970 131 00:05:19,544 --> 00:05:23,207 นักฟิสิกส์ได้อ้างว่าจะให้ 132 00:05:23,207 --> 00:05:26,327 คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์แท้ ๆ 133 00:05:26,327 --> 00:05:29,322 ว่าเอกภพของเรานั้น กำเนิดขึ้นมา 134 00:05:29,322 --> 00:05:31,201 จากความว่างเปล่าได้อย่างไร 135 00:05:31,201 --> 00:05:34,281 ความผันผวนทางควอนตัม จากความว่างเปล่า 136 00:05:34,281 --> 00:05:36,339 สตีเฟน ฮอว์คิง เป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์เหล่านี้ 137 00:05:36,339 --> 00:05:38,645 แลพเร็ว ๆ นี้ก็คือ อเล็ก ไวเลนคิน 138 00:05:38,645 --> 00:05:40,378 และเรื่องนั้นก็ได้รับความนิยม 139 00:05:40,378 --> 00:05:42,571 โดยนักฟิสิกส์คนเก่งอีกคนที่เป็นเพื่อนของผม 140 00:05:42,571 --> 00:05:45,103 ลอว์แรนซ์ เคราส์ ผู้เขียนหนังสือ 141 00:05:45,103 --> 00:05:47,229 "เอกภพจากความว่างเปล่า" 142 00:05:47,229 --> 00:05:49,445 และลอว์แรนซ์คิดว่าเขาให้ - 143 00:05:49,445 --> 00:05:51,526 เขาเป็นชาวอเทวนิยมตัวจริง 144 00:05:51,526 --> 00:05:53,150 เขานำพระเจ้าออกจากภาพ 145 00:05:53,150 --> 00:05:55,531 กฎของทฤษฎีสนามควอนตัม 146 00:05:55,531 --> 00:05:57,432 ฟิสิกส์ล้ำยุคสามารถแสดงได้ว่า 147 00:05:57,432 --> 00:05:58,750 จากความว่างเปล่า 148 00:05:58,750 --> 00:06:00,975 ไม่มีพื้นที่ ไม่มีเวลา ไม่มีสสาร ไม่มีอะไร 149 00:06:00,975 --> 00:06:04,420 การดึงดูดที่ผิดพลาดเพียงเสี้ยวเล็กน้อย 150 00:06:04,420 --> 00:06:06,393 สามารถผันผวนไปสู่ความมีอยู่ 151 00:06:06,393 --> 00:06:08,375 และจากนั้น ด้วยความอัศจรรย์ของการขยายตัว 152 00:06:08,375 --> 00:06:11,460 ระเบิดออกเป็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ อันหลากหลาย 153 00:06:11,460 --> 00:06:13,215 ซึ่งพวกเราเห็นอยู่รอบตัว 154 00:06:13,215 --> 00:06:16,769 เอาล่ะ นี่มันเป็นฉากสุดล้ำจินตนาการ 155 00:06:16,769 --> 00:06:19,537 มันฟังดูเป็นแนวทฤษฎี มันน่าสนใจ 156 00:06:19,537 --> 00:06:21,865 แต่ผมมีปัญหาใหญ่กับมัน 157 00:06:21,865 --> 00:06:23,750 และปัญหานั้นคือ 158 00:06:23,750 --> 00:06:25,221 มันเป็นแนวคิดคล้ายหลักศาสนา 159 00:06:25,221 --> 00:06:27,217 ทีนี้ ลอว์แรนซ์คิดว่าเขาเป็นชาวอเทวนิยม 160 00:06:27,217 --> 00:06:29,965 แต่เขายังคงเป็นทาสของแนวคิดทางศาสนาของโลก 161 00:06:29,965 --> 00:06:34,734 เขาเห็นกฎทางฟิสิกส์เป็นดั่งบัญชาแห่งเทพ 162 00:06:34,734 --> 00:06:36,784 กฎของสนามควอนตัมสำหรับเขา 163 00:06:36,784 --> 00:06:39,395 เป็นเหมือนโองการสุดหรู "จงมีแสงสว่าง" 164 00:06:39,395 --> 00:06:43,834 กฎเหล่านั้นมีพลังหรือแรงทางภววิทยา 165 00:06:43,834 --> 00:06:45,941 ที่พวกเขาสามารถสร้างหุบเหว 166 00:06:45,941 --> 00:06:47,781 ที่ตั้งครรภ์กับการมีอยู่ 167 00:06:47,781 --> 00:06:50,688 พวกเขาเรียกโลก ให้มาบังเกิดจากความว่างเปล่า 168 00:06:50,688 --> 00:06:52,635 แต่นั่นเป็นแนวคิดแรก ๆ 169 00:06:52,635 --> 00:06:54,108 ของกฎทางฟิสิกส์ ใช่ไหมครับ 170 00:06:54,108 --> 00:06:57,363 เรารู้ว่ากฎทางฟิสิกส์นั้นที่จริงแล้ว 171 00:06:57,363 --> 00:07:00,407 เป็นการอธิบายแบบกว้าง ของรูปแบบและการเกิดซ้ำ 172 00:07:00,407 --> 00:07:01,612 ในโลก 173 00:07:01,612 --> 00:07:03,985 พวกมันไม่ได้เกิดขึ้นนอกโลก 174 00:07:03,985 --> 00:07:05,965 พวกมันไม่ได้มีเมฆแห่งภววิทยาของมันเอง 175 00:07:05,965 --> 00:07:07,960 พวกมันไม่ได้ให้กำเนิดโลก 176 00:07:07,960 --> 00:07:09,278 จากความว่างเปล่า 177 00:07:09,278 --> 00:07:10,809 นั่นเป็นแนวคิดแรกๆ 178 00:07:10,809 --> 00:07:12,993 ที่กฎทางวิทยาศาสตร์เป็น 179 00:07:12,993 --> 00:07:14,988 และถ้าคุณไม่เชื่อผม 180 00:07:14,988 --> 00:07:16,790 ลองฟังสตีเฟน ฮอว์คิง 181 00:07:16,790 --> 00:07:20,825 ผู้ที่ผลักดันแบบจำลองของจักรวาล 182 00:07:20,825 --> 00:07:21,901 ว่ามันพึ่งพาตัวเอง 183 00:07:21,901 --> 00:07:25,539 ไม่ต้องการอะไรจากภายนอก จากผู้สร้าง 184 00:07:25,539 --> 00:07:27,267 และหลังจากที่เสนอสิ่งนี้ 185 00:07:27,267 --> 00:07:29,681 ฮอว์คิงยอมรับว่าเขายังคงฉงน 186 00:07:29,681 --> 00:07:32,993 เขาบอกว่า แบบจำลองนี้เป็นแค่สมการ 187 00:07:32,993 --> 00:07:35,852 อะไรกันที่เติมเชื้อไฟให้กับสมการเหล่านี้ 188 00:07:35,852 --> 00:07:38,774 และสร้างโลกสำหรับให้พวกมันอธิบาย 189 00:07:38,774 --> 00:07:39,907 เขายังคงฉงนกับสิ่งนี้ 190 00:07:39,907 --> 00:07:43,712 ฉะนั้นสมการเองคงไม่สามารถทำสิ่งอัศจรรย์ได้ 191 00:07:43,712 --> 00:07:45,850 ไม่สามารถแก้ปริศนาของการมีอยู่ได้ 192 00:07:45,850 --> 00:07:48,763 และนอกจากนั้น แม้ว่ากฎอาจทำได้ 193 00:07:48,763 --> 00:07:50,586 ทำไมต้องเป็นกฎชุดนี้ด้วย 194 00:07:50,586 --> 00:07:53,150 ทำไมต้องเป็นทฤษฎีสนามควอนตัมที่อธิบาย 195 00:07:53,150 --> 00:07:54,850 เอกภพด้วยตัวเลขจำเพาะของแรง 196 00:07:54,850 --> 00:07:55,899 และอนุภาค และอื่นๆ 197 00:07:55,899 --> 00:07:58,190 ทำไมไม่เป็นกฎชุดอื่นๆ ที่แตกต่างไป 198 00:07:58,190 --> 00:08:01,478 มันมีกลุ่มค่าคงที่ทางคณิตศาสตร์ของกฎมากมาย 199 00:08:01,478 --> 00:08:04,917 ทำไมต้องมีกฎด้วย ทำไมไม่มีอะไรเลยไม่ได้หรือ 200 00:08:04,917 --> 00:08:06,649 เชื่อหรือไม่ครับ ปัญหานี้แหละ 201 00:08:06,649 --> 00:08:09,647 ที่นักฟิสิกส์ครุ่นคิดถึงมันมาก ๆ 202 00:08:09,647 --> 00:08:12,755 และ ณ จุดนี้ พวกเขาหันเข้าหาอภิปรัชญา 203 00:08:12,755 --> 00:08:14,970 หรือบอกได้ว่า ชุดของกฎ 204 00:08:14,970 --> 00:08:16,217 ที่อธิบายเอกภพของเรา 205 00:08:16,217 --> 00:08:17,952 มันเป็นแค่กฎชุดหนึ่ง 206 00:08:17,952 --> 00:08:19,988 และมันอธิบายส่วนหนึ่งของความจริง 207 00:08:19,988 --> 00:08:22,784 แต่บางที กฎทุกชุดซึ่งคงที่ 208 00:08:22,784 --> 00:08:24,570 อธิบายอีกส่วนหนึ่งของความจริง 209 00:08:24,570 --> 00:08:28,503 และที่จริงแล้ว โลกทางกายภาพที่เป็นไปได้ทั้งหมด 210 00:08:28,503 --> 00:08:30,954 มีอยู่จริงๆ พวกมันอยู่ข้างนอกนั่น 211 00:08:30,954 --> 00:08:33,237 เราแค่เห็นส่วนเล็ก ๆ ของความจริง 212 00:08:33,237 --> 00:08:35,780 และอธิบายโดยทฤษฎีกฎของสนามควอนตัม 213 00:08:35,780 --> 00:08:37,512 แต่มันยังมีโลกอีกมากมาย 214 00:08:37,512 --> 00:08:39,278 ส่วนของความจริงที่ถูกอธิบาย 215 00:08:39,278 --> 00:08:41,235 โดยทฤษฎีที่แสนหลากหลาย 216 00:08:41,235 --> 00:08:44,251 ที่แตกต่างจากของเรา แบบที่เราจินตนาการไม่ออก 217 00:08:44,251 --> 00:08:47,996 แบบที่แปลกประหลาดเหลือเชื่อ 218 00:08:47,996 --> 00:08:49,733 สตีเฟน ไวน์เบอร์ก 219 00:08:49,733 --> 00:08:52,174 บิดาแห่งแบบจำลองมาตราฐาน ของฟิสิกส์อนุภาค 220 00:08:52,174 --> 00:08:55,000 ได้โผเข้าหาความคิดนี้ 221 00:08:55,000 --> 00:08:59,243 ที่ว่าความจริงทั้งหมดที่เป็นไปได้นั้น มีอยู่จริง ๆ 222 00:08:59,243 --> 00:09:02,332 นอกจากนี้ นักฟิสิกส์หนุ่ม แม๊ก เทกมาร์ค 223 00:09:02,332 --> 00:09:06,708 ผู้เชื่อว่าโครงสร้าง ทางคณิตศาสตร์ทั้งหมดมีอยู่จริง 224 00:09:06,708 --> 00:09:08,845 และความมีอยู่ทางคณิตศาสตร์ เป็นอย่างเดียวกัน 225 00:09:08,845 --> 00:09:10,612 กับความมีอยู่ทางฟิสิกส์ 226 00:09:10,612 --> 00:09:12,930 ดังนั้น เรามีพหุภพต่าง ๆ มากมาย 227 00:09:12,930 --> 00:09:16,371 ที่อัดรวมความน่าจะเป็นที่เป็นตรรกะทุกอย่าง 228 00:09:16,371 --> 00:09:19,881 ทีนี้ เพื่อหาทางออกโดยอภิปรัชญา 229 00:09:19,881 --> 00:09:22,153 จริงๆ แล้ว นักฟิสิกส์เหล่านี้ และนักปรัชญา 230 00:09:22,153 --> 00:09:24,675 ย้อนกลับไปหาความคิดที่เก่ามาก ๆ 231 00:09:24,675 --> 00:09:26,132 ย้อนกลับไปหาพลาโต 232 00:09:26,132 --> 00:09:29,330 มันเป็นพื้นฐานของความอุดมสมบูรณ์ และความคิดสร้างสรรค์ 233 00:09:29,330 --> 00:09:31,243 หรือโซ่ใหญ่แห่งการเป็นอยู่ 234 00:09:31,243 --> 00:09:35,110 ที่ความจริงมีความเป็นได้อย่างสูงสุด 235 00:09:35,110 --> 00:09:36,811 เท่าที่เป็นมา มันกำจัดความว่างเปล่าออกไป 236 00:09:36,811 --> 00:09:39,706 อย่างที่ควรจะเป็น 237 00:09:39,706 --> 00:09:42,200 ดังนั้น เรามีสองแนวคิดสุดโต่ง 238 00:09:42,200 --> 00:09:45,499 เรามีความไม่มี ในฝั่งหนึ่ง 239 00:09:45,499 --> 00:09:47,997 และเรามีแนวคิดแห่งความจริงนี้ 240 00:09:47,997 --> 00:09:51,180 ที่อัดรวมเอาทุกโลกที่สามารถเข้าใจได้ 241 00:09:51,180 --> 00:09:53,909 ในอีกสุดฝั่งหนึ่ง ความจริงที่เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด 242 00:09:53,909 --> 00:09:56,802 ความว่างเปล่า ความจริงที่เป็นไปได้อย่างง่ายที่สุด 243 00:09:56,802 --> 00:09:59,681 ทีนี้ อะไรที่อยู่ระหว่างสองแนวคิดสุดโต่งนี้ 244 00:09:59,681 --> 00:10:01,708 มันมีสารพัดความจริงที่อยู่ตรงกลาง 245 00:10:01,708 --> 00:10:04,655 ที่รวมถึงบางอย่าง และละทิ้งบางอย่าง 246 00:10:04,655 --> 00:10:06,251 ฉะนั้นหนึ่งในความจริงตรงกลางเหล่านี้ 247 00:10:06,251 --> 00:10:11,946 คือความจริงที่มีความอลังการทางคณิตศาสตร์ อย่างที่สุด 248 00:10:11,946 --> 00:10:13,621 ที่ละทิ้งส่วนที่ไม่หรูหรา 249 00:10:13,621 --> 00:10:16,267 ส่วนที่น่าเกลียดไม่สมมาตร และอื่นๆ 250 00:10:16,267 --> 00:10:18,593 ทีนี้ จะมีนักฟิสิกส์ซึ่งจะบอกคุณ 251 00:10:18,593 --> 00:10:22,227 ว่าแท้จริงแล้ว เราอยู่ในความจริงที่อลังการที่สุด 252 00:10:22,227 --> 00:10:25,174 ผมคิดว่า ไบรอัน กรีน อยู่ในที่นี้ด้วย 253 00:10:25,174 --> 00:10:28,787 และเขาได้เขียนหนังสือ "เอกภพสุดอลังการ" (The Elegant Universe) 254 00:10:28,787 --> 00:10:31,058 เขาอ้างว่าเอกภพที่เราอยู่ 255 00:10:31,058 --> 00:10:32,767 มีความอลังการทางคณิตศาสตร์อย่างมาก 256 00:10:32,767 --> 00:10:34,450 อย่าได้เชื่อเขาครับ (เสียงหัวเราะ) 257 00:10:34,450 --> 00:10:37,537 มันเป็นความหวังแห่งศรัทธา ผมก็หวังว่ามันจะจริง 258 00:10:37,537 --> 00:10:39,450 แต่วันก่อนผมคิดถึงสิ่งที่เขาสารภาพกับผม 259 00:10:39,450 --> 00:10:42,514 ว่ามันเป็นเอกภพที่อัปลักษณ์จริง ๆ 260 00:10:42,514 --> 00:10:43,890 มันถูกสร้างมาอย่างน่าเกลียดโง่เง่า 261 00:10:43,890 --> 00:10:47,144 มันมีค่าคงที่ควบคู่เบ็ดเตล็ด และอัตราส่วนมวล 262 00:10:47,144 --> 00:10:48,810 มากมายเกินไป 263 00:10:48,810 --> 00:10:51,588 และกลุ่มที่มากมายเกินไปของอนุภาคพื้นฐาน 264 00:10:51,588 --> 00:10:53,736 และพลังงานมืดบ้าบอนี่มันคืออะไรกัน 265 00:10:53,736 --> 00:10:57,135 นี่มันอุปกรณ์ที่ทำจากไม้กับหมากฝรั่ง 266 00:10:57,135 --> 00:11:01,138 ไม่ใช่เอกภพสุดอลังการเลยแม้แต่น้อย (เสียงหัวเราะ) 267 00:11:01,138 --> 00:11:03,881 และจากนั้นมันมีโลกทั้งหมดที่เป็นไปได้ ที่ดีที่สุด 268 00:11:03,881 --> 00:11:05,471 ในมุมมองทางจริยธรรม 269 00:11:05,471 --> 00:11:06,650 คุณควรจะสงบได้แล้ว 270 00:11:06,650 --> 00:11:09,845 เพราะโลกที่สิ่งที่มีความรู้สึก 271 00:11:09,845 --> 00:11:11,465 ไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างไม่จำเป็น 272 00:11:11,465 --> 00:11:13,334 ซึ่งไม่มีเรื่องแย่ ๆ อย่างเช่น 273 00:11:13,334 --> 00:11:15,549 มะเร็งในเด็ก หรือการสังหารหมู่ 274 00:11:15,549 --> 00:11:16,800 นี่เป็นแนวคิดหลักทางจริยศาสตร์ 275 00:11:16,800 --> 00:11:18,865 อย่างไรก็ดี ระหว่างความว่างเปล่า 276 00:11:18,865 --> 00:11:20,498 และความจริงที่เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ 277 00:11:20,498 --> 00:11:22,043 ความจริงพิเศษอันหลากหลาย 278 00:11:22,043 --> 00:11:24,323 ความว่างเปล่านั้นพิเศษ มันเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด 279 00:11:24,323 --> 00:11:27,833 จากนั้น มันก็มีความจริงที่เป็นไปได้ที่อลังการที่สุด 280 00:11:27,833 --> 00:11:29,197 นั่นก็พิเศษ 281 00:11:29,197 --> 00:11:31,849 ความจริงที่เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ นั่นก็พิเศษ 282 00:11:31,849 --> 00:11:33,365 แต่อะไรกันที่เรากำลังใช้ชีวิตกันตรงนี้ 283 00:11:33,365 --> 00:11:36,101 มันยังมีความจริงทั่วไป 284 00:11:36,101 --> 00:11:37,856 ธรรมดาดาด ๆ 285 00:11:37,856 --> 00:11:40,477 ที่ไม่พิเศษอะไรเลย 286 00:11:40,477 --> 00:11:42,029 ที่เป็นอะไรแบบสุ่ม ๆ 287 00:11:42,029 --> 00:11:44,756 พวกมันถูกกำจัดออกจากความว่างเปล่าแน่ 288 00:11:44,756 --> 00:11:48,682 แต่พวกมันก็ไม่ใช่ความสมบูรณ์ครบถ้วน 289 00:11:48,682 --> 00:11:51,202 พวกมันเป็นการผสมระหว่างความยุ่งเหยิง กับความเป็นระเบียบ 290 00:11:51,202 --> 00:11:55,400 ของความอลังการ และความอัปลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ 291 00:11:55,400 --> 00:11:57,185 ดังนั้นผมอยากจะอธิบายความจริงเหล่านี้ 292 00:11:57,185 --> 00:12:01,312 ว่าเป็นความยุ่งเหยิงที่ไม่สมบูรณ์ ธรรมดาทั่วไป และมีอยู่อย่างเป็นอนันต์ 293 00:12:01,312 --> 00:12:04,692 ของความจริงทั่วๆ ไป เหมือนกับการลองของจักรวาลแบบมั่วๆ 294 00:12:04,692 --> 00:12:06,876 และความจริงทั้งหลายเหล่านี้ 295 00:12:06,876 --> 00:12:09,142 มันมีเทพอยู่ในความจริงเหล่านี้หรือเปล่า 296 00:12:09,142 --> 00:12:11,553 บางที แต่เทพเหล่านี้ไม่ได้สมบูรณ์ 297 00:12:11,553 --> 00:12:13,889 เหมือนกับเทพของยูดา-คริสเตียน 298 00:12:13,889 --> 00:12:17,196 และเทพก็ไม่ได้ดีทั้งหมดและทรงอำนาจทั้งหมด 299 00:12:17,196 --> 00:12:20,527 มันอาจจะร้ายไปเลย 100 เปอร์เซ็นต์ 300 00:12:20,527 --> 00:12:22,630 แต่มี 80 เปอร์เซ็นต์ที่มีประสิทธิภาพ 301 00:12:22,630 --> 00:12:28,767 ซึ่งอธิบายโลกได้ค่อนข้างดี เราก็เห็น ๆ อยู่รอบตัวเรา ผมว่านะ (เสียงหัวเราะ) 302 00:12:28,767 --> 00:12:31,499 ผมอยากจะเสนอว่า การแก้ 303 00:12:31,499 --> 00:12:33,335 ปริศนาการมีอยู่ 304 00:12:33,335 --> 00:12:37,425 ก็คือว่า ในความจริง เรามีตัวตน 305 00:12:37,425 --> 00:12:39,481 อยู่ในความจริงโดยทั่วไป 306 00:12:39,481 --> 00:12:42,136 ความจริงที่จะต้องกลายเป็นอะไรสักอย่าง 307 00:12:42,136 --> 00:12:44,206 มันสามารถเป็นความว่างเปล่า 308 00:12:44,206 --> 00:12:47,887 หรือทุกสิ่งทุกอย่าง หรืออะไรสักอย่างระหว่างนั้น 309 00:12:47,887 --> 00:12:51,578 ดังนั้น ถ้ามันมีคุณลักษณะพิเศษ 310 00:12:51,578 --> 00:12:53,768 เช่นมีความซับซ้อนอลังการ หรือสมบูรณ์ 311 00:12:53,768 --> 00:12:55,376 หรือธรรมดา ๆ เช่นว่างเปล่า 312 00:12:55,376 --> 00:12:57,177 ที่ต้องการคำอธิบาย 313 00:12:57,177 --> 00:13:00,336 แต่ถ้าความจริงทั่วไปเป็นหนึ่งในการสุ่มนี้ 314 00:13:00,336 --> 00:13:02,486 มันก็ไม่มีคำอธิบายใดอีกสำหรับมัน 315 00:13:02,486 --> 00:13:03,870 และแน่นอน ผมจะบอกว่า 316 00:13:03,870 --> 00:13:05,850 นั่นเป็นความจริงที่เราใช้ชีวิตอยู่ 317 00:13:05,850 --> 00:13:08,107 นั่นเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์บอกเรา 318 00:13:08,107 --> 00:13:09,438 ในตอนเริ่มแรกของสัปดาห์ 319 00:13:09,438 --> 00:13:12,554 เราได้ข้อมูลที่น่าตื่นเต้น 320 00:13:12,554 --> 00:13:15,693 ซึ่งทฤษฎีการขยายตัว ซึ่งทำนาย 321 00:13:15,693 --> 00:13:19,663 ความจริงที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีที่สิ้นสุด ยุ่งเหยิง ไร้เหตุผล ไร้จุดหมาย 322 00:13:19,663 --> 00:13:23,488 มันเหมือนกับฟองแชมเปญ 323 00:13:23,488 --> 00:13:26,172 ที่ออกมาจากขวดอย่างไม่หยุดหย่อน 324 00:13:26,172 --> 00:13:28,264 เอกภพอันยิ่งใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วว่างเปล่า 325 00:13:28,264 --> 00:13:32,530 มีเสน่ห์ และความเป็นระเบียบ และความสงบ เล็กๆ น้อยๆ 326 00:13:32,530 --> 00:13:34,895 ที่ได้รับการยืนยัน 327 00:13:34,895 --> 00:13:37,797 เหตุการขยายตัวนี้ จากการสังเกต 328 00:13:37,797 --> 00:13:39,890 โดยใช้กล้องโทรทัศน์สัญญาณวิทยุ ในแอนตาร์คติกา 329 00:13:39,890 --> 00:13:42,713 มองไปยังคลื่นแรงดึงดูดที่เป็นเอกลักษณ์ 330 00:13:42,713 --> 00:13:44,637 จากยุคก่อนบิ๊กแบงเพียงอึดใจ 331 00:13:44,637 --> 00:13:46,482 ผมมั่นใจว่าคุณทุกคนรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ 332 00:13:46,482 --> 00:13:49,306 อย่างไรก็ดี ผมคิดว่ามันมีหลักฐาน 333 00:13:49,306 --> 00:13:52,793 ว่านี่เป็นความจริง จริงๆ ที่มีเราอยู่ในนั้น 334 00:13:52,793 --> 00:13:55,900 ทีนี้ ทำไมเราต้องใส่ใจล่ะ 335 00:13:55,900 --> 00:13:57,136 ก็นะ -- (เสียงหัวเราะ) 336 00:13:57,136 --> 00:14:00,560 คำถามที่ว่า "ทำไมโลกจึงมีอยู่" 337 00:14:00,560 --> 00:14:02,239 นั่นเป็นคำถามระดับจักรวาล มันเป็นเหมือนความคล้องจอง 338 00:14:02,239 --> 00:14:03,693 ที่มีคำถามที่คุ้นเคยกว่านั้น 339 00:14:03,693 --> 00:14:06,776 ทำไมผมจึงมีตัวตน ทำไมคุณมีตัวตน 340 00:14:06,776 --> 00:14:10,376 ความมีอยู่มีตัวตนของเรา อาจนะเป็นความไม่น่าเชื่ออันอัศจรรย์ 341 00:14:10,376 --> 00:14:14,695 เพราะมันมีความเป็นไปได้ทางพันธุศาสตร์ สำหรับมนุษย์หลายรูปแบบ 342 00:14:14,695 --> 00:14:16,099 ถ้าคุณคำนวณโดยเน้นไปที่ 343 00:14:16,099 --> 00:14:18,441 จำนวนของยีนและจำนวนของอัลลีล 344 00:14:18,441 --> 00:14:20,737 และการคำนวณคร่าวๆ จะบอกคุณว่า 345 00:14:20,737 --> 00:14:22,892 มีอยู่ประมาณ 10 ถึง 10,000 346 00:14:22,892 --> 00:14:24,552 ความเป็นไปได้ทางพันธุศาสตร์สำหรับมนุษย์ 347 00:14:24,552 --> 00:14:28,020 ระหว่างกูโกล และกูโกลเพลก 348 00:14:28,020 --> 00:14:29,636 และจำนวนของมนุษย์ที่มีอยู่ 349 00:14:29,636 --> 00:14:32,130 คือแสนล้าน หรือบางที ห้าหมื่นล้าน 350 00:14:32,130 --> 00:14:34,195 ซึ่งเป็นเพียงปริมาณเล็กน้อย ดังนั้นเราทุกคน 351 00:14:34,195 --> 00:14:36,125 ชนะรางวัลสลากกินแบ่ง แห่งจักรวาลอันน่าทึ่ง 352 00:14:36,125 --> 00:14:38,244 เราอยู่กันตรงนี้ เอาล่ะ 353 00:14:38,244 --> 00:14:41,165 แล้วความจริงแบบไหนกันที่เราอาศัยอยู่ 354 00:14:41,165 --> 00:14:43,415 เราต้องการใช้ชีวิตในความจริง แบบพิเศษหรือเปล่า 355 00:14:43,415 --> 00:14:47,644 ถ้าเราอาศัยอยู่ในความจริง ที่อาจอลังการยิ่งกว่า 356 00:14:47,644 --> 00:14:50,153 ลองคิดถึงความกดดันของการมีอยู่ที่มีต่อเรา 357 00:14:50,153 --> 00:14:51,992 ที่จะมีชีวิตแบบนั้น ที่จะมีความอลังการ 358 00:14:51,992 --> 00:14:53,858 ไม่เป็นการทำให้มันเสื่อมชื่อ 359 00:14:53,858 --> 00:14:56,939 หรือถ้าว่าเราอยู่ในความจริงที่สมบูรณ์สุด 360 00:14:56,939 --> 00:14:58,950 ถ้าแบบนั้น การมีตัวตนอยู่ของเรา คงจะได้รับการรับรอง 361 00:14:58,950 --> 00:15:00,728 เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ 362 00:15:00,728 --> 00:15:02,094 มีอยู่ในความจริงเช่นนั้น 363 00:15:02,094 --> 00:15:04,255 แต่ทางเลือกของเราคงจะไร้ความหมาย 364 00:15:04,255 --> 00:15:07,250 ถ้าผมมีปัญหาติดขัดทางด้านศีลธรรม 365 00:15:07,250 --> 00:15:09,330 และผมตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้อง 366 00:15:09,330 --> 00:15:10,525 มันจะแตกต่างอะไร 367 00:15:10,525 --> 00:15:12,550 เพราะมันมีตัวผมอยู่หลายรูปแบบ 368 00:15:12,550 --> 00:15:13,564 มากมายเป็นอนันต์ 369 00:15:13,564 --> 00:15:14,961 ที่ยังทำสิ่งที่ถูกต้อง 370 00:15:14,961 --> 00:15:16,616 และมีอีกเป็นอนันต์ที่ทำสิ่งที่ผิด 371 00:15:16,616 --> 00:15:18,456 ฉะนั้น ทางเลือกของผมมันไร้ความหมาย 372 00:15:18,456 --> 00:15:20,740 ดังนั้น เราไม่ต้องการที่จะใช้ชีวิต ในความจริงแบบพิเศษ 373 00:15:20,740 --> 00:15:23,327 และถ้าเรา อยู่ในความจริงพิเศษของความว่างเปล่า 374 00:15:23,327 --> 00:15:25,554 เราก็จะไม่ได้มาคุยกันแบบนี้ 375 00:15:25,554 --> 00:15:32,489 ฉะนั้น ผมคิดว่าการอยู่ในความจริงทั่วๆ ไป ที่ดูงั้นๆ ธรรมดาๆ 376 00:15:32,489 --> 00:15:34,385 มีส่วนแย่ๆ และส่วนดีๆ 377 00:15:34,385 --> 00:15:35,927 และเราสามารถทำให้ส่วนดีๆ มากขึ้นอีกนิด 378 00:15:35,927 --> 00:15:38,266 และส่วนที่แย่ๆ น้อยลงอีกหน่อย 379 00:15:38,266 --> 00:15:41,157 และนั่นทำให้เรามีความหมายในการใช้ชีวิต 380 00:15:41,157 --> 00:15:42,563 เอกภพนั้นช่างไร้สาระ 381 00:15:42,563 --> 00:15:44,290 แต่เราสามารถที่จะสร้างความหมาย 382 00:15:44,290 --> 00:15:45,230 และนั่นก็เป็นสิ่งที่ดี 383 00:15:45,230 --> 00:15:47,895 และความเรียบง่ายธรรมดาทั้งหมดของความจริง 384 00:15:47,895 --> 00:15:50,500 เหมือนกับการสะท้อนที่ดีต่อความเรียบง่ายธรรมดา 385 00:15:50,500 --> 00:15:52,812 เราทุกคนรู้สึกได้จากข้างใน 386 00:15:52,812 --> 00:15:54,446 และผมรู้ว่าคุณสัมผัสถึงมันได้ 387 00:15:54,446 --> 00:15:55,550 ผมรู้ว่าคุณทุกคนนั้นมีความพิเศษ 388 00:15:55,550 --> 00:15:57,872 แต่คุณยังคงทำตัวธรรมดาแบบแอบๆ ซ่อนๆ 389 00:15:57,872 --> 00:15:59,261 ใช่ไหมล่ะครับ 390 00:15:59,261 --> 00:16:01,198 (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) 391 00:16:01,198 --> 00:16:05,250 ฉะนั้น คุณอาจบอกว่า ปริศนาความมีอยู่นี้ 392 00:16:05,250 --> 00:16:06,668 มันเป็นแค่ปริศนาแผงลอย 393 00:16:06,668 --> 00:16:10,535 คุณไม่ได้ที่งตะลึงกับการมีอยู่ของเอกภพ 394 00:16:10,535 --> 00:16:12,170 และคุณก็มีเพื่อนที่คิดแบบเดียวกัน 395 00:16:12,170 --> 00:16:14,386 เบอร์นาร์ด รัสเซล กล่าวว่า 396 00:16:14,386 --> 00:16:18,041 "ผมควรบอกว่า เอกภพแค่อยู่ตรงนั้น แค่นั้นแหละ" 397 00:16:18,041 --> 00:16:19,442 แค่ความจริงดิบ ๆ 398 00:16:19,442 --> 00:16:22,276 และศาสตราจารย์ของผมที่โคลัมเบีย ซิดนีย์ มอร์เกนเบสเซอร์ 399 00:16:22,276 --> 00:16:23,985 นักเคลื่อนไหวทางปรัชญา 400 00:16:23,985 --> 00:16:25,602 เมื่อผมบอกท่านว่า "ศาสตราจารย์ มอร์เกนเบสเซอร์ ครับ 401 00:16:25,602 --> 00:16:28,098 ทำไมมันมีอะไรบางอย่างแทนที่จะว่างเปล่าครับ" 402 00:16:28,098 --> 00:16:30,248 เขาบอกว่า "โอ ถึงแม้ว่ามันจะมีแต่ความว่างเปล่า 403 00:16:30,248 --> 00:16:32,244 คุณก็ยังไม่พอใจอยู่ดีแหละ" 404 00:16:32,244 --> 00:16:35,993 ดังนั้น-(เสียงหัวเราะ)-โอเค 405 00:16:35,993 --> 00:16:38,355 ฉะนั้นคุณไม่ได้ทึ่งกับมัน ผมไม่สนใจหรอก 406 00:16:38,355 --> 00:16:41,328 แต่ให้ผมบอกอะไรคุณสักอย่างเป็นการสรุป 407 00:16:41,328 --> 00:16:43,606 ผมยืนยันได้เลยว่าคุณจะทึ่งตัวคุณเอง 408 00:16:43,606 --> 00:16:46,273 เพราะมันทำให้ทุกสิ่งที่ยอดเยี่ยมดูน่าทึ่ง 409 00:16:46,273 --> 00:16:48,586 ผู้คนที่น่าทึ่งที่ผมได้พบ ในงานบรรยายของ TED 410 00:16:48,586 --> 00:16:50,800 เมื่อผมบอกพวกเขาว่า 411 00:16:50,800 --> 00:16:55,302 ในชีวิตนี้ ผมไม่เคยมีโทรศัพท์มือถือ 412 00:16:55,302 --> 00:16:57,179 ขอบคุณครับ 413 00:16:57,179 --> 00:17:01,179 (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ)